November 08, 2024

สมาคมนักเรียนเก่าฮาร์วาร์ดแห่งประเทศไทย ร่วมเสวนาเปิดมุมมองใหม่ ‘อนาคตโลกการเงิน’

July 08, 2022 1096

 

 

สมาคมนักเรียนเก่าฮาร์วาร์ดแห่งประเทศไทย (Harvard Club of Thailand) ได้จัดงาน Dinner Talk เสวนาวาดภาพอนาคตของโลกการเงินในหัวข้อ “Fostering the Future of Finance” โดยได้รับเกียรติจากศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด อย่าง ดร.วิรไท สันติประภพ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คุณทิพยสุดา ถาวรามร    อดีตรองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และ ดร.สันติธาร เสถียรไทย ประธานทีมเศรษฐกิจและกรรมการผู้จัดการ Sea (Group) โดยมีคุณพราว ลิ่มพงศ์พันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายกลยุทธ์และการตลาดบริษัท ซิปเม็กซ์ ประเทศไทย เป็นผู้ดำเนินรายการ

งานเสวนาในครั้งนี้ ยังได้รับเกียรติจาก ศาสตราจารย์พิเศษ ดร. สุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ มากล่าวเปิดงานในฐานะนายกสมาคมนักเรียนเก่าฮาร์วาร์ดแห่งประเทศไทยด้วย โดย ดร.สุรเกียรติ์ ได้กล่าวว่าตั้งแต่ก่อนเริ่มมีการระบาดใหญ่ของโรคโควิด-19 หัวข้อ “อนาคตโลกการเงิน” เป็นที่พูดถึงอย่างมากในภูมิภาคอยู่แล้ว แต่ในยุคโควิด-19 เทคโนโลยีก็ยิ่งถูกเร่งให้มีบทบาทเพิ่มมากขึ้นอย่างก้าวกระโดด 

บรรดาสถาบันทางการเงินหรือแม้แต่บริษัทเทคโนโลยีต่างหันมาให้บริการฟินเทคแก่ลูกค้าของตนมากขึ้น ทำให้กลุ่มคนที่ไม่มีบัญชีธนาคารเข้าถึงบริการได้ง่ายขึ้น ส่วนระบบการเงินไร้ตัวกลางก็มีบทบาทมากขึ้นในโลกการเงิน มีเทรนด์การใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนแทนการทำธุรกรรมผ่านตัวกลางอย่างธนาคารขณะเดียวกัน ยอดการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลอย่าง “บิตคอยน์” และ   คริปโทเคอร์เรนซีอื่น ๆ ก็พุ่งขึ้นสูงและเป็นที่สนใจมากขึ้นทั่วโลก จนกระทั่งเดือนกุมภาพันธ์ 2565 โลกเผชิญกับสงครามครั้งใหม่ที่ไม่ใช่สงครามการค้า แต่เป็นการสู้รบระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่ทำให้เกิด มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและการเงินของโลกตะวันตกต่อรัสเซียครั้งรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 

สถานการณ์เหล่านี้เติมไฟให้ภาวะเงินเฟ้อสูงทั่วโลก และธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบหลายปีเพื่อรับมือเงินเฟ้อพุ่งทุบสถิติในประเทศ “การดิสรัปของเทคโนโลยี โรคระบาด สงคราม การคว่ำบาตรรัสเซียของตะวันตก และภาวะเงินเฟ้อพุ่งสูง ล้วนส่งผลกระทบต่อโลกการเงินโดยตรง” ดร.สุรเกียรติ์ กล่าว 

ทั้งนี้ ผู้ร่วมเสวนาได้แชร์มุมมองและข้อเสนอแนะที่น่าสนใจของตน เกี่ยวกับ ”อนาคตโลกการเงิน” ที่ประเทศไทยและ  ทั่วโลกจะต้องเตรียมพร้อมรับมือ และนำมาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อทุกภาคส่วน 

การประเมินนวัตกรรมทางการเงิน ต้องดู 3 มิติ

การจะประเมินว่าเทคโนโลยีทางการเงินน่าสนใจต้องดูว่านวัตกรรมนั้น ๆ ช่วยตอบ 3 โจทย์สำคัญของภาคการเงินของประเทศหรือไม่ ได้แก่ การเพิ่มผลิตภาพให้เศรษฐกิจ (Productivity) การเข้าถึงของทุกภาคส่วน (Inclusivity) และภูมิคุ้มกัน (Immunity) 

  1. Productivity นวัตกรรมที่ดีจะช่วยเพิ่มผลิตภาพให้กับระบบการเงินไทย และจะส่งผลไปสู่ผลิตภาพของเศรษฐกิจไทยโดยรวม เมื่อต้นทุนการชำระเงินถูกลง ต้นทุนการทำธุรกิจก็จะถูกลงตาม ทำให้ความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้นด้วย 
  1. Inclusivity การเข้าถึงบริการทางเงินอย่างเท่าเทียมถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของคนไทย ไม่ว่าจะเป็นบริการเงินฝาก สินเชื่อ การชำระเงิน หรือประกันภัย ฟินเทคจะช่วยให้ประชาชนหรือธุรกิจรายย่อยที่อาจไม่ได้รับบริการเท่าที่ควร สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้ง่ายและสะดวกขึ้นด้วยราคาที่ถูกลง เช่น AI ที่เป็นพื้นฐานของนวัตกรรมทางการเงินอีกหลายอย่าง และสามารถช่วยสร้างรอยเท้าดิจิทัล (digital footprint) ที่จะนำมาสู่การบริหารความเสี่ยงที่ดีขึ้น และช่วยให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้มากขึ้น 
  1. Immunity นวัตกรรมควรจะช่วยให้ระบบการเงินทนทานต่อความเสี่ยงต่าง ๆ ได้มากขึ้น ขณะที่การบริหารความเสี่ยงหลายอย่างที่ต้องอาศัยเทคโนโลยี อาทิ เทคโนโลยีจดจำใบหน้า (Face Recognition) หรือ บริการยืนยันตัวตนรูปแบบดิจิทัล (National Digital ID - NDID) ในขณะเดียวกันก็ต้องระวังไม่ให้เครื่องมือทางการเงินใหม่นำมาซึ่งความเสี่ยงใหม่ เช่น หากเครื่องมือทาง การเงินในอนาคตจะเป็นแบบ decentralized มากขึ้น ก็ควรมีการบริหารความเสี่ยงที่ดีป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤตสภาพคล่องทางการเงินอย่างที่เห็นอยู่ในหลายกรณี 

จับตาเทรนด์ธนาคารดิจิทัล

เทรนด์หนึ่งที่น่าจับตาในอุตสาหกรรมการเงินในเอเชียคือการที่หลายประเทศได้ เปิดให้มีผู้เล่นใหม่ๆเข้ามาตั้งธนาคารดิจิทัล (Virtual Bank) ที่นำเสนอบริการทุกอย่างได้เหมือนธนาคารแบบดั้งเดิมแต่ไม่ต้องมีหลายสาขาหรือไม่มีเลย โดยนวัตกรรมธนาคารดิจิทัลถูกสร้างขึ้นบน 3 เทรนด์ทางเทคโนโลยีที่สำคัญ 

  1. Digitalization of finance หรือการเงินที่เข้าสู่ดิจิทัลจะช่วยเพิ่ม affordability ผู้ให้บริการการเงิน สามารถนำเสนอบริการให้ประชาชนได้เหมือนสถาบันการเงินแบบดั้งเดิม แต่เนื่องจากเทคโนโลยีดิจิทัลช่วยทำให้ต้นทุนในการเปิดและบริหารสาขาต่ำกว่ามาก ส่งผลให้ค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ยถูกลง ทำให้สามารถลดต้นทุนของภาคการเงินในประเทศ (Affordability) 
  1. Data driven finance หรือการเงินที่ใช้ดาต้าขับเคลื่อนจะช่วยเพิ่ม accessibility หรือการเข้าถึงบริการการเงิน อาทิ กลุ่ม SMEs ที่ปัจจุบันกว่าครึ่งเข้าไม่ถึงแหล่งเงินในยามจำเป็น เพราะขาดสินทรัพย์ค้ำประกันและประวัติการเงิน เทคโนโลยีแบบ Machine Learning สามารถนำข้อมูลในโลกดิจิทัลสามารถถูกนำมาประกอบการพิจารณาให้สินเชื่อกับคนกลุ่มนี้ได้
  2. Banking as a service (BaaS) จะช่วยเพิ่ม Agility ในยุคธนาคารดิจิทัลบริการการเงินสามารถตัดแบ่งแยกออกมาเป็นหน่วยย่อย ๆ ทำให้ธนาคารหนึ่งเจ้าอาจไม่ต้องทำทุกอย่างด้วยตนเอง แต่สามารถเลือกทำให้บริการที่ตนเองเชี่ยวชาญกว่าผู้เล่นอื่น เช่น ธนาคารแห่งหนึ่งอาจโฟกัสการขายเทคโนโลยีประเมินความเสี่ยงให้บริษัทฟินเทคที่อาจเชี่ยวชาญการเจาะกลุ่มลูกค้าที่เป็นคนรุ่นใหม่ เปรียบเสมือนในโลกอุตสาหกรรมที่ผู้ผลิตรถยนต์ไม่ต้องทำทุกส่วนเอง ทำให้ผู้ประกอบการสามารถปรับตัวได้คล่องแคล่วขึ้น 

บล็อกเชนและ NFT มีศักยภาพขึ้นอยู่กับการนำมาใช้

เทคโนโลยี Blockchain หากนำมาใช้อย่างถูกต้องมีศักยภาพที่จะช่วยให้ผู้เล่นรายเล็กแข่งขันกับสถาบันการเงินขนาดใหญ่ได้ และสร้างแรงกดดันให้กับผู้เล่นปัจจุบันให้ต้องปรับตัว แต่การนำมาใช้งานในปัจจุบันยังถือว่าอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น 

ยกตัวอย่าง "NFT" (Non-Fungible Token) ที่ในช่วงแรก มักถูกนำมาใช้ในแวดวงศิลปะ โดยนำภาพวาด งานศิลปะ ประติมากรรม เพลง เกม ฯลฯ มาเปลี่ยนเป็น NFT แต่ต่อไปอาจพัฒนานำมาใช้เป็นเครื่องมือยืนยันถึงความเป็นเจ้าของในสินทรัพย์อื่น ๆ เช่น อสังหาริมทรัพย์ หลักฐานยืนยันความถูกต้องและประวัติ อัตลักษณ์ และการใช้เชิงพาณิชย์ด้านอื่น 

ซึ่งอาจช่วยสร้างรายได้ผลตอบแทนให้กับกลุ่มครีเอเตอร์ (creator) หรือศิลปินดิจิทัลที่มีความสามารถอยู่มากมายในประเทศ ทั้งยังใช้เป็นช่องทางโปรโมตเอกลักษณ์ของประเทศได้ เช่น งานศิลปะ วัฒนธรรม หรือผ้าไหมไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่ต่างชาติชื่นชอบและสนใจมาตลอด 

การที่จะดึงศักยภาพของ NFT มาใช้ในเศรษฐกิจโลกจริงอย่างเต็มที่ ประเทศไทยจะต้องมีโครงสร้างพื้นฐานด้านกฎหมายและกฎเกณฑ์ที่ใช้งานได้จริง และนอกจากกำกับดูแล NFT ในฐานะผลิตภัณฑ์แล้ว ยังต้องรับประกันว่า สิทธิต่าง ๆ ของบรรดาครีเอเตอร์จะได้รับการคุ้มครอง และอาชญากรรมต่าง ๆ และการละเมิดกฎในโลกเสมือนจะต้องถูกดำเนินคดีอย่างเด็ดขาดไม่ต่างกับการกระทำผิดในโลกจริง 

ส่งเสริมการแข่งขัน-สนับสนุนนวัตกรรม-การสร้างความรู้ทางการเงินเป็นหัวใจสำคัญ

ผู้วางนโยบายมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการแข่งขันในภาคการเงินให้มีผู้เล่นที่หลากหลายสามารถตอบโจทย์ความต้องการของทั้งประชาชนและธุรกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ โดยระวังไม่ให้เกิดการผูกขาดไม่ว่าจะเป็นจากเป็นผู้เล่นดั้งเดิมหรือผู้เล่นใหม่ 

อุตสาหกรรมการเงินเป็นอุตสาหกรรมที่มีทั้งการร่วมมือและการแข่งขัน ซึ่งหลายผู้เล่นสามารถเติบโตไปพร้อมกันได้ ความหลากหลายของผู้เล่นในอุตสาหกรรมจะช่วยสร้างความเชี่ยวชาญเฉพาะทางของแต่ละผู้เล่น และจะช่วยสร้างบริการที่ดีขึ้นสำหรับลูกค้า หน่วยงานกำกับควรบาลานซ์การป้องกันความเสี่ยงจากเทคโนโลยีใหม่ ๆ กับการมีทัศนคติที่สนับสนุนนวัตกรรมในประเทศและไม่ผลักให้กิจกรรมทางการเงินใหม่ ๆ ไปเกิดขึ้นในที่ที่ยิ่งมองไม่เห็นหรือยิ่งดูแลได้ยาก 

นอกจากนี้ ทั้งผู้วางนโยบายและผู้ให้บริการการเงินต่างก็มีหน้าที่ส่งเสริมให้ความรู้ทางการเงินต่อประชาชน (Financial Literacy) ซึ่งเป็นทักษะชีวิตและจำเป็นต้องได้รับการสั่งสอนตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะในยุคที่หนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับที่สูง

X

Right Click

No right click