December 05, 2025

ในยุคที่ “ปัญญาประดิษฐ์” (AI) กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจและสังคม ล่าสุดตัวเลขจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ระบุว่า ธุรกิจและอุตสาหกรรมในประเทศไทยได้นำ AI มาใช้แล้วกว่า 17% และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 30% ภายใน 1–2 ปีข้างหน้า

คำถามสำคัญคือ “AI เป็นโอกาสหรือความเสี่ยงต่อการสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งและยั่งยืน?”

ประเด็นนี้ถูกสะท้อนโดย สุวิทย์ เอื้อศักดิ์ชัย หรือ “กู๋ แมธธ์” ผู้ก่อตั้ง Brand Matter Plan และผู้เชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์พัฒนาแบรนด์ ที่มองว่า AI ไม่ใช่คำตอบสำเร็จรูป แต่เป็นเพียง “เครื่องมือ” ที่จะทรงพลัง ก็ต่อเมื่อถูกใช้ร่วมกับความรู้ ประสบการณ์ และความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์

 

AI: เครื่องมือ ไม่ใช่สมองแทนมนุษย์

สุวิทย์อธิบายว่า การสร้างแบรนด์และการพัฒนาแบรนด์ต้องแยกให้ชัดเจน AI สามารถเข้ามามีบทบาทได้ทั้งสองส่วน แต่ขึ้นอยู่กับ “วิธีการใช้” ของมนุษย์

AI เปรียบเสมือนคลังข้อมูลขนาดใหญ่ที่รวบรวมองค์ความรู้เอาไว้ แต่คำตอบจาก AI ไม่ได้หมายความว่า “ดีที่สุด” ดังนั้น นักการตลาดและนักสร้างแบรนด์ต้องเข้าใจภาพรวมของ Branding ก่อน แล้วจึงใช้ AI เป็นตัวช่วยเสริม ไม่ใช่พึ่งพาแทนสมองของมนุษย์

“AI ไม่ได้ฉลาดกว่าคน เพียงแต่เข้าถึงข้อมูลได้เร็วกว่า สิ่งสำคัญคือคนที่ใช้ AI ต้องมีวิธีคิดและประสบการณ์เพื่อนำข้อมูลไปต่อยอด ไม่ใช่ลอกคำตอบมาใช้โดยตรง” สุวิทย์กล่าว

ความคิดสร้างสรรค์: จุดแข็งที่ AI แทนไม่ได้

แม้ AI จะถูกมองว่ามีศักยภาพในการแทนที่หลายอาชีพ แต่ในแวดวงการตลาดและ Branding สุวิทย์ยืนยันว่า AI ไม่สามารถแทนที่ “มนุษย์ผู้สร้างสรรค์” ได้ เพราะการสร้างแบรนด์ไม่ใช่สูตรสำเร็จเหมือนการ “ต้มมาม่า” แต่ต้องอาศัยการวิเคราะห์เชิงลึก ความเข้าใจตลาด พฤติกรรมผู้บริโภค และความคิดสร้างสรรค์เฉพาะตัว

เขายกตัวอย่างว่า การตลาดยุคเก่าอาศัย 4P (Product, Price, Place, Promotion) แต่ปัจจุบันมี People เข้ามาเป็นตัวแปรใหม่ ความหลากหลายของผู้บริโภคทำให้การเข้าใจ “ใจคน” เป็นสิ่งที่ AI ไม่อาจทำแทนได้

บทเรียนจากประสบการณ์จริง

จากการทำงานให้คำปรึกษาด้าน Branding มากกว่า 100 แบรนด์ สุวิทย์พบว่า ปัญหาของแต่ละแบรนด์ไม่มีสูตรสำเร็จแก้ได้เหมือนกัน บางครั้งต้นเหตุปัญหาไม่ได้มาจากสินค้า แต่อาจเกิดจากคู่แข่ง หรือพฤติกรรมผู้บริโภค ซึ่งทั้งหมดนี้คือ “บทเรียนที่ต้องอาศัยประสบการณ์ตรง” ที่ AI ไม่สามารถสอนหรือวิเคราะห์แทนมนุษย์ได้

“AI เป็นเหมือนเพื่อนที่คอยให้ข้อมูล แต่ไม่สามารถวินิจฉัยและแก้ปัญหาเชิงกลยุทธ์แทนเราได้” เขาย้ำ

คนคือหัวใจของ Branding ในยุค AI

สุวิทย์ยังชี้ว่า การสร้างแบรนด์ในยุคปัจจุบันต้องผสมผสานความรู้และทักษะจากหลากหลายเจเนอเรชัน

  • Gen Z มีความสามารถในการใช้เครื่องมือดิจิทัลและ AI เพื่อสร้างอาชีพและโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ
  • Gen X และ Gen Y มีประสบการณ์จริงและมุมมองที่ลึกซึ้งต่อการสร้างแบรนด์

หากแต่ละเจเนอเรชันสามารถเรียนรู้และใช้จุดแข็งของกันและกันได้ ก็จะช่วยผลักดันแบรนด์ให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน

บทสรุป: AI คือผู้ช่วย ไม่ใช่ผู้ตัดสิน

ท้ายที่สุด สุวิทย์ย้ำว่า AI เป็นเพียง “ผู้ช่วย” ไม่ใช่ผู้กำหนดกลยุทธ์ นักการตลาดและนักสร้างแบรนด์ยังคงมีบทบาทสำคัญในการเป็นกุนซือ วิเคราะห์ตลาด และสร้างความแตกต่างให้แบรนด์อยู่เสมอ

“AI มีประโยชน์มหาศาล หากใช้เป็นคลังความรู้ แต่หากเชื่อโดยไม่กลั่นกรองก็อาจก่อโทษได้ สิ่งที่จะทำให้แบรนด์แข็งแกร่งและยั่งยืน คือความรู้ ประสบการณ์ และความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ที่นำ AI มาใช้เสริม ไม่ใช่แทนที่” สุวิทย์กล่าวทิ้งท้าย

  • 99% ขององค์กรในไทยเชื่อว่า AI จะเข้ามาปฏิรูปอุตสาหกรรม 
  • 27% ของผู้ร่วมสำรวจในไทย กำลังเปลี่ยนผ่านจากแนวคิดสู่การนำ GenAI มาใช้งานจริง  
  • 98% ขององค์กรไทยกล่าวว่าข้อมูลคือหัวใจสำคัญของความสำเร็จด้าน AI 
  • 89% ของผู้ร่วมสำรวจในไทย กล่าวว่าเครื่องมือ AI ช่วยเพิ่มศักยภาพให้มนุษย์ และให้ผลลัพธ์สูงสุด 

 

ผลการวิจัย Dell Technologies Innovation Catalyst Research   99% สำหรับองค์กรไทย (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น 85% ทั่วโลก 81%) โดยองค์กรที่รายงานการเติบโตของรายได้เพิ่มขึ้นในปี 2023 มีสูงถึง 91% (เพิ่มขึ้น 25%) และลดลงเหลือ 75% สำหรับองค์กรที่รายงานการเติบโตรายได้ลดลง (1-5%) และมีรายได้คงที่หรือถดถอย  

จากการสำรวจผู้มีอำนาจตัดสินใจด้านไอที และผู้มีอำนาจตัดสินใจทางธุรกิจจำนวน 6,600 คน ครอบคลุม 40 ประเทศ รายงานชี้ให้เห็นว่า แม้องค์กรส่วนใหญ่มีความเชื่อมั่นในศักยภาพของ AI และ GenAI แต่ระดับความพร้อมขององค์กรในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ล้วนแตกต่างกันไปมาก  เกือบทุกองค์กรในประเทศไทย (98%) กล่าวว่าตัวเองมีจุดยืนที่ดีในการแข่งขันและมีกลยุทธ์ที่แข็งแกร่ง (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น 80% ทั่วโลก 82%) ขณะเดียวกัน ครึ่งหนึ่งผู้เข้าร่วมสำรวจที่เป็นองค์กรในไทยต่างไม่แน่ใจว่าอุตสาหกรรมจะเป็นอย่างไรในอีก 3-5 ปีข้างหน้า (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น 50% ทั่วโลก 48%) และทุกองค์กร (100%) รายงานถึงความยากลำบากในการตามให้ทันกับสถานการณ์ (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น 59% ทั่วโลก 57%) โดย 40% ของผู้ร่วมการสำรวจในไทยกล่าวว่ายังขาดบุคลากรที่มีความสามารถ (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น 41% ทั่วโลก 35%) โดย 37% รายงานถึงความกังวลใจเรื่องความเป็นส่วนตัวของข้อมูลและความปลอดภัยทางไซเบอร์ (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น 36% ทั่วโลก 31%) และ 34% ขององค์กรในประเทศไทยรายงานถึงการขาดงบประมาณ (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น 31% ทั่วโลก 29%) ว่าเป็นความท้าทายที่ต้องเผชิญในการขับเคลื่อนนวัตกรรม 

GenAI จากแนวคิดสู่การใช้งานจริง 

60% ของผู้ร่วมการสำรวจในไทย กล่าวว่า GenAI ให้ศักยภาพที่โดดเด่นในการปฏิรูปการทำงาน ช่วยสร้างคุณค่าในการปรับปรุงการรักษาความปลอดภัยไอที (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น 51% ทั่วโลก 52%) และ 65% อ้างถึงการสร้างผลลัพธ์ที่ดี (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น 53% ทั่วโลก 52%) ขณะที่ 62% ของผู้ร่วมการสำรวจในไทย อ้างถึงศักยภาพที่ช่วยปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้าได้ดีขึ้น (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น 51% ทั่วโลก 51%) นอกจากนี้ ผู้ร่วมการสำรวจยังตระหนักดีถึงความท้าทายที่ต้องรับมือ 88% ขององค์กรในไทยกลัวว่า AI จะนำพาปัญหาใหม่ๆ ด้านความปลอดภัยภัยและความเป็นส่วนตัวมาด้วย (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น 69% ทั่วโลก 68%) และ 90% ของผู้ร่วมการสำรวจในไทย (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น 76% ทั่วโลก 73%) เห็นพ้องว่าข้อมูลและทรัพย์สินทางปัญญาในองค์กรตนมีค่ามากเกินกว่าจะเอามาไว้ในเครื่องมือ GenAI ที่บุคคลที่สามสามารถเข้าถึงได้ 

ในภาพรวม การตอบแบบสอบถามยังชี้ว่าองค์กรต่างๆ กำลังพิจารณาความเป็นไปได้ของ GenAI ในการเปลี่ยนจากแนวคิดสู่การนำมาใช้งานจริง 27% ของผู้ร่วมการสำรวจจากไทยกล่าวว่ากำลังเริ่มนำ GenAI มาใช้งาน เนื่องจากองค์กรต่างๆ กำลังนำมาใช้กันมากขึ้น ซึ่งความกังวลหลักจะอยู่ที่การทำความเข้าใจว่ามีความเสี่ยงตรงจุดไหนบ้าง และใครรับผิดชอบความเสี่ยงเหล่านั้น โดย 92% ของผู้ร่วมการสำรวจในไทย เห็นพ้องว่าองค์กรควรเป็นผู้รับผิดชอบต่อความผิดพลาดหรือพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ ของ AI มากกว่าตัวระบบ การใช้งาน หรือสาธารณะเองก็ตาม 

ฐิตพล บุญประสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ เดลล์ เทคโนโลยีส์ ในประเทศไทย ให้ข้อมูลเพิ่มว่า “ข้อมูลแสดงให้เห็นว่าบรรดาธุรกิจในประเทศไทยเริ่มตระหนักถึงพลังในการเปลี่ยนแปลงของ AI และ GenAI ที่ให้ศักยภาพสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ปรับปรุงเรื่องความปลอดภัยและยกระดับประสบการณ์ที่เหนือชั้นให้แก่ลูกค้า ความท้าทายในขณะนี้ คือการเปลี่ยนจากแนวคิดสู่การใช้งานจริง และการสร้างระบบนิเวศของพันธมิตรที่เชื่อถือได้คือสิ่งสำคัญยิ่งที่ช่วยให้องค์กรสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ปลอดภัย สามารถปรับขยายเพื่อรองรับนวัตกรรมได้ อีกทั้งช่วยตอบโจทย์ความกังวลใจหลักอย่างความเป็นส่วนตัวของข้อมูล การขาดแคลนบุคลากรที่มีความสามารถที่เหมาะสม และการสร้างความยั่งยืน   

องค์กรกำลังต่อกรกับความท้าท้ายของภาพรวมภัยคุกคามในปัจจุบัน 

การรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ ยังคงเป็นปัญหาใหญ่สำหรับองค์กรในวงกว้าง ความกังวลเหล่านี้ มีที่มาที่ไป เนื่องจาก 92% ของผู้ร่วมการสำรวจในไทย กล่าวว่าได้รับผลกระทบจากการโจมตีความปลอดภัยภายใน 12 เดือนที่ผ่านมา (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น 84% ทั่วโลก 83%) ผู้ร่วมการสำรวจส่วนใหญ่ (96%) กำลังนำกลยุทธ์ Zero Trust มาใช้ (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น 90% ทั่วโลก 89%) และ 94% ขององค์กรในประเทศไทย กล่าวว่าองค์กรตนมีแผนตอบสนองต่อเหตุการณ์ (Incident Response Plan) อยู่แล้ว ในการรับมือการโจมตี หรือข้อมูลรั่วไหล (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น 79% ทั่วโลก 78%) 

ปัญหาหลักสามอันดับแรก ได้แก่ มัลแวร์ ฟิชชิ่ง และการละเมิดข้อมูล ในรายงานยังเน้นว่าปัญหาที่เกิดจากฟิชชิ่ง เป็นสัญญานบ่งชี้ถึงปัญหาที่ใหญ่ขึ้นตามมา โดยพนักงานมีบทบาทต่อภัยคุกคามในภาพรวม ตัวอย่างเช่น 86% ของผู้ร่วมการสำรวจไทย (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น 72% ทั่วโลก 67%) เชื่อว่าพนักงานบางคนหลบหลีกข้อกำหนดและแนวทางปฏิบัติด้านความปลอดภัยในองค์กรเพราะทำให้เกิดความล่าช้าในการทำงานและทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง และ 91% ของผู้ร่วมการสำรวจไทย กล่าวว่าภัยคุกคามจากในองค์กรเป็นความกังวลอย่างมาก (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น 70% ทั่วโลก 65%) ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นที่ต้องมุ่งเน้นเรื่องการฝึกอบรมเพราะบุคลากรคือด่านแรกในการป้องกัน 

โครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีที่เหมาะสมจะช่วยให้องค์กรประสบความสำเร็จ  

การวิจัยยังเผยว่าโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัยมีบทบาทสำคัญในขณะที่เทคโนโลยีอย่าง GenAI กำลังเดินหน้าพัฒนาและมีปริมาณข้อมูลเพิ่มขึ้น การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย รองรับการปรับขยายได้ ถูกหยิบยกว่าเป็นปัจจัยสำคัญอันดับแรกที่ธุรกิจต้องปรับปรุงเพื่อเร่งสร้างนวัตกรรม ผู้มีอำนาจตัดสินใจด้านไอทีส่วนใหญ่ในประเทศไทย (78%) กล่าวถึงความชื่นชอบในโมเดลแบบ on-prem หรือไฮบริด ว่าช่วยตอบโจทย์ความท้าทายที่คาดว่าจะเกิดจากการนำ GenAI มาใช้ในองค์กร 

นอกจากนี้ ความสามารถในการแบ่งปันข้อมูลทั่วองค์กร ยังนับว่าเป็นส่วนสำคัญในการสร้างนวัตกรรม 53% ของผู้ร่วมการสำรวจชาวไทย (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น 36% ทั่วโลก 33%) กล่าวว่าปัจจุบันตนสามารถเปลี่ยนข้อมูลให้เป็นข้อมูลเชิงลึกแบบเรียลไทม์เพื่อช่วยสนับสนุนการสร้างนวัตกรรมได้ อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจชี้ให้เห็นว่าองค์กรต่างๆ กำลังรับมือกับความท้าทาย 98% ของผู้ร่วมการสำรวจในไทย (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น 84% ทั่วโลก 82%) กล่าวว่าข้อมูลคือปัจจัยที่สร้างความแตกต่างและกลยุทธ์ GenAI ต้องสัมพันธ์กับการใช้และปกป้องข้อมูล นอกจากนี้ผู้ร่วมการสำรวจเกินครึ่ง (62%) ในไทย (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น 47% ทั่วโลก 42%) ยังอ้างว่าตัวเองคาดว่าภายในห้าปีข้างหน้า จะมีปริมาณข้อมูลมากมายที่หลั่งไหลมาจากเอดจ์ 

ผลวิจัยที่น่าสนใจอื่นๆ รวมถึงประเด็นต่อไปนี้ 

  • เรื่องทักษะ เกือบสามในสี่ของผู้ร่วมการสำรวจชาวไทย (78%) (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น 74% ทั่วโลก 67%) อ้างว่าปัจจุบันองค์กรขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะซึ่งจำเป็นต่อการสร้างนวัตกรรมในอุตสาหกรรม ความคล่องตัวในการเรียนรู้และปรับตัว ความเชี่ยวขาญด้าน AI และความสร้างสรรค์ รวมถึงการคิดในเชิงสร้างสรรค์ ได้รับการจัดให้เป็นทักษะและความสามารถด้านการแข่งขันในอันดับต้นสำหรับห้าปีข้างหน้า 
  • ความยั่งยืน 64% ของผู้ร่วมการสำรวจชาวไทย (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น 48% ทั่วโลก 42%) เชื่อว่า “การขับเคลื่อนนวัตกรรมที่สร้างความยั่งยืนให้สภาพแวดล้อม” คือส่วนสำคัญที่ต้องปรับปรุง และประสิทธิภาพด้านพลังงานคือประเด็นหลัก 92% ขององค์กรในไทย (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น 79% ทั่วโลก 79%) กำลังทดลองใช้โซลูชันเชิงบริการ (as-a-Service) เพื่อจัดการสภาพแวดล้อมไอทีให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และ 97% ของผู้ร่วมการสำรวจชาวไทย (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น 76% ทั่วโลก 73%) กำลังย้ายการดำเนินงานด้าน AI Inferencing ไปที่เอดจ์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงาน (เช่น อาคารอัจฉริยะ) 
  • การทำไอที ให้เป็นเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์  ปัจจุบัน 82% ของผู้มีอำนาจตัดสินใจทางธุรกิจในประเทศไทย (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น 85% ทั่วโลก 81%) มีเหตุผลในการแยกผู้มีอำนาจตัดสินใจด้านไอที ออกจากการสนทนาที่เป็นเชิงกลยุทธ์ กระนั้นทั้งสองฝ่ายก็ยังถูกจัดว่ามีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นมากขึ้น ซึ่งนับเป็นปัจจัยที่ควรปรับปรุงและสำคัญเป็นอันดับสอง 
  • การให้ผลลัพธ์ 89% ของผู้ร่วมการสำรวจชาวไทย เชื่อว่าเครื่องมือ AI จะช่วยเพิ่มศักยภาพให้มนุษย์และให้ผลลัพธ์สูงสุด 

อ้ก ดิจิทัล ผู้ให้บริการธุรกิจด้านวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ ให้บริการสื่อโฆษณาครบวงจรและการให้คำปรึกษาด้านการตลาดดิจิทัลสัญชาติไทย ใช้พลังการผสานการทำงานระหว่าง AI, ML, อินไซท์เชิงลึก, สื่อ O4 (Online, OOH, On-Premise, On-Ground) และมาร์เทคโซลูชัน โชว์ศักยภาพนักสร้างสรรค์กลยุทธ์การสื่อสารและโฆษณาสุดเจ๋ง พาแบรนด์ลูกค้ากวาด 5 รางวัลใหญ่ จากเวทีระดับนานาชาติ Marketing Excellence Awards 2024 Thailand จัดโดยนิตยสาร MARKETING-INTERACTIVE ประเทศสิงคโปร์

โดยเอ้ก ดิจิทัลคว้ารางวัลระดับ Gold 1 รางวัล ระดับ Silver 1 รางวัล และระดับ Bronze 3 รางวัล ตอกย้ำความสำเร็จในฐานะพาร์ทเนอร์ด้านโฆษณาและการตลาดดิจิทัลที่มีศักยภาพแข็งแกร่งได้อีกครั้ง การันตีด้วยผลงานคุณภาพที่กวาดรางวัลทั้งเวทีการตลาดในประเทศไทยและระดับภูมิภาคมากมาย

เอ้ก ดิจิทัล ขยายธุรกิจสู่ที่ปรึกษาด้านวิเคราะห์ข้อมูล การทำตลาดดิจิทัล สื่อในห้างค้าปลีก และการวางแผนโฆษณาครบวงจรเมื่อปี 2022 และด้วยจุดแข็งของการผสานพลังความเชี่ยวชาญ (The Power of Collaboration) ด้าน AI, First-Party Data & Second-Party Data 360/720 องศา และพลังสมองของผู้เชี่ยวชาญนิวเจน ทั้งทีมกลยุทธ์, ทีมนักวิทยาศาสตร์ข้อมูล, ทีมดูแลลูกค้า และทีมปฏิบัติการ ทำให้สร้างสรรค์แคมเปญโฆษณาและการตลาดที่ตอบโจทย์ลูกค้า โดนใจผู้บริโภค และสอดคล้องกับสื่อยุคใหม่จนกวาดรางวัลจากเวทีระดับประเทศและนานาชาติมามากมาย ล่าสุด ธุรกิจ Media Convergence และธุรกิจ MarTech Solution พาแคมเปญของลูกค้าคว้า 5 รางวัลใหญ่เวที Marketing Excellence Awards 2024 Thailand จากผลงานเข้ารอบชิงชนะเลิศทั้งหมด 13 รางวัลใน 9 สาขา ถือเป็นเครื่องการันตีความสำเร็จและศักยภาพของเอ้ก ดิจิทัลเป็นอย่างดี

 

นายชัชพล องนิธิวัฒน์ ผู้จัดการทั่วไป ธุรกิจ Media Convergence บริษัท เอ้ก ดิจิทัล จำกัด กล่าวว่า “ด้วยการทำงานแบบเพื่อนคู่คิดกับคู่ค้า ประสบการณ์ความเชี่ยวชาญของทีมงานและความครบเครื่องของแพลตฟอร์ม MediaFusion ที่ดูแลครบวงจรตั้งแต่การวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค จับเทรนด์อินไซท์เชิงลึกของกลุ่มเป้าหมายพร้อมชี้โอกาสสำคัญต่อยอดขายให้กับแบรนด์แบบวัดผลได้ ทำให้เราคว้ารางวัลระดับ Gold สาขา “Excellence in Omnichannel” ได้เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน ระดับ Silver สาขา “Excellence in Personalisation Marketing’ ระดับ Bronze สาขา ‘Excellence in Launch Marketing’ และสาขา ‘Excellence in Omnichannel’ เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า เอ้ก ดิจิทัล สามารถวิเคราะห์ สร้างกลยุทธ์และวางแผนปฎิบัติการพร้อมแนะนำส่วนผสมในการเลือกกลุ่มเป้าหมาย โลเคชันและการใช้สื่อ O4 ได้อย่างสร้างสรรค์ แม่นยำและมีประสิทธิภาพทั้งสื่อ Online Personalization, OOH Shoppers’ Digital Screen, On-Premise Retail media, On-Ground Activation”

 

นางสาวรัฐธีร์ เจริญรัตน์วรกุล ผู้จัดการทั่วไป ธุรกิจ MarTech Solution บริษัท เอ้ก ดิจิทัล จำกัด กล่าวว่า “ทางธุรกิจ มุ่งเน้นการขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและเทคโนโลยี AI/ML พร้อมกับนำเสนอโซลูชันการตลาดดิจิทัลที่ครบวงจรผ่านแพลตฟอร์มเดียว (One Platform) ที่เชื่อมต่อข้อมูลกลุ่มเป้าหมายจากหลายแหล่งเข้าสู่ระบบเดียวกัน ทำให้สามารถวิเคราะห์และเข้าใจพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างลึกซึ้ง สร้างโอกาสทางธุรกิจด้วยข้อมูลที่มีความแม่นยำสูง โดยนำเสนอประสบการณ์เฉพาะเจาะจงและตรงความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งช่วยให้การเพิ่มยอดขายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังสามารถ

ขยายฐานข้อมูลผ่านพันธมิตรและคู่ค้าต่างๆ ปัจจุบันเรามีโซลูชันทางการตลาดที่ครอบคลุม ทั้งระบบบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า (Advanced CRM), บริการวิเคราะห์ข้อมูล (Analytic Service), ระบบอัตโนมัติสำหรับการตลาด (Marketing Automation), การสื่อสารเชิงสร้างสรรค์แบบปรับเปลี่ยนได้ (Adaptive Creative Communication) และเทคโนโลยีโฆษณา (Advertising Tech) ซึ่งการสร้างกลยุทธ์การตลาดด้วยการใช้ข้อมูลให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและสามารถวัดผลลัพธ์ได้อย่างเป็นรูปธรรม ด้วยจุดแข็งเหล่านี้ทำให้เราคว้ารางวัลระดับ Bronze สาขา ‘Excellence in Loyalty Marketing’ มาได้สำเร็จ”

ในปีนี้ Marketing Excellence Awards 2024 Thailand จัดประกวดถึง 43 หมวด มีผลงานร่วมประกวดกว่า 402 แคมเปญ โดยตัวอย่างผลงานโดดเด่นของเอ้ก ดิจิทัลที่ได้รับรางวัลในปีนี้ ได้แก่

· แคมเปญ The Extreme Lime Experience แบรนด์ Coke Zero Lime คว้ามาได้ 2 รางวัล รางวัลระดับ Gold สาขา Excellence in Omnichannel และระดับ Bronze สาขา Excellence in Launch Marketing ด้วยการใช้ AI วิเคราะห์และแบ่งกลุ่มเป้าหมายที่สอดคล้องกับพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มไม่มีน้ำตาล ซึ่งแบ่งออกเป็น 1) กลุ่มมิลเลเนียล 2) กลุ่มคนรักสุขภาพ 3) กลุ่มคนที่ดื่มเป็นครั้งคราวและเพื่อสังคม วางกลยุทธ์การสื่อสารผ่าน Omnichannel Media ที่ประสานการทำงานของสื่อ O2O ได้แก่ สื่อ Online และสื่อ Out-of-Home หรือ Shoppers’ Digital Screen รวมถึงเสนอแนวทางสร้างประสบการณ์ตรงกับผู้บริโภคที่หน้าร้าน โดยใช้สื่อที่หลากหลายเพื่อกระตุ้นให้เกิดการซื้อ ซึ่งกลยุทธ์นี้ช่วยเพิ่มยอดขายให้กลุ่มโค้กสูตรไม่มีน้ำตาลได้ถึง 55% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนแคมเปญ รวมถึงสามารถเพิ่มลูกค้าใหม่ในช่วงแคมเปญนี้ได้ถึง 49% ของฐานผู้ซื้อทั้งหมด

· แคมเปญ The Lucky Draw แบรนด์ Dreamy คว้ารางวัลระดับ Bronze สาขา Excellence in Loyalty Marketing ด้วยการยกระดับ CRM Platform ให้ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล โดยใช้ AI และ Data Analysis มาช่วยรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าและร้านค้าเป้าหมาย โดยพัฒนาฟังก์ชันบนแพลตฟอร์มให้ครอบคลุมการสร้างประสบการณ์ที่หลากหลาย ทั้งรายละเอียดเมนู, ดีลพิเศษสำหรับร้านค้า, Loyalty Platform, ระบบสะสมและใช้คะแนน และสิทธิพิเศษต่างๆ นอกจากนี้ได้สร้างสรรค์แคมเปญ Lucky Draw 'ล่าภาพลุ้นทอง' ซื้อผลิตภัณฑ์ Dreamy ลุ้นรับทองง่ายๆ โดยตลอดแคมเปญระบบ CRM มีผู้ลงทะเบียนใหม่เพิ่มขึ้น 930.70% และในช่วงแคมเปญยังเพิ่มยอดขายผลิตภัณฑ์ได้ถึง 56.62%

พลังของการผสานจุดแข็งรอบด้านทำให้เอ้ก ดิจิทัลได้รับความไว้วางใจจากลูกค้ามาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีฐานลูกค้าในหลากหลายอุตสาหกรรมรวมกว่า 400 แบรนด์ ซึ่งเอ้ก ดิจิทัล พร้อมที่จะเป็นพาร์ทเนอร์สำหรับองค์กรธุรกิจทุกขนาด เพื่อช่วยทุกธุรกิจปลดล็อกศักยภาพด้านการตลาด การสื่อสาร และการใช้สื่อในยุคดิจทัล พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างก้าวกระโดดไปพร้อมกัน

การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าในอีกสามปี (พ.ศ. 2570) 40% ของโซลูชัน Generative AI จะทำงานในแบบมัลติโหมดที่จะสามารถประมวลผล ทำความเข้าใจและทำงานร่วมกับข้อมูลได้มากกว่าหนึ่งประเภท (อาทิ ข้อความ, รูปภาพ, เสียง และวิดีโอ) ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 1% ในปี 2566 โดยการเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ Human-AI มีปฏิสัมพันธ์ที่พัฒนายิ่งขึ้น และยังมอบโอกาสที่จะสร้างความต่างให้กับสิ่งที่ GenAI มีให้

เอริค เบรทเดอนิวซ์ รองประธานฝ่ายวิจัยการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “เนื่องจากตลาด GenAI วิวัฒน์ไปสู่โมเดลที่เกิดและพัฒนาด้วยโหมดต่าง ๆ มากกว่าหนึ่งโหมด สิ่งนี้ช่วยสะท้อนภาพความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลที่ส่งออกมาในปริมาณมากและเพิ่มขึ้นต่อเนื่องที่แตกต่างกัน และมีศักยภาพในการปรับขนาดการใช้และเพิ่มประโยชน์ของ GenAI ให้ครอบคลุมประเภทข้อมูลและแอปพลิเคชันทั้งหมด นอกจากนี้ยังช่วยให้ AI สนับสนุนการทำงานของมนุษย์ได้มากขึ้นโดยไม่คำนึงถึงสภาพแวดล้อม”

Multimodal GenAI เป็นหนึ่งในสองเทคโนโลยีที่ได้รับการระบุไว้ในรายงาน Gartner Hype Cycle for Generative AI ปีนี้ โดยการนำมาใช้ช่วงแรกอาจสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันที่สำคัญและเพิ่มประสิทธิภาพในด้านระยะเวลาในการนำออกสู่ตลาด ควบคู่ไปกับโมเดลภาษาโอเพนซอร์สขนาดใหญ่ (LLM) ทำให้เทคโนโลยีทั้งสองมีศักยภาพที่จะสร้างผลกระทบสูงต่อองค์กรอย่างสูงภายในห้าปีข้างหน้านี้  บรรดานวัตกรรม GenAI ที่การ์ทเนอร์คาดว่าจะได้รับการยอมรับแพร่หลายภายใน 10 ปีนั้น มีเทคโนโลยี 2 ประเภทที่ได้รับการระบุว่ามีศักยภาพสูงสุด ได้แก่ Domain-Specific GenAI Models และ Autonomous Agents

อรุณ จันทรเศกการัน รองประธานฝ่ายวิจัยของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “การวิเคราะห์แนวโน้มระบบนิเวศของ GenAI ยังคงเป็นเรื่องยากสำหรับองค์กร เนื่องจากระบบนิเวศของเทคโนโลยีนี้และผู้ผลิตหรือผู้ให้บริการเทคโนโลยีนั้นมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดย GenAI กำลังอยู่ในช่วงขาลงเมื่ออุตสาหกรรมเริ่มรวมตัวเข้าด้วยกัน ทว่าประโยชน์ที่แท้จริงจะเกิดขึ้นเมื่อกระแสนี้ลดลง และตามมาด้วยขีดความสามารถที่ก้าวหน้าขึ้นจะเกิดขึ้นรวดเร็วไปอีกมากในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้”

 

Multimodal GenAI

Multimodal GenAI จะมีผลกระทบต่อแอปพลิเคชันองค์กรอย่างมาก จากการเพิ่มคุณสมบัติและฟังก์ชันใหม่ ๆ ที่วิธีอื่น ๆ ทำไม่ได้ และผลกระทบนั้นไม่ได้จำกัดอยู่แค่เฉพาะอุตสาหกรรมหรือยูสเคสการใช้งานเฉพาะเท่านั้น แต่ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในทุก Touchpoint ระหว่าง AI กับมนุษย์ ปัจจุบัน Multimodal Model หลาย ๆ ตัวยังมีข้อจำกัดอยู่เพียงสองหรือสามโหมดเท่านั้น แต่อีกไม่กี่ปีข้างหน้าจะเพิ่มขึ้นเพื่อให้ครอบคลุมมากขึ้น

“ในโลกความเป็นจริง ผู้คนจะพบเจอและเข้าใจข้อมูลผ่านการประมวลผลที่เป็นการผสมผสานของข้อมูลหลากหลายประเภท อาทิ เสียง ภาพและการสัมผัส โดย Multimodal GenAI นั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากข้อมูลโดยทั่วไปนั้นจะประกอบด้วยประเภทต่าง ๆ อยู่แล้ว เมื่อนำ Single Modality Models มาประกอบเข้าด้วยกันเพื่อรองรับแอปพลิเคชัน Multimodal GenAI มักส่งผลให้เกิดความล่าช้าและลดความแม่นยำของผลลัพธ์ ส่งผลให้ได้รับประสบการณ์ที่มีคุณภาพต่ำ” เบรทเดอนิวซ์ กล่าวเพิ่ม

Open-Source LLMs LLM แบบโอเพ่นซอร์สเป็นโมเดลพื้นฐานการเรียนรู้เชิงลึกที่เร่งมูลค่าองค์กรจากการนำ GenAI ไปปรับใช้งาน โดยทำให้การเข้าถึงเชิงพาณิชย์ได้อย่างเสรีและอนุญาตให้ผู้พัฒนาปรับแต่งโมเดลให้เหมาะกับงานและยูสเคสการใช้งานเฉพาะ นอกจากนี้ ยังสามารถเข้าถึงชุมชนนักพัฒนาในองค์กร สถาบันการศึกษา และบทบาทการวิจัยอื่น ๆ ที่กำลังทำงานเพื่อเป้าหมายร่วมกันปรับปรุงและทำให้โมเดลนี้มีคุณค่ามากขึ้น

“LLM แบบโอเพ่นซอร์สเพิ่มศักยภาพด้านนวัตกรรมผ่านการปรับแต่งอย่างเหมาะสม ทำให้การควบคุมความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยดีขึ้น โมเดลมีความโปร่งใส มีความสามารถเพิ่มจากการพัฒนาร่วมกัน และมีศักยภาพในการลดการผูกขาดของผู้ขาย ท้ายที่สุดแล้ว LLM นำเสนอโมเดลขนาดเล็กกว่าให้กับองค์กร ซึ่งฝึกฝนได้ง่ายและมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่า และเปิดใช้งานแอปพลิเคชันทางธุรกิจและกระบวนการทางธุรกิจหลัก” จันทราเสการัน กล่าวเพิ่ม

 

Domain-Specific GenAI Models

Domain-Specific GenAI Models ได้รับการพัฒนาเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของอุตสาหกรรม ฟังก์ชันทางธุรกิจ หรือภารกิจที่มีความเฉพาะ โดยโมเดลเหล่านี้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของการจัดวางยูสเคสการใช้งานภายในองค์กรได้ พร้อมมอบความแม่นยำ ความปลอดภัย และความเป็นส่วนตัวที่ดีกว่า รวมถึงคำตอบที่เข้าใจบริบท ซึ่งช่วยลดความจำเป็นในการออกแบบข้อความที่ใช้สื่อสารกับโมเดล AI เทียบกับโมเดล AI ที่พัฒนามาเพื่อวัตถุประสงค์ทั่วไป และยังสามารถลดความเสี่ยงจากกรณีที่ AI อาจสร้างภาพหลอนขึ้นมาเอง (Hallucination Risks) จากการฝึกฝนที่เน้นการกำหนดเป้าหมาย

“Domain-specific models สามารถร่นระยะเวลาส่งมอบบริการตามความต้องการ (Time to Value) ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นและมีความปลอดภัยสูงขึ้นสำหรับโครงการ AI ต่าง ๆ โดยการนำเสนอจุด Start ที่ก้าวล้ำกว่าสำหรับงานอุตสาหกรรมเฉพาะ สิ่งนี้จะส่งเสริมการนำ GenAI มาใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากองค์กรต่าง ๆ จะสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในยูสเคสที่ General-Purpose Models ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ” จันทราเสการัน กล่าวเพิ่ม

Autonomous Agents

Autonomous Agents คือ ระบบรวม (Combined Systems) ที่สามารถบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ได้โดยปราศจากมนุษย์ โดยใช้เทคนิค AI ที่หลากหลายในการระบุรูปแบบของสภาพแวดล้อม การตัดสินใจ การจัดลำดับการดำเนินการและสร้างผลลัพธ์ โดยตัวแทนเหล่านี้มีศักยภาพเรียนรู้จากสภาพแวดล้อมและปรับปรุงตลอดเวลา ทำให้สามารถจัดการงานที่ซับซ้อนได้

“Autonomous Agents เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของความสามารถ AI โดยความสามารถดำเนินการและตัดสินใจได้อย่างอิสระช่วยปรับปรุงการดำเนินธุรกิจ สร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า และใช้ในการเปิดตัวผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ ส่งผลให้ประหยัดต้นทุนและมีความได้เปรียบทางการแข่งขัน นอกจากนี้ยังเปลี่ยนบทบาทของทีมงานในองค์กรจากการส่งมอบ (Delivery) เป็นการควบคุมดูแล (Supervision) แทน”

24 กันยายน 2567 - ทรู คอร์ปอเรชั่น ลุยนำแผนการใช้ปัญญาประดิษฐ์อย่างมีความรับผิดชอบ หรือ Responsible AI (RAI) Maturity Roadmap ของสมาคมจีเอสเอ็ม (GSMA) สู่การดำเนินงานเป็นองค์กรแรกในประเทศไทย โดยแผนดังกล่าวถูกพัฒนาขึ้นเพื่อส่งเสริมการใช้ปัญญาประดิษฐ์อย่างมีจริยธรรมในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม และการประเมินผลของแผนการดำเนินงานนี้สนับสนุนมาตรฐานระดับสูงสำหรับการใช้ปัญญาประดิษฐ์อย่างปลอดภัย เท่าเทียม และยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดในระดับโลก

จากการประเมินโดย McKinsey พบว่าโอกาสทางธุรกิจจากการใช้ปัญญาประดิษฐ์ในภาคโทรคมนาคมอาจสูงถึง 680,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 22.7 ล้านล้านบาท) ในช่วง 15-20 ปีข้างหน้า สมาคมจีเอสเอ็มจึงร่วมมือกับบริษัทโทรคมนาคม 19 แห่ง รวมถึงทรู คอร์ปอเรชั่น ในการใช้เทคโนโลยีนี้อย่างมีจริยธรรมและความรับผิดชอบ นับเป็นครั้งแรกที่ทุกภาคส่วนมุ่งมั่นใช้แนวทางร่วมกันในด้านปัญญาประดิษฐ์

แผนพัฒนานี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการโทรคมนาคมสามารถประเมินสถานะปัจจุบันในการใช้ปัญญาประดิษฐ์อย่างรับผิดชอบ เทียบกับเป้าหมายที่ต้องการ จากนั้นจึงให้แนวทางที่ชัดเจนและเครื่องมือวัดผลเพื่อช่วยให้บรรลุเป้าหมายเหล่านั้น พร้อมทั้งรับรองแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดในอุตสาหกรรมสำหรับการใช้เทคโนโลยีอย่างรับผิดชอบ

นายมนัสส์ มานะวุฒิเวช ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า "ปัญญาประดิษฐ์จะมาขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงชีวิตและเศรษฐกิจทั่วภูมิภาคเอเชีย โดย ทรู คอร์ปอเรชั่นมุ่งมั่นที่จะใช้ประโยชน์จากศักยภาพนี้อย่างรับผิดชอบและมีจริยธรรม การนำแผนพัฒนาการใช้ปัญญาประดิษฐ์อย่างมีความรับผิดชอบ หรือ Responsible AI Roadmap ของสมาคมจีเอสเอ็มมาใช้ แสดงถึงความมุ่งมั่นของเราในการยึดมั่นมาตรฐานสากลระดับสูงสุด เพื่อให้มั่นใจว่าประโยชน์ของปัญญาประดิษฐ์จะเกิดขึ้นอย่างปลอดภัยและอยู่บนความเท่าเทียม"

การพัฒนาแผนนี้อยู่ภายใต้ความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องของทรู คอร์ปอเรชั่น และบริษัทโทรคมนาคมชั้นนำทั่วโลก ในการรับรองว่าการบุกเบิกและบูรณาการปัญญาประดิษฐ์จะดำเนินการอย่างมีจริยธรรมและรับผิดชอบ

จากการปรึกษากับภาคอุตสาหกรรมอย่างกว้างขวาง สมาคมจีเอสเอ็มได้นำแนวทางต่างๆ มาผสมผสานกับกฎระเบียบ คำแนะนำ และมาตรฐานระดับโลกที่มีอยู่จากองค์กรระหว่างประเทศ รวมถึงองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) และข้อเสนอแนะด้านจริยธรรมของปัญญาประดิษฐ์ขององค์การ

ยูเนสโก (UNESCO) เพื่อสร้างแผนพัฒนาสำหรับทั้งอุตสาหกรรมในการใช้ปัญญาประดิษฐ์อย่างมีความรับผิดชอบ

นายชารัด เมห์โรทรา รองประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "ทรู คอร์ปอเรชั่นใช้ปัญญาประดิษฐ์สู่การดำเนินงานของเรา เพื่อปรับปรุงทั้งประสบการณ์ของลูกค้าและประสิทธิภาพของธุรกิจ ด้วยความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ของเราในด้านความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูล แผนพัฒนาการใช้ปัญญาประดิษฐ์อย่างมีความรับผิดชอบ หรือ Responsible AI Roadmap จะช่วยให้ทรู คอร์ปอเรชั่นมั่นใจในความพร้อมสำหรับโอกาสและความท้าทายใหม่ๆ ที่เทคโนโลยีสร้างสรรค์"

ทรู คอร์ปอเรชั่นเป็นบริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีแห่งแรกในประเทศไทยที่นำแผนพัฒนาการใช้ปัญญาประดิษฐ์อย่างมีความรับผิดชอบมาใช้ สำหรับในระดับโลก มีผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมให้บริการเครือข่ายมือถือ 19 รายที่ได้ให้คำมั่นในการใช้แผนพัฒนานี้เป็นวิธีในการติดตาม ดูแล และปรับปรุงการใช้ปัญญาประดิษฐ์อย่างรับผิดชอบ

หลักการแนวปฏิบัติที่ดีที่สุด (Best-practice principles)

Responsible AI หรือ RAI คือแผนพัฒนาการใช้ปัญญาประดิษฐ์อย่างมีความรับผิดชอบมีพื้นฐาน 5 หลักการ ได้แก่ 1. วิสัยทัศน์ ค่านิยม และเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ขององค์กร 2. โมเดลการดำเนินงานและวิธีรักษาธรรมาภิบาลด้านปัญญาประดิษฐ์ในทุกการดำเนินงาน 3. การควบคุมทางเทคนิคตามข้อกำหนดด้านกฎระเบียบ 4. การทำงานร่วมกับระบบนิเวศของบุคคลที่สาม และ 5. กลยุทธ์การจัดการการเปลี่ยนแปลงและการสื่อสาร

สำหรับแต่ละหลักการ แผนพัฒนาจะแนะนำองค์กรให้ดำเนินการตามขั้นตอนที่เหมาะสมในการใช้ปัญญาประดิษฐ์อย่างรับผิดชอบตามระดับความพร้อมขององค์กร

นอกจากนี้ ยังอยู่บนพื้นฐานของหลักการแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดที่มีมายาวนาน ซึ่งรวมถึงความเป็นธรรม การกำกับดูแลโดยมนุษย์ ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย ความปลอดภัยและความทนทาน ความโปร่งใส ความรับผิดชอบ และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

นายแมตส์ แกรนริด ผู้อำนวยการใหญ่ สมาคมจีเอสเอ็ม กล่าวว่า "ศักยภาพของของปัญญาประดิษฐ์เป็นที่ทราบกันดีแต่การบูรณาการในการทำงานและชีวิตของเราต้องทำอย่างรับผิดชอบและโปร่งใสเพื่อให้เกิดประสิทธิผลและความยั่งยืนอย่างแท้จริง แผนพัฒนานี้จะช่วยให้ผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือสามารถนำปัญญาประดิษฐ์มาใช้ โดยประยุกต์ใช้งานอย่างรับผิดชอบและมีจริยธรรม"

นายจูเลียน กอร์แมน หัวหน้าประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก สมาคมจีเอสเอ็ม กล่าวว่า "การตัดสินใจของทรู คอร์ปอเรชั่นในการให้ความสำคัญกับการใช้ปัญญาประดิษฐ์อย่างรับผิดชอบ เป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นในการสร้างนวัตกรรมและความยั่งยืน แผนพัฒนานี้จะให้เครื่องมือและแนวทางที่จำเป็นแก่ทรูในการใช้ประโยชน์จากปัญญาประดิษฐ์อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกันก็รับรองว่าการใช้งานสอดคล้องกับมาตรฐานการปฏิบัติที่ดีที่สุดของอุตสาหกรรม"

Page 1 of 5
X

Right Click

No right click