December 05, 2025
×

Warning

JUser: :_load: Unable to load user with ID: 6855

ในยุคที่ดอกเบี้ยปรับตัวขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง การกู้ยืมเงินไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป ทั้งสินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถยนต์ สินเชื่อส่วนบุคคล รวมถึงการใช้บัตรเครดิต ต่างมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนชีวิตทางการเงินของคนยุคนี้ แต่ก่อนจะตัดสินใจกู้เงิน หรือรูดบัตรเครดิต สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องเข้าใจเรื่อง "ดอกเบี้ย" ให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้กลายเป็นภาระหนี้จนเกิดทุกข์

ดอกเบี้ยมีหลายแบบ เข้าใจให้ถูก ช่วยประหยัดเงินจริง

ดอกเบี้ยคงที่ (Fixed Rate)
คือ อัตราดอกเบี้ยที่กำหนดไว้แน่นอนตั้งแต่เริ่มต้นจนจบสัญญา ผู้กู้จึงสามารถวางแผนผ่อนชำระได้อย่างมั่นใจ ไม่ต้องกังวลกับความผันผวนของดอกเบี้ยในตลาด เหมาะกับผู้ที่ต้องการความแน่นอนทางการเงิน อย่างสินเชื่อแบบไม่มีหลักประกัน ได้แก่ บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด และสินเชื่อแบบมีหลักประกัน ได้แก่ สินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถยนต์

ดอกเบี้ยลอยตัว (Floating Rate) ตรงกันข้ามกับแบบแรก ดอกเบี้ยลอยตัวจะปรับขึ้นลงตามภาวะตลาดการเงิน ซึ่งอิงกับตัวเลขมาตรฐานของแต่ละสถาบันการเงิน เช่น
- MLR (Minimum Loan Rate) สำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี
- MOR (Minimum Overdraft Rate) สำหรับลูกค้ารายใหญ่ทั่วไป
- MRR (Minimum Retail Rate) สำหรับลูกค้ารายย่อยชั้นดี
ใครเลือกใช้สินเชื่อแบบดอกเบี้ยลอยตัว จึงต้องติดตามทิศทางดอกเบี้ยอย่างใกล้ชิด เพราะมีผลต่อยอดผ่อนชำระในอนาคตโดยตรง


รู้ทันวิธีคิดดอกเบี้ย Flat Rate vs Effective Rate


ไม่ใช่แค่ประเภทของดอกเบี้ย แต่ "วิธีคิดดอกเบี้ย" ก็มีผลต่อเงินในกระเป๋า Flat Rate หรือเงินต้นคงที่ นิยมใช้ในสินเชื่อรถยนต์ หรือสินเชื่อผ่อนชำระสินค้า จะคำนวณดอกเบี้ยจากยอดกู้เต็มจำนวนตลอดอายุสัญญา ถึงแม้เงินต้นจะลดลง แต่ดอกเบี้ยคิดจากยอดเต็มตั้งแต่ต้นจนจบ ส่วน Effective Rate หรือลดต้นลดดอก มักใช้กับสินเชื่อบ้านหรือบัตรเครดิต โดยคำนวณดอกเบี้ยจากยอดหนี้คงเหลือในแต่ละงวด เมื่อเงินต้นลดลง ดอกเบี้ยก็ลดลงตาม ที่สำคัญคือ ตัวเลข Flat Rate มักดูต่ำกว่า แต่จริงๆ แล้วภาระดอกเบี้ยจริงอาจสูงกว่ามาก เช่น Flat Rate 18% อาจแปลงเป็น Effective Rate สูงถึง 32% ต่อปีเลยทีเดียว


บัตรเครดิต ใช้เป็นเหมือนอาวุธ ใช้ผิดกลายเป็นภาระ

หากใช้บัตรเครดิตอย่างมีวินัย บัตรเครดิตจะเป็นเครื่องมือทางการเงินที่สะดวกและมีประโยชน์ แต่ในขณะเดียวกันก็อาจเป็นจุดเริ่มต้นของหนี้สะสม หากขาดการบริหารจัดการที่ดี ดังนั้น ก่อนสมัครบัตรเครดิต ควรศึกษาและทำความเข้าใจข้อมูลให้ดี และพึงระลึกไว้เสมอว่าบัตรเครดิต คือ เงินอนาคต ที่ต้องชำระอย่างมีวินัยและรับผิดชอบ เมื่อถึงกำหนดเวลา โดยทั่วไปจะมีระยะปลอดดอกเบี้ยประมาณ 45-56 วัน แต่หากชำระล่าช้าเกินระยะเวลาที่กำหนด หรือจ่ายไม่เต็มจำนวน (การชำระค่าบัตรเครดิตขั้นต่ำอยู่ที่ 8% ของยอดค้างชำระ) ผู้ถือบัตรเครดิตจะต้องรับผิดชอบดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นแบบ Effective Rate ไม่เกิน 16% ต่อปี (รวมค่าปรับและค่าธรรมเนียมต่างๆ แล้ว) สำหรับค่าธรรมเนียมอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้น เช่น การใช้บัตรเครดิตเบิกถอนเงินสด จะคิดค่าธรรมเนียมในอัตรา 3% จากยอดเงินที่เบิก พร้อม VAT 7% (ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย ณ วันที่ 16 มิถุนายน 2568)

ดอกเบี้ยไม่ใช่เรื่องไกลตัว ความเข้าใจผิดเพียงเล็กน้อย อาจกลายเป็นภาระหนี้ก้อนใหญ่ในอนาคตได้ง่ายๆ สิ่งสำคัญคือ การมีวินัยทางการเงิน วางแผนหนี้ให้เหมาะสมกับรายได้ และรู้เท่าทันกลไกทางการเงินแต่ละแบบอย่างถ่องแท้ จะช่วยให้สามารถใช้สินเชื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้อย่างปลอดภัย

สภาทองคำโลก (World Gold Council: WGC) ได้เผยแพร่ผลการวิเคราะห์แนวโน้มของทองคำสำหรับปี 2568 โดยเน้นว่าอัตราดอกเบี้ย ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์จะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนปริมาณความต้องการทองคำในปี 2568

ผลการวิเคราะห์ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่ทองคำได้แสดงผลตอบแทนที่โดดเด่นในปี 2567 ที่ผ่านมา โดยมีอัตราการเติบโตรายปีสูงที่สุดในรอบ 24 ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทยได้ก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความต้องการทองคำผู้บริโภค (Consumer Gold Demand) แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียนสำหรับปี 2567 ทองคำมีผลการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยมในปี 2567 ที่ผ่านมา โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 25.5% สูงกว่าสินทรัพย์หลักประเภทอื่น ๆ ทั้งหมด ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากบทบาทของทองคำในการป้องกันความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์และความผันผวนของตลาดที่เพิ่มขึ้นในปีที่ผ่านมา โดยตลอดทั้งปีราคาทองคำจากสมาคมตลาดทองคำแห่งลอนดอนที่ทำการซื้อขายช่วงบ่าย (LBMA Gold Price PM) ได้ทำสถิติแตะระดับสูงสุดใหม่ถึง 40 ครั้ง โดยราคาสูงสุดตลอดกาล (All-Time High) ของทองคำครั้งล่าสุดนั้นอยู่ที่ 2,777.80 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา

คุณเซาไก ฟาน (Shaokai Fan) หัวหน้าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ไม่รวมประเทศจีน) และหัวหน้าธนาคารกลางระดับโลกของสภาทองคำโลก ให้ความเห็นว่า “การซื้อทองคำของธนาคารกลางและนักลงทุนได้ช่วยชดเชยการชะลอตัวของความต้องการภาคผู้บริโภคได้เป็นอย่างมาก นักลงทุนจากภูมิภาคเอเชียนั้นยังคงมีบทบาทอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่อัตราผลตอบแทนที่ลดลงและการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐในไตรมาส 3 ของปี 2567 ได้กระตุ้นกระแสการลงทุนจากฝั่งตะวันตก อย่างไรก็ตามบทบาทของทองคำในฐานะเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงท่ามกลางความผันผวนของตลาดและความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์นั้นน่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยอธิบายถึงผลการประกอบการที่น่าทึ่งนี้”

ตลาดโดยรวมคาดการณ์ว่าราคาทองคำจะเคลื่อนไหวภายในกรอบจำกัด สำหรับปี 2568

สภาทองคำโลกได้เปิดเผยว่า ความเห็นของตลาดโดยรวมนั้นคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยรวมเป็น 1.00% ภายในสิ้นปี 2568 โดยที่เงินเฟ้อจะชะลอตัวลงแต่ยังคงสูงกว่าระดับเป้าหมาย ด้านธนาคารกลางยุโรปมีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในระดับใกล้เคียงกันเช่นกัน สถานการณ์นี้อาจบ่งชี้ว่าผลการประกอบการของทองคำจะอยู่ในระดับปานกลางสำหรับปีนี้ แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้ว่าอาจจะมีปัจจัยอื่น ๆ เข้ามากระตุ้นในช่วงระหว่างปีนี้ได้ ทั้งนี้ การดำรงตำแหน่งสมัยที่สองของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ อาจสร้างแรงกระตุ้นให้กับเศรษฐกิจในประเทศไทย แต่ขณะเดียวกันก็สร้างความวิตกกังวลในระดับหนึ่งให้กับนักลงทุนทั่วโลกเช่นกัน

ภายใต้บริบทนี้ การดำเนินการของธนาคารกลางสหรัฐและความผันผวนของค่าเงินดอลลาร์ ฯ ก็ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อทองคำ แต่อย่างไรก็ดีช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นว่าปัจจัยเหล่านี้ไม่ใช่เพียงสิ่งเดียวที่กำหนดผลการดำเนินงานของทองคำ โดยสภาทองคำโลกได้ใช้กรอบแนวทางการวิเคราะห์ที่ครอบคลุมทุกปัจจัยและภาคส่วนที่ผลักดันอุปสงค์และอุปทานของทองคำ จากการวิเคราะห์บนพื้นฐานของ QaurumSM สภาทองคำโลกเชื่อว่าหากเศรษฐกิจโลกเป็นไปตามการคาดการณ์ในปี 2568 ทองคำอาจมีการซื้อขายภายในกรอบที่ใกล้เคียงกับช่วงปลายปีที่ผ่านมา และอาจมีโอกาสปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นได้ในบางสถานการณ์ความต้องการทองคำผู้บริโภคในประเทศไทยได้พุ่งสูงขึ้นในปี 2567

สภาทองคำโลกยังได้กล่าวถึงความต้องการทองคำผู้บริโภคของประเทศไทยในปี 2567 ที่มีความแข็งแกร่งและโดดเด่นอย่างน่าสนใจเป็นพิเศษ โดยทองคำเป็นสินทรัพย์ที่คนไทยเลือกและลงทุน ในช่วงที่เศรษฐกิจและการเมืองภายในประเทศมีความไม่แน่นอน

คุณเซาไก ฟาน กล่าวเสริมว่า “เราพบว่านักลงทุนไทยได้มองทองคำเป็นทั้งเครื่องมือรักษามูลค่าของทุนและการสร้างผลตอบแทนในระยะยาว โดยการลงทุนในทองคำแท่งและเหรียญทองคำของประเทศไทยยังคงมีความแข็งแกร่งเป็นพิเศษ แม้ว่าในระดับโลกความต้องการจะลดลง 9% แต่ความต้องการทองคำแท่งและเหรียญทองคำของผู้บริโภคไทยกลับสวนทางและเพิ่มขึ้นถึง 15% ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า นอกจากนี้ประเทศไทยยังเป็นผู้ซื้อทองคำแท่งและเหรียญทองคำรายใหญ่ที่สุดของกลุ่มประเทศอาเซียนสำหรับไตรมาสดังกล่าวอีกด้วย”

เงินเฟ้อและความเสี่ยงต่าง ๆ อาจช่วยกระตุ้นความต้องการทองคำให้สูงขึ้น

นโยบายการคลังที่เป็นมิตรกับธุรกิจมากขึ้น ผสานกับแนวทาง "America First" ของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ นั้นมีแนวโน้มที่จะช่วยปรับปรุงความเชื่อมั่นในกลุ่มนักลงทุนและผู้บริโภคในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการลงทุนที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น (Risk-On) ในช่วงเดือนแรก ๆ ของปี อย่างไรก็ตาม คำถามที่สำคัญคือนโยบายเหล่านี้จะนำไปสู่แรงกดดันต่อเงินเฟ้อและการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานหรือไม่

นอกจากนี้ความกังวลต่อเรื่องหนี้สาธารณะในยุโรปก็ได้กลับมาสร้างความกดดันอีกครั้ง ไม่นับว่าความไม่มั่นคงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงดำเนินต่อไป โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากเหตุการณ์ในประเทศเกาหลีใต้และซีเรียเมื่อเดือนธันวาคม 2567 สภาทองคำโลกเชื่อว่าปัจจัยเหล่านี้อาจกระตุ้นให้นักลงทุนมองหาสินทรัพย์ที่ช่วยป้องกันความเสี่ยง เช่น ทองคำ เพื่อเป็นเครื่องมือในการตอบรับกับสภาวะการณ์ดังกล่าว

 ธนาคารกลางยังคงเป็นผู้ซื้อสุทธิอย่างต่อเนื่อง

ธนาคารกลางนั้นเป็นผู้ซื้อสุทธิมายาวนานเกือบ 15 ปีติดต่อกัน1 และถึงแม้ว่าความต้องการทองคำจากธนาคารกลางในปีนี้อาจต่ำกว่าสถิติปีในที่ผ่านมา แต่สภาทองคำโลกมองว่าจะยังคงอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งและมีส่วนช่วยสนับสนุนให้เกิดตอบแทนของทองคำได้ในระดับประมาณ 7-10%  นอกจากนี้ธนาคารกลางจะยังคงเป็นหนึ่งในภาคส่วนที่สำคัญต่อทิศทางของทองคำต่อไป ซึ่งการซื้อทองคำของธนาคารกลางนั้นขึ้นอยู่กับนโยบายและยากที่จะคาดการณ์เป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตามการสำรวจและวิเคราะห์ของสภาทองคำโลกได้ชี้ให้เห็นว่าแนวโน้มปัจจุบันจะยังคงอยู่ในทิศทางเดิม และคาดการณ์ว่าความต้องการทองคำของธนาคารกลางระยะยาวโดยประมาณจะอยู่ที่ระดับสูงกว่า 500 ตัน และจะยังคงส่งผลกระทบสุทธิเชิงบวกต่อผลตอบแทนทองคำ ทั้งนี้สภาทองคำโลกมองว่าความต้องการของธนาคารกลางในปี 2568 อาจสูงกว่าระดับดังกล่าวได้ แต่ในทางกลับกันหากลดลงต่ำกว่าที่คาดการณ์สภาวะนี้อาจเพิ่มแรงกดดันต่อตลาดทองคำได้เช่นกัน

บทสรุปภาพรวมของทองคำในปี 2568 การวิเคราะห์ของสภาทองคำโลกซึ่งอ้างอิงจากโมเดลของ QaurumSM ระบุว่า หากความคาดหวังของตลาดในปัจจุบันนั้นถูกต้อง ราคาทองคำมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวอยู่ภายในกรอบไม่กว้างมาก (Rangebound) อย่างไรก็ตามการผสานระหว่างอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงอาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อนักลงทุนและผู้บริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคเอเชีย

ในทางกลับกันหากอัตราดอกเบี้ยลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และหากสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์หรือสภาวะตลาดเป็นไปในทิศทางที่ทรุดตัวลงกว่าเดิม ปัจจัยเหล่านี้จะทำให้ผลการดำเนินงานของทองคำปรับตัวดีขึ้น นอกจากนี้ ความต้องการทองคำจากธนาคารกลางซึ่งยังคงแข็งแกร่งจะช่วยสนับสนุนตลาดทองคำต่อไป ท้ายที่สุดแล้วราคาทองคำนั้นจะขึ้นอยู่กับปัจจัยขับเคลื่อนหลัก 4 ประการ ได้แก่ การขยายตัวทางเศรษฐกิจ ความเสี่ยงต่าง ๆ ต้นทุนค่าเสียโอกาสในการลงทุน และแรงผลักดันของแนวโน้มจากทิศทางตลาด

การประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยโดยคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) เมื่อวันที่ 17-18 กันยายนที่ผ่านมา นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่อาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจและการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ผลกระทบนี้ส่งผลชัดเจนอย่างยิ่งต่อตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล ที่มักมีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจมหภาค เช่น การปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่อาจช่วยเสริมสภาพคล่อง และโอกาสในการเติบโต โดยเฉพาะการลดต้นทุนการกู้ยืมที่สามารถกระตุ้นการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง นักลงทุนหลายคนจึงมองว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลมากยิ่งขึ้น

ภาพรวมพื้นฐานเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย และนโยบายล่าสุดของธนาคารกลางสหรัฐฯ

อัตราดอกเบี้ยที่กำหนดโดยธนาคารกลางมีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายทางการเงิน ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงต่อการกู้ยืม การใช้จ่าย และการตัดสินใจลงทุน ปัจจุบัน อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ได้ลดลงจากระดับสูงสุดในรอบ 23 ปีที่ 5.25%-5.50% ซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการควบคุมเงินเฟ้ออย่างเข้มงวดในช่วง 2 ปีครึ่งที่ผ่านมา โดยเงินเฟ้อได้ลดลงจาก 7.1% มาอยู่ที่ 2.5% โดยหลังจากวิกฤตโควิด-19 ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้มีปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นถึง 11 ครั้งภายในช่วงเวลาเพียงหนึ่งปี เพื่อควบคุมภาวะเงินเฟ้อโดยไม่ให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย

ศักยภาพในการฟื้นตัวของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล

ในแง่ของสินทรัพย์ดิจิทัล ผลกระทบจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะโดยทั่วไปแล้ว สินทรัพย์ดิจิทัล เช่น บิทคอยน์ มักมีปฏิกิริยาเชิงลบต่อการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยที่มุ่งควบคุมภาวะเงินเฟ้อ ในทางกลับกัน การปรับลดอัตราดอกเบี้ยมักถือเป็นปัจจัยที่ส่งผลเชิงบวกต่อสกุลเงินดิจิทัล ซึ่งถือเป็นสินทรัพย์เสี่ยง

 

นาย นิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไบแนนซ์ ทีเอช (BINANCE TH)  เผยความเห็นต่อทิศทางนี้ว่า “เราคาดว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้ จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อมูลค่าของสินทรัพย์ดิจิทัล เนื่องจากการลดอัตราดอกเบี้ยจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องในระบบการเงิน ซึ่งจะกระตุ้นความต้องการลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงและมีความเสี่ยง ยกตัวอย่างเช่น บิทคอยน์ที่เคยมีมูลค่าพุ่งสูงขึ้นถึง 375% ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ถึง 2565 ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยใกล้แตะระดับศูนย์”

การปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะช่วยลดต้นทุนการกู้ยืม ส่งผลให้เกิดการไหลเข้ามาของเงินทุนที่มักมุ่งไปยังสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง เช่น สินทรัพย์ดิจิทัล นอกจากนี้ ด้วยคุณสมบัติในการต้านภาวะเงินเฟ้อ อาจยิ่งทำให้บิทคอยน์มีแนวโน้มที่จะได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผู้คนเกิดความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ จากการคาดการณ์การใช้จ่ายและการกู้ยืมเงินที่เพิ่มสูงขึ้น อีกทั้งการอ่อนค่าของอัตราแลกเปลี่ยนดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งมักเกิดขึ้นพร้อมกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ย อาจยิ่งช่วยทำให้สินทรัพย์ดิจิทัลมีบทบาทสำคัญยิ่งขึ้น ในฐานะเกราะป้องกันความเสี่ยงจากลดค่าของเงินตรา

 

ปัจจัยเฉพาะที่มีผลต่อสินทรัพย์ดิจิทัล

นอกเหนือจากปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาคแล้ว บิทคอยน์และสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นๆ ยังมีลักษณะเฉพาะที่อาจส่งผลต่อแนวโน้มการเติบโต หนึ่งในนั้นคือ การเกิด Bitcoin Halving ที่ในอดีตมักส่งผลให้มูลค่าของบิทคอยน์ปรับตัวสูงขึ้นภายในระยะเวลา 6-8 เดือน ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าผลลัพธ์ในอดีตจะไม่สามารถคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แต่ปรากฏการณ์ Bitcoin Halving อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ทิศทางให้กับเหล่านักลงทุน และเมื่อผสานรวมกับการเข้ามาของ Spot ETFs รวมถึงสภาพคล่องที่เพิ่มขึ้นจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ยิ่งอาจส่งผลให้เงินทุนไหลเข้าสู่ตลาดคริปโตมากขึ้นตามไปด้วย

นาย นิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล กล่าวเพิ่มเติมว่า “การเกิดปรากฏการณ์ Bitcoin Halving และการเปิดตัวของ Spot ETFs ในช่วงที่ผ่านมา ถือเป็นแรงผลักดันสำคัญที่อาจมีส่วนช่วยเสริมสภาพคล่องจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยให้ไหลเข้าสู่อุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งถึงแม้ว่าเดือนกันยายน มักเป็นช่วงที่สินทรัพย์ดิจิทัลอ่อนตัว แต่ราคาก็มักจะฟื้นตัวและดีดสูงขึ้นอีกครั้งตั้งแต่เดือนตุลาคมเป็นต้นไป โดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ คาดว่าจะยิ่งเสริมแรงส่งให้ราคาดีดกลับตัวสูงขึ้นยิ่งกว่าเดิม”

นอกจากนี้ ขณะที่คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ กำลังเดินหน้าเตรียมปรับเปลี่ยนนโยบายทางการเงิน การประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ อาจนำไปสู่ยุคใหม่ของการปรับสมดุลทางเศรษฐกิจ (Economic recalibration) ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการเติบโตของอุตสาหกรรมคริปโตได้เช่นกัน

ถึงแม้ว่าผลกระทบจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลต่ออุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลนั้นยังคงมีความไม่แน่นอน แต่สัญญาณต่างๆ ได้บ่งชี้ให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งนี้ อาจเป็นจังหวะที่ดีสำหรับนักลงทุน เนื่องจากต้นทุนการกู้ยืมที่ลดลง และสภาพคล่องที่เพิ่มขึ้น ยิ่งทำให้อุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลมีความน่าสนใจ นอกจากนี้ จากการศึกษาเทรนด์ในอดีต รวมถึงปัจจัยเฉพาะด้านเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล ยังตอกย้ำให้เห็นว่าการปรับนโยบายในครั้งนี้ อาจเป็นแรงกระตุ้นที่เร่งให้เกิดการเติบโตของอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลได้อีกด้วย” นาย นิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล กล่าวปิดท้าย

SCB  CIO  ประเมินเศรษฐกิจโลกชะลอตัวจากเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง และการขึ้นดอกเบี้ยเร็วและแรง จนทำให้เกิดความกังวลภาวะเศรษฐกิจถดถอยในบางประเทศ สำหรับแนวโน้มตลาดการเงินโลก ความไม่แน่นอนจากสงครามและความเร็วในการขึ้นดอกเบี้ย จะทำให้ตลาดพันธบัตรและตลาดหุ้นผันผวน แนะสะสมหุ้นเติบโตยั่งยืนอัตรากำไรสูง บริหารความเสี่ยงเงินเฟ้อด้วยสินค้าโภคภัณฑ์  เช่น กลุ่มอาหาร และทยอยสะสมหุ้นจีน A-share หลังเศรษฐกิจจีนเปิดเมืองและออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีความเสี่ยงในด้านเงินเฟ้อและการขึ้นดอกเบี้ยต่ำกว่ากลุ่มประเทศอื่นๆ     

บมจ.นอร์ทอีส รับเบอร์ หรือ NER เสนอขายหุ้นกู้จำนวน 1,300 ล้านบาท อายุ 2 ปี 6 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5.85 ต่อปี โดยเสนอขายผู้ลงทุนสถาบัน ผู้ลงทุนรายใหญ่  เปิดจองระหว่าง 5 และ 7 - 8 เม.ย.นี้ เพื่อรองรับการขยายกำลังการผลิต

X

Right Click

No right click