ปัจจุบันผู้ประกอบการจะสนใจแต่การทำกำไรและทำการตลาดอย่างเดียวไม่ได้ ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อมด้วย โดยโฟกัสไปที่ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ซึ่งในวันนี้ได้อัปเกรดความรุนแรงจาก “ภาวะโลกรวน” ไปเป็น “ภาวะโลกเดือด” เรียบร้อยแล้ว

finbiz by ttb จึงหยิบยกประเด็นสำคัญจากการจัดงานสัมมนา Sustainable Growth - The Way to Business of the Future ซึ่งได้เชิญ คุณธาดา วรุณโชติกุล ผู้จัดการ สำนักรับรองธุรกิจคาร์บอนต่ำ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ TGO มาให้ความรู้เกี่ยวกับนโยบาย Net Zero ของประเทศ ที่ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการโดยตรง เพื่อก้าวเดินสู่เส้นทางแห่งความยั่งยืนอย่างมั่นใจ

นโยบายและเป้าหมายต่อสู้กับ Climate Change

เทรนด์โลกที่ผ่านมาเราได้เห็นประเทศต่าง ๆ จริงจังกับการบริหารจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศตนให้ลดลง โดยมี 97 ประเทศที่ได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emission) ตามปีเป้าหมายที่กำหนด เช่น เป้าหมายของสหรัฐอเมริกาคือปี 2050 ส่วน Net Zero ของจีนคือปี 2060  ส่วนประเทศไทย นอกจากจะตั้งใจบรรลุ Net Zero ในปี 2065 เราก็ยังต้องการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2050 แต่เป้าหมายที่ใกล้กว่านั้น คือปี 2530 ต้องลดก๊าซเรือนกระจกลงให้ได้ 30-40%

สถานการณ์ปัจจุบันของไทย

  • ปี 2023 นี้ประเทศไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกอยู่ที่ 350-360 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า คือ หน่วยที่ใช้ชี้วัดก๊าซเรือนกระจกแต่ละชนิดว่าเทียบเท่ากับคาร์บอนไดออกไซด์ปริมาณเท่าไหร่ เพราะก๊าซเรือนกระจกประกอบด้วยก๊าซหลายชนิด) และหากปล่อยโดยที่ไม่มีการควบคุมไปจนถึงปี 2025 คาดว่าเราจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุดคือ 380 กว่าล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หลังจากนั้นก๊าซเรือนกระจกจะต้องถูกควบคุมให้ลดลงมาเรื่อย ๆ
  • ในระดับประเทศ ภาคที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดคือ ภาคพลังงาน ขนส่ง ภาคอุตสาหกรรม ภาคการเกษตร และภาคการจัดการของเสีย โดยคาดว่าประเทศไทยจะสามารถควบคุมปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเต็มที่ไม่เกิน 120 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ส่วนภาคการดูดกลับหรือภาคป่าไม้ เราดูดกลับก๊าซเรือนกระจกได้ 80 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
  • โจทย์คือทำอย่างไรให้ “ปล่อย” น้อยลง และ “ดูดกลับ” เพิ่มขึ้น ภาครัฐได้ออกนโยบายและประกาศใช้มาตรการสำคัญต่าง ๆ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้น้อยลง เช่น เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนในการผลิตไฟฟ้าอย่างน้อย 68% ในปี 2040 และ 74% ในปี 2050 รวมทั้งสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ให้ได้ 69% ในปี 2035 เป็นต้น
  • ภาคเอกชนมีการตื่นตัว นำนโยบายของภาครัฐไปตั้งเป็นเป้าหมาย Net Zero ให้กับธุรกิจของตน ทั้งยังนำนวัตกรรมต่าง ๆ เข้ามาใช้ เช่น เทคโนโลยี CCUS (Carbon Capture Utilization Storage) เพื่อควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และให้ความร่วมมือกับภาครัฐในการเพิ่มพื้นที่สีเขียว เพื่อขยับตัวเลขการดูดกลับจาก 80 เป็น 120 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
  • คาดการณ์ว่าปี 2065 ก๊าซเรือนกระจกจะถูกลดปริมาณลงเหลือต่ำกว่า 120 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และถูกดูดกลับ 120 ล้านตันล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ประเทศไทยจะบรรลุเป้าหมาย Net Zero ได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน

ผู้ประกอบการสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการตอบสนองนโยบายดังกล่าวของภาครัฐได้ โดยช่วยกันประเมินปริมาณก๊าซเรือนกระจกแบบ Bottom-up ขึ้นไป เพื่อช่วยชาติบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ และยังสามารถขยายผลนำไปสู่การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกในระดับองค์กรของเราได้ 

สรุป 6 แนวทางขับเคลื่อนภายในประเทศ

  1. ด้านนโยบาย

มีการบูรณาการและกำหนดเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emission) ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) เข้าสู่แผนระดับประเทศ รวมทั้งขับเคลื่อน BCG Model โดยมองเรื่อง Bio-Economy เน้นสร้างมูลค่าเพิ่ม, Circular Economy ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ลดการสูญเสีย และ Green Economy เน้นดำเนินงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และสร้างความยั่งยืน เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

นอกจากนี้ ยังส่งเสริมภาคการเกษตรในการลดก๊าซเรือนกระจก ชาวนาต้องปรับตัวมาทำนาวิถีใหม่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ข้อนี้สำคัญมากเพราะข้าวของไทยมีค่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงกว่าข้าวของญี่ปุ่นถึง 4 เท่า หากมีการคิดภาษีคาร์บอนในสินค้าการเกษตร จะทำให้ราคาข้าวของเราสูงกว่า การแข่งขันทางการค้าก็จะยากลำบากยิ่งขึ้น จึงได้นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยร่วมกับปราชญ์ชาวบ้าน ไม่ว่าจะเป็นการปรับค่าปุ๋ยให้เหมาะกับสภาพดิน การปลูกเปียกสลับแห้ง ซึ่งข่าวดี คือ ทาง TGO ได้พัฒนาระเบียบวิธีการประเมินการลดก๊าซเรือนกระจก หรือก๊าซมีเทนในนาข้าว หากลดมีเทนได้เท่าไร ก็นำมาขอขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิตได้ จึงอาจเห็นชาวนาขายคาร์บอนเครดิตในอนาคต

  1. ด้านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี

ธุรกิจใดที่มีการเผาไหม้อยู่ จะปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่บรรยากาศโดยตรงไม่ได้อีก โดยอาจพิจารณาติดตั้งเทคโนโลยี CCUS ไว้ดักจับคาร์บอน นำมาอัดลงดินหรือหลุมอย่างถาวร แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีนี้มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ไม่คุ้มค่าที่จะลงทุน หากมีการใช้งานมากขึ้น และนำมาขึ้นทะเบียนโครงการลดก๊าซเรือนกระจกระดับประเทศในรูปของคาร์บอนเครดิต บวกกับแรงสนับสนุนจากภาครัฐ คาดว่าค่าใช้จ่ายอาจจะต่ำลงได้

  1. ด้านการค้า/การลงทุน

ปัจจุบัน BOI ส่งเสริมเรื่องการลงทุนเพื่อสิ่งแวดล้อมและสิทธิประโยชน์ทางภาษี เช่น กรณีโรงงานแยกก๊าซธรรมชาติ ถ้าใช้เทคโนโลยี CCUS จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี กิจการห้องเย็นและขนส่งห้องเย็นที่หันมาเปลี่ยนใช้สารทำความเย็นลดก๊าซเรือนกระจกต่ำ หรือกลุ่มปิโตรเคมีใช้เทคโนโลยี CCUS จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี และ 8 ปี ตามลำดับ อีกมาตรการที่มีผู้ยื่นใช้สิทธิจำนวนมากคือ มาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพ ถ้าผู้ประกอบการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อลดก๊าซเรือนกระจก จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี ร้อยละ 50 ของเงินลงทุน หากต้องการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ควบคู่ไปกับการมีส่วนร่วมลดก๊าซเรือนกระจก ปัจจุบันสามารถบริจาค e-Donation เพื่อสนับสนุนป่าชุมชน ใบเสร็จนำไปยกเว้นภาษีเงินได้ตั้งแต่ 1 มกราคม 2023 – 31 ธันวาคม 2027

  1. ด้านการพัฒนากลไกตลาดคาร์บอนเครดิต

TGO มีการพัฒนาแพลตฟอร์มให้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายสามารถทำการซื้อขายคาร์บอนเครดิตได้ โดย “ผู้ซื้อ” เป็นภาคที่มีการรายงานข้อมูลและต้องการจะชดเชย ส่วน “ผู้ขาย” คือผู้ที่พัฒนาโครงการการลดก๊าซเรือนกระจก

  1. ด้านการเพิ่มแหล่งกักเก็บและดูดกลับก๊าซเรือนกระจก

เป้าหมายคือเพิ่มพื้นที่กักเก็บให้ได้ 120 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ปัจจุบันมีหลายบริษัทเข้าร่วมปลูกและดูแลรักษาป่าในพื้นที่ของรัฐภายใต้โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย T-VER เพื่อช่วยกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก คำนวณเป็นคาร์บอนเครดิตได้เท่าไร บริษัทผู้พัฒนาโครงการรับไป 90% และแบ่งปันเครดิตให้กับภาครัฐ 10%  

  1. ด้านกฎหมาย

ผลักดัน (ร่าง) พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ฉบับแรกของไทย ในเบื้องต้นจะบังคับกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณที่สูงก่อน โดยให้มีการรายงานข้อมูล เพื่อนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้ในการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก โดยคาดว่าจะมีการประกาศใช้ พ.ร.บ. นี้ในปี 2024 นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้งกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เพื่อดูแลด้าน Climate Change โดยตรง

ดังนั้น หากเราจะเดินทางไปถึงเป้าหมายได้ ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน เช่น ภาคเอกชนนำนโยบายของภาครัฐและเรื่องที่เกี่ยวกับ Climate Change เช่น แนวคิด ESG เข้าไปอยู่ในนโยบายขององค์กร ตั้งเป้าหมายระยะยาวและพยายามลดก๊าซเรือนกระจกด้วยตัวเอง เช่น ปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานในอุตสาหกรรม ส่วนที่ลดไม่ได้ก็ชดเชยจากคาร์บอนเครดิตที่ TGO ให้การรับรอง เพื่อมุ่งสู่ Carbon Neutrality และ Net Zero ตามเป้าหมาย

พร้อมเปิดโพยเด็ดกองทุนลดหย่อนภาษี รับโค้งสุดท้ายปลายปี เพื่อการลดหย่อนภาษีที่คุ้มค่า พร้อมโอกาสรับผลตอบแทนที่ดี

ทีทีบี มอบความคุ้มค่าช่วงโค้งสุดท้ายของปี พร้อมเป็นอีกทางเลือกสำหรับลูกค้าที่กำลังมองหาผลิตภัณฑ์เพื่อลดหย่อนภาษี ในแคมเปญ “เทศกาลลดหย่อนภาษี ดีเวอรรร์!!” พบกับผลิตภัณฑ์ลดหย่อนภาษี อาทิ ประกันชีวิตและสุขภาพ ประกันชีวิตสะสมทรัพย์ ประกันชีวิตบำนาญ จากพรูเด็นเชียล ประเทศไทย และกองทุนเพื่อลดหย่อนภาษี มาพร้อมกับโปรโมชันคุ้มเกินต้านส่งท้ายปี รับเงินคืนสูงสุด 32% พร้อมสิทธิพิเศษถึง 3 คุ้ม และรับของสมนาคุณต่าง ๆ มากมาย ณ บูธกิจกรรม ‘เทศกาลลดหย่อนภาษี ดีเวอรรร์!!’ ที่ ทีทีบี ตลอดเดือนธันวาคม 2566 นี้

ลูกค้าที่สมัครผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตจาก พรูเด็นเชียล ประเทศไทย ที่ร่วมรายการผ่าน ทีทีบี ทุกสาขา หรือแอป ttb touch จะได้รับโปรโมชันพิเศษตั้งแต่วันนี้ถึง 31 ธันวาคม 2566 ดังต่อไปนี้

รับเงินคืนเข้าบัญชีเงินฝาก สูงสุด 32% ได้แก่

  • รับเงินคืนเข้าบัญชีเงินฝาก สูงสุด 26% ของเบี้ยประกันภัยรายปี ปีแรก
  • รับเงินคืนเพิ่ม 5% สำหรับลูกค้าบัญชีเงินเดือน ทีทีบี
  • รับเพิ่ม! เงินคืน 1% ของค่าเบี้ยประกันรายปี ปีแรก เมื่อซื้อประกันภัยที่ร่วมรายการ และมียอดซื้อสะสมกองทุน SSF RMF ttb smart port SSF ขั้นต่ำ 10,000 บาท / เดือน ภายในเดือนเดียวกับที่ซื้อประกัน

รับสิทธิพิเศษเพิ่มเติมอีก 3 คุ้ม

  • คุ้มที่ 1 ชำระผ่านบัตรเครดิต ทีทีบี รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 15% หรือรับคะแนนสะสม ttb rewards plus สูงสุด 10 เท่า และรับสิทธิแบ่งชำระเบี้ยประกัน 0% นาน 6 เดือน
  • คุ้มที่ 2 รับ iPhone 15 Pro Max มูลค่า 48,900 บาท หรือ iPhone 15 Plus มูลค่า 41,900 บาท หรือบัตรกำนัลจากเครือ BDMS สูงสุด 7,500 บาท
  • คุ้มที่ 3 รับดอกเบี้ยเงินฝากสูงสุด25% ต่อปี

นอกจากนี้ สำหรับลูกค้าที่ซื้อประกันชีวิตสะสมทรัพย์ ทีทีบี อีแวลู เซฟเวอร์ 12/5 (ttb e-value saver 12/5) ผ่านแอป ทีทีบี ทัช โดยชำระค่าเบี้ยประกันชีวิตแบบรายปี ปีแรก พร้อมรับโปรโมชันและของสมนาคุณต่าง ๆ มากมาย โดยระยะเวลาโปรโมชันตั้งแต่วันนี้ถึง 31 ธันวาคม 2566

  • ยอดชำระค่าเบี้ยประกันชีวิต ตั้งแต่ 30,000-59,999 บาท รับบัตรกำนัลโลตัส มูลค่า 1,000 บาท
  • ยอดชำระค่าเบี้ยประกันชีวิต ตั้งแต่ 60,000-99,999 บาท รับลำโพง Marshall Willen สีดำ มูลค่า 3,990 บาท
  • ยอดชำระค่าเบี้ยประกันชีวิต ตั้งแต่ 100,000-199,999 บาท รับ Huawei Smart Watch GT4 (46mm) สีน้ำตาล มูลค่า 7,990 บาท
  • ยอดชำระค่าเบี้ยประกันชีวิต ตั้งแต่ 200,000-499,999 บาทขึ้นไป รับ Apple Watch Series 9 (45mm) สี Starlight มูลค่า 16,900 บาท
  • ยอดชำระค่าเบี้ยประกันชีวิต ตั้งแต่ 500,000 บาทขึ้นไป รับมือถือ Samsung Z Flip มูลค่า 39,900 บาท

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมทาง https://www.ttbbank.com/th/promotion/detail/ba-tax-festival-2023 หรือ https://www.ttbbank.com/th/promotion/detail/e-value-saver-12-5 หรือสอบถามเพิ่มเติมที่ ttb contact center 1428

ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี มอบสิทธิพิเศษให้กับผู้ถือบัตรเครดิต ttb ร่วมฉลองเทศกาลแห่งความสุขส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ จับมือ 6 ศูนย์การค้าชั้นนำ ได้แก่ เซ็นทรัล เอ็มบาสซี  เอ็มโพเรียม เอ็มควอเทียร์ เอ็มสเฟียร์ ไอคอนสยาม และสยามพารากอน มอบเครดิตเงินคืนสูงสุด 18% ด้วยการใช้คะแนนสะสมแลกเท่ายอดใช้จ่าย เมื่อช้อปปิ้งสินค้าใด ๆ ที่ 6 ศูนย์การค้าดังกล่าว ระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม 2566 – 31 มกราคม 2567 ดังนี้

วันเสาร์-อาทิตย์ บัตรเครดิต ttb reserve infinite รับเครดิตเงินคืน 18% บัตรเครดิต ttb reserve signature รับเครดิตเงินคืน 13% และบัตรเครดิต ttb ประเภทที่มีคะแนนสะสม รับเครดิตเงินคืน 12%

วันจันทร์-ศุกร์ บัตรเครดิตทุกประเภทที่มีคะแนนสะสม รับเครดิตเงินคืน 10% จำกัดการแลกคะแนนสะสมเพื่อรับเครดิตเงินคืนสูงสุด 150,000 คะแนน / หมายเลขบัตรหลัก รวมทุกศูนย์การค้าที่ร่วมรายการ ตลอดรายการส่งเสริมการขายนี้ และการแลกคะแนนสะสมแต่ละครั้ง ต้องไม่เกินยอดใช้จ่ายต่อเซลล์สลิป

รับสิทธิ์ ณ จุดลงทะเบียนของแต่ละศูนย์การค้าภายในวันที่ซื้อสินค้า โดยธนาคารจะนำเครดิตเงินคืนเข้าบัญชีบัตรหลักภายใน 5 วันทำการ

ทีทีบีไดรฟ์ โดยทีเอ็มบีธนชาต ผู้นำในตลาดสินเชื่อรถยนต์ มุ่งมั่นส่งมอบประสบการณ์และบริการที่ดี เพื่อให้คนไทยมีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นรอบด้าน จัดโปรโมชันหนักส่งท้ายปีสำหรับผู้ต้องการมีรถ เมื่อออกรถยนต์ใหม่ภายในงาน Motor Expo 2023 พร้อมสมัครสินเชื่อรถยนต์ใหม่ ทีทีบีไดรฟ์ จะได้รับเงินคืนถึง 3 ต่อ สูงสุดไม่เกิน 8,000 บาท พร้อมของสมนาคุณและสิทธิพิเศษอื่น ๆ จากบัตรเครดิต ttb

เงินคืนต่อที่ 1 : รับเงินคืน 1% จากยอดเงินดาวน์ เมื่อดาวน์ตั้งแต่ 25% ขึ้นไป รับเงินคืนสูงสุด 3,000 บาท และดาวน์ 30% ขึ้นไป รับเงินคืนสูงสุด 5,000 บาท เมื่อสมัครสินเชื่อรถยนต์ใหม่ ทีทีบีไดรฟ์ ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน – 31 ธันวาคม 2566 และได้รับการอนุมัติทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ภายในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 ทั้งนี้ลูกค้าต้องมีบัญชี ttb all free โดยชื่อบัญชีจะต้องตรงกับชื่อในสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ และสมัครใช้งานแอป ttb touch ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2567

เงินคืนต่อที่ 2 : รับเงินคืนเพิ่ม 2,000 บาท เมื่อซื้อประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองสินเชื่อรถยนต์  Smile Car Plus หรือรับเงินคืน 1,000 บาท เมื่อซื้อประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองสินเชื่อรถยนต์ Smile Car 

เงินคืนต่อที่ 3 : รับเงินคืนเพิ่มอีก 1,000 บาท เมื่อสมัครบริการหักบัญชีอัตโนมัติ

นอกจากนี้ทีทีบีไดรฟ์ ยังจัดโปรโมชันพิเศษเพิ่มเติมให้กับผู้สมัครสินเชื่อรถยนต์ใหม่ ทีทีบีไดรฟ์ ในงาน Motor Expo 2023 ที่อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน – 11 ธันวาคม 2566

ด้วยการมอบของสมนาคุณ เครื่องดูดฝุ่นในรถยนต์ มูลค่า 1,290 บาท ที่บูธทีทีบีไดรฟ์ พร้อมทั้งสิทธิพิเศษจากบัตรเครดิต ttb สำหรับการสมัครบัตรใหม่ หรือ มียอดใช้จ่ายบัตรเครดิต ttb ในงาน รับความคุ้มเพิ่มเติมอีกมากมาย 

ดูรายละเอียดโปรโมชันเพิ่มเติมได้ที่  https://www.ttbbank.com/th/promotion/detail/motor-expo-2023

X

Right Click

No right click