หากย้อนเวลาไปช่วงก่อนปีใหม่ ปี 2564 เชื่อว่าทุกคนคงมีความหวังว่าปีนี้จะเป็นปีที่ดีขึ้นของทุกๆ คน แต่กลับกลายเป็นว่าตลอดปีที่ผ่านมานั้น เราได้ผ่านช่วงเวลาอันยากลำบากกว่าเดิม ต้องปรับตัวและใช้ชีวิตอยู่กับสถานการณ์โควิด-19 และการล็อกดาวน์ที่ยาวนาน แม้ไม่ได้เต็มใจเลยก็ตาม ทุกคนต่างอดทน เพื่อให้ผ่านพ้นช่วงเวลาวิกฤตไปเสียที แต่ในความมืดมนนี้ เราก็ได้เห็นการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ที่ได้กลายมาเป็นโมเมนต์สำคัญที่น่าจดจำ และช่วยให้เราก้าวข้ามผ่านช่วงเวลายากๆ ของชีวิตได้อย่างเข้มแข็งมากขึ้น โดยหนึ่งในผู้ที่มีบทบาทสำคัญก็คือมูลนิธิและองค์กรเพื่อสังคมต่างๆ ซึ่งนับได้ว่าเป็นฮีโร่ของพวกเราคนไทยทุกคน ที่ช่วยลงทั้งแรงกายแรงใจ อีกทั้งยังช่วยสร้างแรงบันดาลใจ เพื่อเชื่อมโยงผู้คนในสังคมเข้าไว้ด้วยกัน
มูลนิธิกระจกเงา เป็นหนึ่งในองค์กรสำคัญที่เป็นสื่อกลางระหว่างผู้ให้และผู้รับ โดยในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเปราะบางในสังคม ไม่ว่าจะเป็นคนตกงาน คนไร้บ้าน ผู้ป่วยเรื้อรังที่ยากจน และเด็กในชุมชนที่ขาดโอกาสเข้าถึงการศึกษาขั้นพื้นฐาน ต่างประสบปัญหาที่หนักหน่วงยิ่งกว่าเดิม
โดยวีราภรณ์ ประสพรัตนสุข หนึ่งในกำลังหลักผู้ขับเคลื่อนมูลนิธิกระจกเงา เปิดใจว่า “สถานการณ์โควิด-19 ทำให้ผู้คนหลายกลุ่มต้องเผชิญกับความยากลำบากยิ่งขึ้น ทั้งการหารายได้ ทั้งการหาอาหารมาประทังชีวิตคนในครอบครัว ไปจนถึงเรื่องการเข้าถึงการรักษาโควิด-19 สิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาที่รอไม่ได้ และต้องการความช่วยเหลือที่อย่างเร่งด่วนยิ่งกว่างานปกติที่เราเคยทำ”
จากการที่ได้รับการติดต่อขอความเหลือเข้ามาจากทั่วทุกสารทิศ ทั้งทางโทรศัพท์ เพจเฟซบุ๊ก และการเดินเข้ามาติดต่อที่มูลนิธิโดยตรงนั้น “กล่องแบ่งปัน” จึงถูกจัดทำขึ้นเป็นกล่องที่รวบรวมน้ำใจจากพี่น้องชาวไทยทั่วประเทศในรูปแบบสิ่งของ อาหาร และเงินบริจาค เพื่อส่งต่อความช่วยเหลือให้กับผู้ได้รับความเดือดร้อนจากโควิด-19 ในทุกพื้นที่อย่างเร่งด่วน นอกจากนั้น หัวหน้าฝ่ายสื่อสารองค์กรและระดมทุนจากมูลนิธิกระจกเงาคนนี้ยังเล่าให้ฟังอีกว่า “ถึงแม้การทำงานหลายอย่างจะลำบากมากขึ้นในช่วงโควิด-19 แต่เราก็ไม่เคยหยุด เพราะเราได้เห็นความเดือดร้อนอย่างหนักที่เกิดขึ้นกับคนทั่วประเทศ สิ่งที่สำคัญคือเราต้องปรับเปลี่ยนการทำงานและให้อาสาสมัครทุกคนให้ความสำคัญสูงสุดกับการขอความช่วยเหลือที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 ดังนั้นเราจึงทำงานตลอดเวลา เพื่อส่งต่อความช่วยเหลือให้ทันท่วงที”
“สิ่งที่เราได้เห็นในช่วงเวลาแบบนี้คือการที่ผู้คนและหน่วยงานมากมายที่มุ่งมั่นทำงานเพื่อผู้อื่นโดยไม่หยุดพัก และเข้ามาถามเราว่ามีอะไรที่พวกเขาจะช่วยเหลือมูลนิธิได้บ้าง สิ่งเหล่านี้แสดงถึงความไว้วางใจและเป็นกำลังใจสำคัญที่ส่งพลังให้เรามีแรงส่งต่อความช่วยเหลือออกไปให้กับผู้ที่เดือดร้อนอย่างเต็มที่และสุดความสามารถ” วีราภรณ์ กล่าวถึงโมเมนต์ประทับใจในปีนี้
อีกหนึ่งกลุ่มคนที่ประสบความเดือดร้อนเป็นอย่างมากคือกลุ่มคนตาบอด ที่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ทำให้การใช้ชีวิตในแต่ละวันและการทำงานมืดมนยิ่งขึ้นไปอีกขั้น สมาคมประชาคมคนตาบอดไทย ในฐานะตัวแทนของกลุ่มคนตาบอดจึงไม่อยู่เฉย และพยายามรวบรวมและส่งต่อความช่วยเหลือไปให้กลุ่มคนตาบอดที่เดือดร้อน โดยเฉพาะผู้ที่ตกงาน ติดโควิด-19 และผู้ที่ต้องกักตัว
พัฒน์ธนชัย สระกวี นายกสมาคมฯ ได้เล่าย้อนถึงความยากลำบากในปีนี้ว่า “วิกฤตโรคระบาดทำให้การใช้ชีวิตและการหารายได้ของคนตาบอดแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย กลุ่มที่ต้องทำงานหาเช้ากินค่ำไม่สามารถออกไปทำงาน ส่วนคนจำนวนมากที่ทำงานอยู่ในร้านนวดก็ทำงานไม่ได้ เพราะร้านต้องปิดให้บริการตามมาตรการล็อกดาวน์ที่ยาวนาน ความไม่แน่นอนในการใช้ชีวิตทั้งหมดนี้ยิ่งซ้ำเติมให้ชีวิตต้องเผชิญกับทางตันยิ่งกว่าเดิม สมาคมฯ เข้าใจจุดนี้เป็นอย่างดีจึงเดินหน้าให้ความช่วยเหลือและเยียวยาคนตาบอดทั่วประเทศ ทั้งผู้ที่ติดเชื้อและผู้ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ เพื่อให้พวกเขาไม่รู้สึกว่าถูกทอดทิ้ง พร้อมทำโครงการมากมาย เพื่อส่งเสริมอาชีพให้คนตาบอดสามารถดูแลตัวเองได้โดยที่ไม่ต้องรอความช่วยเหลือจากผู้อื่น เช่น โครงการ ‘เปลี่ยนคนพิการ จากภาระเป็นพลัง’ ที่เราตั้งใจจะส่งเสริมอาชีพด้านการเกษตร โดยการมอบเมล็ดพันธุ์พืชเพื่อการเพาะปลูก ไถ่ชีวิตโค กระบือ และเพาะพันธุ์ลูกโค มอบให้กับคนตาบอดเลี้ยง เพื่อนำผลผลิตมาบริโภคให้พอยังชีพ และนำส่วนที่เหลือจากการบริโภคไปขายเพื่อสร้างรายได้”
พัฒน์ธนชัยยังเล่าถึงความช่วยเหลือที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่องอีกด้วยว่า “เราได้รับความช่วยเหลือจากทั้งหน่วยงานรัฐ บริษัทเอกชน และผู้คนในสังคมอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเผชิญกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 กี่ระลอก แต่พวกเรารับรู้ได้และซาบซึ้งถึงน้ำใจที่คนในสังคมหยิบยื่นให้อย่างไม่ขาดสาย ทุกครั้งที่เรานำความช่วยเหลือจากภาคส่วนต่างๆ ไปส่งต่อให้แก่กลุ่มคนตาบอด เราได้เห็นถึงความดีใจ และมีความหวังในการใช้ชีวิตต่อไป ซึ่งเชื่อว่าตราบใดที่ผู้คนในสังคมยังช่วยประคับประคองกันและกันแบบนี้ต่อไป เราทุกคนก็จะสามารถก้าวผ่านอุปสรรคต่างๆ ได้อย่างเข้มแข็งยิ่งขึ้น ทางสมาคมขอเป็นตัวแทนคนตาบอดทั่วประเทศ เราขอขอบคุณทุกความช่วยเหลือ ทุกการมองเห็น และไม่เคยทอดทิ้งกัน สุดท้าย เราอยากส่งกำลังใจกลับคืนให้ผู้คนที่เผชิญความยากลำบากในปีนี้ อยากให้ทุกคนมองเห็นแสงสว่างในวันพรุ่งนี้ เหมือนที่คนตาบอดยังคงมองเห็นแสงแห่งความหวังนี้เช่นกัน”
คุณมัณฑนา หล่อไกรเลิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท ลาซาด้า จำกัด (ประเทศไทย) กล่าวว่า “ลาซาด้าขอยกย่องและส่งกำลังใจไปยังองค์กรเพื่อสังคมทุกองค์กรที่ทำงานอย่างหนัก และเป็นฮีโร่ในการมอบความช่วยเหลือไปยังคนไทยทั่วประเทศตลอดปี 2564 ที่ท้าทายนี้ ลาซาด้าขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเปิดโอกาสให้นักช้อปของเราได้ส่งต่อกำลังใจให้แก่ผู้คนที่ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน โดยใช้ความเชี่ยวชาญและโครงสร้างพื้นฐานด้านอีคอมเมิร์ซและเทคโนโลยีที่เรามี มาเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เราสามารถขยายความช่วยเหลือไปยังผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนทั่วประเทศ ผ่านโครงการเพื่อสังคมต่างๆ ของเราอย่าง LazadaCARES และ LazadaForGood ซึ่งทุกความสำเร็จของโครงการ และโมเมนต์ดีๆ ที่เกิดขึ้นท่ามกลางช่วงเวลาแห่งความยากลำบากนี้ ล้วนได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากนักช้อปลาซาด้า เราขอสัญญาว่าจะมุ่งมั่นพัฒนาแพลตฟอร์มให้ตอบโจทย์ทุกคน และเปิดโอกาสให้นักช้อปไทยได้ร่วมเพิ่มโมเมนต์ดีๆ ด้วยกันในปีต่อไป”
นอกจากนี้ ลาซาด้ายังได้เปิดตัวแคมเปญ “Moment of the Year เพิ่มโมเมนต์ใหม่ใส่ตะกร้า” ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 9 มกราคม 2565 เพื่อให้นักช้อปได้ใช้เวลาในช่วงสิ้นปีนึกถึงโมเมนต์ดีๆ ที่เกิดขึ้นตลอดทั้งปีที่ผ่านมา พร้อมกันนี้ ลาซาด้ายังได้เปิดตัวแคมเปญ และภาพยนตร์โฆษณาแคมเปญ เชิญชวนให้นักช้อปไทยเพิ่มโมเมนต์ใหม่ๆ ใส่ตะกร้ากันอย่างมีความสุขตลอดปี 2565 ที่จะถึงนี้
ชมภาพยนตร์โฆษณาแคมเปญได้ที่ https://youtu.be/HfPgCv3sqF8