

เอสซีบี เท็นเอกซ์ (SCB 10X) บริษัทด้านการลงทุนในเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก (Disruptive Technology) ภายใต้กลุ่มเอสซีบีเอกซ์ (SCBX Group) ประกาศร่วมเป็นผู้นำการลงทุน (Co-Lead Investor) ร่วมกับ Point72 Ventures ในการระดมทุนรอบ Pre-Seed มูลค่า 6 ล้านดอลลาร์สหรัฐของ Hearvana บริษัทผู้บุกเบิกเทคโนโลยี ‘Auditory Intelligence’ ที่ช่วยให้มนุษย์และอุปกรณ์สมองกลมีความสามารถในการฟังเหนือขีดความสามารถของมนุษย์ (Superhuman Listening Abilities) โดยการลงทุนรอบนี้ยังได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนรายสำคัญ ได้แก่ AI2 Incubator, SBI US Gateway Fund, Forston VC, Ascend, J4 Ventures, Pack Ventures, Moai Capital และ Amazon Alexa Fund
Hearvana กำลังพลิกโฉมวิธีที่ AI และมนุษย์รับรู้เสียง ด้วยแพลตฟอร์มของบริษัทที่เป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพ (Augmentation) และการทำความเข้าใจ (Comprehension) เสียงแบบเรียลไทม์บนอุปกรณ์ (on-device) ทำให้ผู้ช่วย AI (AI Assistant) อุปกรณ์ช่วยฟัง แว่นตาอัจฉริยะ และอุปกรณ์ที่ควบคุมด้วยเสียงต่างๆ สามารถฟัง ตีความ และประมวลผลเสียงได้อย่างมีคุณภาพสูงและตอบสนองได้อย่างแม่นยำและรวดเร็วกว่าที่เคยเป็นมา เทคโนโลยีนี้ทำให้อุปกรณ์สามารถเข้าใจเจตนาและบริบทในสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนและมีเสียงรบกวนสูง ช่วยให้มนุษย์สื่อสารกันเองและกับอุปกรณ์สมองกลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
Jeffrey Lu นักลงทุนจาก Point72 Ventures กล่าวว่า “เราเชื่อว่า Hearvana กำลังก้าวเข้าสู่จุดที่น่าตื่นเต้นของเทคโนโลยี AI โดยมุ่งเน้นไปที่ “วิธีการที่อุปกรณ์รับฟัง” เทคโนโลยีของ Hearvana ส่งเสริมศักยภาพด้าน Voice Interface ให้กับปัญญาประดิษฐ์ อุปกรณ์อัจฉริยะ และ แอปพลิเคชันช่วยฟัง เรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้สนับสนุนทีมนี้ในการนำเทคโนโลยีออกสู่ตลาด”
บริษัท Hearvana ก่อตั้งโดย ศาสตราจารย์ Shyam Gollakota จาก Paul G. Allen School of Computer Science and Engineering มหาวิทยาลัยวอชิงตัน ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้าน Embedded Systems และ Audio AI ได้แก่ Malek Itani และ Tuochao Chen
นางสาวไพลิน วิชากูล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุน (CIO) บริษัท เอสซีบี เท็นเอกซ์ จำกัด (SCB 10X) กล่าวว่า “Hearvana ประกอบด้วยทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญทางเทคนิคและความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ทำให้บริษัทสามารถผสมผสานเทคโนโลยี AI การประมวลผลเสียง และ ฮาร์ดแวร์แบบฝังตัวอยู่ในอุปกรณ์สมองกล (Embedded Hardware) ได้อย่างลงตัว เพื่อสร้างสรรค์มิติใหม่ของเทคโนโลยีด้านเสียง (Auditory กับอุปกรณ์สมองกล (Human-Machine Interfaces) เพื่อยกระดับศักยภาพการได้ยินสำหรับ AI Agents ที่สามารถปรับให้เข้ากับแต่ละบุคคล”
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทีมงานได้บุกเบิกเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยมากมาย เช่น Target Speech Hearing, Sound Bubble, Full-Duplex Dialogue Agents และ Proactive Conversational Assistants ซึ่งช่วยขยายขอบเขตการรับรู้และปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับอุปกรณ์สมองกลผ่าน "เสียง" โดยทีมผู้ก่อตั้งได้นำความเชี่ยวชาญที่สั่งสมมานานหลายทศวรรษในด้าน Auditory Computing, Embedded Intelligence และ Deep Learning มาสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่เชื่อมโยงวิทยาการล้ำสมัยเข้ากับการใช้งานจริงที่สามารถขยายผลได้
“เราให้ความสนใจในเทคโนโลยีของ Hearvana ที่ช่วยให้การโต้ตอบระหว่างมนุษย์กับ AI เป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น แนวทางของทีม Hearvana มุ่งทำให้เทคโนโลยีการฟังขั้นสูงถูกนำมาใช้ในวงกว้างผ่านการใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ในชีวิตประจำวันที่มุ่งเน้นการตอบสนองผู้ใช้งานอย่างแท้จริง ด้วยต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ” กล่าวโดย Paul Bernard ผู้อำนวยการ จาก Alexa Fund
“ด้วยความเชี่ยวชาญทางเทคนิคเชิงลึกและวิสัยทัศน์ของผู้ก่อตั้งมีความโดดเด่น Hearvana ได้นำผลงานวิจัยด้าน Audio AI ที่ล้ำสมัยมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถใช้งานได้จริง และช่วยให้ AI เข้าใจและตอบสนองมนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น” กล่าวโดย Oren Etzioni จาก AI2 Incubator
Hearvana มีแผนที่จะนำเงินทุนที่ได้รับในรอบนี้ไปขยายทีมวิศวกรรม และทีมการตลาด (Go-to-market) รวมถึงโครงการนำร่องเชิงพาณิชย์ร่วมกับพันธมิตร (Commercial Pilots) ในอุตสาหกรรมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภคและระบบนิเวศ AI
"Hearvana กำลังพัฒนาเทคโนโลยีที่สร้างการฟังระดับ Superhuman เทคโนโลยีของเราครอบคลุมผู้ช่วย AI ที่ทำงานตั้งแต่อุปกรณ์ทั่วไป เช่น แล็ปท็อปและสมาร์ทโฟน ไปจนถึงอุปกรณ์สวมใส่ (wearables) เช่น หูฟังไร้สายและแว่นตาอัจฉริยะ เรามองเห็นอนาคตที่อุปกรณ์ไม่ได้เพียงแต่ได้ยินเท่านั้น แต่ยังเข้าใจและช่วยให้มนุษย์สื่อสารระหว่างกันและสื่อสารกับ AI ได้ดียิ่งขึ้น เงินทุนรอบนี้จะช่วยให้เราก้าวจากการพัฒนานวัตกรรมไปสู่การใช้งานจริงได้เร็วยิ่งขึ้น" กล่าวโดย Shyam Gollakota ผู้ร่วมก่อตั้ง และ CEO ของ Hearvana
SCB WEALTH มองปีนี้ตลาดการเงินทั่วโลกผันผวนจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ แนะกลยุทธ์ลงทุนกองทุนลดหย่อนภาษีไม่เน้นจับจังหวะ แต่เน้นระยะเวลา และวินัยการลงทุน พร้อมชู 3 เมนูลงทุนเด็ดเสิร์ฟนักลงทุน 3 สไตล์ เมนูที่ 1 THE SIGNATURE CORE ธีมลงทุนแบบเน้นปกป้องเงินต้น เปี่ยมด้วยคุณภาพ เมนูที่ 2 THE PERFECT BLEND ธีมลงทุนแบบเน้นสมดุลอย่างลงตัว ระหว่างความมั่นคงและโอกาส และเมนูที่ 3 THE GROWTH BOOSTER ธีมลงทุนเพื่อโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับความยั่งยืน ครอบคลุมทุกเป้าหมายการลงทุนตั้งแต่นักลงทุนรุ่นใหม่จนถึงวัยใกล้เกษียณ เพื่อโอกาสรับสิทธิลดหย่อนภาษี และโอกาสรับผลตอบแทนในระยะยาว
นายศรชัย สุเนต์ตา, CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Wealth & Investment Product ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในปีนี้ถือเป็นปีที่ตลาดการเงินทั่วโลกเผชิญความผันผวน จากความไม่แน่นอนการดำเนินนโยบายของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ทั้งในยุโรปและตะวันออกกลาง ปัญหาหนี้สาธารณะที่สูงในประเทศเศรษฐกิจหลัก และสินทรัพย์หลายประเภทปรับตัวขึ้นแรงจากความคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลก โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed ) จึงอาจทำให้นักลงทุนรอจังหวะในการเข้าลงทุน เนื่องจากสินทรัพย์หลายประเภทราคาได้ปรับตัวสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ แต่ที่สำคัญของการลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษี ประเด็นไม่ได้อยู่ที่การจับจังหวะตลาด แต่อยู่ที่ระยะเวลาการลงทุน และการสร้างวินัยทางการเงิน เพราะเป็นกองทุนที่ต้องลงทุนต่อเนื่องในระยะยาว เป็นเครื่องมือการสร้างความมั่งคั่งอย่างมีวินัย
"ตามข้อมูลของกรมกิจการผู้สูงอายุ จะพบว่า คนไทยมีแนวโน้มอายุยืนยาวขึ้น จากเดิมอายุขัยเฉลี่ยเคยอยู่ที่ 75 ปี แต่ในปี 2568 อายุขัยเฉลี่ยของคนไทย ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 85 ปี หมายความว่า ช่วงที่มีความจำเป็นต้องใช้เงินหลังเกษียณยาวนานมากขึ้น ดังนั้น การลงทุนเพื่อเตรียมความพร้อมให้มีเงินเพียงพอสำหรับใช้จ่ายในช่วงเกษียณอายุจึงมีความจำเป็นอย่างมาก และการจัดพอร์ตลงทุนเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเกษียณก็มีความสำคัญมากขึ้นเช่นกัน โดยนักลงทุนสามารถลงทุนผ่านกองทุนประเภทลดหย่อนภาษี ปรับสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะสมกับช่วงอายุ และระยะเวลาที่เหลือในการทำงาน หรือมีรายได้ เช่น ช่วงเริ่มต้นวัยทำงาน ยังมีระยะเวลาในการลงทุนที่ยาว สามารถรับความผันผวนจากการลงทุนได้ เพื่อโอกาสในการรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น แต่เมื่อใกล้ระยะเวลาเกษียณ ต้องเน้นการรักษามูลค่าเงินลงทุนมากขึ้น อาจปรับเปลี่ยนการลงทุน โดยเน้นสินทรัพย์เสี่ยงต่ำมากขึ้น เป็นต้น” นายศรชัย กล่าว
SCB WEALTH จึงได้ออกแบบ เมนูการลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษี เพื่อให้นักลงทุนเลือก 3 สไตล์ สอดคล้องกับความสามารถในการยอมรับความเสี่ยงของผู้ลงทุน
เมนูที่ 1 THE SIGNATURE CORE ธีมลงทุนแบบเน้นปกป้องเงินต้น เปี่ยมด้วยคุณภาพ โดยตราสารที่ลงทุนเป็นสินทรัพย์คุณภาพ (High-Quality Assets) เพื่อเสริมภูมิคุ้มกันรับมือความผันผวน เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนอย่างระมัดระวัง เพื่อเพิ่มความมั่นใจสำหรับเงินที่เตรียมไว้ใช้ในวัยเกษียณ โดยเฉพาะผู้ลงทุนที่ใกล้เกษียณ มีกองทุนแนะนำ 3 กองทุน ได้แก่ 1 ) กองทุน SCBTB(ThaiESGA) ความเสี่ยงระดับ 4 คือเสี่ยงปานกลางค่อนข้างต่ำ ซึ่งเน้นลงทุนในตราสารเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green bond ) ตราสารเพื่อความยั่งยืน ( Sustainability bond) หรือตราสารส่งเสริมความยั่งยืน ที่มีการเปิดเผยข้อมูลตามที่ก.ล.ต. กำหนด ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม เป็นตราสารหนี้ชั้นดีภาครัฐและเอกชน พร้อมจุดแข็งการคำนึงถึงประเด็น สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ตอบโจทย์การลงทุนระยะยาว 2) กองทุน SCBRMMONEY ความเสี่ยงระดับ 1 คือ เสี่ยงต่ำ ลงทุนในตราสารหนี้ไทย ทั้งภาครัฐ และเอกชน อายุเฉลี่ย 1-3 เดือน และ 3)กองทุน SCBRM1 ความเสี่ยงระดับ 4 เน้นลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นคุณภาพดี เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝาก
เมนูที่ 2 THE PERFECT BLEND ธีมลงทุนแบบเน้นสมดุลอย่างลงตัว ระหว่างความมั่นคงและโอกาส มุ่งเน้นการลงทุนในสินทรัพย์ที่ช่วยเพิ่มโอกาสเติบโตของเงินลงทุน ควบคู่กับสินทรัพย์ที่ช่วยป้องกันความเสี่ยง เพื่อลดความผันผวนให้พอร์ตลงทุน เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง แต่ต้องการสร้างความสมดุลให้กับโอกาสการเติบโตและความมั่นคงอย่างลงตัว โดยเฉพาะคนที่ทำงานมาระยะหนึ่งแล้ว คนที่มีครอบครัวต้องดูแล แนะนำ 3 กองทุนดังนี้ 1) กองทุน SCBTM(ThaiESG) ความเสี่ยงระดับ 5 คือเสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง ลงทุนในกองทุนผสมหุ้นไทยและตราสารหนี้ไทยที่ยั่งยืน แบบยืดหยุ่น ลดความผันผวน 2) กองทุน SCBRMWORLD(A) ความเสี่ยงระดับ 6 คือเสี่ยงสูง ลงทุนหุ้นขนาดใหญ่และ ขนาดกลางในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วทั่วโลก มุ่งสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนี MSCI World และ3)กองทุน SCBGOLDHRMF ความเสี่ยงระดับ 8 ลงทุนใน SPDR Gold Trust กองทุนทองคำแท่งที่ให้ผลตอบแทนใกล้เคียงราคาทองคำแท่งในตลาดโลก
เมนูที่ 3 THE GROWTH BOOSTER ธีมลงทุนเพื่อโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับความยั่งยืน ซึ่งมุ่งเน้นการลงทุนที่โดดเด่นเรื่องโอกาสเติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเช่น ตลาดหุ้น เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง โดยเฉพาะกลุ่มที่เริ่มทำงานไม่นาน มีเวลาสำหรับการลงทุนได้อีกในระยะยาว แนะนำ 3 กองทุน ได้แก่ 1) กองทุน SCBTM(ThaiESG) ความเสี่ยงระดับ 5 ลงทุนในกองทุนผสมหุ้นไทย และตราสารหนี้ไทยที่ยั่งยืน แบบยืดหยุ่น ลดความผันผวน 2) กองทุน SCBRMS&P500 ความเสี่ยงระดับ 6 ลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนี S&P 500 ซึ่งเป็นดัชนีที่สะท้อนราคาหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ 500 แห่งในสหรัฐฯ และ 3)กองทุน SCBRMNDQ ความเสี่ยงระดับ 6 ลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนี NASDAQ 100 ซึ่งสะท้อนราคาหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีและนวัตกรรมชั้นนำ 100 แห่งในสหรัฐฯ
“การนำเสนอเมนูการลงทุนลดหย่อนภาษีที่ออกแบบให้ตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้า เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการลงทุนเพื่อการออมเงินในระยะยาว และเป็นทางเลือกการลงทุนที่ให้ทั้งผลตอบแทน และสิทธิลดหย่อนภาษี ช่วยให้ผู้ลงทุนสร้างวินัยทางการเงินเพื่อความมั่นคงในวัยเกษียณในแบบที่ต้องการ ” นายศรชัย กล่าว
สำหรับเงื่อนไขการลงทุนกองทุน ThaiESG นับตั้งแต่ปี 2567-2569 ซื้อได้ไม่เกิน 30% ของรายได้ที่ต้องเสียภาษีต่อปี และไม่เกิน 300,000 บาท ไม่จำเป็นต้องลงทุนต่อเนื่องทุกปี แต่ต้องถือครองไม่น้อยกว่า 5 ปี นับจากวันที่ซื้อ (แบบวันชนวัน) ไม่มียอดซื้อขั้นต่ำ ส่วนกองทุน RMF ซื้อได้ไม่เกิน 30% ของรายได้ที่ต้องเสียภาษีต่อปี และไม่เกิน 500,000 บาท เมื่อรวมกับกองทุนการออมเพื่อการเกษียณอื่นๆ ได้แก่ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ประกันชีวิตแบบบำนาญ กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน และกองทุนการออมแห่งชาติ โดยต้องลงทุนต่อเนื่องทุกปี แต่เว้นได้ไม่เกิน 1 ปีติดต่อกัน ไม่สามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้จนกว่าอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และต้องลงทุนต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 5 ปีเต็ม ลงทุนในปีใดสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีในปีนั้นได้
หมายเหตุ : คำแนะนำการลงทุนจาก SCB CIO และข้อมูลผลิตภัณฑ์โดย Investment Product Selection ณ วันที่ 4 พ.ย. 2568 ทั้งนี้ ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ในแต่ละขณะเวลา ผู้ใช้ข้อมูลควรใช้ความระมัดระวังในการตัดสินใจลงทุน
คำเตือน
· การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยง และศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนของกองทุน RMF, Thai ESG ก่อนตัดสินใจลงทุน เงื่อนไขการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีต้องเป็นไปตามกฎหมายและประกาศที่กรมสรรพากรกำหนด กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขทางภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีตามที่กฎหมายกำหนด
· กองทุนที่มีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนและไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราเปลี่ยนทั้งจำนวนผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
· ศึกษาข้อมูลกองทุนและหนังสือชี้ชวนกองทุนเพิ่มเติมได้จากwebsite บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด และแอป SCB EASY หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่SCB Call Center โทร. 02-777-7777
มูลค่าส่งออกสินค้าเดือน ก.ย. 2025 อยู่ที่ 30,970.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐขยายตัวสูง 19% จาก 5.8%YOY ในเดือนก่อน เติบโตสูงสุดในรอบ 3 ปีครึ่ง และสูงกว่าที่ประเมินไว้มาก (SCB EIC ประเมิน 3.5% และค่ากลาง Reuter Poll ประเมิน 7%) ตัวเลขปรับฤดูกาลขยายตัวสูงถึง 3.8%MOM_SA เร่งขึ้นจาก 0.1%MOM_SA ในเดือน ส.ค. ภาพรวมมูลค่าส่งออกสะสม 3 ไตรมาสแรกของปีนี้ขยายตัวสูง 13.9% (รูปที่ 1 และ 2)
ส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และทองคำไม่ขึ้นรูปยังคงเป็นปัจจัยหนุนหลักเดือนนี้
1) การส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ยังคงขยายตัวสูงต่อเนื่อง จากการเร่งส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ไปสหรัฐฯ เนื่องจากยังคงได้รับการยกเว้นภาษีตอบโต้ในบางสินค้าอยู่ วัฏจักรขาขึ้นของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และแนวโน้มการลงทุนในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และกลุ่ม Data center ที่ขยายตัวทั่วโลก สะท้อนได้จากการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ไปสหรัฐฯ, จีน, สิงคโปร์, เม็กซิโก และมาเลเซีย ที่ขยายตัวสูง 67.1%, 32%, 97.1%, 100.1% และ 64% ตามลำดับ (การส่งออกไปสหรัฐฯ คิดเป็น 47.7% ของมูลค่าการส่งออกอิเล็กทรอนิกส์ของไทยทั้งหมดในเดือนนี้) การส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์มีส่วนช่วยให้การส่งออกไทยเดือนนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้น (CTG) 8.1% เกือบครึ่งหนึ่งของการเติบโตส่งออกรวม 19%
2) ทองคำยังคงเป็นปัจจัยหนุนการส่งออกที่สำคัญต่อเนื่อง การส่งออกทองคำไม่ขึ้นรูปขยายตัวสูง 212.6% เร่งขึ้นจาก 144% ในเดือนก่อน โดยการส่งออกทองคำไปสวิตเซอร์แลนด์, สิงคโปร์ และ สปป. ลาว ขยายตัวสูงต่อเนื่อง 615.6%, 95.7% และ 437.1% ตามลำดับ ขณะที่การส่งออกไปสหรัฐฯ ขยายตัวสูงมากถึง 185,737.4% โดยการส่งออกไป 4 ประเทศดังกล่าวคิดเป็นกว่า 95.9% ของมูลค่าการส่งออกทองของไทยทั้งหมด ส่วนหนึ่งเป็นผลจากความต้องการทองคำในตลาดโลกเพื่อรองรับความเสี่ยงที่สูงขึ้น รวมถึงราคาทองคำที่เพิ่มขึ้นมาก การส่งออกทองคำมีส่วนช่วยให้การส่งออกไทยเดือนนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้น (CTG) 6%YOY เกือบครึ่งหนึ่งของการเติบโตส่งออกรวม 19%
3) การส่งออกไทยไปสหรัฐฯ ยังขยายตัวได้ดีในเดือน ก.ย. แม้ถูกตั้งกำแพงภาษีแล้วในหลายสินค้า โดยขยายตัว 35.3% เร่งขึ้นจาก 12.8% ในเดือนก่อน หากหักการส่งออกสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ พบว่าการส่งออกไปสหรัฐฯ ยังขยายตัวสูง 14.2% สอดคล้องกับข้อมูลกิจกรรมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงระยะสั้นนี้ที่ยังขยายตัวดี เช่น ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) สหรัฐฯ ในเดือน ก.ย. และข้อมูลเบื้องต้นในเดือน ต.ค. ที่ระดับ 53.9 และ 54.8 ตามลำดับ (ข้อมูล > 50 สะท้อนการขยายตัว) การส่งออกไปสหรัฐฯ มีส่วนช่วยให้การส่งออกไทยเดือนนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้น (CTG) 6.8%YOY ของการเติบโตส่งออกรวม 19%
การนำเข้าเร่งตัวมากขึ้นอีกเกือบทุกหมวด โดยเฉพาะจากจีนและไต้หวัน ดุลการค้ากลับมาเกินดุล
มูลค่าการนำเข้าสินค้าเดือน ก.ย. อยู่ที่ 29,695.55 ล้านดอลลาร์สหรัฐขยายตัว 17.2% เร่งขึ้นจาก 15.8% ในเดือน ส.ค. สูงกว่าประมาณการ (SCB EIC และค่ากลาง Reuter Poll ประเมิน 10.6%) ภาพรวมมูลค่านำเข้า 9 เดือนแรกปีนี้ ขยายตัวสูง 11.9% โดยในเดือนนี้การนำเข้ายานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป และอาวุธ ยุทธปัจจัย และสินค้าอื่น ๆ ขยายตัวสูงขึ้นเป็น 31.8%, 18.9% และ 15.1% เทียบกับ 5.3%, 12.7% และ 7.2% ในเดือนก่อน ตามลำดับ ขณะที่สินค้าทุนและสินค้าอุปโภคบริโภคยังขยายตัวสูงต่อเนื่อง 23.7% และ 16.6% ตามลำดับ ทั้งนี้สินค้าเชื้อเพลิงเป็นหมวดเดียวที่กลับมาหดตัว -0.8% หลังขยายตัว 5.6% ในเดือนก่อน (รูปที่ 3)
หากพิจารณาการนำเข้ารายประเทศพบว่า การนำเข้าสินค้าจากจีนและไต้หวันเป็นส่วนสำคัญที่การนำเข้าไทยเดือนนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้น (CTG) 16.8% (จีน 10.4% ไต้หวัน 6.4%) จากการนำเข้ารวมที่โตถึง 17.2%YOY โดย
1. จีน : ไทยนำเข้าจากจีนขยายตัวสูงถึง 38.7% ในเดือน ก.ย. เร่งขึ้นจาก 33.4% เดือนก่อน ส่งผลให้ 9 เดือนแรกของปี 2025 มูลค่านำเข้าไทยจากจีนขยายตัวสูง 33.5% เป็นการขยายตัวทุกหมวด โดยเฉพาะ 1) สินค้าทุนขยายตัวสูงถึง 57.8% เช่น เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ, เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบที่ขยายตัว 95.4%, 40.9% และ 11.9% ตามลำดับ ไทยนำเข้าสินค้าทุนจากจีนกว่าครึ่งหนึ่ง คิดเป็น 51.6% ของมูลค่านำเข้าสินค้าทุนทั้งหมดของไทยในเดือนนี้ 2) สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป ขยายตัว 24.6% เช่น แผงวงจรไฟฟ้า, ไดโอด ทรานซิสเตอร์และอุปกรณ์กึ่งตัวนำ และวงจรพิมพ์ ที่ขยายตัวสูง 32.8%, 23.8% และ 41% ตามลำดับ โดยการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป จากจีนคิดเป็น 24.5% ของมูลค่านำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปทั้งหมดของไทยในเดือนนี้ 3) สินค้าอุปโภคบริโภคขยายตัว 26.1% เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน, เครื่องใช้เบ็ดเตล็ด และเครื่องใช้และเครื่องตกแต่งภายในบ้านเรือนขยายตัวสูง 23%, 31.2% และ 25.4% ตามลำดับ โดยการนำเข้าอุปโภคบริโภค จากจีนคิดเป็น 46.6% ของมูลค่านำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคทั้งหมดของไทยในเดือนนี้ (รูปที่ 4 ซ้าย)
2. ไต้หวัน : ไทยนำเข้าจากไต้หวันขยายตัวสูงมากต่อเนื่อง 2 เดือนอยู่ที่ 109.6% ในเดือน ก.ย. และ 130.4% ในเดือน ส.ค. โดยราว 90% ของมูลค่าการนำเข้าจากไต้หวันในเดือนนี้เป็นสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป และหากดูรายสินค้าพบว่า ไทยนำเข้าแผงวงจรไฟฟ้าจากไต้หวันเพิ่มขึ้นมากถึง 223.3% และ 246.2% ในเดือน ก.ย. และ ส.ค. ตามลำดับ (คิดเป็น 91% และ 88.7% ของมูลค่านำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปจากไต้หวันทั้งหมด) (รูปที่ 4 ขวา)
ข้อมูลนำเข้าสะท้อนนัยว่า
(1) สินค้านำเข้าหลักของไทยส่วนมากเป็นสินค้าที่เกี่ยวข้องกับชิ้นส่วนการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ สอดคล้องกับมูลค่าส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของไทยที่ยังขยายตัวสูงต่อเนื่อง ตามวัฏจักรขาขึ้นของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลก เช่น เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และศูนย์ข้อมูล (Data center) ทั้งนี้ไทยผลิตสินค้าต้นน้ำและกลางน้ำได้ค่อนข้างจำกัด จึงต้องนำเข้าชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์จากผู้ผลิตรายใหญ่ เช่น จีนและไต้หวัน เพื่อรองรับความต้องการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ส่งออกตลาดโลกเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ แนวโน้มการลงทุนในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และกลุ่ม Data center ที่ยังขยายตัวต่อเนื่องในไทย เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้การนำเข้าสินค้ากลุ่มนี้ขยายตัวสูงเป็นพิเศษ
(2) การนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคจากจีนสูง ยังคงสะท้อนปัญหาสินค้าจีนราคาถูกทะลักเข้าไทย จาก (1) ภาวะเศรษฐกิจจีนที่ยังคงซบเซาจากความเชื่อมั่นในประเทศที่ยังคงต่ำและปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ (2) จีนโดนกำแพงภาษีนำเข้าสหรัฐฯ สูงโดยเปรียบเทียบกับชาติคู่แข่งอื่น จึงมุ่งส่งออกสินค้าถูกกว่ามายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น และ
(3) ภาวะเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวและหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ผู้บริโภคหันมาซื้อสินค้าราคาถูกจากจีนมากขึ้น ดุลการค้า (ระบบศุลกากร) เดือนนี้กลับมาเกินดุล 1,275.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังขาดดุลสูงเดือนก่อน 1,964.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ดุลการค้าเดือนนี้เกินดุลสูงกว่าคาดบ้าง (SCB EIC ประเมิน 770 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และค่ากลาง Reuter Poll ที่ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ผลจากการส่งออกที่สูงกว่าคาดการณ์มาก ดุลการค้าสะสม 3 ไตรมาสแรกของปี 2025 ขาดดุลเล็กน้อย -429.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สะท้อนส่งออกและนำเข้าไทยสะสมปีนี้สูงใกล้เคียงกัน
SCB EIC ยังมองการส่งออกท้ายปีแย่ลง ภาพทั้งปี 2025 มีแนวโน้มดีกว่าคาด ปี 2026 เสี่ยงติดลบ
จากข้อมูลส่งออก 9 เดือนแรกของปีนี้ที่ออกมาดีกว่าคาดต่อเนื่อง และข้อมูลส่งออกเดือน ก.ย. ยังขยายตัวสูงถึง 19% มูลค่าการส่งออกของไทยทั้งปี 2025 จึงมีแนวโน้มขยายตัวสูงกว่าที่ SCB EIC ประเมินไว้ล่าสุดก่อนนี้ที่ 5.3% แม้การส่งออกในช่วงไตรมาส 4 ปี 2025 จะมีแนวโน้มแย่ลง และก่อนหน้านี้กระทรวงพาณิชย์เคยตั้งเป้ามูลค่าการส่งออกปีนี้ไว้ที่ 2-3% เท่านั้น แต่การแถลงล่าสุดเดือนนี้ กระทรวงพาณิชย์ปรับมุมมองส่งออกปีนี้อาจขยายตัวได้สูงขึ้นมากถึง 10.4% อย่างไรก็ดี SCB EIC ประเมินว่า แม้ตัวเลขส่งออกไทยปีนี้ที่จะให้ภาพเร่งตัวสูงกว่าปีก่อนมาก แต่ไทยอาจได้รับประโยชน์สุทธิไม่มากเท่าที่ควร เนื่องจากทองคำเป็นสินค้าส่งออกสำคัญที่ขยายตัวสูงมากในปีนี้ และการนำเข้าขยายตัวสูงขึ้นมากเช่นเดียวกับการส่งออก
![]()
สำหรับในปี 2026 SCB EIC มองส่งออกไทยมีแนวโน้มหดตัว -1.9% (ประเมิน ณ ต้นเดือน ต.ค. 2025) จากหลายปัจจัยกดดัน เช่น การที่สหรัฐฯ มีแนวโน้มตั้งกำแพงภาษีเพิ่มเติม ทั้งภาษีรายสินค้า (โดยเฉพาะอิเล็กทรอนิกส์ที่ขยายตัวได้ดีในช่วงที่ผ่านมา) รวมถึงภาษีสินค้าสวมสิทธิ 40% เศรษฐกิจโลกที่ขยายตัวชะลอลง ความไม่แน่นอนของการค้าโลกที่ยังสูง ปัจจัยฐานสูง ค่าเงินบาทที่อาจแข็งกว่าภูมิภาค สอดคล้องกับมุมมองหลายองค์กรระหว่างประเทศว่า ปริมาณการค้าโลกในปี 2026 มีแนวโน้มชะลอตัวลงจากปี 2025 มาก โดย IMF มองว่าปริมาณการค้าและบริการโลกมีแนวโน้มขยายตัว 2.3% ในปี 2026 ชะลอลงจาก 3.6% ในปี 2025 เช่นเดียวกับ WTO ที่มองว่าปริมาณการค้าโลกจะขยายตัวเพียง 0.5% ในปี 2026 ชะลอลงจาก 2.4% ในปี 2025
SCB WEALTH ร่วมกับ BlackRock คัดสรรผลิตภัณฑ์ลงทุนให้ตอบโจทย์นักลงทุนในจังหวะค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่า พร้อมเสิร์ฟกองทุนSCBUSDABSAP เสนอขายครั้งแรกในวันที่ 7- 15 ตุลาคม 2568 เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน BlackRock Systematic Asia Pacific Equity Absolute Return Fundมุ่งหวังสร้างผลตอบแทนผ่านการเติบโตของเงินลงทุนในทุกสภาวะตลาด
โดยมีธนาคารไทยพาณิชย์เป็นผู้สนับสนุนการขายหรือรับซื้อคืนหน่วยลงทุนและจัดตั้งโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด กองทุนหลักลงทุนอย่างเป็นระบบผสานความเชี่ยวชาญของผู้จัดการกองทุนเข้ากับเทคโนโลยี AI เพื่อคัดเลือกหุ้นคุณภาพจากกว่า 4,500 บริษัทในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวมถึงออสเตรเลียและญี่ปุ่น พร้อมควบคุมความผันผวนให้อยู่ในกรอบ 6–8% ต่อปี เพื่อประคองความเสี่ยงให้เหมาะสม ตอกย้ำประสิทธิภาพด้วยผลงานของกองทุนหลัก นับตั้งแต่จัดตั้งจนถึงสิ้นเดือน ส.ค. 2568 ที่สร้างผลตอบแทนเป็นบวกถึง 70 เดือนจาก 102เดือน เหนือกว่าค่าเฉลี่ยของดัชนี MSCI AC Asia Pacific สะท้อนถึงศักยภาพในการบริหารที่โดดเด่นเมื่อเทียบกับตลาดโดยรวม โดย เงินลงทุนขั้นต่ำ SCBUSDABSAP อยู่ที่ 30 USD มองภาวะเงินบาทแข็งค่าถือเป็นโอกาสสำคัญของนักลงทุนไทยที่มีแผนใช้เงินดอลลาร์ฯในระยะยาว และ ไม่ต้องเสียต้นทุนค่า Hedging
นายศรชัย สุเนต์ตา, CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Wealth & Investment Product กลุ่มธุรกิจ Consumer Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง จากสัญญาณการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ซึ่งอาจเปิดทางให้ธนาคารกลางในภูมิภาคเอเชียปรับลดดอกเบี้ยตาม ส่งผลให้ต้นทุนการลงทุนลดลง และกระตุ้นเศรษฐกิจในภูมิภาค นอกจากนี้ เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อ่อนค่าลง ยังเป็นอีกแรงสนับสนุนสำคัญที่ช่วยดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศเข้าสู่ตลาดหุ้นเกิดใหม่ในเอเชียมากขึ้น ขณะที่ระดับ Valuation ของตลาดหุ้นในภูมิภาคนี้ยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจ เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในประเทศพัฒนาแล้ว
ในส่วนของแนวโน้มค่าเงินบาท จากข้อมูลของ SCB EIC ค่าเงินบาทเทียบเงินดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่าขึ้นแล้วกว่า 8% ในปีนี้ ซึ่งเป็นการแข็งค่าที่สุดในรอบ 4 ปี และแข็งค่านำคู่แข่งในภูมิภาค โดยคาดว่าเงินบาทมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 31-32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงสิ้นปีนี้ ซึ่ง SCB CIO มองว่า ภาวะเงินบาทแข็งค่าถือเป็น “โอกาสสำคัญ” สำหรับนักลงทุนไทยที่มีแผนใช้เงินดอลลาร์ฯ ในระยะยาว หรือมองหาการลงทุนต่อเนื่องในต่างประเทศ การลงทุนโดยตรงในสกุลเงินดอลลาร์ฯ นอกจากจะช่วยเพิ่มโอกาสเข้าถึงสินทรัพย์การลงทุนที่หลากหลายแล้ว ยังมีข้อได้เปรียบด้านผลตอบแทนเมื่อเทียบกับการลงทุนในสกุลเงินบาท เพราะไม่ต้องเสียต้นทุนค่า Hedging อีกทั้งยังสามารถใช้แนวคิดการสร้าง “USD Wallet” เป็นการลงทุนต่อเนื่องระยะยาวด้วยสกุลเงินดอลลาร์ฯ ซึ่งช่วยลดความผันผวนจากค่าเงินและโอกาสสร้างความมั่นคงในการลงทุนได้มากขึ้น
โอกาสนี้ธนาคารไทยพาณิชย์ ผู้สนับสนุนการขายหรือรับซื้อคืนหน่วยลงทุน เตรียมเสนอขายกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ Asia Pacific Equity Absolute Return USD (SCBUSDABSAP) ครั้งแรก ( IPO) ระหว่างวันที่ 7- 15 ตุลาคม 2568 ความเสี่ยงกองทุนระดับ 6 เหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ค่อนข้างสูง เป็นกองทุนที่เปิดโอกาสให้ลงทุนด้วยสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ( USD ) ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำที่ 30 USD
กองทุนนี้จัดตั้งโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศ เพียงกองทุนเดียว ได้แก่ BlackRock Systematic Asia Pacific Equity Absolute Return Fund ชนิดหน่วยลงทุน D2 U.S. Dollar (กองทุนหลัก) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ บริหารโดย BlackRock (Luxembourg) S.A. ซึ่งกองทุนหลักเน้นการบริหารเชิงรุก (Active management) มุ่งหวังสร้างผลตอบแทนที่เป็นบวกให้แก่ผู้ลงทุนผ่านการเติบโตของเงินลงทุนและผลตอบแทนจากการลงทุนในทุกสภาวะตลาด โดยคำนึงถึงหลักการลงทุนด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ( ESG) ผ่านการลงทุนในสินทรัพย์โดยตรง ( long exposure) และการทำธุรกรรม Synthetic long และ Synthetic short ในบริษัทที่จัดตั้งหรือจดทะเบียนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งรวมถึงออสเตรเลียและญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม กองทุนอาจลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ( Derivatives) เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ตามความเหมาะสมขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
สำหรับกลยุทธ์การบริหารกองทุน มีจุดเด่นดังนี้ 1) กองทุนหลักใช้ตราสารอนุพันธ์ทั้ง Long และ Short position ในหุ้นขนาดใหญ่ และเล็กของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวมถึงออสเตรเลีย และญี่ปุ่น เพื่อลดความเสี่ยงด้านทิศทางตลาด 2) จำกัดความผันผวนของพอร์ตที่ 6-8% โดยเฉลี่ยต่อปี 3) มุ่งสร้างผลตอบแทนเป็นบวกในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ(USD)ผ่านกลยุทธ์การลงทุนแบบ Market Neutral ที่อาจไม่เคลื่อนไหวตามสภาวะตลาด พร้อมสอดคล้องกับการลงทุนเพื่อความยั่งยืน 4) การบริหารเชิงรุก ซึ่งใช้แบบจำลองเชิงปริมาณ (quantitative models) เพื่อคัดเลือกหุ้นอย่างเป็นระบบ โดยผู้เชี่ยวชาญผสมกับเทคโนโลยี AI ในการเข้าถึงข้อมูลท้องถิ่นของแต่ละประเทศ และ 5) กองทุนหลักได้รับ Morningstar rating 5 ดาวจากกลุ่ม EAA Fund Equity Market Neutral USD (ข้อมูล ณ สิงหาคม 2568)
ทั้งนี้ ผู้จัดการกองทุนหลัก มีกระบวนการลงทุนอย่างเป็นระบบโดยผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) เข้าถึงข้อมูลหุ้นบริษัทกว่า 4,500 บริษัท ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวมถึงออสเตรเลีย และญี่ปุ่น ทุกวันเพื่อสร้างพอร์ตการลงทุนที่มีประสิทธิภาพ โดยผสมผสานการคาดการณ์ผลตอบแทน ความเสี่ยง และต้นทุน
ตลาดหุ้นเอเชียแปซิฟิก รวมถึงออสเตรเลียและญี่ปุ่น ต่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งภาษา ข้อมูล และโครงสร้างตลาดที่แตกต่างกัน ความสามารถในการเข้าถึงและตีความข้อมูลได้อย่างถูกต้อง จึงเป็น “กุญแจสำคัญ” ในการสร้างผลตอบแทนที่แตกต่าง
สำหรับกระบวนการลงทุน มีการนำจุดแข็งด้านเทคโนโลยี AI มาผสมผสานทั้งข้อมูลดั้งเดิมและข้อมูลทางเลือก เพื่อสกัด “ข้อมูลเชิงลึก” ที่สะท้อนปัจจัยขับเคลื่อนผลตอบแทนของแต่ละตลาดในอนาคต ขณะเดียวกันยังคงยึดมั่นในกรอบการลงทุนอย่างยั่งยืนตามมาตรฐาน SFDR Article 8 ซึ่งเน้นความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม
นอกจากนี้ ทีมผู้จัดการกองทุนยังทำหน้าที่ตรวจสอบและปรับปรุงให้ Model AI มีความแม่นยำและทันต่อการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ส่งผลให้นักลงทุนสามารถเข้าถึง “โอกาสที่ซ่อนอยู่” ในภูมิภาคที่ซับซ้อนนี้ได้อย่างมั่นใจ
ทั้งนี้ จากข้อมูลนับตั้งแต่กองทุนหลักจัดตั้ง วันที่ 22 ก.พ. 2560 จนถึงวันที่ 31 ส.ค. 2568 กองทุนหลักแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการสร้างผลตอบแทนที่ “มั่นคงและต่อเนื่อง” โดยสามารถทำผลตอบแทนรายเดือนเป็นบวกได้ถึง 70 เดือน จากทั้งหมด 102 เดือน เหนือกว่าดัชนีอ้างอิง MSCI AC Asia Pacific ซึ่งทำได้เพียง 61 เดือนจาก 102 เดือน อีกทั้งยังสร้าง ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีสูงกว่าดัชนี นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุน สะท้อนถึงศักยภาพในการบริหารที่โดดเด่นและเสถียรกว่าเมื่อเทียบกับตลาดโดยรวม
ธนาคารไทยพาณิชย์ โดย ดร.ยรรยง ไทยเจริญ Chief Economist and Sustainability Officer รับมอบใบรับรองคาร์บอนเครดิต จำนวน 2,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ จาก โครงการ “คุณดูแลป่า เราดูแลคุณ: การจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” กับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งเป็นโครงการที่ธนาคารได้เข้าร่วมตั้งแต่ปี 2563 เพื่อวางระบบการวัดประเมินและจัดการคาร์บอนเครดิตในพื้นที่ป่าชุมชน และสนับสนุนให้ชุมชนดูแลป่าตลอดจนพัฒนาคุณภาพชีวิตคนให้ชุมชนอย่างสมดุลและยั่งยืน คาร์บอนเครดิตจำนวน 2,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นปริมาณที่คำนวณจากการสนับสนุนพื้นที่ป่าชุมชนเป้าหมาย ระหว่างปี 2563-2567 ได้แก่ ป่าชุมชนบ้านป่าซางดอยแก้ว จ.เชียงราย และป่าชุมชนบ้านห้วยหมากเอียกเหนือ จ.เชียงราย รวมพื้นที่ป่าทั้งสิ้นกว่า 1,390 ไร่ ซึ่งธนาคารได้นำคาร์บอนเครดิตที่ได้รับมาใช้ในการชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมของธนาคาร ภายใต้แนวทาง กิจกรรมที่เป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral Event) ซึ่งมีส่วนช่วยในการบรรเทาปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ทั้งยังได้สร้างชุมชนเข็มแข็ง สร้างแหล่งสร้างรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืนให้แก่ชาวบ้านในพื้นที่
การได้รับใบรับรองคาร์บอนเครดิตจากมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์ในครั้งนี้ ยังตอกย้ำความมุ่งมั่นของธนาคารไทยพาณิชย์ที่จะเป็นผู้นำในการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศไทยผ่านกิจกรรมเพื่อสังคมที่ช่วยดูแลสิ่งแวดล้อม ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคม ภายใต้แนวคิด “อยู่ อย่าง ยั่งยืน” ซึ่งธนาคารเชื่อมั่นว่าความยั่งยืนเป็นเรื่องของทุกคน ที่ต้องร่วมกันตั้งเป้าหมาย สร้างแรงกระเพื่อม ประสานความร่วมมือ เพื่อสร้างอนาคตให้เราทุกคนได้อยู่ต่อไปอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ คาร์บอนเครดิตจำนวน 2,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ เทียบเท่ากับกิจกรรมที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระดับที่สามารถประเมินได้ ดังนี้
· การดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์โดยต้นไม้กว่า 210,500 ต้นต่อปี (คำนวณตามอัตราการเก็บกักคาร์บอน 9.5 กก./ต้น/ปี ตามมาตรฐาน T-VER ของ TGO)
· การปล่อยคาร์บอนจากการจัดงานคอนเสิร์ตหรือเอ็กซิบิชันขนาดใหญ่ 2–3 งาน ที่มีผู้เข้าร่วมหลายหมื่นคนต่อครั้ง
· การใช้รถยนต์ส่วนบุคคลกว่า 400 คันตลอดหนึ่งปี (คำนวณจากการขับขี่เฉลี่ย 15,000 กิโลเมตร/คัน/ปี)