![](/images/2021/09/22/-1.jpg)
![](/images/2021/09/22/-1.jpg)
กรุงเทพฯ, 28 มกราคม 2568 -- ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ ทีเอ็มบีธนชาต (ทีทีบี) แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการธนาคารได้มีมติอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารการเงิน ภายใต้วงเงินรวมจำนวนไม่เกิน 21,000 ล้านบาท ระยะเวลา 3 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2568 ไปจนถึงปี 2570 โดยธนาคารจะดำเนินการซื้อหุ้นคืนในครั้งแรกด้วยวงเงิน 7,000 ล้านบาท จำนวนหุ้นซื้อคืนไม่เกิน 3,500,000,000 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 3.6% ของหุ้นที่จำหน่ายได้ทั้งหมด กำหนดระยะเวลาที่จะซื้อหุ้นคืนด้วยวิธีจับคู่อัตโนมัติผ่านระบบซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ ตั้งแต่วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 ถึงวันที่ 1 สิงหาคม 2568
นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต เปิดเผยว่า การซื้อหุ้นคืนในครั้งนี้ เป็นหนึ่งในหลายโครงการที่อยู่ในแผนงานด้านการบริหารส่วนทุน (Capital Management) ของธนาคาร โดยมีจุดประสงค์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ถือหุ้นผ่านการปรับโครงสร้างและขนาดงบดุลให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาฐานะเงินกองทุนของธนาคารนับตั้งแต่รวมกิจการก็จะพบว่าปรับตัวเพิ่มขึ้นมาโดยตลอด เป็นผลจากการดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบและการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ ณ สิ้นปี 2567 ธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุน 19.3% ซึ่งสูงอยู่ในระดับเดียวกับธนาคารคู่เทียบ (D-SIBs) และสูงเกินจากเกณฑ์ขั้นต่ำที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดไว้ที่ 12.0% อย่างมีนัยสำคัญ จึงเป็นโอกาสให้ธนาคารสามารถปรับลดส่วนเกินดังกล่าวให้มีความเหมาะสมมากขึ้นได้โดยที่ไม่กระทบต่อความมั่นคงและแผนธุรกิจของธนาคารในอนาคต อีกทั้งยังเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้น จึงเป็นที่มาของโครงการซื้อหุ้นคืนในครั้งนี้
ภายหลังการซื้อหุ้นคืน ผู้ถือหุ้นจะได้รับประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) และอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ตามการลดลงของมูลค่าทางบัญชีในส่วนของผู้ถือหุ้นและการลดลงของจำนวนหุ้นที่หมุนเวียนในตลาดหลักทรัพย์ เทียบกับระดับ ROE ในปัจจุบัน ณ สิ้นปี 2567 ที่ 9.0% และ EPS ที่ 0.22 บาท ขณะที่ประเมินว่าอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (Capital Adequacy Ratio) จะยังคงสูงกว่า 19% ซึ่งยังคงอยู่ในระดับสูงและเพียงพอต่อการเติบโตสินเชื่อตามแผนธุรกิจ
สำหรับวงเงินส่วนที่เหลืออีก 14,000 ล้านบาท ธนาคารจะกำหนดกรอบการซื้อคืนและระยะเวลาอีกครั้ง โดยจะพิจารณาให้เหมาะสมกับภาวะตลาดและมูลค่าหุ้น เพื่อให้มั่นใจว่าโครงการซื้อหุ้นคืนในอีก 2 รอบที่เหลือจะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้ถือหุ้นเช่นกัน
นายปิติ กล่าวสรุปว่า “นอกเหนือจากโครงการซื้อหุ้นคืนในครั้งนี้ ธนาคารได้ดำเนินการตามแผนการบริหารส่วนทุนในหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการปรับโครงสร้างส่วนทุนให้มีความเหมาะสมผ่านการไถ่ถอนตราสารหนี้นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 (Additional Tier1) และการลดขนาดการออกตราสารหนี้ที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 ในปี 2567 การเพิ่มอัตราเงินปันผลขึ้นมาอยู่ที่ 60% เทียบกับระดับ 30%-35% ในช่วงก่อนรวมกิจการ รวมถึงการสร้างโอกาสในการเติบโตผ่านการเข้าซื้อหุ้นในกิจการที่ส่งเสริมกัน โดยปัจจุบันธนาคารได้เข้าทำ Non-Binding MOU และอยู่ในขั้นตอนการทำ Due Diligence เพื่อพิจารณาการเข้าซื้อหุ้นในบริษัทหลักทรัพย์ธนชาตและบริษัท ที ลิสซิ่ง
การดำเนินการอย่างต่อเนื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจจริงของเราในการสร้างมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้นทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยเราจะยังคงมุ่งมั่นและเน้นย้ำการดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบ เพื่อให้ทีทีบีเติบโตได้อย่างมั่นคงและส่งมอบประโยชน์กลับคืนสู่ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายอย่างยั่งยืน”
ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี จัดงานใหญ่แห่งปี “อัศจรรย์ เฟสติวัล” งานแรกประเดิมรับศักราชใหม่ที่รวมสุดยอดโปรโมชันจากพาร์ทเนอร์ชั้นนำ การบินไทย, โรงแรมในเครือดุสิตธานี, โรงแรมในเครือไมเนอร์, Global Union Express, Klook, Disney On Ice, Major Group, SEKI และอาร์ตทอยสุดแรร์ จาก Beast Kingdom โดยชวนทุกคนที่ร่วมงานมาเพิ่มประสบการณ์ความสนุก พร้อมพบดีลพิเศษที่หาไม่ได้จากงานไหน และพิเศษสำหรับลูกค้าบัตรเครดิต ttb และบัตรเดบิต ttb all free รับโปรโมชันพิเศษเพิ่ม ตลอด 4 วัน ในวันที่ 13 - 16 กุมภาพันธ์ 2568 นี้ ณ แฟชั่น ฮอลล์ ชั้น 1 สยามพารากอน โปรโมชันสุดพิเศษในงาน อาทิ
1) ซื้อ 1 แถม 1 สำหรับกิจกรรมที่กำหนด (จำนวน 10 สิทธิ์/วัน)
2) มอบโค้ดส่วนลดมูลค่า 500 บาท (จำนวน 40 สิทธิ์/วัน) ใช้ได้กับทุกกิจกรรมบน Klook
3) เฉพาะลูกค้าใหม่รับโค้ดส่วนลดเพิ่ม 100 บาท (ไม่มีขั้นต่ำและไม่จำกัดจำนวน)
4) ผู้ซื้อกิจกรรมผ่าน Klook ภายในงาน รับสิทธิ์จับ Lucky Draw เพิ่ม (1 สิทธิ์/ผู้ใช้) เพื่อลุ้นรับ Klook e-Voucher มูลค่าสูงสุด 300 บาท (รวมจำนวน 60 รางวัล/วัน)
1) สมัครบัตร Member Blu-O & Sub Zero ราคาพิเศษเริ่มเพียง 1,600 บาท จากราคาปกติ 2,000 บาท
2) ซื้อแพ็กเกจ MPASS Voucher รับฟรีคูปอง Popcorn ขนาด 46 oz (มูลค่า 100 บาท)
3) ซื้อแพ็กเกจ Kid Cinema ราคาพิเศษเริ่มเพียง 800 บาท จากราคาปกติ 1,300 บาท
1) รับฟรี Ume Sashimi มูลค่า 899 บาท เมื่อซื้อคูปองแทนเงินสด มูลค่า 5,000 บาท
2) รับฟรี Sushi 12 Kan มูลค่า 1,990 บาท เมื่อซื้อคูปองแทนเงินสด มูลค่า 10,000 บาท
ทั้งนี้ สิทธิพิเศษเพิ่มเติมภายในงานที่คุ้มยิ่งกว่าสำหรับลูกค้าบัตรเครดิต ttb สามารถแลกคะแนนรับเครดิตเงินคืน 20% เมื่อใช้คะแนนแลกเท่ายอดใช้จ่ายภายในงาน และบัตรเดบิต ttb all free รับบัตร Starbucks มูลค่า 100 บาท เมื่อใช้จ่ายสะสมภายในงานตั้งแต่ 3,000 บาทขึ้นไป สูงสุด 500 บาท มากไปกว่านั้นเตรียมพบกับความสนุกจัดเต็มความบันเทิงจากศิลปินนักร้องแถวหน้าของเมืองไทยกับ Ally ในวันพฤหัสบดีที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 นี้ และวง PiXXiE ในวันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568
ทีทีบีเดินหน้าพัฒนาและสร้างสรรค์โซลูชันทางการเงินที่ยกระดับผลิตภัณฑ์และประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้น รวมถึงการจัดกิจกรรมและแคมเปญสำหรับลูกค้าทีทีบีอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมให้ลูกค้าทุกคนมีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นในทุกมิติอย่างแท้จริง รายละเอียดเพิ่มเติมงาน “ทีทีบี อัศจรรย์ เฟสติวัล” สามารถคลิกได้ที่ https://www.ttbbank.com/th/promotion/detail/ttb-festival-jan25
ทีทีบีส่งเสริมให้ลูกค้าบัตรเครดิตใช้จ่ายเท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 7 - 16% ต่อปี เพื่อชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นทั้งในวันนี้ และอนาคต
ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี เป็นหนึ่งในภาคเอกชนไทยที่เข้าร่วมในงานประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 29 (COP29) โดยมีนายกมลพันธ์ ลักษณา หัวหน้าการพัฒนาที่ยั่งยืน ร่วมเป็นวิทยากรงานเสวนาในกิจกรรมคู่ขนาน (Side Event) การประชุมรัฐภาคีฯ หัวข้อ “Financing the Transition" นำเสนอในเรื่อง "Empowering SMEs and Sustainable Development through Green and Blue Financing" ซึ่งทีทีบีให้ความสำคัญและดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง พร้อมเดินหน้าตามเป้าหมาย Net-zero Commitment ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ เพื่อร่วมขับเคลื่อนแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
นายกมลพันธ์ ลักษณา หัวหน้าการพัฒนาที่ยั่งยืน ทีเอ็มบีธนชาต เปิดเผยว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นหนึ่งในความท้าทายเร่งด่วนที่สุดของโลกในปัจจุบัน ซึ่งทีทีบีตระหนักถึงบทบาทสำคัญและความรับผิดชอบ พร้อมนำความสามารถมาสร้างโซลูชันทางการเงินที่จะช่วยเร่งให้เกิดการเปลี่ยนผ่าน เพราะบทบาทของธนาคารไม่ใช่การนำพาองค์กรไปสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ โดยทีทีบีมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้ขับเคลื่อนในการดำเนินงานเพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบเศรษฐกิจที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-zero Economy) ผ่านการให้สินเชื่อ ให้คำปรึกษาลูกค้า และสนับสนุนบนเส้นทางการเปลี่ยนผ่าน
ทีทีบีมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจตามกรอบ B+ESG ทุกกลยุทธ์และแนวทางการดำเนินธุรกิจต้องอยู่บนพื้นฐานของการสร้างการเติบโตและยั่งยืน เพราะธุรกิจ (Business) หรือ B ต้องเติบโตอย่างแข็งแรง ทีทีบีจึงมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนทางการเงินที่ยั่งยืนเพื่อการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ โดยนำกฎเกณฑ์ด้าน ESG มาใช้ประกอบการพิจารณาสินเชื่อและการลงทุน พร้อมนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่มุ่งเน้นส่งเสริมด้าน ESG ให้กับลูกค้าธุรกิจและลูกค้าบุคคล เช่น สินเชื่อสีเขียว สินเชื่อสีฟ้า สินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน การเงินเพื่อการปรับตัวสู่ความยั่งยืน ตราสารหนี้สีเขียว ตราสารหนี้สีฟ้า กองทุุนเพื่อการลงทุุนด้าน ESG และยังมีบริการให้ความช่วยเหลือและคำปรึกษาด้าน ESG ตลอดจนสร้างการมีส่วนร่วมกับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นให้ความรู้และสร้างความตระหนักรู้ พร้อมมีเป้าหมายช่วยเหลือลูกค้าให้มีความเข้าใจและสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงและโอกาสที่เกี่ยวข้องกับประเด็นด้าน ESG เพื่อให้ลูกค้ามีความรับผิดชอบและเปลี่ยนผ่านไปสู่อนาคตอย่างยั่งยืน
ภายในงาน นายกมลพันธ์ ได้กล่าวถึงการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านว่า “ธนาคารได้วิเคราะห์ถึงผลกระทบจากกฎกติกาต่าง ๆ ที่จะบังคับใช้ในอนาคต เช่น มาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (CBAM-Carbon Border Adjustment Mechanism) ประกอบกับการวิเคราะห์พอร์ทสินเชื่อของลูกค้าตามความเสี่ยงของอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ เพื่อวางแผน จัดกิจกรรมการมีส่วนร่วม และสร้างเกราะป้องกันให้กับลูกค้าตั้งแต่เริ่มต้น โดยทีทีบีจะจัดหาพันธมิตรด้านโซลูชันทางเทคนิคสำหรับการลดใช้พลังงาน การปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน เป็นต้น และในปี 2567 ธนาคารได้ออกผลิตภัณฑ์ทางการเงิน Green Transformation เพื่อช่วยสนับสนุนทางการเงินและส่งเสริมการลงทุนเพื่อการเปลี่ยนผ่านอย่างยั่งยืน
“จากการรวมปัจจัยด้าน ESG เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการให้คำปรึกษาและการอนุมัติสินเชื่อตลอดปีที่ผ่านมา ทำให้ธนาคารเห็นถึงความสนใจในสินเชื่อ ESG ที่เพิ่มมากขึ้นของลูกค้า โดยตลอดเส้นทางการดำเนินธุรกิจของทีทีบีได้สร้างชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นและแก้ปัญหาให้ผู้คนอย่างแท้จริง ผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ช่วยลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมผ่านโซลูชันทางการเงินที่ยั่งยืน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแรงผลักดันในการเปลี่ยนแปลงสังคมสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ตอกย้ำความสำเร็จจากรางวัลด้านความยั่งยืนที่ธนาคารได้รับมาต่อเนื่อง สะท้อนชัดถึงการลงมือทำอย่างแท้จริงของธนาคารในการขับเคลื่อนสู่การธนาคารเพื่อความยั่งยืน” นายกมลพันธ์ กล่าวสรุป