November 22, 2024
×

Warning

JUser: :_load: Unable to load user with ID: 10972

JUser: :_load: Unable to load user with ID: 810

ม.ล. จิรเศรษฐ ศุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.กรุงเทพประกันชีวิต (BLA) ที่เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา คือหนึ่งในผู้ที่แวดวงประกันภัยรู้จักกันเป็นอย่างดี ทั้งด้านการตลาด การประกันชีวิต การประกันวินาศภัย ตลอดจนความเชี่ยวชาญด้านการเงิน

การมารับตำแหน่งที่กรุงเทพประกันชีวิตครั้งนี้เขามาพร้อมกับแผนงานที่จะทำให้บริษัทเติบโต ตามทิศทางเศรษฐกิจและตลาดประกันชีวิตในประเทศไทยที่ยังมีโอกาสอยู่อีกมาก แยกเป็น  4 ด้านประกอบด้วย

BE A LEADER ก้าวแรกที่จะนำพาให้องค์กรเดินหน้าสู่ความสำเร็จ คือการพัฒนาองค์กรให้มีความพร้อมในด้านต่างๆ มากยิ่งขึ้นมีความคล่องตัวและทันสมัยอยู่เสมอ รวมทั้งนำนวัตกรรมมาช่วยในการขับเคลื่อนองค์กรเพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับผู้บริโภค  โดยตั้งเป้าหมายให้กรุงเทพประกันชีวิตเป็น Top of Mind ในใจของผู้บริโภค โดยอาศัยความเป็นมืออาชีพของบุคลากรในองค์กร

BE A PROFESSIONAL โดยจะร่วมมือกับพันธมิตร  การปรับกลยุทธ์ทางการตลาดและช่องทางการขายเพื่อให้มีประสิทธิผลมากขึ้น โดยในช่วงที่ผ่านมากรุงเทพประกันชีวิตมีการพัฒนาช่องทางการขายทั้งช่องทางธนาคาร ช่องทางออนไลน์ ช่องทางขายตรง โดยเฉพาะช่องทางตัวแทนที่บริษัทฯ มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์และเครื่องมือการขายต่างๆ ที่จะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการให้บริการของตัวแทนและที่ปรึกษาการเงินกรุงเทพประกันชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมทั้งการพัฒนาศักยภาพของที่ปรึกษาการเงินร่วมกับพันธมิตร และมีขั้นตอนการอบรมอย่างเป็นระบบ โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีจำนวนนักวางแผนการเงินที่ได้รับคุณวุฒิ CFP® และ AFPT™ มากกว่า 100 คน

 โดยบริษัทฯ ร่วมผนึกกำลังกับ 3 พันธมิตร  ได้แก่ กรุงเทพประกันชีวิต กรุงเทพประกันภัย และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมบัวหลวง ร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์ ส่งเสริมการให้ความรู้แก่ที่ปรึกษาการเงิน ให้มีความเชี่ยวชาญ มีความรู้ทันสถานการณ์ต่างๆ ของโลกที่เปลี่ยนไป รวมถึงพัฒนาเครื่องมือการขายเพื่อเพิ่มความสะดวกสบาย และความแม่นยำในการวางแผนการเงินให้แก่ลูกค้า อาทิ แอปพลิเคชัน 3B LINK การวางแผนการลงทุนคู่ความคุ้มครอง

BE CUSTOMER CENTRIC ด้วยแนวคิดสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า และเจาะกลุ่มลูกค้าเพิ่มมากขึ้น   อาทิ “บีแอลเอ เพรสทีจ ไลฟ์” ซึ่งออกแบบสำหรับลูกค้าที่มีความต้องการ ได้รับความคุ้มครองระดับสูงที่ครอบคลุมแผนด้านมรดก “ห่วงรัก สมาร์ท” สำหรับประชาชนทั่วไปที่เพิ่มความคุ้มครองด้านอุบัติเหตุ หรือแบบประกันที่ให้ความคุ้มครองเพิ่มเติมสำหรับโรคร้ายแรง เช่น บีแอลเอ อุ่นใจ โรคร้าย และบีแอลเอ ซูเปอร์ แคร์ คุ้มครองกลุ่มโรคร้ายแรงอย่างครอบคลุม และผลิตภัณฑ์อื่นๆ อีกมากมาย

BE INNOVATIVE   โดยการพัฒนาแอปพลิเคชันหลากหลายเพื่อให้พนักงาน ตัวแทน และลูกค้า ได้ใช้งานสะดวกสบายมากที่สุด กลุ่มแรกคือกลุ่มสมาร์ทแอปพลิเคชันและเครื่องมือออนไลน์ ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับทั้งตัวแทนและลูกค้า เช่น BLA Smart Customer ที่ออกแบบเพื่อให้ลูกค้าทำธุรกรรม ต่างๆ เกี่ยวกับกรมธรรม์ที่ตนเองถือครองอยู่ได้ง่ายๆ BLA Smart Fund แอปพลิเคชันที่จะช่วยให้ผู้ลงทุนที่ลงทุนผ่านที่ปรึกษาการเงินกรุงเทพประกันชีวิต สามารถติดตามดูข้อมูลกองทุนที่สนใจ จัดทำพอร์ตการลงทุนจำลอง และเข้าถึงข้อมูลพอร์ตจริงที่ซื้อกับกรุงเทพประกันชีวิตได้ง่ายกว่าเดิม หรือ BLA Smart Agent และ BLA Smart FA ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การทำงานของตัวแทนและที่ปรึกษาการเงินกรุงเทพประกันชีวิต เพิ่มเติมด้วย BLA Smart GO ตัวล่าสุดที่ออกมาเพื่อรองรับการทำงานของฝ่ายขายได้วางแผนให้ลูกค้าอย่างสะดวกสบายยิ่งขึ้น

 นอกจากนี้ยังได้ออกแอปพลิเคชันใหม่เพื่อให้ลูกค้าสามารถตรวจสอบข้อมูลต่างๆ ของตัวเอง เช่น ประวัติและสถานะการเคลม ตรวจสอบสิทธิประโยชน์ต่างๆ และรับทราบกิจกรรมพิเศษประจำเดือนจากกรุงเทพประกันชีวิตได้ง่ายดายยิ่งขึ้นผ่านสมาร์ทโฟน กับแอปพลิเคชัน BLA Happy Life และเพิ่มช่องทางนไลน์ออฟฟิเชียลแอคเคาท์ BangkokLife Assurance เพื่ออำนวยความสะดวกในการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและบริการของกรุงเทพประกันชีวิต อัพเดทข่าวสาร รวมถึงสามารถสื่อสารกับผู้ใช้แต่ละคนได้แบบเฉพาะเจาะจงอีกด้วย   

         

 

 

 

 

 วิวัฒน์ เลาหพูนรังษี ประธานกรรมการอาวุโส บริษัท อารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงเทรนด์ผู้บริโภคและอสังหาริมทรัพย์ ว่า ปัจจุบันวิวัฒนาการต่าง ๆ ได้ก้าวหน้าแบบก้าวกระโดด ส่งผลให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไปจากเดิม ดังนั้น ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จะต้องมีการปรับขยับตามเทรนด์ โดยเฉพาะในประเทศไทยที่คนไทยค่อนข้างมีรสนิยมและมีความทันสมัย

โดยแนวโน้มที่เกิดขึ้นซึ่งจะส่งผลกระทบต่อแวดวงอสังหาในมุมมองของวิวัฒน์ มีอยู่ 5 ประการ ประกอบด้วย   1) สังคมไร้เงินสด (Cashless Society)  จากตัวเลขการบัญชีพร้อมเพย์ที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งแน่นอนว่าวงการอสังหาริมทรัพย์จะต้องนำทิศทางนี้มาใช้งานเช่นกัน

 2) เทคโนโลยีอัตโนมัติ   (Automation Becoming The New Norm) เป็นผลจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี อุปกรณ์ที่สามารถเชื่อมต่อและข้อมูลจำนวนมากที่มีอยู่ ทำให้เกิดสตาร์ทอัพขึ้นเป็นจำนวนมาก และส่งผลต่อการพัฒนาเทคโนโลยีอัตโนมัติ แต่อย่างไรก็ตามวิวัฒน์มองว่า ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ก็จะต้องใช้ความระมัดระวังในการเลือกเทคโนโลยีเพราะเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ต้องพยายามหาว่าอะไรที่เหมาะกับผู้บริโภคมากที่สุด

วิวัฒน์ เลาหพูนรังษี ประธานกรรมการอาวุโส บริษัท อารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน)

 3) รสนิยมที่ยกระดับความหรูหราของสินค้าและบริการ (Ultra – High – Net – Worth – Individuals meets Ultra Luxury real estate market)  ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ประชากรมีการศึกษาค่อนข้างดี จึงส่งผลต่อความต้องการที่จะใช้ชีวิตที่ดี มีรสนิยม เกิดเป็นเทรนด์ที่หรูหรา ขณะที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เกี่ยวข้องกับที่ดินซึ่งเป็นทรัพยากรที่มีจำกัด การดำเนินธุรกิจจึงมีแนวโน้มจะไปในการทำสินค้าราคาสูงมากขึ้น

4) การมองหาชีวิตที่ดี เข้าใกล้ธรรมชาติ เน้นสุขภาพกายและใจที่ดีขึ้น (Seek for Green & Clean Living) เพราะผู้คนรักตัวเองมากขึ้น เลือกสิ่งที่ดีที่สุดต่อตนเองนั่นคือธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิตอาหารการกิน ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างเช่นอารียาก็มีความตั้งใจนำเสนอในเรื่องสิ่งแวดล้อม เช่นเรื่องการบำบัดน้ำเสีย การจัดการขยะ รวมถึงรายละเอียดแวดล้อมให้กับลูกบ้าน

และ 5) งานบริการหลังการขาย ที่กลายมาเป็นเรื่องหลักในการตัดสินใจซื้อบ้าน (Life At Home Begins After Sales) ซึ่งเทรนด์สุดท้ายนี้จะเห็นชัดที่สุดในแวดวงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เมื่อผู้บริโภคมีการใส่ใจในบริการหลังการขายที่รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ ที่มีขึ้นเพื่อลดขั้นตอนที่ไม่สำคัญ แต่ก็ยังคงชอบการใส่ใจจากนิติบุคคลและพนักงานที่ให้บริการหลังการขาย นอกจากนี้ ในเรื่องการรับประกันบ้านก็เป็นปัจจัยสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง วิวัฒน์บอกว่า ในวงการอสังหาริมทรัพย์เรื่องต่างๆ สามารถลอกเลียนกันได้ไม่ว่าจะเป็นแบบบ้าน เฟอร์นิเจอร์ แต่สำหรับการสร้างทีมงานที่เอาใจใส่ดูแลลูกค้าเป็นเรื่องที่ลอกเลียนกันได้ยาก

วิศิษฎ์ เลาหพูนรังษี ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท อารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน)

เสริมว่าจาก 5 เทรนด์ข้างต้นสอดคล้องกับ 4 ยุทธศาสตร์หลักในการดำเนินธุรกิจของอารียา ซึ่งประกอบด้วย งานออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นมาพร้อมกับคุณภาพ (Aesthetic Design & Premium Quality) ซึ่งเป็นสิ่งที่บริษัททำมาตั้งแต่เริ่มต้น ทั้งด้านการออกแบบและการให้บริการ

ความสุขและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน (Sustainable Happiness) ที่ทางอารียาตีความเป็นการใช้ชีวิตแบบ Green & Clean สะท้อนคุณภาพชีวิต โดยสอดแทรกอยู่ในทุกโครงการ

นวัตกรรมที่ส่งเสริมความเป็นอยู่ทุกรูปแบบ (Innovative Living) เพื่อการอยู่อาศัยที่ทันสมัย โดยการมองไปข้างหน้าถึงความต้องการของผู้อยู่อาศัย

และการให้บริการดูแลลูกบ้านตั้งแต่เริ่ม ตลอดจนบริการหลังการขายอย่างสุดความสามารถ (Best In Class After Sales Service)  ที่อารียาเน้นการให้บริหารลูกบ้านระยะยาว 

ทั้ง 4 แกนนี้คือเสาหลักในการดำเนินธุรกิจของอารียา และช่วยสร้างความพึงพอใจแก่ผู้อยู่อาศัยในโครงการต่างๆ

 

สำหรับแผนการดำเนินงานในครึ่งปีหลังวิศิษฎ์บอกว่า อารียา พรอพเพอร์ตี้ จะมีการเปิดตัว 8 โครงการใหม่ มีมูลค่าการลงทุนรวม 7,275 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ The Village บางนา, โครงการ COMO PRIMO บางนา, โครงการ The Colors บางนา และบางบัวทอง, โครงการ Mandarina เกษตร – รามอินทรา, โครงการคอนโดมิเนียม A Space Mega บางนา 2, โครงการ The Parti เกษตร – นวมินทร์ และ โครงการ Busaba บ้านเดี่ยวติดถนนเสรีไทย

ในส่วนของการอยู่อาศัยแบบ Green and Clean มีการนำเทคโนโลยี Clean Air and Energy Saving ที่ได้พาร์ทเนอร์ใหม่อย่าง พานาโซนิค มาช่วยเสริมด้านเทคโนโลยี Clean Living ให้อากาศภายในบ้านปลอดโปร่ง สะอาด ปราศจากเชื้อโรค รวมถึงช่วยประหยัดพลังงาน และ  เทคโนโลยีควบคุมบ้านผ่านปลายนิ้วสัมผัส ด้วยระบบ Self-Managed Home Automation at Fingertips รวมถึงกิจกรรม Recycle Day ที่ได้มีการพัฒนาระบบในรูปแบบของแอปพลิเคชั่น ที่ช่วยให้การคัดแยกขยะของลูกบ้านง่ายและสะดวกขึ้น จนได้รับการตอบรับเป็นอย่างมาก   

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 14 ก.ย.ที่ผ่านมามีการเปิดตัวแคมเปญใหม่ คือ “ความสุขมีตัวตน” เพื่อต้องการสื่อสารให้สอดรับกับความทันสมัยของผู้บริโภค รับกับรสนิยม และการใส่ใจสุขภาพกายและใจของสังคมเมือง 

และเพื่อเสริมการปรับภาพลักษณ์ใหม่ อารียาปรับโฉมใหม่เว็บไซต์หลัก www.areeya.co.th ให้มีความทันสมัย ใช้งานง่าย และรวดเร็วในการค้นหาข้อมูล เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเพิ่ม LiveChat ที่จะช่วยตอบคำถามผ่านหน้าเว็บไซท์ทุกวัน และลูกค้าสามารถชมบ้านตัวอย่างแบบ 360 องศาผ่านเว็บไซท์อารียาได้โดยไม่เดินทางไปถึงสถานที่จริงอีกด้วย

 

ศิริวรรณ คูอัมพร กรรมการผู้จัดการ บ.คอนติเนนทอล ไทร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เล่าถึงสถานการณ์ในวงการยางรถยนต์ โดยเฉพาะตลาดยางทดแทนว่า เป็นตลาดที่แข่งขันกันรุนแรงมาก เพราะมีผู้ผลิตที่สนใจเข้ามาใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตหลายราย ทั้งเพื่อจำหน่ายภายในประเทศและส่งออก 

"ซัพพลายค่อนข้างล้นตลาดพอสมควร เพราะถึงจะส่งออกแต่เขาก็มีเป้าภายในประเทศด้วย ทุกบริษัทต้องมีเป้าเจริญเติบโตหมด ของแต่ละบริษัททุกคนตั้งเป้ากันตามความต้องการของแผนธุรกิจ แต่ในขณะที่ความเป็นจริง ความต้องการใช้ยางไม่ได้โตตามแผนธุรกิจที่แต่ละบริษัทตั้งไว้ มีเพิ่มผู้เล่นก็เข้ามาเยอะ ทุกค่ายต้องการเพิ่มแชร์ของแบรนด์ตัวเอง และความที่ตลาดประเทศไทยเป็นตลาดพรีเมียม หมายความว่าผู้ใช้มีความรู้เรื่องยางค่อนข้างลึกซึ้งมากกว่าตลาดอื่นๆ ผู้บริโภครู้ว่าตัวเองต้องการอะไร อย่างตอนนี้ก็จะมีเรื่องของความอ่อนไหวต่อวันที่ผลิต ดูสัปดาห์ที่ผลิต และอีกอย่างคือ ถ้าเรื่องยางรถยนต์ คนไทยชาตินิยมเหมือนกัน ผลิตในไทยอันดับหนึ่ง ผลิตในไทยเยี่ยมที่สุด”  

คอนติเนนทอล แม้จะเป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงในระดับโลกมายาวนาน แต่สำหรับตลาดประเทศไทย จัดว่ายังเป็นน้องใหม่ที่เพิ่งเข้ามาทำตลาดไม่นานนัก ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงงานผลิตยางที่จังหวัดระยอง ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้ และสามารถผลิตยางเส้นแรกในประเทศไทยในต้นปี พ.ศ.2562 โดยมีเป้าหมายในการผลิตเพื่อส่งออกและอีกส่วนหนึ่งเพื่อตอบสนองตลาดในประเทศซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาที่มีในตลาดยางรถยนต์ประเทศไทยได้ในระดับหนึ่ง  

ศิริวรรณมองการแข่งขันในตลาดยางทดแทนของประเทศไทย ว่ายังคงดุเดือด หลังจากปีที่ผ่านมา ช่วงต้นปีราคาวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตยางมีราคาสูงขึ้นส่งผลให้แต่ละค่ายต้องประกาศขึ้นราคาจำหน่าย แต่เนื่องจากสถานการณ์การแข่งขันที่รุนแรง ราคาที่ประกาศขึ้นส่วนใหญ่จึงถูกเปลี่ยนไปเป็นเครื่องมือทางการตลาดประเภทต่างๆ เพื่อรักษาส่วนแบ่งของตัวเองไว้ให้ได้ แม้ปัจจุบันราคาวัตถุดิบจะเริ่มกลับสู่ภาวะปกติแต่การแข่งขันก็ยังคงอยู่ 

ในฐานะบริษัทผู้ผลิตยางคุณภาพจากประเทศเยอรมนีที่ตั้งใจสร้างตลาดภายในประเทศไทย ปีนี้จึงเป็นจังหวะในการสร้างฐานการรับรู้เกี่ยวกับยางคอน-ติเนนทอลภายในประเทศให้เพิ่มมากขึ้น  

ศิริวรรณเล่าว่า “เราก็คาดหวังจะโตแบบก้าวกระโดดในประเทศไทย ตอนนี้เราเริ่มวางแผนระยะไกลว่า ปีหน้า (2562)จะเริ่มโหมทำการตลาด ที่ยังไม่ทำปีนี้เพราะมองว่ายังเร็วเกินไป โรงงานเรายังไม่เสร็จ ถ้าโรงงานเราเสร็จก็จะเริ่มลงทุน เพราะการลงทุนด้านแบรนด์ต้องทำต่อเนื่อง คือทำแล้วหยุดไม่ได้”  

 

ไม่แข่งราคา 

การแข่งขันในตลาดยางทดแทนของประเทศไทย ในฐานะผู้จำหน่ายยางระดับพรีเมียม ศิริวรรณมองว่า ต้องใช้การตลาดมาสนับสนุน เพิ่อเจาะเข้าหาผู้บริโภค โดยพยายามที่จะรักษาสถานะราคาให้มีความเสถียรในตลาด เพราะไม่อยากจะใช้ราคาเป็นเครื่องมือในการแข่งขันในตลาดให้เสียโพสิชั่นของแบรนด์ 

 “การทำ Price Positioning ต้องใช้เวลาพอสมควรและต้องใจแข็ง ไม่เอาราคาไปสู้” ศิริวรรณกล่าวและเล่าถึงตลาดยางต่อว่า 

“ยางจวนจะเป็น FMCG (Fast-Moving Consumer Goods-สินค้าที่จำหน่ายเร็วและมีต้นทุนต่ำ) อยู่แล้ว ความสดใหม่ ความหลากหลาย มีให้เลือกจำนวนมาก อยู่ที่ใครจะเข้าไปครองใจผู้บริโภคได้เท่านั้น ยางรถยนต์ในตลาดก็เหมือนกับของบนชั้นในซูเปอร์มาร์เก็ต ผู้บริโภคจะเป็นคนเลือกเองเหมือนเวลาเราไปซื้อของ ยี่ห้อนี้เทียบกับยี่ห้อนี้ ราคาต่างกันเท่าไร การตัดสินใจของลูกค้าเริ่มมีความซับซ้อนมากขึ้น”  

การสร้างความรับรู้ให้กับผู้บริโภคจึงเป็นอีกอาวุธหนึ่งที่คอนติเนนทอลเลือกใช้ ด้วยการไปเจรจากับดีลเลอร์ให้หันมาทำร้านคอนติเนนทอล อิมเมจ ช็อป ซึ่งเป็นร้านที่แต่งตามแนวคิดและเน้นขายยางของคอนติเนนทอล โดยตั้งเป้าเปิดตามหัวเมืองหลักให้ครบทั่วทุกภูมิภาค (ณ สิ้นเดือนมกราคม พ.ศ.2561 เริ่มเปิดดำเนินการไปแล้ว 2 แห่งที่นครราชสีมาและกรุงเทพ)  

กรรมการผู้จัดการ คอนติเนนทอล ไทร์ส อธิบายว่า เพราะธรรมชาติของการขายยางรถยนต์ส่วนบุคคลกับรถบรรทุกมีความแตกต่างกัน สำหรับยางรถบรรทุกต้องขายที่เทคโนโลยี ความคุ้มทุน อายุการใช้งานที่ยาวนานเพราะเป็นเรื่องของการพาณิชย์ ขณะที่รถยนต์ส่วนตัว ความรู้สึกของผู้ใช้เป็นปัจจัยสำคัญ ความเงียบ ความนิ่ง เกาะถนน ระยะเบรกเป็นตัวอย่างของปัจจัยที่ผู้บริโภคเลือกใช้ยาง การเปิดคอนติเนนทอล อิมเมจ ช็อป ด้านหนึ่งจะได้ในเรื่องของการสร้างการรับรู้แบรนด์คอนติเนนทอล และอีกทางหนึ่งร้านเหล่านี้จะได้รับการสนับสนุนด้านการตลาดจากบริษัทฯ เป็นการช่วยกระตุ้นยอดขายยางคอนติเนนทอลอีกทางหนึ่งด้วย  

ในส่วนของผลิตภัณฑ์ ปลายปีที่ผ่านมา คอนติเนนทอลออกผลิตภัณฑ์ใหม่มาหลายรุ่นเป็นการเปลี่ยนโฉมจากเจเนอเรชัน 5 สู่ เจเนอเรชัน 6 เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดได้ครบทุกเซกเมนต์  

 

ชูเทคโนโลยีเยอรมนี 

สิ่งที่คอนติเนนทอลนำเสนอให้กับ ผู้บริโภคคือ เทคโนโลยีจากประเทศเยอรมนีซึ่งได้รับการยอมรับจากทั่วโลกอยู่แล้วว่าเป็นประเทศที่มีเทคโนโลยีก้าวหน้าอันดับต้นๆ ของโลก “เราผลิตชิ้นส่วนรถยนต์เกือบทั้งคัน ในการทดสอบ การดีไซน์ สามารถออกแบบให้เอื้อกันได้ ล้อ ช่วงล่างต่างๆ ต่อเนื่องกันหมด รถจะเครื่องยนต์ดีขนาดไหน สุดท้ายก็ต้องมาพึ่งยางเพราะต้องวิ่งบนถนน ตัวเด่นๆ ของคอนติเนนทอล จะเป็นรุ่นสปอร์ตคอนแท็ก เราจะเรียกกันเองว่า ‘ยางเทพ’ แม้จะออกมาสักพักหนึ่งแล้ว แต่ไม่ว่าจะทดสอบที่สนามไหน ก็จะได้รางวัลมาตลอดเวลา คือในยางรถยนต์ไม่มียี่ห้อใดยี่ห้อหนึ่งมีจุดเด่นทุกด้าน แต่ของคอนติฯ เมื่อเทียบกับยี่ห้ออื่นเราจะอยู่ใกล้ๆ ท็อป พอรวมแล้วเป็นผู้นำเกือบทุกด้าน เพราะการดีไซน์ยาง จะเอาทุกอย่างเลยเป็นไปไม่ได้ ได้อย่างเสียอย่าง จะบอกว่าใครดีที่สุดไม่มี แต่ในองค์รวม สปอร์ตคอนแท็กถือว่าดีสุด” 

และผลิตภัณฑ์ที่บริษัทนำมาจำหน่ายในปัจจุบันก็มีวิวัฒนาการทั้งด้านการออกแบบ การเก็บเสียง การรีดน้ำ ที่พัฒนาต่อมาจากยางสปอร์ตคอนแทก ศิริวรรณบอกว่า “เป็นอะไรที่คุ้มค่ามากๆ สำหรับเทคโนโลยีของยางเมื่อเทียบกับราคาเพราะว่า ณ ตอนนี้ แม้เราจะเป็นสินค้าพรีเมียม แต่คนก็ยังไม่รู้จักเรามาก ดังนั้นราคาที่เราตั้งจึงไม่ใช่ราคาที่สูงสมกับคุณสมบัติของยาง เพราะยังเป็นช่วงที่เริ่มทำการตลาด”  

 

ว่าด้วยความเป็นผู้นำ 

ศิริวรรณ เล่าถึงปรัชญาการทำงานของคอนติเนนทอล ว่ามีหลักการง่ายๆ คือมองในแง่ความเป็นมนุษย์ที่ทุกคนมีคุณค่าเท่าเทียมกันและอธิบายต่อว่า “Passion to Win เราต้องลุกขึ้นมาทุกวันมีความกระตือรือร้นที่จะทำงานให้ดีขึ้น Freedom to Act คือ เขาให้อิสระเราในการตัดสินใจหรือนำเสนอไอเดียค่อนข้างมาก For One Another คือ เราต้องไปด้วยกันเป็นทีมเวิร์ค Trust มีความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน” 

เพราะผู้บริหารของคอนติเนนทอล มองว่า ยางเป็นธุรกิจของคน (Tyre is People Business) คนคือปัจจัยหลักในการตัดสินใจ ไม่ว่าจะเป็นคนขาย คนผลิต คนซื้อ ดังนั้นบริษัทจึงให้คุณค่ากับพนักงานค่อนข้างสูง เพื่อสร้างแรงขับเคลื่อนภายใต้กระบวนการทำงานที่มีอยู่  

ในส่วนการเป็นผู้นำองค์กรศิริวรรณมองว่า การเป็นผู้นำต้องมีผู้ตาม โดยผู้ตามจะเป็นคนเลือกผู้นำ “เราต้องทำให้ผู้ตาม มาเลือกเราเป็นผู้นำ ดังนั้นสิ่งที่เราทำก็คือ ต้องทำตัวอย่างให้เห็น พยายามทำตัวอย่างให้ดีที่สุด เห็นเป้าหมายของบริษัทคืออะไร เรามีเป้าหมายเดียวกัน และทุกคนจะต้องซัพพอร์ตให้เราไปถึงเป้าหมายเดียวกันให้ได้ คือเราก็ต้องแสดงความจริงจังและจริงใจ 
ด้วย ต้องพิสูจน์ให้เห็น คือถ้าเขาเห็นเราเป็นตัวอย่างที่ดี เรามีความจริงจัง มีความจริงใจ เราก็จะมีคนตาม การที่เราเป็นผู้นำเราต้องเสียสละด้วย ต้องมีการให้อยู่ตลอดเวลา ต้องเห็นแก่ส่วนรวมมากกว่า ถ้าเขาเห็นเราทุ่มเท ไม่ได้เอาเปรียบ เอาประโยชน์จากการเป็นผู้บริหาร คนก็จะเกิดศรัทธา”   

 

 

 

 

X

Right Click

No right click