December 05, 2025

ตลาดหุ้นฮ่องกงกลายเป็นที่หมายปองของบริษัทจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในการจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์เพื่อระดมทุนหรือ IPO โดยในช่วงครึ่งปีแรกนี้ตลาดหุ้นฮ่องกงขึ้นครองอันดับหนึ่งของโลกในฐานะตลาด IPO ด้วยมูลค่า IPO รวมกว่า 13,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (กว่า 4 แสนล้านบาท) ประกอบกับ Hong Kong Exchanges and Clearing Limited (HKEX) ผู้ให้บริการตลาดหลักทรัพย์ในศูนย์กลางการเงินแห่งเอเชียแห่งนี้ ได้ปฏิรูปกรอบการดำเนินงานและกฎเกณฑ์การจดทะเบียนบริษัทหลายประการ ทำให้สามารถขับเคลื่อนกิจกรรมการระดมทุนได้อย่างทรงพลังและต่อเนื่อง

Innovative Food and Beverage Holding (IFBH) Limited ผู้ผลิตเครื่องดื่มของไทยได้ จดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง เสร็จสิ้นไปเมื่อวันที่ 30 มิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการจดทะเบียนแบบ Primary Listing เพื่อซื้อขายในกระดานหลัก ทั้งนี้ บริษัท IFBH Limited ได้ระดมทุนไปแล้วกว่า 140 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (กว่า 4,500 ล้านบาท) IFBH Limited กลายเป็นหนึ่งในบริษัทจำนวนร้อยกว่าแห่งจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่จดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ซึ่งทำให้สามารถเข้าถึงตลาดทุนที่มีสภาพคล่องสูง โดยหากดูสัดส่วนบริษัทจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นับตั้งแต่ปี 2557 ถึง 2566 จะพบว่า จากบริษัททั้งหมด 163 แห่งที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศ มีจำนวนถึง 83 แห่งที่เลือกจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง (ข้อมูลจากรายงานวิจัยร่วมระหว่าง DealStreetAsia และ HKEX)

 

ตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการซื้อขายและระดมทุนที่คึกคักที่สุดในเอเชีย ด้วยมูลค่าการซื้อขาย เฉลี่ยต่อวัน (ADT: average daily turnover) มากกว่า 30,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณหนึ่งล้านล้านบาท) นับตั้งแต่ต้นปี หนึ่งในห้าของปริมาณการซื้อขายมาจากนักลงทุนในจีนแผ่นดินใหญ่ผ่านระบบ “Stock Connect” ที่เชื่อมโยงกับตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้น

Stock Connect เป็นระบบการซื้อขายระหว่างตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง และตลาดหลักทรัพย์จีนแผ่นดินใหญ่ (เซี่ยงไฮ้ และ เซินเจิ้น) ช่วยให้นักลงทุนจากทั้งสองตลาดสามารถซื้อขายหุ้นของอีกฝ่ายได้ ระบบ Stock Connect ทำให้ฮ่องกงเป็นตลาดสากลเพียงแห่งเดียวที่นักลงทุนทั่วโลกและนักลงทุนจากจีนแผ่นดินใหญ่สามารถซื้อขายหุ้นร่วมกันได้โดยตรง บริษัทต่างชาติที่จดทะเบียนเข้าตลาดหุ้นฮ่องกงมีสิทธิ์ระดมทุนจากระบบ Stock Connect ได้ก็ต่อเมื่อผ่านเกณฑ์ที่กำหนด

นอกเหนือจากการจดทะเบียนหลักทรัพย์หลักหรือ Primary Listing HKEX ยังเปิดรับจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์รอง หรือ Secondary Listing สำหรับบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดอื่นเป็นตลาดแรกไปแล้ว การจดเทะเบียนแบบ Secondary Listing เป็นการเปิดช่องทางระดมทุนเพิ่มเติม โดยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การที่ HKEX ให้การยอมรับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซีย (IDX) ในฐานะ “ตลาดหลักทรัพย์ที่ได้รับการยอมรับ” (RSE: Recognised Stock Exchanges) ทำให้บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดทั้งสองแห่งนี้เป็นตลาดแรกไปแล้ว สามารถ จดทะเบียนแบบ Secondary Listing หรือจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงเป็นตลาดรองเพื่อเข้าถึงนักลงทุนต่างชาติเพิ่มขึ้นได้

การจดทะเบียนแบบ Secondary Listing มีข้อกำหนดด้านกฎระเบียบน้อยกว่าและต้นทุนที่ต่ำกว่า เมื่อเทียบกับการจดทะเบียนแบบ Primary Listing และยังสามารถเข้าถึงฐานนักลงทุนขนาดใหญ่หลากหลายกลุ่มในตลาดฮ่องกงได้เช่นกัน บางบริษัทเริ่มจากจดเข้า Secondary Listing ก่อน แล้วแปลงสถานะย้ายมาจดเข้า primary listing ในภายหลัง เพื่อให้ได้สิทธิ์เข้าสู่การซื้อขายผ่าน Stock Connect ทั้งนี้ จากสถิติของ HKEX พบว่า บริษัทที่มีสิทธิ์เข้าถึงนักลงทุนจีนโดยผ่านระบบ Stock Connect มักจะมีมูลค่าการซื้อขายหุ้นต่อวันที่สูงขึ้น โดยบริษัทที่จดทะเบียนหลักที่ตลาดหุ้นฮ่องกง หรือ Primary Listing จะสามารถเข้าถึงนักลงทุนจากประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ได้

 

คำอธิบายภาพ - ฮ่องกงครองอันดับหนึ่งของโลกในฐานะแหล่งระดมทุนผ่าน IPO ในครึ่งแรกของปี 2568

แหล่งเงินทุนในฮ่องกงไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะการระดมทุนผ่าน IPO เท่านั้น แต่ยังมีตลาดรองที่มีสภาพคล่องสูง ซึ่งเอื้อต่อการระดมทุนเพิ่มเติมในอนาคตอีกด้วย (follow-on fundraising) ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 บริษัทจดทะเบียนในฮ่องกงสามารถระดมทุนเพิ่มเติมรวมกันแล้วมากกว่า 30,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณหนึ่งล้านล้านบาท) โดยกว่าหนึ่งในสามของธุรกรรมทั้งหมดในตลาดตราสารทุนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก อยู่ที่ฮ่องกงนี้เอง ตอกย้ำสถานะของฮ่องกงในฐานะศูนย์กลางการเงินระหว่างประเทศชั้นนำของภูมิภาค

นอกจากนี้ การปฏิรูปกฎระเบียบการจดทะเบียนหลักทรัพย์ช่วงปี 2561 ทำให้บริษัทกลุ่ม “new economy” มองฮ่องกงเป็นแหล่งระดมทุนอันดับแรก ๆ โดยจากสถิติพบว่าบริษัทในกลุ่มธุรกิจสุขภาพ (healthcare) เทคโนโลยี สื่อ และโทรคมนาคม (TMT) มากกว่า 350 ราย นับรวมกันแล้วสามารถระดมทุนได้มากกว่า 135,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 4.4 ล้านล้านบาท) และล่าสุดทาง HKEX ได้ต่อยอดความสำเร็จนี้ด้วยการเพิ่มบทบัญญัติ (chapter) บทใหม่เข้าไปในกฎเกณฑ์การจดทะเบียนบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ ให้รองรับธุรกิจในกลุ่ม “เทคโนโลยีเฉพาะทาง” (Specialist Technology) เป็นการเฉพาะตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา เช่นธุรกิจด้านปัญญาประดิษฐ์ พลังงานรูปแบบใหม่ และวัสดุขั้นสูง ดังนั้น ตลาดหุ้นฮ่องกงจึงนับได้ว่ามีระบบนิเวศที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วสำหรับบริษัทกลุ่ม new economy พร้อมดึงดูดนักลงทุนจากทั่วโลกที่มองหาโอกาสการลงทุนและการเติบโตใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงได้ทางเว็บไซต์ HKEX

ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด (KTX) จัดงาน “ทิศทางการลงทุนหุ้นรับตรุษจีน ปี 2568” สำหรับลูกค้า Krungthai Private Banking และ Krungthai Precious+ ภายในงานมีการวิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจโลกและตลาดหุ้นไทยในปี 2568 ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก พร้อมกลยุทธ์การลงทุนจากผู้เชี่ยวชาญของ KTX โดยได้รับเกียรติจาก นายสุริพงษ์ ตันติยานนท์ ประธานผู้บริหาร Retail Banking ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (ที่ 4 จากขวา) และนายวีรยุทธ นรเศรษฐสถาพร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด (ที่ 1 จากซ้าย) นำทีมผู้บริหารให้การต้อนรับลูกค้า พร้อมมุ่งมั่นส่งเสริมโอกาสการลงทุนที่หลากหลาย เพื่อช่วยลูกค้าบริหารพอร์ตการลงทุนอย่างมั่นคงและยั่งยืน เมื่อวันศุกร์ที่ 31 มกราคม 2568 ณ Siam Kempinski Hotel Bangkok

SCB WEALTH เผยตั้งแต่ต้นปี 2566 เงินลงทุนทั่วโลกไหลเข้าตลาดเงิน (money market) สกุลดอลลาร์สหรัฐสูงที่สุด ตามด้วย ตราสารหนี้ภาคเอกชน พันธบัตรรัฐบาล และหุ้น โดย money market สกุลดอลลาร์สหรัฐ 5 ปีที่ผ่านมา เงินไหลเข้าประมาณ 3.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หากเฟดลดดอกเบี้ย เม็ดเงินใน money market สกุลดอลลาร์สหรัฐจะเคลื่อนย้ายไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า แนะนักลงทุนหาจังหวะลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในอีก 1-3 ปี เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีและอาจได้รับผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาอีกด้วย ส่วนตลาดหุ้นแนะหาจังหวะช่วงปรับฐานทยอยสะสมหุ้นญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ด้านตลาดหุ้นสหรัฐและยุโรปสามารถลงทุนต่อได้แต่ผลตอบแทนอาจจะไม่สูงเหมือนปีที่ผ่านมา

นายศรชัย สุเนต์ตา, CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Office and Product กลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ปรับลดลงช้ากว่าที่นักลงทุนคาดการณ์ ขณะที่ อัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ อยู่สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อติดต่อกัน 6 เดือน คาดว่า เงินเฟ้อสหรัฐฯ จะค่อยๆ ลดลงและเมื่อธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มั่นใจว่าสามารถควบคุมเงินเฟ้อให้อยู่ในกรอบเป้าหมายที่ 2%ได้ หลังจากนั้น Fed จะกลับมาให้ความสำคัญกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ และเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรก ซึ่งตลาดคาดว่าจะเกิดขึ้นในเดือน มิ.ย. 2567 และรวมทั้งปีนี้ คาดว่าจะมีการลดดอกเบี้ยประมาณ 3-4 ครั้ง โดยในช่วงที่ดอกเบี้ยเริ่มลดลง จะทำให้ผลตอบแทนของการถือครองเงินสดในสกุลดอลลาร์สหรัฐปรับลดลง และผลตอบแทนไม่ได้ดีกว่าสินทรัพย์อื่น

“ในปี 2566 ที่ผ่านมา การถือเงินสดในสกุลดอลลาร์สหรัฐให้ผลตอบแทนประมาณ 5.1% ดีกว่าการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ แต่อาจจะไม่ได้ให้ผลตอบแทนดีกว่าสินทรัพย์อื่นๆ ขณะที่ จากสถิติย้อนหลัง 30 ปี พบว่า เงินสดในสกุลดอลลาร์สหรัฐให้ผลตอบแทนได้ดีกว่าสินทรัพย์อื่นในปีที่เกิดวิกฤต แต่ในจังหวะที่เงินเฟ้อทรงตัว อัตราดอกเบี้ยมีทิศทางเป็นขาลง เศรษฐกิจยังขยายตัวได้ สินทรัพย์เสี่ยงจะให้ผลตอบแทนเป็นบวก ส่วนเงินสดในสกุลดอลลาร์สหรัฐจะไม่ได้ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าสินทรัพย์อื่น ดังนั้น เราจึงควรหาแนวทางไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นก่อนจะตกรถ” นายศรชัย กล่าว

ทั้งนี้ นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาจนถึงช่วงต้นเดือน มี.ค. 2567 เงินลงทุนทั่วโลกยังคงไหลเข้าไปในตลาดเงิน (money market) สกุลดอลลาร์สหรัฐสูงที่สุด ตามด้วย ตราสารหนี้ภาคเอกชน พันธบัตรรัฐบาล และหุ้น โดยในส่วนของ money market สกุลดอลลาร์สหรัฐ หากนับรวมตลอด 5 ปีที่ผ่านมา พบว่า มีเงินไหลเข้ามารวม 3.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ แล้ว หมายความว่า เมื่อถึงช่วงเวลาที่อัตราดอกเบี้ยเริ่มปรับลดลง เม็ดเงินใน money market สกุลดอลลาร์สหรัฐ ส่วนนี้มีแนวโน้มที่จะเคลื่อนย้ายไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ

สำหรับผู้ลงทุนที่นำเงินส่วนใหญ่พักไว้ใน money market สกุลดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากมองว่าการลงทุนในตราสารการเงิน ซึ่งมีระยะเวลาสั้นๆ ยังให้ผลตอบแทนได้ดี ทำให้ไม่เคลื่อนย้ายเงินลงทุนไปยังสินทรัพย์ใดนั้น ในอนาคตผลตอบแทนระยะสั้นมีแนวโน้มปรับลดลงอย่างรวดเร็ว ในขณะที่สินทรัพย์อื่นเริ่มปรับตัวดีขึ้นไปก่อนแล้ว ดังนั้น เพื่อโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดี ผู้ลงทุนควรมองหาช่องทางไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ ที่น่าสนใจ ได้แก่ ตราสารหนี้อายุประมาณ 1-3 ปี รวมถึงการเพิ่มโอกาสลงทุนในตลาดหุ้นที่มีความน่าสนใจในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้

ทั้งนี้ การลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ มองว่า ตราสารหนี้ที่มีระยะเวลาครบกำหนดไถ่ถอนในอีก 1-3 ปีข้างหน้า ยังให้ผลตอบแทนสูง เป็นกลุ่มที่น่าสนใจ และอาจได้รับผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาในช่วงที่ดอกเบี้ยปรับลดลงในช่วง ไตรมาส 2-3 นี้ด้วย ส่วนการลงทุนในหุ้น พบว่า ช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นพัฒนาแล้ว เช่น ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดหุ้นยุโรป ล้วนมีผลการดำเนินงานที่ดี ด้วยอานิสงส์จากการปรับตัวขึ้นของหุ้นขนาดใหญ่ที่มีน้ำหนักในดัชนีค่อนข้างมาก เช่น ดัชนี S&P500 ของสหรัฐฯ นับตั้งแต่ต้นปี 2567 ( YTD) ปรับขึ้นมาประมาณ 7-8% ผลตอบแทนที่มาจากหุ้นขนาดใหญ่กลุ่ม 7 นางฟ้า ประมาณ 6% ส่วนที่เหลือไม่เกิน 2% เป็นผลตอบแทนของหุ้นอื่นๆ ในตลาด สะท้อนถึงการกระจุกตัวของผลตอบแทนที่มาจากหุ้นขนาดใหญ่ค่อนข้างชัดเจน ส่วนตลาดหุ้นยุโรป เมื่อดูจากดัชนี STOXX 600 พบว่า นับแต่ต้นปี 2567 (YTD) ปรับเพิ่มขึ้น 4.5% โดยเป็นผลการดำเนินงานจากหุ้นขนาดใหญ่ 7 ตัว เกือบ 4% มีเพียงส่วนน้อยที่เหลือที่มาจากหุ้นขนาดเล็ก

นายศรชัย กล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมาตลาดคาดหวังกับผลตอบแทนของหุ้นขนาดใหญ่ในตลาดหุ้นพัฒนาแล้วค่อนข้างมาก และให้ผลตอบแทนเป็นไปตามที่เป้าหมาย ซึ่งหุ้นเหล่านี้อาจมีการปรับฐาน จากการขายทำกำไร ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานยังคงสนับสนุนให้เติบโตได้อีก และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยยังเป็นผลบวกต่อหุ้นกลุ่มนี้ แม้นักลงทุนจะรับรู้ปัจจัยการลดดอกเบี้ยไปในราคาหุ้นแล้วก็ตาม ดังนั้น แนวโน้มในอนาคตอาจจะปรับขึ้นไม่มากอย่างที่ผ่านมา ทำให้มองว่า นักลงทุนสามารถถือลงทุนในตลาดหุ้นพัฒนาแล้วต่อไปได้ แต่ผลตอบแทนที่ได้รับอาจไม่สูงเช่นเดิม

สำหรับตลาดหุ้นในเอเชีย มองว่า ตลาดหุ้นญี่ปุ่น และตลาดหุ้นเกาหลีใต้ น่าสนใจ โดยตลาดหุ้นญี่ปุ่น นับแต่ต้นปี 2567 (YTD) ให้ผลตอบแทน 15-16% แต่ผลตอบแทนกระจุกตัวในหุ้นขนาดใหญ่กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย และเทคโนโลยีเป็นหลัก ในส่วนของดัชนีตลาดหุ้นญี่ปุ่น แม้จะปรับตัวขึ้นมามาก แต่เมื่อเทียบกับการปรับขึ้นในรอบก่อนที่เคยทำสถิติสูงสุด พบว่า ราคาต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) มีความแตกต่างกัน โดยในครั้งนี้มีระดับ P/E ที่ต่ำกว่า ขณะที่ ตลาดหุ้นญี่ปุ่นมีมาตรการในการปฏิรูปธรรมาภิบาล ส่งเสริมให้บริษัทนำเงินสดที่เก็บไว้จำนวนมากในงบดุล ออกไปซื้อหุ้นคืน ซึ่งจะช่วยให้ราคาหุ้นมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น หนุนให้ EPS สูงขึ้น และสามารถจ่ายผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้นได้สูงขึ้น ก็จะช่วยให้ผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) ของตลาดหุ้นญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นได้ เมื่อเทียบกับปัจจุบันที่ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ และยุโรป ที่มี ROE มากกว่า 20% ส่วนภาพรวมเศรษฐกิจญี่ปุ่น เงินเฟ้อเริ่มปรับเพิ่มขึ้น การจ้างงานดีขึ้น โดยเฉพาะในภาคบริการ ส่วนค่าแรงปรับตัวขึ้นตามเงินเฟ้อ ซึ่งช่วยให้การบริโภคในญี่ปุ่นดีขึ้น และจะส่งผลให้เกิดการลงทุนที่มาจากนักลงทุนญี่ปุ่นมากขึ้นตาม ดังนั้น เราจึงมองว่า ตลาดหุ้นญี่ปุ่นน่าสนใจในระยะกลางถึงยาว เพียงแต่ในระยะสั้น ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับขึ้นมามาก อาจจะมีการปรับฐานบ้าง นักลงทุนอาจรอจังหวะที่ตลาดปรับฐานเพื่อกลับเข้าไปลงทุนอีกครั้ง

ส่วนตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ปัจจุบันยังมีอัตราส่วนราคาหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชี (P/BV) ที่ต่ำมากเกือบทุกกลุ่มธุรกิจและมีเงินสดมากในงบดุล ซึ่งตลาดหุ้นเกาหลีใต้กำลังพยายามผลักดันการเพิ่มมูลค่าบริษัทคล้ายกับตลาดหุ้นญี่ปุ่น ผ่านการซื้อหุ้นคืน และการจ่ายเงินปันผลให้นักลงทุน นอกจากนี้ ROE ของตลาดหุ้นเกาหลีใต้มักจะเคลื่อนไหวสอดคล้องกับวัฏจักรของการส่งออกสินค้าของเกาหลีใต้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม อิเล็กทรอนิกส์ เซมิคอนดักเตอร์ ดังนั้น เมื่อเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวดีขึ้น การส่งออกเกาหลีใต้ก็น่าจะฟื้นตัว ทำให้ ROE ของตลาดหุ้นเกาหลีใต้ดีขึ้น ส่วนกำไรต่อหุ้นก็

น่าจะมีแนวโน้มดีขึ้นตามการส่งออก นอกจากนี้ ราคาต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) ก็ยังถูกอยู่ โดย P/E ในระยะ 12 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ 10.6 เท่า หรือ -0.3 S.D. ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี ทำให้ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เป็นตลาดที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนใน Opportunistic Portfolio ซึ่งเป็นพอร์ตลงทุนส่วนเสริม สำหรับเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทน ในไตรมาสที่ 2 นี้

นางสาวดรุณรัตน์ ภิยโยดิลกชัย หัวหน้าฝ่ายการลงทุนตราสารทุน บลจ.อเบอร์ดีน (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลงมาเนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่างประเทศเช่นเดียวกันตลาดอื่นๆ ทั้งประเด็นสงคราม อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (บอนด์ยีลด์) ที่ปรับตัวสูงขึ้น และภาวะเศรษฐกิชะลอตัวแบบ Soft Landing ขณะที่ปัจจัยในประเทศ การปรับประมาณกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ). ลงอย่างต่อเนื่องของนักวิเคราะห์ที่ยังไม่สิ้นสุด กดดัชนีลง ประกอบกับช่วงเลือกตั้งและหลังเลือกตั้งยังไม่มีการใช้จ่ายหนุนเศรษฐกิจ โดยมอง Downside ดัชนีหุ้นไทยแถว 1,300-1,350 จุด ซึ่งระดับ 1,300 จุด กรณีที่สงครามอิสราเอลและกลุ่มฮามาลขยายวงกว้างมากขึ้น

สำหรับการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในสัปดาห์นี้คาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ย และรอดูการส่งสัญญาณอัตราดอกเบี้ย โดยประเด็นที่ต้องติดตาม คือ การรายงานตัวเลขเศรษฐกิจ ตัวเลขการจ้างงาน ที่จะเป็นทริกเกอร์ว่าเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัวลงและราคาหุ้นก็จะปรับตัวลง ซึ่งจะเป็นจังหวะให้เข้าซื้อ

"อเบอร์ดีนมองราคาหุ้นไทยลงมามาก เป็นจังหวะทยอยสะสม จากช่วงก่อนเลือกตั้งดัชนีอยู่แถว 1,570 จุด ตอนนี้ลงมากว่า 200 จุด หลักๆ จากกำไรบจ.ที่ถูกหั่นลง กดดัชนีปัจจุบันอยู่แถว 1,370-1,380 จุด อยู่ในระดับที่น่าสนใจมากกว่าเดิม ขณะที่ P/E ตอนนี้ 14 เท่า เมื่อเทียบกับในอดีต 17-18 เท่า ซึ่ง Discount เยอะมาก มอง Dowside ไม่มากแล้ว ซึ่ง 6 เดือนข้างหน้าต้องติดตามกำไรบจ. เป็นหลัก"นางสาวดรุณรัตน์ กล่าว

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนโฟกัสที่ปัจจัยพื้นฐาน หุ้นต้องเติบโตไปต่อได้ ไม่มีความเสี่ยงหรือได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงหรือหากต้นทุนเพิ่มขึ้นสามารถส่งผ่านไปได้ โดยมองกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจ ได้แก่ กลุ่มโรงพยาบาล ซึ่งคาดว่าผลประกอบการในไตรมาส 3/66 จะออกมาค่อนข้างดี เพราะคนไข้ที่เข้ารักษาในโรงพยาบาลเพิ่มมากขึ้นจากการระบาดของไข้หวัด และหากดูมูลค่าหุ้ Valuation มากกว่าครึ่งของกลุ่มใน SET ทั้งหมดเทรดต่ำกว่า PE ค่าเฉลี่ย 10 ปี ที่ระดับ 30-50% แล้ว

นอกจากนี้ในกลุ่มท่องเที่ยว จากประมาณการณ์นักท่องเที่ยวปี 2566 ทั้งหมด 28 ล้านคน อาจลดลงเล็กน้อย จากนักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามาในประเทศน้อยกว่าที่คาดไว้ แต่ยังมีนักท่องเที่ยวจากประเทศอื่น ๆ เข้ามาชดเชย เช่น อินเดีย รัสเซียและมาเลเซีย รวมทั้งจากการพูดคุยกับผู้ประกอบการในกลุ่มธุรกิจยังเห็นการเติบโตของค่าห้องพัก และยังไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามในตะวันออกกลาง เนื่องจากมีสัดส่วนนักท่องเที่ยวจากอิสราเอลค่อนข้างน้อยมาก

ขณะที่กลุ่มโรงไฟฟ้า อาจต้องหลีกเลี่ยงไปก่อน เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายในการลดค่าครองชีพ ส่งผลให้รายได้กลุ่มโรงไฟฟ้าถูกจำกัด ในขณะที่ต้นทุนยังผันผวนอยู่ ยังมีความเสี่ยงในเรื่องของการทำกำไร ส่วนกลุ่มค้าปลีกจากประมาณการของนักวิเคราะห์ยังไม่ได้ให้น้ำหนักกับนโยบาย Digital Wallet กับกลุ่มที่เป็นบริษัทจดทะเบียน เนื่องจากยังไม่มีความชัดเจนในนโยบาย ซึ่งมองว่าหากมีการปรับเงื่อนไขและใช้วงเงินน้อยลงจากเดิมที่คาดการณ์ไว้ 4-5 แสนล้านบาท และมีการลงทุนระยะยาวเพื่อผลักดันจีดีพีเติบโตน่าจะเป็นทางเลือกที่ดี

"อเบอร์ดีนมองว่าราคาหุ้นที่ลงมาถึงระดับหนึ่ง นักลงทุนต่างชาติจะกลับเข้ามาลงทุน และเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นเอเชียถือว่าหุ้นไทยไม่ได้แพง เมื่อเทียบกับเสถียรภาพโดยรวม แต่ต้องรอดูจุดขายของรัฐบาลเพื่อดึงดูดนักลงทุนหรือหากรัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เป็นข่าวดี ดัชนีน่าจะมี Sentiment ที่ดี โดยอเบอร์ดีนปรับประมาณการ 6-12 เดือนข้างหน้า จากเดิมกรอบดัชนีอยู่ที่ 1,530-1,663 จุด เป็น 1,444-1,560 จุด กรณี Best Case อยู่ที่ 1,494-1,618 จุด"นางสาวดรุณรัตน์ กล่าว

พร้อมกันนี้แนะนำกองทุน ABSM ลงทุนหุ้นไทยขนาดกลางและเล็ก ซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตของกำไรที่ดี โดยกองทุนจะเน้นลงทุน 4 ธีม ท่องเที่ยว เฮลธ์แคร์ EV อาหารและเครื่องดื่ม

ด้านนายจอช ดิวทซ์ รองหัวหน้าทีมโกลบอลเอคควิตี้ อเบอร์ดีน เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอตัวแบบ Soft landing เงินเฟ้อเริ่มลดลง สถานการณ์ดีขึ้นเมื่อเทียบปีก่อนที่กังวลเศรษฐกิจอาจเกิด Hard landing ขณะที่สงครามในตะวันออกกลางมีความกังวลอยู่บ้าง แต่มองกำไรบริษัทจดทะเบียนเริ่มเห็นสัญญาณที่ดีและคาดว่าไตรมาส 4/66 กำไรน่าจะดีขึ้น ในแง่ของการลงทุนมองราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมาเป็นโอกาสลงทุน โดยเฉพาะหุ้นปันผล

สำหรับกองทุนเปิดอเบอร์ดีน โกลบอล ไดนามิค ดีวิเดนด็น ฟันด์ (ABGDD) เน้นลงทุนหุ้นปันผลทั่วโลก ซึ่งกองทุนเน้นหุ้น Value มากกว่าหุ้น Growth เนื่องจากมีความสม่ำเสมอและมีความมั่นคง ซึ่ง 3 ปีล่าสุดราคาหุ้นปรับตัวลงมาเมื่อเทียบ หุ้น Growth เมื่อเทียบหลายวิกฤตที่ผ่านมาหุ้น Value มักจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า ซึ่งรอบนี้หุ้น Growth ปรับตัวขึ้นมามากจากหุ้นบิ๊กเนม 7 ตัว มีขนาด 1 ใน 3 ของมาร์เก็ตแคปตลาดหุ้นสหรัฐดึงหุ้นกลุ่มเทคขึ้นมา แต่มองในฝั่งหุ้น Value โอกาสในการลงทุนกำลังมา

"อเบอร์ดีนมองโอกาสลงทุนหุ้นปันผลดี สม่ำเสมอและมีโอกาสเติบโต จากสถิติหุ้นตัวไหนที่จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอและโอกาสเติบโตได้ ภาพระยะยาวจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหุ้นตัวที่ลดการจ่ายเงินปันผลหรือไม่จ่ายปันผล สะท้อนภาพ 10 ปีที่ผ่านมา อีกทั้งการลงทุนหุ้นปันผลยังเป็นการกระจายความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ และหากเลือกหุ้นที่ดีมีโอกาสเพิ่มผลตอบแทนจากเงินปันผล เป็นความเซ็กซี่ของหุ้นกลุ่มนี้ ขณะที่ราคาหุ้น Value ปรับตัวลงมามาก ถึงจุดน่าสนใจ โดยเฉพาะเมื่อเทียบอดีตใกล้เคียงช่วงก่อนเกิดโควิด จึงมองเป็นจังหวะเข้าลงทุนหุ้นดี ราคาเหมาะสมและถูก"นายจอช กล่าว

นอกจากนี้ในภาวะตลาดขาลง หุ้น Value ก็ปรับตัวลงน้อยกว่าตลาด เนื่องจากบริษัทที่มีการจ่ายเงินปันผลระดับสูงมักมีโมเดลธุรกิจที่มีความมั่นคง กระแสเงินสดดี งบดุลแข็งแกร่งและบริษัทมีการบริหารจัดการภายใน เพื่อเตรียมเงินไว้จ่ายปันผล ซึ่งจากสถิติหุ้นที่มีการจ่ายปันผลดี สม่ำเสมอและมีโอกาสเติบโตให้ผลตอบแทนที่ดีและความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้นอื่นๆ

นายจอช กล่าวว่า ภาพรวมมูลค่าการจ่ายเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียนทั่วโลกเพิ่มขึ้นตอเนื่องอยู่ที่ 1.93 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เติบโต 8.4% ต่อปี ซึ่งเติบโตทุกภูมิภาค ส่วนหนึ่งมาจากหลายบริษัทมีสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง กระแสเงินสดดีสามารถจ่ายเงินปันผลได้และมีแนวโน้มการเติบโต

สำหรับกองทุน ABGDD เน้นลงทุนหุ้นพื้นฐานดีที่ปันผลสม่ำเสมอและมีโอกาสเติบโต สัดส่วน 95% ของพอร์ต ส่วน 5% ที่เหลือมองหาเงินปันผลที่มากกว่ากองทุนอื่นๆ โดยจะหาหุ้นบริษัทที่ดีเพื่อเข้าซื้อหุ้นก่อนขึ้นเครื่องหมาย XD และบางจังหวะจะใส่เงินเพิ่มเพื่อรับเงินปันผลเพิ่มมากขึ้น หรือหาหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลแบบพิเศษ ซึ่งบางบริษัทอาจปรับโครงสร้างงบดุลภายในให้สถานการณ์ดีหรือมีการขายสินทรัพย์หรือบริษัทลูกมีเงินสดเข้ามาก็สามารถจ่ายเงินปันผลพิเศษได้

"กองทุน ABGDD มุ่งสร้างผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ 7% ต่อปี เพื่อให้ Stable มั่นคงและยั่งยืน สะท้อนได้จากการจ่ายเงินปันผลทุกเดือน ในอดีตสามารถปันผลได้ในระดับ 5-7% ต่อปีและในปี 2565 ที่ตลาดปรับตัวลงกองทุนยังสามารถจ่ายผลตอบแทนได้ 8.04% เนื่องจากบริษัทที่ลงทุนแม้จะจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ แต่มีรายได้จากยุโรปและเอเชียด้วย"นายจอช กล่าว

SCB WEALTH จัดสัมมนา SCB FIRST INVESTMENT OUTLOOK 2023 ภายใต้ชื่อ “EMBRACING THE LIGHTNING OPPORTUNITY”ให้กับกลุ่มลูกค้า First

บนเวทีสัมนา   SCB CIO  ชี้เศรษฐกิจสหรัฐเป็น Soft Landing ปีหน้าเงินเฟ้ออยู่ที่ 2.4% หุ้นสหรัฐแพงแต่ถือต่อได้ หากซื้อเพิ่มแนะรอจังหวะย่อตัวค่อยทยอยสะสม ส่วนตลาดEM ไทย จีน เวียดนาม ราคายังถูก ด้านวิกฤติอสังหาในจีนกระทบตลาดหุ้นกู้เป็นหลัก ในตลาดหุ้น A-share และH-shareกระทบเพียงบางตัวเท่านั้น ชี้ตราสารหนี้สกุลดอลล่าร์ให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินบาท กองทุนตลาดเงินอยู่ที่ประมาณ 5% ต่อปี หุ้นกู้อนุพันธ์แฝง Double Shark Fin Note รักษาเงินต้นอายุ 1 ปี อยู่ที่ 0-15% และ KIKO โอกาสรับผลตอบแทน 15 -25%ต่อปี ช่วยเพิ่มโอกาสการลงทุนในช่วงที่ตลาดเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ ด้าน InnovestX คาดภายในครึ่งหลังของปีนี้ ดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสปรับได้ถึง1,650-1,700จุด หลังรัฐบาลใหม่พร้อมบริหารประเทศ หุ้นกลุ่มได้รับอนิสงค์นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ ได้แก่ กลุ่มค้าปลีก อาหารและเครื่องดื่ม ส่วนหุ้นที่ได้อนิสงค์วัฐจักรโลก คือกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์

ดร.ยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Wholesale และรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจWEALTH ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยในงานสัมมนา SCB FIRST INVESTMENT OUTLOOK 2023 ภายใต้ชื่อ “EMBRACING THE LIGHTNING OPPORTUNITY ” ว่า ในช่วงที่ภาวะตลาดทุนโลกมีความผันผวนหลังวิกฤติโควิด จนส่งผลกระทบต่อทิศทางการลงทุน นำไปสู่เงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น ทำให้ธนาคารกลางหลักทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องและคงไว้ในระดับสูง จนส่งผลกระทบต่อสถาบันการเงินในสหรัฐฯ และการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ทั้งนี้ มองว่าวัฐจักรดอกเบี้ยขาขึ้น น่าจะใกล้จุดสูงสุดแล้ว แม้เงินเฟ้อทั่วโลกจะยังอยู่ในระดับสูงกว่ากรอบของนโยบายการเงินของหลายประเทศ แต่มีแนวโน้มลดลง เศรษฐกิจสหรัฐอาจชะลอตัวลงบ้าง แต่ความกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอยอาจจะลดน้อยลง

ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจในประเทศไทย ขณะนี้ได้รัฐบาลใหม่พร้อมเข้าบริหารประเทศแล้ว ทำให้มุมมองโอกาสในการลงทุนมีความชัดเจนขึ้น การลงทุนที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (Climate Change ) เริ่มมีความน่าสนใจมากขึ้น จากการที่ทั่วโลกตั้งเป้าหมายขับเคลื่อนสู่การปล่อยก๊าซคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) โดยในส่วนของธนาคารไทยพาณิชย์ การปล่อยสินเชื่อ และพอร์ตการลงทุนของธนาคาร ต้องเป็น Net zero ในปี 2050 นอกจากนี้ธนาคารมุ่งมั่นในการเฟ้นหาผลิตภัณฑ์การลงทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้พอร์ตมีเสถียรภาพในทุกช่วงจังหวะของการลงทุน และพร้อมเดินเคียงข้างลูกค้า เพื่อดูแลความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนไปด้วยกัน

ดร.กำพล อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโสและหัวหน้าทีม SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า สหรัฐฯขึ้นดอกเบี้ย จาก 0.25% มาอยู่ที่ 5.5% ภายในระยะเวลา 1 ปี 6 เดือน ทำให้เงินเฟ้อชะลอลงบ้าง แม้ตลาดแรงงานยังแข็งแกร่ง เราจึงปรับปรุงมุมมองเศรษฐกิจสหรัฐฯจะชะลอตัวแบบจัดการได้ (Soft landing) ซึ่งคาดว่า เงินเฟ้อสหรัฐฯ แต่ละเดือนจะปรับลดลง 0.2% ทำให้ในปีหน้าอยู่ที่ประมาณ 2.4% และดอกเบี้ยใกล้จบรอบการปรับขึ้นแล้ว แต่จะยังค้างอยู่ในระดับสูงจนถึงกลางปี 2024 ส่วนพันธบัตรระยะสั้นให้อัตราผลตอบแทน (yield) มากกว่าพันธบัตรระยะยาว ทำให้เส้นอัตราผลตอบแทนกลับทิศ (Inverted yield curve) ทั้งนี้ หากย้อนดูช่วงที่ Fed หยุดขึ้นดอกเบี้ย ส่วนต่างของ Inverted yield curve จะเริ่มลดลง โดยคาดว่าจะเกิดขึ้นใน 6 เดือนข้างหน้า และกลางปี 2024 yield ของพันธบัตรรระยะยาวจะกลับมามากกว่าพันธบัตรระยะสั้น

นอกจากนี้ เรามองเห็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนแต่จะช้ากว่าที่คาดส่วนความกังวลที่จีนอาจเผชิญภาวะ Balance sheet recession หรือภาวะที่ภาคธุรกิจและครัวเรือนกังวลกับหนี้สินที่อยู่ในระดับสูง ทำให้รายได้ส่วนใหญ่ไม่ถูกนำไปใช้จ่ายบริโภคและลงทุน รวมถึงไม่กู้ยืมเพิ่มเติมแต่เน้นการจ่ายคืนหนี้เพื่อลดภาระทางการเงิน เนื่องจากราคาสินทรัพย์ที่ปรับลดลงเร็วกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ซึ่งอาจลุกลามทำให้เกิด Lost Decades เมื่อเทียบกับญี่ปุ่นในช่วงปี 1980-2000 ราคาบ้านในจีนไม่ได้เข้าสู่ภาวะฟองสบู่เหมือนกับญี่ปุ่น และภาคธนาคารพาณิชย์ของจีนไม่ได้มีหนี้เสียสูงเท่ากับญี่ปุ่น (ล่าสุด NPLจีน อยู่ที่ 1.6 % และญี่ปุ่นอยู่ที่ 6.2% ) ซึ่งธนาคารพาณิชย์ของจีนยังมีความแข็งแกร่งทั้งในด้านฐานทุนและสภาพคล่อง

ทั้งนี้ เมื่อดู Valuation หุ้นประเทศพัฒนาแล้วค่อนข้างแพง โดยหุ้นสหรัฐฯ แม้จะปรับลงมาบ้าง แต่ในเดือน ส.ค. ดัชนี S&P500 ยังซื้อขายที่ระดับราคาต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) ที่ 19-20 เท่า ซึ่งถือว่าอยู่ในค่าเฉลี่ย ดังนั้น หากมีหุ้นสหรัฐฯ อยู่ สามารถถือต่อได้ แต่ถ้าต้องการซื้อเพิ่ม เราแนะนำให้รอจังหวะย่อตัวลงมาแล้วค่อยทยอยสะสม ส่วนหุ้นตลาดเกิดใหม่ (EM) ราคายังถูก เช่น ไทย จีน และเวียดนาม แต่ก็มาพร้อมความเสี่ยง โดยเรามีมุมมอง Neutral กับหุ้นเวียดนาม (ถือได้แต่ยังไม่ซื้อเพิ่ม) เนื่องจากเศรษฐกิจเวียดนามชะลอตัวลง ขณะที่ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนออกมาแย่น้อยกว่าที่คาด

ส่วนตลาดหุ้นจีน H-Share มีมุมมอง Neutral แม้ว่าตลาดในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาจะปรับขึ้น 5-6% แต่ยังมีความเสี่ยงจากประเด็นภูมิรัฐศาสตร์ และน่าจะทำให้ตลาดผันผวนไปอีกระยะหนึ่ง ตลาดหุ้นจีน A-Share ซึ่งเน้นอุปสงค์ในประเทศ เราแนะนำให้ทยอยซื้อ เนื่องจากราคาค่อนข้างถูก และซื้อขายที่ P/E ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 11-12 เท่า ประเด็นภาคอสังหาฯ จีน มองว่า สัดส่วนหุ้นกลุ่มอสังหาฯ คิดเป็น 1% ของตลาดหุ้น A-Share และกว่า 2%ของ H-Share เท่านั้น และเมื่อพิจารณาภาพรวมแล้ว สถานการณ์ภาคอสังหาฯจีนจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นกู้เป็นหลัก ส่วนในตลาดหุ้นกระทบเพียงหุ้นรายตัวที่มีปัญหา แต่โดยรวมไม่มีผลกับตลาดหุ้นมากเพราะมูลค่าตามราคาตลาดไม่สูง ขณะที่หุ้นไทย แนะนำทยอยซื้อ เพราะความไม่แน่นอนทางการเมืองลดลงไปมาก ส่วนเศรษฐกิจและผลกำไรบริษัทจดทะเบียนน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา

นายศรชัย สุเนต์ตา ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Office and Product Function และผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารฝ่าย CIO Office กลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ มีโอกาสให้ผลตอบแทนน่าสนใจกว่าผลิตภัณฑ์ลักษณะเดียวกันที่เป็นสกุลเงินบาท และ ครอบคลุมในทุกระดับความเสี่ยง ตั้งแต่ความเสี่ยงต่ำ ไปถึงความเสี่ยงสูง ผลิตภัณฑ์ความเสี่ยงต่ำ เช่น กองทุนรวมตลาดเงิน บนสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ที่ให้ผลตอบแทนประมาณ 5.0% ต่อปี ในขณะที่สกุลเงินบาท ผลตอบแทนประมาณ 1.68% ต่อปี ผลิตภัณฑ์ความเสี่ยงปานกลางและมุ่งรักษาเงินลงทุน เช่น Double Shark Fin Note หุ้นกู้อนุพันธ์แฝง แบบรักษาเงินลงทุน อายุการลงทุน 1 ปี เหมาะกับตลาดที่ยังมีความผันผวน สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ให้ผลตอบแทนประมาณ 0-15% ต่อปี สกุลเงินบาท ให้ผลตอบแทน 0-10% ต่อปี และผลิตภัณฑ์ความเสี่ยงสูง เช่น KIKO ซึ่งเป็นหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง ที่อ้างอิงการเคลื่อนไหวของหุ้นที่มีมุมมองเคลื่อนไหวในกรอบแคบ (sideway) เมื่อสิ้นสุดสัญญา ได้รับคืนเงินต้นในรูปแบบเงินสดหรือหุ้นอ้างอิง โดยมีเงื่อนไขเรื่องราคาปรับลดลงไปถึงระดับราคาต่ำสุดที่ตกลงกันไว้ (Knock-in) เป็นตัวช่วยลดโอกาสการรับหุ้น ซึ่ง KIKO สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ให้ผลตอบแทนประมาณ 15-25% ต่อปี ขณะที่ สกุลเงินบาท ให้ผลตอบแทนประมาณ 6-10% ต่อปี

โดยรวมแล้วการใช้กลยุทธ์เหล่านี้จะช่วยเพิ่มโอกาสการลงทุนได้ในช่วงที่ตลาดเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ อย่างไรก็ตาม หากผู้ลงทุนกังวลเรื่องการขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน เรามองว่าในระยะสั้นทิศทางอัตราแลกเปลี่ยนน่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ ไปอีกระยะ เนื่องจากมีทั้งปัจจัยที่ทำให้เงินบาทอ่อนค่าและแข็งค่าหักล้างกันอยู่ เช่น ปัจจัยที่ทำให้เงินบาทแข็งค่า ได้แก่ การท่องเที่ยวฟื้นตัว ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่วนปัจจัยที่ทำให้เงินบาทอ่อนค่า คือ เงินบาทเคลื่อนไหวสัมพันธ์กับเงินหยวนมากขึ้น เพราะไทยมีความสัมพันธ์ทางการค้ากับจีนสูงขึ้น ซึ่งเงินหยวนมีทิศทางอ่อนค่าลง เป็นแรงกดดันที่ทำให้เงินบาทอ่อนค่า เงินลงทุนต่างชาติไหลออก และราคาทองคำลดลง ทำให้คนขายเงินบาทเพื่อไปซื้อทองคำ เป็นต้น ทั้งนี้ เรามองว่า หากเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 34-35.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นระดับที่ผู้ลงทุนสามารถทยอยแลกเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อไปลงทุนในต่างประเทศได้

นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด เปิดเผยว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ มีสัญญาณฟื้นตัว ถ้ามองในเชิงนโยบาย เมื่อได้รัฐบาล

ใหม่เรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะมีการกระตุ้นการบริโภคในประเทศ รวมถึงการลงทุนภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้ครึ่งปีหลังควรจะเติบโตดีกว่าในช่วงครึ่งปีแรก ด้านภาพรวมตลาดหุ้นไทยครึ่งปีแรก ปรับตัวลดลง 10% โดยเงินลงทุนไหลออกไปตลาดหุ้นอื่น เช่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ จีน และอินเดีย อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยเริ่มกลับสู่ขาขึ้น นักลงทุนต่างชาติเริ่มมีแรงขายลดลง ดังนั้น โอกาสที่จะกลับมาซื้อจึงเป็นไปได้ และเวลานี้ไทยถือเป็นตลาดที่น่าสนใจ เพราะการเมืองมีความชัดเจนแล้ว โดยมองว่า ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับขึ้นไปได้ถึง 1,650-1,700 จุด ในช่วง 6 เดือนข้างหน้า ส่วนความเสี่ยงด้านการปรับลดลงประเมินไว้ที่ 1,450 จุด ซึ่งปัจจุบันดัชนีอยู่ที่ระดับกว่า 1,500 จุด และมองว่าน่าจะผ่านจุดที่ต่ำสุดไปแล้ว ทั้งนี้ หุ้นขนาดใหญ่ ราคายังไม่กลับไปเท่ากับช่วงก่อนเลือกตั้ง ส่วนหุ้นกลุ่มการแพทย์ก็ยังปรับตัวขึ้นน้อยมากจึงยังมีโอกาสปรับขึ้นได้ ธุรกิจที่มีแนวโน้มผลประกอบการเติบโตมีเพิ่มขึ้นในหลายกลุ่มธุรกิจ เช่น พลังงาน ท่องเที่ยว การแพทย์ ค้าปลีก และ พาณิชย์

สำหรับหุ้นที่ได้อานิสงส์จากนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ ได้แก่ กลุ่มค้าปลีก อาหารและเครื่องดื่ม ได้ประโยชน์จากนโยบายแจกเงินดิจิทัลและนโยบายพักหนี้เกษตรกรส่วนนโยบายลดราคาน้ำมันและค่าไฟจะให้ประโยชน์กับผู้ประกอบการ ขณะที่ค่าแรงขั้นต่ำ จะช่วยเพิ่มรายได้ให้คนใช้แรงงาน นอกจากนี้ ยังมีหุ้นที่ได้อานิสงส์จากวัฎจักรเศรษฐกิจโลก ที่เซมิคอนดักเตอร์ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ได้แก่ กลุ่มหุ้นอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนกลยุทธ์การลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง โดยพิจารณาจากผลประกอบการ เรามองว่า มี 4 อุตสาหกรรมและ 8 หุ้นเด่น ได้แก่ 1) กลุ่มพลังงาน จากราคาน้ำมันฟื้นตัว ได้แก่ PTT และ BCP 2) กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ จากอุปสงค์ที่เข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น ได้แก่ KCE และ HANA 3)กลุ่มท่องเที่ยว ที่เข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น ได้แก่ AOT และ ERW และ4) กลุ่มสุขภาพ จากรายได้ผู้ป่วยต่างชาติเพิ่มขึ้น ได้แก่ BDMS และ BCH

Page 1 of 2
X

Right Click

No right click