วางตลาดแล้ว หนังสือ จากห้องครัวสู่ห้องประชุม  เส้นทางธุรกิจครอบครัว

 

หนังสือเรื่อง “จากห้องครัวสู่ห้องประชุม  เส้นทางธุรกิจครอบครัว” นำเสนอเกี่ยวกับความรู้ทางด้านการบริหารจัดการธุรกิจครอบครัว ซึ่งเป็นศาสตร์ที่อยู่ในวงจำกัด และผู้ประกอบการธุรกิจจำนวนมากเข้าไม่ถึงทำให้การสืบทอดกิจการของธุรกิจครอบครัวเป็นไปได้ยาก จากจำนวนผู้ประกอบการธุรกิจครอบครัวที่สามารถส่งต่อธุรกิจถึงรุ่นที่ 4 ได้เพียง 3% เท่านั้น ทั้งที่ธุรกิจครอบครัวถือเป็นนักรบทางเศรษฐกิจที่สำคัญและสามารถสร้างรายได้เกือบ 70% ของ GDP ของประเทศไทย

หนังสือเล่มนี้ยังนำเสนอถึงการส่งต่อธุรกิจครอบครัวที่เป็นทั้ง “ศาสตร์และศิลป์” ที่มีความละเอียดอ่อน เนื่องจากในแต่ละธุรกิจครอบครัวนั้นก็มีทั้ง “ภาคธุรกิจ” และ “ภาคครอบครัว” ที่มีลักษณะเฉพาะแตกต่างกัน ไปที่จะต้องคำนึงถึงในมิติต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ธุรกิจครอบครัวสามารถส่งต่อธุรกิจกันได้อย่างราบรื่น โดยเฉพาะประเด็นที่ธุรกิจครอบครัวควรต้องมีความเข้าใจกับการจัดโครงสร้างธุรกิจ เพื่อให้สอดคล้องกับทิศทางการเติบโตของธุรกิจและความต้องการของครอบครัว  รวมทั้งประเด็นของการสืบทอดธุรกิจ ซึ่งมีความเป็นไปได้ทั้งการที่ครอบครัวสามารถคัดเลือกและบ่มเพาะทายาทที่เหมาะสมได้ กับประเด็นที่ทายาทไม่อยากสืบทอดธุรกิจด้วย

ที่สำคัญ เมื่อธุรกิจครอบครัวเติบโตมากขึ้น การบริหารความมั่งคั่งระหว่าง “ธุรกิจ - ครอบครัว” คือ ความจำเป็นด้วยเช่นกัน ซึ่งในส่วนนี้จะเป็นบทบาทของ “สำนักงานครอบครัว” (Family Office) ซึ่งธุรกิจครอบครัวขนาดเล็ก ขนาดกลางก็สามารถนำหลักการของธุรกิจครอบครัวขนาดใหญ่มาประยุกต์ใช้ได้

ด้วยมิติต่างๆ เหล่านี้หนึ่งในตัวแปรที่จะช่วยกำกับให้ธุรกิจครอบครัวมีแนวทางปฏิบัติ และกรอบข้อตกลงร่วมกันระหว่างสมาชิกในครอบครัว นั่นคือ “ธรรมนูญครอบครัว” ทว่า ในทางปฏิบัติ ธุรกิจครอบครัวไทยยังมีความรู้ความเข้าใจกับ “ธรรมนูญครอบครัว” อยู่น้อยมาก แม้ว่ามิตินี้จะเป็นการสะท้อนจิตวิญญาณ เป้าหมาย ตลอดจนเจตนารมณ์ของครอบครัวก็ตาม ซึ่งผู้อ่านก็จะได้ความรู้ หลักการเบื้องต้นเพื่อทำความเข้าใจและใช้กับ “ธรรมนูญครอบครัว” จากหนังสือเล่มนี้ อีกทั้งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้

 

จากห้องครัวสู่ห้องประชุม เส้นทางธุรกิจครอบครัว จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายโดย บริษัท แฟมซ์ จำกัด   จำหน่ายในราคาเล่มละ 250 บาท

 

การสืบทอดธุรกิจครอบครัว ถือเป็นประเด็นที่มีความท้าทายและเป็นบททดสอบที่ทุกครอบครัวต้องข้ามผ่านไปให้ได้ อีกทั้งเป็นการพิสูจน์ว่า ธุรกิจของครอบครัวนั้นๆ จะดำรงอยู่อย่างยั่งยืนได้หรือไม่ เนื่องจากการสืบทอดธุรกิจครอบครัวนั้นเกี่ยวข้องกับกระบวนการที่ค่อนข้างซับซ้อนทั้งการถ่ายโอนอำนาจในครอบครัว และในธุรกิจ อีกทั้งมีธุรกิจครอบครัวจำนวนมากที่ยังไม่ได้วางแผนสืบทอดไว้อย่างเป็นรูปธรรม เนื่องจากเป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยเวลาค่อนข้างมาก อีกทั้งมีปัญหายุ่งเหยิงพอสมควร จนทำให้ธุรกิจครอบครัวไม่สามารถถ่ายโอนธุรกิจไปสู่ทายาทรุ่นต่อไปได้

ทั้งนี้ รศ.ดร.เอกชัย อภิศักดิ์กุล คณบดีคณะวิทยพัฒน์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และ ผู้ก่อตั้ง FAMZ บริษัทที่ปรึกษาธุรกิจครอบครัวชั้นนำของประเทศไทย ได้ให้แนวทางเพื่อการสืบทอดธุรกิจครอบครัวได้ประสบความสำเร็จว่า “การก้าวข้ามความล้มเหลวของการสืบทอดธุรกิจครอบครัวนั้นมีทั้งแนวทางต่างๆ ทั้งที่ควรทำและไม่ควรทำ หรือ Do & Don’t ของกระบวนการสืบทอดธุรกิจครอบครัว ซึ่งจะเป็นตัวแปรสำคัญที่จะมีผลต่อการส่งต่อธุรกิจให้ประสบความสำเร็จได้หรือไม่ ทั้งในส่วนของผู้นำธุรกิจครอบครัว หรือในส่วนของทายาทผู้สืบทอด ซึ่งทั้งสองควรกลับมาพิจารณาและถอยมาคนละก้าว เพื่อให้กระบวนการต่างๆ ลุล่วงด้วยดี”

Do & Don’t

รศ.ดร.เอกชัย กล่าวถึง “สิ่งที่ไม่ควรทำ” หรือ Don’t สำหรับการสืบทอดธุรกิจครอบครัวว่า ประกอบด้วย พฤติกรรมดังต่อไปนี้

  • ไม่เชื่อมือ เนื่องจากคนรุ่นพ่อแม่ยังมีอาการไม่วางใจ หรือไม่เชื่อมือทายาทผู้สืบทอดตำแหน่งมากนัก ทำให้ไม่ยอมวางมือและพนักงานเกิดความสับสนว่าอจะเชื่อฟังใครกันแน่
  • ร้อนวิชา ผู้สืบทอดตำแหน่งร้อนวิชาเกินไป อยากดำเนินธุรกิจในแบบของตน โดยไม่ประเมินจุดแข็ง จุดอ่อน จนทำให้เกิดความผิดพลาดได้
  • มองข้ามค่านิยม ผู้สืบทอดตำแหน่งมองข้ามหรือไม่ให้ความสำคัญกับค่านิยมองค์กร จนทำให้ค่านิยมองค์กรผิดเพี้ยนไป
  • มองข้ามพนักงาน ผู้สืบทอดตำแหน่งไม่ค่อยให้ความสำคัญกับพนักงานจึงไม่สามารถรักษาพนักงานเก่า หรือพนักงานที่มีความสามารถไว้กับองค์กรได้ รวมถึงไม่สามารถดึงคนเก่งเข้ามาทำงานในองค์กรได้

ขณะที่ “สิ่งที่ควรทำ” หรือ Do เพื่อให้การถ่ายโอนธุรกิจครอบครัวประสบความสำเร็จ  นั่นคือ

  • วางแผนอย่างรอบคอบ ผู้ส่งมอบต้องเตรียมการโดยวางแผนและการจัดการธุรกิจอย่างรอบคอบ ทั้งในเรื่องธุรกิจ กลยุทธ์ เงินทุน หุ้นส่วนและการขยายสินค้าในระยะยาว เนื่องจากมีอิทธิพลโดยตรงต่อความสำเร็จในการสืบทอดธุรกิจครอบครัว
  • บ่มเพาะอย่างดี ผู้ส่งมอบต้องบ่มเพาะให้ผู้สืบทอดมีความรู้และประสบการณ์ในธุรกิจ รวมถึงสร้างความเป็นภาวะผู้นำให้ได้ โดยให้เข้าสู่ธุรกิจในวัยเยาว์และได้รับประสบการณ์ตรงทางด้านธุรกิจจากระดับล่างขึ้นมา ให้ผู้สืบทอดได้รับการศึกษาที่มีประโยชน์ต่อธุรกิจ ซึ่งผู้นำธุรกิจครอบครัวมักใช้การสอนแบบภายในและสอนแบบรายบุคคล ทั้งนี้ ทายาทต้องมีความรู้ในธุรกิจของตนเอง หมั่นหาองค์ความรู้ให้ตนเองเสมอ อาทิ การเข้าอบรมหรือฟังสัมมนา และควรหาผู้มีความรู้และประสบการณ์ อาทิ ผู้บริหารที่มีประสบการณ์และมีองค์ความรู้เข้ามาช่วยเสมือนเป็นพี่เลี้ยงสอนงานได้
  • คลุกวงใน ผู้ส่งมอบควรให้ทายาทเข้าสู่ธุรกิจครอบครัวตั้งแต่เยาว์วัย ก่อนที่จะเข้าสู่ธุรกิจเต็มตัว เพื่อให้มีความสนใจในธุรกิจ และสั่งสมความรู้ ประสบการณ์ก่อนการรับมอบตำแหน่งและได้เห็นบทบาทภาวะผู้นำของผู้ส่งมอบ
  • เลือกคนเก่ง เล็งให้ถูก หากมีทายาทหลายคน ผู้นำธุรกิจครอบครัวต้องพิจารณาให้ได้ว่า คนไหนเก่งด้านใดและวางตัวให้เหมาะสมกับตำแหน่งนั้นๆ และควรให้ทายาทประเมินตนเอง เพื่อให้ตระหนักถึงจุดอ่อน/จุดแข็งของตนเอง และต้องยอมรับความจริงว่า ตนเองถนัดและชอบในธุรกิจนี้หรือไม่ อีกทั้งต้องมั่นใจในความรู้ความสามารถของตนเองและมั่นใจว่า ตนเองสามารถดูแลธุรกิจได้ พร้อมทั้งต้องแสดงความสามารถให้ทุกคนเห็น
  • ทะลายกำแพง ผู้ส่งมอบไม่ควรพยายามทำให้พนักงานมีความเกรงใจในตัวผู้สืบทอด แต่ควรทำให้พนักงานมองผู้สืบทอดเป็นเหมือนลูกหลานที่พร้อมจะช่วยเหลือในการพัฒนาธุรกิจต่อไป อีกทั้ง้ควรให้ความสำคัญกับพนักงาน โดยคำนึงถึงผลประโยชน์และความผาสุกของพนักงาน พยายามรักษาพนักงานที่มีความรู้ความสามารถให้อยู่กับองค์กร และแสวงหาคนดี คนเก่งมาอยู่กับองค์กร
  • ต่อยอด ทายาทควรนำเครือข่ายทางสังคมของคนรุ่นพ่อแม่ที่สร้างไว้มาเชื่อมต่อให้ยืนยาวต่อไป เพราะมักเป็นความสัมพันธ์ที่ดีและเป็นสายสัมพันธ์ในเชิงลึกซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการทำธุรกิจต่อไป

แผนการสืบทอดธุรกิจ

รศ.ดร.เอกชัย กล่าวถึงองค์ประกอบการสืบทอดกิจการที่ควรโฟกัสเพิ่มเติมว่า เนื่องจากกระบวนการสืบทอดกิจการ บางครั้งก็อาจไม่ใช่สมาชิกในครอบครัวเสมอไป การดึงดูดคนที่มีศักยภาพสูงและพัฒนาคนเหล่านี้ให้เป็นผู้นำ จะทำให้ธุรกิจครอบครัวมีทางเลือกมากขึ้น เพราะคนเหล่านี้จะสามารถสร้างความได้เปรียบที่ชัดเจนให้กับธุรกิจ อย่างไรก็ตาม กล่าวได้ว่า ธุรกิจครอบครัวก็มีข้อได้เปรียบในการดึงดูดคนที่มีศักยภาพสูงเข้ามาทำงานได้ง่ายกว่าธุรกิจทั่วไป นอกจากนี้ การที่จะผู้ส่งมอบจะถ่ายโอนธุรกิจให้ผู้สืบทอดธุรกิจอย่างยั่งยืนจึงจำเป็นต้องสร้างแผนการสืบทอดธุรกิจสำหรับการต่อยอดธุรกิจ 3 ประการคือ “ทัศนคติ ทักษะความรู้ความสามารถ องค์ความรู้” พร้อมกับการวางแผนการถ่ายโอนธุรกิจให้เกิดผลสำเร็จ 3 ประการ คือ

  • ต้องยอมรับความแตกต่าง ผู้สืบทอดธุรกิจจะต้องยอมรับว่า เรื่องไหนที่ยังไม่รู้ลึก หรือยังไม่มีความพร้อม
  • หามุมมองที่หลากหลายจากผู้รู้ ผู้สืบทอดธุรกิจจะต้องมองหามุมมองที่หลากหลายจากผู้มีความรู้ ประสบการณ์ จนทำให้มีมุมมองที่แตกต่าง อีกทั้งยังจะต้องมีความพร้อมที่จะรับฟังพนักงานทุกคน
  • เป้าภาพรวมต้องชัดและสื่อสาร สำหรับการเดินหน้าธุรกิจครอบครัว นอกจากบทบาทหน้าที่แล้วยังต้องมีแผนงาน เป้าหมาย และทิศทางที่ชัดเจน อีกทั้ทั้งยังจะต้องมีการสื่อสารกับพนักงานอย่างเข้าใจ เพื่อให้ทุกคนทราบว่าองค์กรจะเดินต่อไปอย่างไร

นอกจากนี้ รศ.ดร.เอกชัย ยังให้คำแนะนำต่อไปในฐานะที่ปรึกษาธุรกิจครอบครัวว่า เมื่อผู้นำธุรกิจครอบครัวตัดสินใจแล้วว่า จะส่งทอดธุรกิจครอบครัวไปยังรุ่นต่อไปก็ควรต้องจัดเตรียมแผนหรือตารางเวลาที่ชัดเจน และการเตรียมความพร้อมสำหรับความท้าทายที่รออยู่สำหรับทายาท ดังนี้

1) ความคาดหวังในองค์กร เนื่องจากทายาทต้องเป็นเจ้าของกิจการในอนาคต ดังนั้น จึงต้องพิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถด้านการจัดการธุรกิจแล้ว ยังต้องสร้างความร่วมมือจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคนในองค์กร ทายาทจึงต้องสามารถถ่ายทอดค่านิยม ตลอดจนความเชี่ยวชาญต่างๆ ในธุรกิจจากรุ่นก่อตั้ง เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่น ดังเช่น ทายาทของหลุยต์ วิคตอง ต้องสามารถเย็บกระเป๋าทุกรุ่นด้วยมือ เพื่อเป็นการพิสูจน์ถึงความสามารถและจิตวิญญาณจากบรรพบุรุษ

2) การเผชิญหน้า ทายาทต้องเผชิญหน้ากับความแตกต่างด้านค่านิยม ทักษะ และเจตคติส่วนบุคคล ความแตกต่างระหว่างรุ่น เช่น ความคิดเรื่องการเติบโต หรือความมั่นคงของธุรกิจ หากทายาทแสดงออกโดยไม่ยั้งคิดก็ย่อมจะเกิดความขัดแย้งขึ้นได้ในสมาชิกครอบครัว หรือบุคลากรในองค์กร ฉะนั้น ทายาทต้องเรียนรู้ถึงการบริหารจัดการบริษัท ศึกษาข้อขัดแย้งต่างๆระหว่างกลุ่ม สำรวจค่านิยมร่วมที่คนในองค์กรยึดถือ อุปนิสัย/ความคุ้นเคยในการทำงาน เพื่อให้กำหนดบทบาทและการแสดงออกอย่างเหมาะสม

3) การเปลี่ยนแปลงและการได้มาซึ่งตำแหน่ง (Change & Acquisition) ทายาทที่เข้ามารับช่วงต่อต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เรื่องภาวะผู้นำเป็นสิ่งที่สำคัญเพราะการรักษา ค่านิยม วัฒนธรรม หรือบรรทัดฐานเดิม แต่ต้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น การต่อยอดให้ธุรกิจเติบโตโดยอยู่บนคุณค่าที่ส่งทอดมาจากรุ่นผู้ก่อตั้งย่อมเป็นแรงกดดันที่ท้าทาย หากทายาทสามารถผ่านไปได้ย่อมก่อให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในธุรกิจ

หากมีความจำเป็นที่จะต้องยก “ความเป็นเจ้าของ” ให้กับสมาชิกในครอบครัว หรือทายาทเท่านั้น แต่ต้องแยกส่วนของการบริหารจัดการให้กับทีมบริหารมืออาชีพ เพื่อดูแลองค์กรธุรกิจครอบครัว เรื่องนี้อาจยากทำใจ หรืออาจต้องมาประเมินว่า “จะได้หรือเสีย” มากกว่ากัน

ทั้งนี้ รศ.ดร.เอกชัย อภิศักดิ์กุล คณบดี คณะวิทยพัฒน์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และผู้ก่อตั้ง FAMZ บริษัทที่ปรึกษาธุรกิจครอบครัวชั้นนำของประเทศไทย ได้ให้ความเห็นกับการเปิดทางให้ทีมบริหารมืออาชีพเข้ามาบริหารองค์กรของธุรกิจครอบครัวว่า

“การที่ทีมบริหารมืออาชีพเข้ามาบริหารธุรกิจกลับจะยิ่งช่วยให้ธุรกิจครอบครัวมีความสามารถทางการแข่งขัน และมีศักยภาพได้ดี มีความเป็นมืออาชีพมากกว่า ทั้งนี้ เมื่ออ้างอิงจากผลการศึกษากรณีดังกล่าวจากทั่วโลกก็บ่งชี้ในทิศทางเดียวกันว่า ธุรกิจครอบครัวอาจมีผลประกอบการต่ำ หรือขาดความทะเยอทะยานได้ ทว่า หากบริหารโดยสมาชิกในครอบครัคนที่ไม่ใช่สมาชิกในครอบครัวจะสามารถผลักดันธุรกิจให้เติบโตอย่างรวดเร็วกว่า รวมถึงการสร้างนวัตกรรม การขยายตัวไปต่างประเทศ การกระจายธุรกิจก็จะทำได้ดีกว่า เนื่องจากมืออาชีพจะให้ความสำคัญกับความสามารถทางการแข่งขัน และการทำธุรกิจเป็นภารกิจอันดับต้นๆ ต่างจากสมาชิกในครอบครัว ซึ่งมักจะมุ่งโฟกัสที่ครอบครัว ชุมชนและการสร้างตำนานของธุรกิจครอบครัวกับโลกมากกว่า”

การบริหารธุรกิจอย่างมืออาชีพเป็นสิ่งสำคัญ แต่ไม่เพียงพอที่จะอยู่รอดได้ในระยะยาว สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องตระหนักคือต้องทำให้เป็นมืออาชีพทั้งธุรกิจและครอบครัวด้วยให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า “ถ้าต้องการให้ธุรกิจมีความเป็นมืออาชีพจริงๆ ก็ควรต้องมีมืออาชีพมากๆ  ที่สำคัญ หากมองในระยะยาว การที่ธุรกิจครอบครัวดึงดูดคนที่มีความสามารถเข้ามา ตลอดจนการให้ขอบเขตและให้เวลาในการพิสูจน์ตนเองของผู้บริหาร โดยเฉพาะช่วงระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งซีอีโอนั้นจะต้องใช้เวลาหลายปี อย่างกรณีอ้างอิงจาก Fortune 500 ก็ใช้เวลาประมาณ 5 ปี ขณะที่ Harvard Business Review ระบุว่า ช่วงระยะเวลาในการดำรงตำแหน่งที่เหมาะสมของซีอีโอคือ 4.8 ปี หลังจากนั้น การทำงานจะเริ่มมีบางอย่างลดลง ซึ่งธุรกิจครอบครัวจะต้องตระหนักถึงเรื่องนี้ให้ดี อย่างไรก็ตาม มีข้อควรระวังสำหรับมืออาชีพที่ได้รับการสรรหาเข้ามาก็คือ จะต้องแสดงบทบาทของตนเองอย่างระมัดระวังในธุรกิจครอบครัว เนื่องจากอาจจะต้องเผชิญกับประเด็นความซับซ้อน หรืออ่อนไหวที่อาจต้องขับเคี่ยวกับสมาชิกในครอบครัว ทั้งที่อยู่ในและนอกบอร์ดบริหาร”

อย่างไรก็ตาม การที่มีมืออาชีพเข้ามาในธุรกิจเพิ่มขึ้น เจ้าของธุรกิจครอบครัวก็ยังสามารถกำกับ หรือดูแลธุรกิจในภาพรวมได้ นอกจากนี้  ยังมีผลงานวิจัยสนับสนุนอีกด้วยว่า ถ้าเจ้าของธุรกิจเข้ามาเป็นคณะกรรมการ เข้ามาร่วมตัดสินใจ ร่วมรับความเสี่ยง/รับภาระ ฯลฯ บริษัทก็จะมีอัตราการเติบโตที่ดีกว่าการปล่อยให้ผู้อื่นเข้ามามีส่วนตัดสินใจและบริหาร เนื่องจากมืออาชีพนั้นไม่ได้อยู่กับธุรกิจถาวรเหมือนเจ้าของธุรกิจ ดังนั้น หนึ่งในคำมั่นสัญญาที่สำคัญ คือ การที่เจ้าของธุรกิจเข้ามาร่วมกันแก้ไขปัญหา และกำหนดทิศทางของธุรกิจ”

ทั้งนี้ ความเป็นธุรกิจครอบครัวก่อนจะตัดสินใจเรื่องสำคัญทางธุรกิจ ครอบครัวมักจะหารือกันก่อนในที่ประชุมครอบครัว เช่น สภาครอบครัวหรือสภาธุรกิจ แล้วจึงจะนำเสนอคณะกรรมการบริษัทหรือที่ประชุมผู้ถือหุ้น ซึ่งปกติเสียงของครอบครัวมักจะดังเสมอในทุกๆ ประชุมของบริษัท

รศ.ดร.เอกชัยกล่าวในตอนท้ายว่า ในฐานะที่ FAMZ เป็นบริษัทที่ปรึกษาธุรกิจครอบครัว ผมมองว่า การบริหารธุรกิจอย่างมืออาชีพเป็นสิ่งสำคัญ แต่ไม่เพียงพอที่จะอยู่รอดได้ในระยะยาว สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องตระหนัก คือ ต้องทำให้ธุรกิจครอบครัวเป็นมืออาชีพทั้งในส่วนของ “ธุรกิจ” และ “ครอบครัว” ด้วย”

ข้อมูลเพิ่มเติม www.famz.co.th 

ปัญหาอมตะในธุรกิจครอบครัวเรื่องหนึ่ง คือ

การที่ทายาทคิดว่า ผู้ใหญ่ไม่รับฟังความเห็นต่างของตนเอง

เรื่องนี้เป็นปัญหาที่พบกันบ่อย และวิธีแก้ไขก็ต่างกันไป

เพราะแต่ละบ้านก็มีปัจจัยในการเกิดสถานการณ์นี้ที่แตกต่างกัน

ทั้งนี้ รองศาสตราจารย์ ดร.เอกชัย อภิศักดิ์กุล คณบดี คณะวิทยพัฒน์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ผู้ก่อตั้ง FAMZ  บริษัทที่ปรึกษาธุรกิจครอบครัว ให้ความเห็นว่า กับปัญหานี้ผมคิดว่า ข้อคิดจากบทความเรื่อง “เทคนิคการแสดงความไม่เห็นด้วยกับคนที่มีอำนาจเหนือกว่าเรา” เขียนโดย Amy Gallo และเผยแพร่ใน Harvard Business Review  ดูจะเป็นกลยุทธ์ที่ทำได้ง่าย และเหมาะกับปัญหานี้ นั่นคือ

ประการแรก ยอมรับความเสี่ยงว่า พูดไปแล้วอาจจะไม่เข้าหูผู้ใหญ่ ซึ่งทำให้คนส่วนใหญ่เลือกที่จะเงียบ แต่ถ้าเรื่องที่ต้องการพูดนั้นเป็นประโยชน์และเป็นข้อเท็จจริง แล้วเราไม่กล้าพูด

ครอบครัวหรือธุรกิจของเราก็จะมีความเสี่ยงอีกด้านหนึ่งที่เรียกว่า  “ความเสี่ยงของการไม่พูด” ทั้งนี้ จากประสบการณ์ทำงานให้ธุรกิจครอบครัวมานาน ผมพบว่า มีคนที่เสียใจกับเรื่องที่เคยพูดไปโดยไม่คิดบ้าง แต่คนส่วนใหญ่กลับเสียใจในเรื่องที่สมควรพูดแล้วไม่ได้พูดออกไปมากกว่า

ประการต่อมา คือ ก่อนแสดงความเห็นขัดแย้งให้สร้าง “ความรู้สึกที่ปลอดภัยและ (ผู้ฟัง) สามารถควบคุมได้” (Psychological Safety and Control) ให้กับพ่อแม่หรือผู้ใหญ่ก่อน เพราะคนที่มีอำนาจเหนือกว่า ปกติไม่ชอบการถูกท้าทาย โดยเฉพาะการท้าทายในที่สาธารณะ และจากคนที่เป็นทายาท ซึ่งเด็กๆ หรือทายาทเหล่านี้ครั้งหนึ่งเคยมองตนเองเป็น “ฮีโร่” ดังนั้น หากเลือกได้ควรเลือกพูดกันเป็นการส่วนตัว

ส่วนการเริ่มต้นสร้างความรู้สึกปลอดภัยและควบคุมได้ให้กับผู้ใหญ่ เทคนิคคือทำการขออนุญาตก่อน เช่น เราอยากแสดงความคิดเห็นขัดแย้งกับที่พ่อพูด อาจจะเริ่มต้นด้วยการพูดว่า “พ่อครับ ผมอยากขออนุญาตแสดงความเห็นในเรื่องนี้ได้มั้ยครับ”  แล้วรอการตอบรับ

ทั้งนี้ การได้รับคำขออนุญาตจากเด็กหรือทายาทจะเป็นการสร้างความรู้สึกปลอดภัยและควบคุมได้ให้กับผู้ใหญ่ ซึ่งจะช่วยลดความรู้สึกเสมือนการถูกท้าทาย ซึ่งจะส่งผลให้ปฏิกิริยาการต่อต้านลดลงไปด้วย

ส่วนความเห็นของพวกเราที่เป็นทายาทจะถูกต้อง มีเหตุมีผลเหมาะสมหรือไม่ก็ต้องเปิดใจกว้างยอมรับเช่นกัน สุดท้ายให้ระวังทั้งภาษาพูดและภาษากาย เพราะผู้ใหญ่ที่กำลังฟังเราอยู่มักจะเลือกฟังอย่างใดอย่างหนึ่ง

ข้อมูลเพิ่มเติม www.famz.co.th 

FAMZ ที่ปรึกษาธุรกิจครอบครัวชั้นนำของประเทศไทยแนะกลยุทธ์ 3Ps “Purpose – Principle – Planning” สร้าง “ดาวเหนือ” ของตนเอง เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจครอบครัว

รองศาสตราจารย์ ดร.เอกชัย อภิศักดิ์กุล คณบดี คณะวิทยพัฒน์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และผู้ก่อตั้ง FAMZ ที่ปรึกษาธุรกิจครอบครัวชั้นนำของประเทศไทย ได้แนะแนวทางกับธุรกิจครอบครัว เพื่อสร้าง “ดาวเหนือ” ว่า  การเดินหน้าเพื่อมุ่งสู่ “ดาวเหนือ” หรือ “เป้าหมายสูงสุด” ของธุรกิจครอบครัวนั้นสามารถปลดล็อกได้ด้วยขั้นตอนง่ายๆ  เพื่อสร้าง “ธรรมนูญครอบครัว” หรือ “เข็มทิศ” ต่อไปในอนาคตได้ ด้วยกลยุทธ์ 3Ps ซึ่งประกอบด้วย Purpose – Principle – Planning  (เจตนารมณ์ – หลักการ – การวางแผน)

ทั้งนี้ รองศาสตราจารย์  ดร.เอกชัย ได้กล่าวถึง “เข็มทิศกลยุทธ์ 3Ps”  เพิ่มเติมว่า

P ที่ 1 : Purpose ถือเป็นการประกาศ “เจตนารมณ์” ร่วมกันของธุรกิจครอบครัวนั้นๆ แม้การประกาศ“เจตนารมณ์” จะสกัดออกมาเหลือเพียง 2-3 บรรทัด เช่น ตัวอย่าง Purpose ของ “ตระกูลจิราธิวัฒน์” ซึ่งจะเรียกส่วนนี้ว่า “ปณิธานของคุณเตียง และคุณสัมฤทธิ์ จิราธิวัฒน์” ที่ต้องการสร้างธุรกิจครอบครัวให้เติบโตขึ้น เพื่อส่งต่อให้ทายาทรุ่นต่อๆ ไปในอนาคตได้

Purpose นี้มีส่วนที่เหนือกว่านั้น คือ การร่วมประชุมเช่นนี้ได้กลายเป็น “เวทีสำคัญ”ที่ทำให้สมาชิกครอบครัวได้พูดถึงความต้องการของตนเองออกมา เช่น

  • สมาชิกครอบครัวบางคนที่มีลูกก็อยากที่จะส่งต่อ “ความสำเร็จ” ของตนเองให้กับลูกๆ ฉะนั้น จึงต้องการทำธุรกิจให้มีความยั่งยืน
  • สมาชิกครอบครัวบางคนเน้นการทำงานให้มีความสุข และทั้งครอบครัว พนักงาน ตลอดจนซัพพลายเออร์ได้พัฒนาความสามารถและเติบโตไปพร้อมๆ กัน

P ที่ 2 : Principle เมื่อได้ “เจตนารมณ์” แล้วก็นำ “เจตนารมณ์” มาแตกเป็นหมวด เพื่อวาง “หลักการ” เป็นข้อๆ เช่น

  • เรื่องนี้ทำได้
  • เรื่องนี้อยากทำ
  • เรื่องนี้ยังต้องพัฒนา

#FAMZ

#ที่ปรึกษาธุรกิจครอบครัว #ธุรกิจครอบครัว #กงสี

#ธรรมนูญครอบคร้ว

P ที่ 3 : Planning “การวางแผน” ที่จะทำให้การเดินหน้าสู่ “ดาวเหนือ” มีความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ และถือเป็นขั้นตอนที่จะช่วยกำกับมิให้ออกนอกลู่นอกทาง หรือละเลย เนื่องจากมัวยุ่งกับภารกิจในชีวิตประจำวัน หรือโลกธุรกิจจนไม่มีเวลา ด้วยการวางแผนเป็นรายปีว่า ธุรกิจครอบครัวต้องการดำเนินการอะไรบ้าง  เช่น

  • ต้องการดำเนินกลยุทธ์ 1,2,3 …. ในขวบปีนั้นๆ
  • การเตรียมตัวเพื่อเดินหน้าสู่กระบวนการสืบทอดทายาททางธุรกิจ

ที่สำคัญ เมื่อดำเนินการมาถึงขั้นตอนที่ 3 แล้ว สำหรับการประชุมของสมาชิกครอบครัวทุกครั้งก็จะต้องนำแผนรายปีดังกล่าวเข้าที่ประชุมด้วยทุกครั้ง

รองศาสตราจารย์  ดร.เอกชัย ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า “หากธุรกิจครอบครัวมีอาวุธ 3Ps ที่ว่าด้วย Purpose – Principle – Planning  (เจตนารมณ์ – หลักการ – การวางแผน) อย่างน้อยก็จะเสมือนมี “เข็มทิศ” ที่จะทำให้การสร้างธรรมนูญครอบครัวของตนเองสำเร็จได้ง่ายกว่าเดิม และไม่คิดท้อถอยจนไปไม่ถึง “ดาวเหนือ” ไปเสียก่อน”

Page 1 of 2
X

Right Click

No right click