November 24, 2024

บลจ.อเบอร์ดีน (ประเทศไทย) มองการท่องเที่ยวและการบริโภคในประเทศหนุน GDP โตไม่ต่ำกว่า 2.7% พร้อมด้วยกำไรจากบริษัทจดทะเบียนที่โตต่อเนื่อง และการเข้าลงทุนของกองทุนวายุภักษ์ เป็นตัวขับเคลื่อนดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสแตะ 1,500 จุดภายในปีนี้ ส่วนหุ้นสหรัฐฯ ยังน่าสนใจ ปัจจัยพื้นฐานและตัวเลขด้านเศรษฐกิจยังดี เชื่อตลาดผันผวนแค่ช่วงเลือกตั้ง

นางสาวดรุณรัตน์ ภิยโยดิลกชัย หัวหน้าฝ่ายการลงทุนตราสารทุน บลจ.อเบอร์ดีน (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยในช่วง 3-6 เดือน น่าจะมีโอกาสปรับตัวขึ้นไปที่ระดับ 1,500-1,530 จุด จากเดิมที่ประเมินไว้ช่วงต้นปีที่ 1,360-1,450 จุด โดยได้รับปัจจัยบวกจากการเติบโตของเศรษฐกิจ หรือ GDP ที่คาดการณ์จะเติบโตประมาณ 2.7% ในปีนี้ ขณะเดียวกันคาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยปีนี้จะพลิกกลับมาเป็นเติบโต และจะยังคงเติบโตต่อเนื่องในปีหน้า โดยคาดการณ์ EPS หรือกำไรต่อหุ้นปีนี้จะอยู่ที่ระดับประมาณ 90 บาทต่อหุ้น ขณะที่ระดับดัชนีปัจจุบัน สะท้อนถึงอัตราส่วน forward P/E ปีหน้า ที่ระดับต่ำกว่า 15 เท่า ประกอบกับทั้งความชัดเจนของการจัดตั้งรัฐบาลที่อาจส่งผลบวกต่อการเดินหน้านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ และเม็ดเงินจากการเข้าลงทุนของกองทุนรวมวายุภักษ์ แม้ในช่วงครึ่งปีแรกการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยจะชะลอตัวไปบ้าง จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ล่าช้า ทำให้การลงทุนภาครัฐชะลอออกไป แต่ภาคการท่องเที่ยวถือเป็นแรงขับเคลื่อนหลักที่ผลักดันให้เศรษฐกิจไทยยังคงเติบโตตามเป้าหมาย  โดยจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้แตะที่ระดับประมาณ 23 ล้านคน และช่วงไตรมาสที่ 4 จะเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น จึงมีโอกาสทำให้ปริมาณนักท่องเที่ยวเป็นตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 36-37 ล้านคน ขณะที่ปัจจัยที่ต้องติดตาม คือ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ที่จะทยอยออกมาภายใต้รัฐบาลนายกแพทองธาร ชินวัตร รวมไปถึงการลงทุนของภาครัฐ และเอกชน ทั้งนี้มองว่ากลุ่มท่องเที่ยว โรงพยาบาล รวมไปถึงกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคและ Consumer Finance จะมีโอกาสเติบโตในช่วงที่เหลือของปีนี้

ขณะที่นาย David Hanzl, Head of Wholesale – Asia Pacific จากอเบอร์ดีน กล่าวว่า ยังคงมีมุมมองบวกต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเรามองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเติบโตชะลอตัว แต่ยังไม่ถึงกับถดถอย ขณะที่อัตราว่างงานที่เพิ่มสูงขึ้น และอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวลดลงตามลำดับ ทำให้ตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด อาจตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้ในอนาคต

ส่วนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบให้ตลาดผันผวนในระยะสั้น แต่ควรมองไปที่ระยะกลางและระยะยาว รวมทั้งโฟกัสกับคุณภาพของบริษัท โดยยังมองเห็นโอกาสการเติบโตที่ดีในกลุ่ม Healthcare กลุ่ม Consumer Staples ส่วนกลุ่ม Technology แม้ราคาขึ้นไปสูงแล้วแต่พื้นฐานก็ยังเติบโตได้ดี ส่วนตลาดเอเชียก็ยังน่าสนใจ แม้ว่าจีนจะเผชิญกับความท้าทาย ทั้งปัจจัยภูมิรัฐศาตร์ และภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยังคงชะลอตัว แต่มูลค่าหุ้นจีนยังอยู่ในระดับต่ำมาก อีก

ทั้งกำไรบริษัทจดทะเบียนในจีนส่วนใหญ่ยังคงเติบโตต่อเนื่อง ขณะที่ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค อย่างอินเดีย ญี่ปุ่น รวมไปถึงประเทศในอาเซียน ยังมีโอกาสเติบโตที่ดี และน่าจะได้อานิสงส์จากกรณีความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน สำหรับตราสารหนี้เรามองว่า Frontier Market ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจและจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงตามไปด้วย

ดังนั้น ผู้ลงทุนควรกระจายการลงทุนและการจัดสรรสินทรัพย์ (Asset Allocation) ไปยังหลากหลายประเภทสินทรัพย์ ทั้งตราสารหนี้ หุ้น และสินทรัพย์ทางเลือก อีกทั้งครอบคลุมภูมิภาคทั้งตลาดพัฒนาแล้ว และตลาดเกิดใหม่ โดยอาจจัดพอร์ตการลงทุนแบบ Core & Satellite ซึ่งเป็นกลยุทธ์การลงทุนแบบยืดหยุ่นที่ผู้ลงทุนสามารถจัดพอร์ตให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การลงทุนระยะยาว และแสวงหาโอกาสในการลงทุนระยะสั้น อเบอร์ดีนแนะนำกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศทั้งกองทุนหุ้นและตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอและมีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง เช่น กองทุนเปิด อเบอร์ดีน โกลบอล ไดนามิค ดีวีเด็น (ABGDD - กองทุนมีความเสี่ยงระดับ 6) ที่เน้นลงทุนในหุ้นเติบโตและหุ้นคุณค่าทั่วโลกที่มีโอกาสการเติบโตสูง ผ่านกองทุนหลัก พร้อมทั้งลงทุนในบริษัทที่มีการจ่ายเงินปันผลอย่างต่อเนื่อง และมีโอกาสสร้างผลกำไรจากราคาหุ้น โดยที่ผ่านมากองทุนหลักมีอัตราการจ่ายปันผลอยู่ที่ประมาณ 6% ต่อปี

นอกจากนี้ยังแนะนำกองทุนอเบอร์ดีน โกลบอล เอนแฮนซ์ ฟิกซ์ อินคัม (ABGFIX - กองทุนมีความเสี่ยงระดับ 4) ที่กองทุนหลัก abrdn SICAV I Short Dated Enhanced Income Fund, Class Z Acc USD เน้นลงทุนในตราสารหนี้ที่มีเรตติ้งที่ดีมีคุณภาพ ความผันผวนต่ำ และมีสภาพคล่องสูง โดยมีการกระจายการลงทุนไปยังตราสารหนี้ทั่วโลก ครอบคลุมตลาดพัฒนาแล้วและตลาดเกิดใหม่ในหลากหลายอุตสาหกรรม  ขณะที่กองทุนหุ้นไทยที่แนะนำ ได้แก่ กองทุนเปิด อเบอร์ดีน สมอล-มิดแค็พ ( - กองทุนมีความเสี่ยงระดับ 6เน้นลงทุนหุ้นขนาดกลางและเล็กที่มีศักยภาพสูงพร้อมเติบโตเป็นบริษัทใหญ่ในอนาคต ซึ่งได้ประโยชน์จากการเติบโตเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจในประเทศไทย เช่น กลุ่มท่องเที่ยว กลุ่มธุรกิจสุขภาพ และกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากเทรนด์ที่บริษัททั่วโลกย้ายฐานการผลิตออกจากจีนไปสู่ประเทศอื่น ๆ รวมไปถึงอาหารและเครื่องดื่มสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวน โทร. 02-352-3388 หรืออีเมล This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีต/ผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุนมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ข้อมูลข้างต้นเป็นเพียงการนำเสนอข้อคิดเห็น ซึ่งอาจแตกต่างจากเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นจริงได้และไม่ได้เป็นการแนะนำในการจัดพอร์ตการลงทุน น้ำหนักและธีมการลงทุนอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม การลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้ได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรก กองทุนรวมต่างประเทศมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน โดยปัจจุบันกองทุน ABGFIX ไม่ใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน

นางสาวดรุณรัตน์ ภิยโยดิลกชัย หัวหน้าฝ่ายการลงทุนตราสารทุน บลจ.อเบอร์ดีน (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลงมาเนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่างประเทศเช่นเดียวกันตลาดอื่นๆ ทั้งประเด็นสงคราม อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (บอนด์ยีลด์) ที่ปรับตัวสูงขึ้น และภาวะเศรษฐกิชะลอตัวแบบ Soft Landing ขณะที่ปัจจัยในประเทศ การปรับประมาณกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ). ลงอย่างต่อเนื่องของนักวิเคราะห์ที่ยังไม่สิ้นสุด กดดัชนีลง ประกอบกับช่วงเลือกตั้งและหลังเลือกตั้งยังไม่มีการใช้จ่ายหนุนเศรษฐกิจ โดยมอง Downside ดัชนีหุ้นไทยแถว 1,300-1,350 จุด ซึ่งระดับ 1,300 จุด กรณีที่สงครามอิสราเอลและกลุ่มฮามาลขยายวงกว้างมากขึ้น

สำหรับการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในสัปดาห์นี้คาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ย และรอดูการส่งสัญญาณอัตราดอกเบี้ย โดยประเด็นที่ต้องติดตาม คือ การรายงานตัวเลขเศรษฐกิจ ตัวเลขการจ้างงาน ที่จะเป็นทริกเกอร์ว่าเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัวลงและราคาหุ้นก็จะปรับตัวลง ซึ่งจะเป็นจังหวะให้เข้าซื้อ

"อเบอร์ดีนมองราคาหุ้นไทยลงมามาก เป็นจังหวะทยอยสะสม จากช่วงก่อนเลือกตั้งดัชนีอยู่แถว 1,570 จุด ตอนนี้ลงมากว่า 200 จุด หลักๆ จากกำไรบจ.ที่ถูกหั่นลง กดดัชนีปัจจุบันอยู่แถว 1,370-1,380 จุด อยู่ในระดับที่น่าสนใจมากกว่าเดิม ขณะที่ P/E ตอนนี้ 14 เท่า เมื่อเทียบกับในอดีต 17-18 เท่า ซึ่ง Discount เยอะมาก มอง Dowside ไม่มากแล้ว ซึ่ง 6 เดือนข้างหน้าต้องติดตามกำไรบจ. เป็นหลัก"นางสาวดรุณรัตน์ กล่าว

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนโฟกัสที่ปัจจัยพื้นฐาน หุ้นต้องเติบโตไปต่อได้ ไม่มีความเสี่ยงหรือได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงหรือหากต้นทุนเพิ่มขึ้นสามารถส่งผ่านไปได้ โดยมองกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจ ได้แก่ กลุ่มโรงพยาบาล ซึ่งคาดว่าผลประกอบการในไตรมาส 3/66 จะออกมาค่อนข้างดี เพราะคนไข้ที่เข้ารักษาในโรงพยาบาลเพิ่มมากขึ้นจากการระบาดของไข้หวัด และหากดูมูลค่าหุ้ Valuation มากกว่าครึ่งของกลุ่มใน SET ทั้งหมดเทรดต่ำกว่า PE ค่าเฉลี่ย 10 ปี ที่ระดับ 30-50% แล้ว

นอกจากนี้ในกลุ่มท่องเที่ยว จากประมาณการณ์นักท่องเที่ยวปี 2566 ทั้งหมด 28 ล้านคน อาจลดลงเล็กน้อย จากนักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามาในประเทศน้อยกว่าที่คาดไว้ แต่ยังมีนักท่องเที่ยวจากประเทศอื่น ๆ เข้ามาชดเชย เช่น อินเดีย รัสเซียและมาเลเซีย รวมทั้งจากการพูดคุยกับผู้ประกอบการในกลุ่มธุรกิจยังเห็นการเติบโตของค่าห้องพัก และยังไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามในตะวันออกกลาง เนื่องจากมีสัดส่วนนักท่องเที่ยวจากอิสราเอลค่อนข้างน้อยมาก

ขณะที่กลุ่มโรงไฟฟ้า อาจต้องหลีกเลี่ยงไปก่อน เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายในการลดค่าครองชีพ ส่งผลให้รายได้กลุ่มโรงไฟฟ้าถูกจำกัด ในขณะที่ต้นทุนยังผันผวนอยู่ ยังมีความเสี่ยงในเรื่องของการทำกำไร ส่วนกลุ่มค้าปลีกจากประมาณการของนักวิเคราะห์ยังไม่ได้ให้น้ำหนักกับนโยบาย Digital Wallet กับกลุ่มที่เป็นบริษัทจดทะเบียน เนื่องจากยังไม่มีความชัดเจนในนโยบาย ซึ่งมองว่าหากมีการปรับเงื่อนไขและใช้วงเงินน้อยลงจากเดิมที่คาดการณ์ไว้ 4-5 แสนล้านบาท และมีการลงทุนระยะยาวเพื่อผลักดันจีดีพีเติบโตน่าจะเป็นทางเลือกที่ดี

"อเบอร์ดีนมองว่าราคาหุ้นที่ลงมาถึงระดับหนึ่ง นักลงทุนต่างชาติจะกลับเข้ามาลงทุน และเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นเอเชียถือว่าหุ้นไทยไม่ได้แพง เมื่อเทียบกับเสถียรภาพโดยรวม แต่ต้องรอดูจุดขายของรัฐบาลเพื่อดึงดูดนักลงทุนหรือหากรัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เป็นข่าวดี ดัชนีน่าจะมี Sentiment ที่ดี โดยอเบอร์ดีนปรับประมาณการ 6-12 เดือนข้างหน้า จากเดิมกรอบดัชนีอยู่ที่ 1,530-1,663 จุด เป็น 1,444-1,560 จุด กรณี Best Case อยู่ที่ 1,494-1,618 จุด"นางสาวดรุณรัตน์ กล่าว

พร้อมกันนี้แนะนำกองทุน ABSM ลงทุนหุ้นไทยขนาดกลางและเล็ก ซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตของกำไรที่ดี โดยกองทุนจะเน้นลงทุน 4 ธีม ท่องเที่ยว เฮลธ์แคร์ EV อาหารและเครื่องดื่ม

ด้านนายจอช ดิวทซ์ รองหัวหน้าทีมโกลบอลเอคควิตี้ อเบอร์ดีน เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอตัวแบบ Soft landing เงินเฟ้อเริ่มลดลง สถานการณ์ดีขึ้นเมื่อเทียบปีก่อนที่กังวลเศรษฐกิจอาจเกิด Hard landing ขณะที่สงครามในตะวันออกกลางมีความกังวลอยู่บ้าง แต่มองกำไรบริษัทจดทะเบียนเริ่มเห็นสัญญาณที่ดีและคาดว่าไตรมาส 4/66 กำไรน่าจะดีขึ้น ในแง่ของการลงทุนมองราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมาเป็นโอกาสลงทุน โดยเฉพาะหุ้นปันผล

สำหรับกองทุนเปิดอเบอร์ดีน โกลบอล ไดนามิค ดีวิเดนด็น ฟันด์ (ABGDD) เน้นลงทุนหุ้นปันผลทั่วโลก ซึ่งกองทุนเน้นหุ้น Value มากกว่าหุ้น Growth เนื่องจากมีความสม่ำเสมอและมีความมั่นคง ซึ่ง 3 ปีล่าสุดราคาหุ้นปรับตัวลงมาเมื่อเทียบ หุ้น Growth เมื่อเทียบหลายวิกฤตที่ผ่านมาหุ้น Value มักจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า ซึ่งรอบนี้หุ้น Growth ปรับตัวขึ้นมามากจากหุ้นบิ๊กเนม 7 ตัว มีขนาด 1 ใน 3 ของมาร์เก็ตแคปตลาดหุ้นสหรัฐดึงหุ้นกลุ่มเทคขึ้นมา แต่มองในฝั่งหุ้น Value โอกาสในการลงทุนกำลังมา

"อเบอร์ดีนมองโอกาสลงทุนหุ้นปันผลดี สม่ำเสมอและมีโอกาสเติบโต จากสถิติหุ้นตัวไหนที่จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอและโอกาสเติบโตได้ ภาพระยะยาวจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหุ้นตัวที่ลดการจ่ายเงินปันผลหรือไม่จ่ายปันผล สะท้อนภาพ 10 ปีที่ผ่านมา อีกทั้งการลงทุนหุ้นปันผลยังเป็นการกระจายความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ และหากเลือกหุ้นที่ดีมีโอกาสเพิ่มผลตอบแทนจากเงินปันผล เป็นความเซ็กซี่ของหุ้นกลุ่มนี้ ขณะที่ราคาหุ้น Value ปรับตัวลงมามาก ถึงจุดน่าสนใจ โดยเฉพาะเมื่อเทียบอดีตใกล้เคียงช่วงก่อนเกิดโควิด จึงมองเป็นจังหวะเข้าลงทุนหุ้นดี ราคาเหมาะสมและถูก"นายจอช กล่าว

นอกจากนี้ในภาวะตลาดขาลง หุ้น Value ก็ปรับตัวลงน้อยกว่าตลาด เนื่องจากบริษัทที่มีการจ่ายเงินปันผลระดับสูงมักมีโมเดลธุรกิจที่มีความมั่นคง กระแสเงินสดดี งบดุลแข็งแกร่งและบริษัทมีการบริหารจัดการภายใน เพื่อเตรียมเงินไว้จ่ายปันผล ซึ่งจากสถิติหุ้นที่มีการจ่ายปันผลดี สม่ำเสมอและมีโอกาสเติบโตให้ผลตอบแทนที่ดีและความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้นอื่นๆ

นายจอช กล่าวว่า ภาพรวมมูลค่าการจ่ายเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียนทั่วโลกเพิ่มขึ้นตอเนื่องอยู่ที่ 1.93 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เติบโต 8.4% ต่อปี ซึ่งเติบโตทุกภูมิภาค ส่วนหนึ่งมาจากหลายบริษัทมีสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง กระแสเงินสดดีสามารถจ่ายเงินปันผลได้และมีแนวโน้มการเติบโต

สำหรับกองทุน ABGDD เน้นลงทุนหุ้นพื้นฐานดีที่ปันผลสม่ำเสมอและมีโอกาสเติบโต สัดส่วน 95% ของพอร์ต ส่วน 5% ที่เหลือมองหาเงินปันผลที่มากกว่ากองทุนอื่นๆ โดยจะหาหุ้นบริษัทที่ดีเพื่อเข้าซื้อหุ้นก่อนขึ้นเครื่องหมาย XD และบางจังหวะจะใส่เงินเพิ่มเพื่อรับเงินปันผลเพิ่มมากขึ้น หรือหาหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลแบบพิเศษ ซึ่งบางบริษัทอาจปรับโครงสร้างงบดุลภายในให้สถานการณ์ดีหรือมีการขายสินทรัพย์หรือบริษัทลูกมีเงินสดเข้ามาก็สามารถจ่ายเงินปันผลพิเศษได้

"กองทุน ABGDD มุ่งสร้างผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ 7% ต่อปี เพื่อให้ Stable มั่นคงและยั่งยืน สะท้อนได้จากการจ่ายเงินปันผลทุกเดือน ในอดีตสามารถปันผลได้ในระดับ 5-7% ต่อปีและในปี 2565 ที่ตลาดปรับตัวลงกองทุนยังสามารถจ่ายผลตอบแทนได้ 8.04% เนื่องจากบริษัทที่ลงทุนแม้จะจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ แต่มีรายได้จากยุโรปและเอเชียด้วย"นายจอช กล่าว

"บลจ.อเบอร์ดีน" เปิดตัว "กองทุนเปิด อเบอร์ดีน ไชน่า A Share ซัสเทนเนเบิล เอคควิตี้ ฟันด์ (ABCA)" เน้นลงทุนอย่างยั่งยืนในหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ ชูจุดเด่นที่แตกต่าง กองทุนหลักเฟ้นหุ้นคุณภาพ วิเคราะห์เชิงลึก ผนึก ESG ในกระบวนการลงทุน หนุนผลงานติดชาร์ตแถวหน้า โฟกัสลงทุน 5 ธีมหลัก เน้นการบริโภคในประเทศ เทคโนโลยี พลังงานสะอาด การบริหารสินทรัพย์และความมั่งคั่ง และเฮลท์แคร์ที่ได้ประโยชน์จากการเติบโตเศรษฐกิจจีน และนโยบายสนับสนุนของภาครัฐ เปิดขาย IPO ระหว่าง 6-16 มิ.ย.2566

นายโรเบิร์ต เพนนาโลซา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อเบอร์ดีน จำกัด (ประเทศไทย) หรือ บลจ.อเบอร์ดีน เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นจีนถือเป็นอีกตลาดที่นักลงทุนให้ความสนใจ ท่ามกลางความกังวลว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในฝั่งตลาดพัฒนาแล้ว อย่างสหรัฐอเมริกาและยุโรป ยิ่งทำให้ตลาดจีนโดดเด่น ด้วยเศรษฐกิจจีนยังคงเติบโตได้ดี ในขณะที่ภาครัฐเดินหน้าใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย อีกทั้งนโยบายการคลังก็ยังเอื้อต่อการขับเคลื่อนการเติบโต และช่วยให้การฟื้นตัวของจีนยั่งยืนมากขึ้น

"บลจ.อเบอร์ดีน มองว่าตลาดหุ้น A-Shares น่าสนใจจากปัจจัยสนับสนุนหลายด้าน โดยเฉพาะภาคการบริโภคในประเทศจีนเริ่มเห็นการฟื้นตัวที่ดีขึ้น โดยคาดว่าครึ่งปีหลังนี้ การบริโภคจะเป็นแรงส่งหลักหนุนเศรษฐกิจจีนให้เติบโต และที่สำคัญ Valuation หุ้นจีน A-Share ยังคงอยู่ในระดับต่ำ สวนทางกับผลประกอบการของบริษัทต่าง ๆ ในตลาด A-Shares ที่เริ่มฟื้นตัวดีขึ้น จึงมองเป็นโอกาสให้นักลงทุนระยะยาวเข้าลงทุนในสินทรัพย์คุณภาพที่ราคาน่าดึงดูดใจและเป็นทางเลือกสำหรับการจัดสรรพอร์ตการลงทุน" นายโรเบิร์ต กล่าว

บลจ.อเบอร์ดีนเตรียมเปิดขายกองทุนเปิด อเบอร์ดีน ไชน่า A Share ซัสเทนเนเบิล เอคควิตี้ ฟันด์ (ABCA) ลงทุนแตกต่างอย่างยั่งยืนในหุ้นจีน A Share ซึ่งเป็นกองทุนรวมตราสารทุน Feeder Fund ความเสี่ยงระดับ 6 มีนโยบายลงทุนในตราสารทุนเป็นหลักโดยเฉลี่ยในรอบปีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV โดยลงทุนผ่านหน่วยลงทุนของกองทุน Aberdeen Standard

SICAV I China A Share Sustainable Equity Fund (กองทุนหลัก) ที่ได้รับการจัดอันดับกองทุน overall rating 5 ดาวจาก Morningstar (ที่มา: Morningstar Direct, มีนาคม 2566)

จุดเด่นที่แตกต่างของกองทุนหลัก ประกอบด้วย 1.ESG embedded วิเคราะห์เชิงลึกในทุกกระบวนการลงทุน ตั้งแต่การคัดเลือกหุ้นเข้าพอร์ต ประเมินและให้คะแนน โดยใช้เกณฑ์ ESG ของอเบอร์ดีน รวมกับเกณฑ์มาตรฐานจากแหล่งที่มาอื่น ที่สำคัญอเบอร์ดีนยังเข้าไปมีส่วนร่วม (engage) สนับสนุนให้บริษัทที่ลงทุนมีการพัฒนาด้าน ESG ให้ดียิ่งขึ้น 2. High quality คัดเฉพาะหุ้นคุณภาพเข้าพอร์ต 30-40 ตัว ด้วยทีมงานที่มีประสบการณ์ในหุ้นจีนมากว่า 30 ปี 3. Diversified portfolio กระจายลงทุน 5 ธีมหลัก เน้นการบริโภคในประเทศ เทคโนโลยี พลังงานสะอาด การบริหารสินทรัพย์และความมั่งคั่ง และเฮลท์แคร์ 4. Strong track record: ผลการดำเนินงานโดดเด่นจากการจัดอันดับของ Morningstar อยู่ในอันดับต้นของกลุ่ม (Top-quartile) นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุน (ที่มา: Morningstar, abrdn, ธันวาคม 2565, จัดตั้งกองทุน 16 มีนาคม 2558)

ทั้งนี้ ด้วยจุดเด่นที่แตกต่างของกองทุนหลัก ส่งผลบวกต่อพอร์ตการลงทุน ข้อมูล ณ เดือนมีนาคม 2566 มีอัตราตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ติดลบ 22% แสดงให้เห็นกลยุทธ์การเลือกหุ้นของกองทุนหลักที่เน้นหลีกเลี่ยงการลงทุนในบริษัทที่มีหนี้ ขณะที่อัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) อยู่ในระดับสูงกว่าดัชนีชี้วัด สะท้อนหุ้นในพอร์ตที่เติบโตสูง แต่มีหนี้สินอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับดัชนีชี้วัด (ที่มา: abrdn, Factset ข้อมูล ณ มีนาคม 2566)

สำหรับธีมการลงทุนจะเน้นใน 5 ธีมหลักที่จะได้ประโยชน์จากการเติบโตของเศรษฐกิจจีน และนโยบายสนับสนุนของภาครัฐ ได้แก่ ธีม Aspiration กลุ่มการบริโภคในประเทศ จากความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นของคนจีนนำไปสู่การเติบโตอย่างรวดเร็วของการบริโภคทั้งสินค้าและบริการในระดับพรีเมียม เช่น ภาคการท่องเที่ยว อาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ส่วนบุคคล โดยมีน้ำหนักการลงทุนในธีมนี้ 36.6% ธีม Digital ปัจจุบันการเชื่อมต่อดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นท่ามกลางการยอมรับด้านเทคโนโลยีอย่างแพร่หลาย สะท้อนอนาคตที่สดใสของธุรกิจความปลอดภัยทางไซเบอร์ ธุรกิจคลาวด์ ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ และบ้านอัจฉริยะ โดยมีน้ำหนักการลงทุนในธีมนี้ 16.3%

ธีม Green พลังงานสะอาด ซึ่งจีนเป็นหนึ่งในผู้นำขับเคลื่อนทั้งการใช้พลังงานหมุนเวียน การผลิตแบตเตอรี่และยานยนต์ไฟฟ้า โครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง และการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมเพื่ออนาคต โดยมีน้ำหนักการลงทุนในธีมนี้ 11.4% ธีม Health เฮลท์แคร์ ด้วยแนวโน้มรายได้คนจีนที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้คนมีกำลังซื้อและหันมาดูแลสุขภาพมากขึ้น ส่งผลดีต่อ

ธุรกิจโรงพยาบาลชั้นนำ ผู้ผลิตอุปกรณ์การแพทย์ รวมถึงผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อดูแลสุขภาพต่าง ๆ โดยมีน้ำหนักการลงทุนในธีมนี้ 12.2% และธีม Wealth อุตสาหกรรมบริหารสินทรัพย์และความมั่งคั่งในจีนเติบโตขึ้น ทั้งการเติบโตเชิงโครงสร้างต่างๆ ที่สำคัญ ซึ่งส่งผลดีต่อธุรกิจสินเชื่อผู้บริโภค ธุรกิจบริการด้านการลงทุน และธุรกิจประกัน โดยมีน้ำหนักการลงทุนในธีมนี้ 15% (ที่มา: abrdn ข้อมูล ณ วันที่ 31 มี.ค. 2023 ทั้งนี้ ธีมการลงทุนดังกล่าวอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสมในอนาคต)

สำหรับตัวอย่างหุ้นที่กองทุนหลักลงทุน ได้แก่ China Tourism Group Duty Free ผู้ให้บริการจำหน่ายสินค้าปลอดภาษีชั้นนำในจีน ได้รับแรงสนับสนุนจากนโยบายของรัฐบาลจีน ที่ต้องการดึงให้คนจีนที่เดินทางต่างประเทศ กลับมาใช้จ่ายภายในประเทศ , Nari Technology บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของจีน ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการจัดหาผลิตภัณฑ์และบริการที่ล้ำสมัย ซึ่งรวมถึงปัญญาประดิษฐ์ ระบบอัตโนมัติของหุ่นยนต์ และบริการคลาวด์

หุ้น CATL บริษัทผู้ผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของจีนที่มีส่วนแบ่งการตลาดอันดับต้นๆ ของโลก , หุ้น Shenzhen Mindray ผู้ผลิตอุปกรณ์การแพทย์รายใหญ่ที่สุดของจีน ด้วยผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพที่หลากหลาย มีมาร์เก็ตแชร์สูงทั้งในอเมริกาและยุโรป , หุ้น China Merchants Bank ผู้ให้บริการทางการเงินที่หลากหลาย โดยมีความแข็งแกร่งด้านธุรกิจธนาคารเพื่อรายย่อย อีกทั้งธุรกิจบริหารความมั่งคั่งมีแนวโน้มเติบโตอย่างรวดเร็วอีกด้วย (ที่มา: abrdn, มีนาคม 2566 ทั้งนี้การลงทุนในหุ้นอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสมในอนาคต)

เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสการลงทุนที่แตกต่างเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในตลาดหุ้นจีน กองทุน ABCA เสนอขายชนิดสะสมมูลค่า (ABCA-A) ลงทุนเพื่อโอกาสในการรับผลตอบแทนจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าหน่วยลงทุนในระยะยาวครั้งแรก (IPO) ระหว่างวันที่ 6-16 มิถุนายน 2566

พิเศษ! นักลงทุนสามารถเปิดบัญชีเพื่อลงทุนผ่าน abrdn mobile application ได้แล้ววันนี้ เพียงค้นหา abrdn บน App Store หรือ Play Store สำหรับนักลงทุนที่เปิดบัญชีสำเร็จภายในวันนี้ - 30 มิถุนายน 2566 จะได้รับ Starbucks E-voucher มูลค่า 200 บาท (เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด)

X

Right Click

No right click