December 05, 2025

SCB EIC ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจโลกปี 2568 เหลือ 2.2% (เดิม 2.6%) จากกำแพงภาษีสหรัฐฯ และการโต้กลับในปัจจุบันสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีนำเข้าขั้นต่ำ (Universal tariff) 10% กับเกือบทุกประเทศทั่วโลกแล้ว และเก็บภาษีเฉพาะรายสินค้า (Specific tariff) หลายรายการ เช่น ยานยนต์ เหล็ก อะลูมิเนียม รวมถึงเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal tariff) สินค้าจีนสูงถึง 125% (หากรวม Specific tariff จะเป็น 145%) สหรัฐฯ มีแนวโน้มจะเริ่มเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้คู่ค้าราว 60 ประเทศที่เกินดุลกับสหรัฐฯ ในช่วงไตรมาส 3 หลังพ้นช่วงเจรจา 90 วัน โดยเอเชียและอาเซียนเป็นกลุ่มประเทศที่อาจได้รับผลกระทบสูง เนื่องจากเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ สูง

SCB EIC ประเมินภาครัฐทั่วโลกใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายมากขึ้นเพื่อพยุงเศรษฐกิจ แต่ความไม่แน่นอนยังสูง โดยมองว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะลดดอกเบี้ยรวม 75 bps (เดิมมอง 50 bps) เพื่อลดความเสี่ยงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอย แม้ความเสี่ยงเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะเร่งลดดอกเบี้ยรวม 125 bps (เดิมมอง 100 bps) เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ ขณะที่ความเสี่ยงเงินเฟ้อไม่สูงนัก ธนาคารกลางจีน (PBOC) มีแนวโน้มลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (7-day reverse repo) รวม 50 bps ในปีนี้ (คงมุมมองเดิม) และอาจคงระดับอัตราดอกเบี้ยนี้ไม่ให้ต่ำกว่า 1% เพื่อรักษาพื้นที่ทางนโยบายสำหรับเหตุการณ์ด้านลบอื่นที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

เศรษฐกิจไทยไตรมาส 1 ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อน อาจขยายตัวได้ราว 3% ตามการขยายตัวของการส่งออกสินค้าที่เร่งตัวก่อนการขึ้นภาษี การบริโภคภาคเอกชน และการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ ขณะที่เหตุแผ่นดินไหวเริ่มส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวชัดเจนขึ้น สะท้อนจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยรวมหลังเกิดเหตุการณ์จนถึงช่วงสงกรานต์ที่ปรับลดลงจากปีที่แล้ว อย่างไรก็ดี นักท่องเที่ยวบางกลุ่มยังคงเติบโตดี เช่น อินเดีย และรัสเซีย

เศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังเสี่ยงเผชิญ Technical recession จากผลสงครามการค้ารอบใหม่นี้ และความไม่แน่นอนที่กระทบต่อความเชื่อมั่นของภาคเอกชน SCB EIC ประเมินเศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบสูงจากการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ โดยอาจขยายตัวเพียง 1.5% ในปี 2568 (เดิมมอง 2.4%) จากการส่งออกที่จะหดตัวในช่วงครึ่งปีหลัง และการลงทุนภาคเอกชนที่แผนการลงทุนใหม่ ตลอดจนการบริโภคภาคเอกชนอาจชะลอออกไป ตามแนวโน้มสงครามการค้าที่รุนแรงกว่าคาดและความไม่แน่นอนสูงของนโยบายการค้าสหรัฐฯ และภาวะเศรษฐกิจโดยรวม

เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มได้รับผลกระทบสูงจากสงครามการค้า เนื่องจากไทยพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ มากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา อีกทั้งยังนำเข้าสินค้าจีนมากขึ้นด้วยหลังจากจีนทยอยลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ การประเมินผลกระทบทางตรงผ่านสินค้าส่งออกไทยไปสหรัฐฯ มีแนวโน้มได้รับผลกระทบรุนแรง เนื่องจากไทยพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ สูง สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปสหรัฐฯ สัดส่วนกว่า 80% จะโดนเก็บอัตราภาษีตอบโต้สูงกว่าประเทศคู่แข่ง รวมถึงการประเมินผลกระทบทางอ้อมผ่านการชะลอตัวของเศรษฐกิจคู่ค้าหลัก โดยเฉพาะจีนที่โดนกำแพงภาษีจากสหรัฐฯ สูงมากและตอบโต้กลับในลักษณะเดียวกัน SCB EIC ประเมิน หากสหรัฐฯ เก็บภาษีตอบโต้สินค้าไทย 36% ตามที่ประกาศไว้จริง มูลค่าการส่งออกสินค้าไทยไปสหรัฐฯ จะลดลงสะสมราว 8.1 แสนล้านบาท หลังภาษีประกาศใช้นาน 5 ปี อย่างไรก็ดี ต้องติดตามผลการเจรจาของภาครัฐ เพื่อประเมินผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจริงอย่างต่อเนื่อง

สงครามการค้ารอบใหม่นี้จะส่งผลต่อภาคธุรกิจไทยเป็นวงกว้าง แต่ธุรกิจที่จะได้รับผลกระทบสูง ส่วนใหญ่ผลิตสินค้าที่พึ่งตลาดสหรัฐฯ สูงและอาจเสียส่วนแบ่งตลาดให้คู่แข่ง หรือเป็นสินค้าขั้นกลางและขั้นปลายที่พึ่งอุปสงค์จีนสูง หรือเป็นสินค้าที่อาจถูกกระทบจาก Global slowdown หรือ China influx เข้าไทยรุนแรงขึ้น เช่น เซมิคอนดักเตอร์ คอมพิวเตอร์ ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์สื่อสาร แผ่นวงจรพิมพ์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้ SCB EIC ยังประเมินว่าลูกจ้างราว 11% ของลูกจ้างทั้งหมดเข้าข่ายที่อาจได้รับผลกระทบสูงตามมา

SCB EIC มองว่า กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 3 ครั้งในปีนี้สู่ระดับ 1.25% ภายในสิ้นปี 2568 เพื่อรองรับเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มชะลอลงตามความไม่แน่นอนที่ปรับสูงขึ้นมาก จากนโยบายการค้าสหรัฐฯ ประกอบกับความตึงตัวของภาวะการเงินที่มีอยู่เดิม โดยมีความเป็นไปได้สูงที่ กนง. จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ในการประชุมวันที่ 30 เม.ย. 2568 ทั้งนี้ประเมินว่าระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ณ สิ้นปีนี้จะต่ำกว่าช่วงปี 2561–2562 ที่เกิดสงครามการค้า 1.0 ระหว่างสหรัฐฯ และจีน ซึ่งขณะนั้นไทยยังไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง เงินบาทกลับมาแข็งค่าเร็วหลัง Trump เลื่อนขึ้น Reciprocal tariffs ในระยะสั้นคาดว่าเงินบาทมีโอกาสกลับมาอ่อนค่าในกรอบ 33.50-34.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากสหรัฐฯ อาจกลับมาขึ้น Reciprocal tariffs บางส่วนได้ และเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มจะเติบโตชะลอลง ในระยะยาวคาดว่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นในกรอบ 32.50-33.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปี เนื่องจากเงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มอ่อนค่าจากความเชื่อมั่นต่อสินทรัพย์สหรัฐฯ ลดลง ขณะที่สกุลเงินหลักอื่นแข็งค่าขึ้น ประกอบกับราคาทองสูงยังช่วยพยุงเงินบาท ในภาพรวมเมื่อพิจารณาดัชนีค่าเงินบาทเทียบกับคู่ค้าคู่แข่งหลักพบว่ามีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้ความสามารถในการแข่งขันของสินค้าส่งออกไทยถูกกระทบเพิ่มเติมจากประเด็นการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ได้อีกด้วย

กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB Financial Markets: SCB FM) เผยว่า เหตุการณ์ที่กลุ่มฮามาสบุกโจมตีอิสราเอลส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบปรับสูงขึ้นมาบ้าง และราคาสินทรัพย์ปลอดภัยโดยเฉพาะทองคำปรับสูงขึ้น อย่างไรก็ดี ผลกระทบต่อเงินบาทยังมีจำกัด เนื่องจากเงินบาทได้รับอานิสงส์จากเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลงตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ หลังคณะกรรมการ Fed ส่งสัญญาณ Dovish ขึ้น จึงทำให้เงินบาทกลับมาแข็งค่าได้ในระยะต่อไป เงินบาทยังมีแนวโน้มทยอยแข็งค่าต่อได้ โดยมองว่าสงครามน่าจะไม่ทวีความรุนแรงขึ้น ทำให้ราคาน้ำมันดิบจะไม่สูงขึ้นเร็วนัก ประกอบกับแนวโน้มที่ Fed อาจคงดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปีนี้ และเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอลง ทำให้ US Treasury yields อาจลดลงได้ในระยะต่อไป ดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐจึงอาจปรับอ่อนค่าลง ลดแรงกดดันด้านอ่อนค่าต่อเงินบาทได้ มองกรอบเงินบาทราว 35.00-36.00 ณ สิ้นปีนี้ ชี้หากสงครามทวีความรุนแรงและลุกลามไปสู่ประเทศอื่น จนทำให้ราคาน้ำมันสูงขึ้นมาก เงินบาทอาจอ่อนค่าไปสู่ระดับ 37.50-38.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐได้

นายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส สายงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า เหตุการณ์ที่กลุ่มฮามาสบุกโจมตีอิสราเอลจนทำให้มีผู้เสียชีวิตรวมกันเกินกว่า 2000 รายนั้น ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบปรับสูงขึ้นมาบ้าง แต่ยังต่ำกว่าจุดสูงสุดเมื่อเดือนก่อน โดยในระยะต่อไปมองว่า สงครามน่าจะไม่ทวีรุนแรงขึ้นมาก และไม่น่าจะลุกลามไปสู่ประเทศอื่นในภูมิภาค (เช่น อิหร่าน หรือซาอุดิอาราเบีย) จนกระทบต่อการผลิตและส่งออกน้ำมันดิบ ราคาน้ำมันจึงน่าจะไม่เพิ่มขึ้นอีกเร็วนัก อย่างไรก็ดี เหตุการณ์ความไม่สงบนี้อาจส่งผลให้โอกาสที่ ซาอุดิอาราเบียจะเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในระยะต่อไปเกิดได้ช้าลง จึงอาจเป็นสาเหตุให้ราคาน้ำมันโลกอาจอยู่ในระดับสูงราว 85-95 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ไปจนถึงไตรมาสแรกปีหน้าได้

ความกังวลต่อสถานการณ์ความรุนแรง ทำให้ราคาสินทรัพย์ปลอดภัยปรับสูงขึ้น โดยราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทั้งจากปัจจัยเรื่อง Safe haven flows และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (US Treasury yields) ที่ปรับลดลงในช่วงคืนวันจันทร์ที่ผ่านมา จาก 1) ความต้องการถือสินทรัพย์ปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น ทำให้ราคาพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ สูงขึ้น Yields จึงปรับลดลง และ 2) คณะกรรมการ Fed ได้ส่งสัญญาณ Dovish มากขึ้น โดยกล่าวว่า Treasury yields ที่สูงขึ้นมากในเดือนที่ผ่านมาอาจทดแทนการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของ Fed ได้ เพราะทำให้ภาวะการเงินตึงตัวขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินสูงขึ้นพอสมควรแล้ว นักลงทุนจึงปรับลดโอกาสที่ Fed จะขึ้นดอกเบี้ยต่อในปีนี้ลง

Treasury yields จึงปรับลดลง ด้านสินทรัพย์ปลอดภัยอื่น เช่น เงินดอลลาร์สหรัฐ และเงินเยน ในช่วงต้นสัปดาห์ก็ปรับแข็งค่าขึ้นเช่นกัน แต่ US Treasury yields ที่ลดลงล่าสุด ทำให้ดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงตั้งแต่วันอังคารที่ผ่านมา

สำหรับค่าเงินบาทนั้น ความเสี่ยงจากสงครามส่งผลกระทบต่อเงินบาทเพียงเล็กน้อย โดยเงินบาทอ่อนค่าลงในช่วงแรก แต่ก็กลับมาแข็งค่าขึ้นหลังเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง และราคาทองคำปรับสูงขึ้น ส่วนเงินทุนเคลื่อนย้ายยังไหลเข้าตลาดหุ้นไทยบ้าง แต่ไหลออกจากตลาดบอนด์เล็กน้อย ทำให้สุดท้ายเงินบาทกลับมาแข็งค่าราว 1.7% จึงสะท้อนได้ว่า นักลงทุนโลกอาจยังไม่กังวลว่าสงครามจะทวีความรุนแรงไปสู่ประเทศอื่นในภูมิภาคนัก ภาวะ Risk-off จึงไม่รุนแรงมาก

ในระยะต่อไป SCB FM ยังมองว่าเงินบาทมีแนวโน้มกลับมาแข็งค่าขึ้นได้ โดยมองว่าสงครามน่าจะไม่ทวีความรุนแรงขึ้น ทำให้ราคาน้ำมันดิบจะไม่สูงขึ้นเร็วนัก ประกอบกับแนวโน้มที่ Fed อาจคงดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปีนี้ และเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอลงในช่วงไตรมาสสุดท้ายตามการบริโภคภาคเอกชนที่เริ่มส่งสัญญาณอ่อนแอลงบ้าง จึงทำให้ US Treasury yields อาจลดลงได้ในระยะต่อไป ดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐจึงอาจปรับอ่อนค่าลง ลดแรงกดดันด้านอ่อนค่าต่อเงินบาทได้ สำหรับปัจจัยในประเทศ SCB FM มองว่า การส่งออกไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวในไตรมาส 4 อีกทั้ง มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวน่าจะทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาไทยเพิ่มขึ้นได้ และแรงกดดันจากราคาน้ำมันที่น่าจะลดลงก็จะเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดไทยสามารถเพิ่มขึ้นได้ปลายปีนี้ ส่งผลให้เงินบาทจะกลับมาแข็งค่าได้ตั้งแต่ปลายปีนี้ต่อเนื่องถึงปีหน้า โดยมองกรอบเงินบาทราว 35.00-36.00 ณ สิ้นปีนี้ และ 33.00-34.00 ณ สิ้นปีหน้า

อย่างไรก็ดี ต้องจับตาความเสี่ยงจากภาวะสงครามอย่างใกล้ชิด ซึ่งอาจทำให้ราคาน้ำมันและ Treasury yields ปรับสูงขึ้นกว่าที่ประเมินได้ โดยหากสงครามยืดเยื้อหรือขยายเป็นวงกว้างมากขึ้น เช่น อิหร่านเข้าร่วมสงคราม อาจทำให้อุปทานน้ำมันโลกลดลง ราคาน้ำมันดิบสูงขึ้น และคาดการณ์เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น Treasury yields ก็อาจสูงขึ้น กดดันค่าเงินดอลลาร์สหรัฐให้แข็งค่าและเงินบาทอาจอ่อนค่าเร็วได้ ในกรณีนี้ อาจเห็นเงินบาทอ่อนค่าไปถึงระดับ 37.50-38.00

SCB  CIO  ประเมินเศรษฐกิจโลกชะลอตัวจากเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง และการขึ้นดอกเบี้ยเร็วและแรง จนทำให้เกิดความกังวลภาวะเศรษฐกิจถดถอยในบางประเทศ สำหรับแนวโน้มตลาดการเงินโลก ความไม่แน่นอนจากสงครามและความเร็วในการขึ้นดอกเบี้ย จะทำให้ตลาดพันธบัตรและตลาดหุ้นผันผวน แนะสะสมหุ้นเติบโตยั่งยืนอัตรากำไรสูง บริหารความเสี่ยงเงินเฟ้อด้วยสินค้าโภคภัณฑ์  เช่น กลุ่มอาหาร และทยอยสะสมหุ้นจีน A-share หลังเศรษฐกิจจีนเปิดเมืองและออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีความเสี่ยงในด้านเงินเฟ้อและการขึ้นดอกเบี้ยต่ำกว่ากลุ่มประเทศอื่นๆ     

X

Right Click

No right click