โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ในฐานะผู้นำด้านการบริบาลสุขภาพและนวัตกรรมทางการแพทย์ ได้รับเกียรติจากศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านระบบประสาทและการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหาร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้เป็นโรงพยาบาลเอกชนแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย ที่ร่วมเป็นผู้สนับสนุนหลักในการจัดงานประชุมวิชาการระดับนานาชาติด้านระบบประสาทและการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหาร The Federation of Neurogastroenterology and Motility Meeting (FNM) 2024

ดร.อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 43 ปี โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์มุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศทางการแพทย์และนวัตกรรม โดยได้พัฒนาศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์มาอย่างต่อเนื่อง โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์มีศูนย์ทางเดินอาหารและตับ ซึ่งเป็นหนึ่งในศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ของโรงพยาบาลฯ ที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้ป่วยทั่วโลก

การสนับสนุนการจัดงาน FNM 2024 นับเป็นการตอกย้ำถึงความทุ่มเทในการพัฒนาการแพทย์ด้านระบบประสาทและการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหารอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งจะเป็นเวทีสำคัญที่เปิดโอกาสให้บุคลากรทางการแพทย์ได้เรียนรู้และสร้างเครือข่ายกับนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญทั่วโลก อีกทั้งยังเป็นการยกระดับด้านสาธารณสุขและสร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทยในฐานะเจ้าภาพจัดงานประชุม และส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางความเป็นเลิศทางการแพทย์ระดับโลก

ศ.นพ. สุเทพ กลชาญวิทย์ ประธานจัดงาน FNM 2024 หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านระบบประสาทและการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหาร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และหัวหน้าศูนย์เฉพาะทางด้านการทำงานระบบทางเดินอาหาร โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า FNM 2024 เป็นงานประชุมวิชาการระดับนานาชาติด้านระบบประสาทและการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหาร ซึ่งเกิดขึ้นจากความร่วมมือขององค์กรชั้นนำทางด้านระบบประสาทและการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ the American Neurogastroenterology and Motility Society (ANMS), the European Society of Neurogastroenterology and Motility (ESNM), the Asian Neurogastroenterology and Motility Association (ANMA), Australasian Neurogastroenterology & Motility Association (ANGMA) และ Sociedad Latinoamericana de Neurogastroenterología (SLNG)

การประชุม FNM เริ่มจัดครั้งแรกในปี 2014 และจัดขึ้นทุกสองปี เพื่อเป็นเวทีสำหรับการแลกเปลี่ยนความรู้และสร้างเครือข่าย โดยการนำนักวิจัยและแพทย์ที่มีความรู้ความชำนาญเกี่ยวกับโรคทางเดินอาหารทำงานผิดปกติกว่า 1,000 คน จากทั่วโลกมารวมตัวกัน โดยมุ่งหวังที่จะเสริมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการเชื่อมโยงที่ซับซ้อนระหว่างระบบประสาทและระบบทางเดินอาหาร เพื่อพัฒนานวัตกรรมสำหรับการวินิจฉัยและการรักษาโรคที่เกิดจากทางเดินอาหารทำงานผิดปกติที่คนทั่วไปรู้จักกันดี ได้แก่ โรคกรดไหลย้อน โรคกระเพาะอาหาร ภาวะกระเพาะอาหารเคลื่อนไหวช้า โรคลำไส้แปรปรวน ภาวะท้องผูกเรื้อรัง เป็นต้น ความผิดปกติในระบบทางเดินอาหาร ถือเป็นปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยมากในคนไทยและคนทั่วโลก ซึ่งมีผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นในแต่ละปี ทั้งนี้ เนื่องจากที่ผ่านมามีการแพร่ระบาดของโควิด-19 การประชุม FNM ครั้งที่ 5 จึงถูกเลื่อนจากปี 2022 เป็น 2024

การประชุม FNM 2024 ในปีนี้ จะจัดขึ้นในกรุงเทพฯ ประเทศไทย ในวันที่ 6-8 พฤศจิกายน 2567 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยทางศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านระบบประสาทและการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหาร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพจัดงาน ร่วมกับทาง the Asian Neurogastroenterology and Motility Association ในฐานะที่ทางศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านระบบประสาทและการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหาร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นที่รู้จักและยอมรับในด้านวิชาการระดับนานาชาติ รวมถึงต่างชาติให้ความสนใจและไว้วางใจประเทศไทย ทั้งในด้านชื่อเสียงด้านการแพทย์ รวมถึงวัฒนธรรมและอาหาร ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของประเทศไทย

โดยในงานจะมีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิมากกว่า 100 ท่าน มานำเสนอการค้นพบและผลงานวิจัยล่าสุด ตั้งแต่การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานไปจนถึงการปฏิบัติทางคลินิก มีการประชุมสัมมนาเจาะลึกในหัวข้อที่น่าสนใจ เช่น หัวข้อ ‘การรับประทานอาหารและจุลินทรีย์ในลำไส้มีอิทธิพลต่อการเกิดโรคและการจัดการโรคที่เกิดจากปฏิสัมพันธ์ของสมองและลำไส้อย่างไร’ และ หัวข้อ ‘Asian focus’ ที่รวมประเด็นสำคัญเกี่ยวกับปัญหาด้านการทำงานของระบบทางเดินอาหารในเอเชียและตะวันออกกลาง เป็นต้น ซึ่งผู้เข้าร่วมจะได้เรียนรู้ผ่านมุมมองใหม่ที่สร้างสรรค์ สามารถนำความรู้ไปพัฒนาต่อ และสร้างเครือข่ายที่ยั่งยืนได้ในอนาคต

ผศ.นพ. ยุทธนา ศตวรรษธำรง หัวหน้าศูนย์ทางเดินอาหาร-ตับ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า โรคระบบทางเดินอาหารและตับเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยและเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย เนื่องจากพฤติกรรมการทานอาหาร สภาพแวดล้อมและการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปของคนในปัจจุบัน ทำให้พบผู้ที่มีอาการผิดปกติหรือเป็นโรคในระบบทางเดินอาหารและตับมากขึ้นทุกปี เช่น โรคกรดไหลย้อน โรคกระเพาะอาหารเรื้อรัง โรคลำไส้แปรปรวน โรคตับ โรคตับอ่อน เป็นต้น

ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เราตระหนักถึงปัญหา และมุ่งหวังที่จะช่วยรักษาผู้ที่มีอาการหรือมีความผิดปกติในระบบทางเดินอาหารและตับอย่างครอบคลุม ทั้งโรคทั่วไปและโรคที่มีความซับซ้อน ที่ผ่านมา เรามุ่งมั่นพัฒนาตัวเราให้เป็นหนึ่งในใจของคนไทยและคนทั่วโลก โดยได้พัฒนาการรักษาอย่างต่อเนื่อง ในปี 2565 ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ร่วมมือกับ ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านระบบประสาทและการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหาร คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นศูนย์ที่ให้บริการตรวจและรักษาความผิดปกติของการทำงานของระบบทางเดินอาหารอันดับหนึ่งของประเทศไทยและมีชื่อเสียงระดับโลก เพื่อยกระดับมาตรฐานการรักษาให้ดียิ่งขึ้น

และต่อมาในปี 2566 ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ ได้ต่อยอดขยายคลินิกเฉพาะทาง เพื่อพัฒนาการรักษาให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น และทัดเทียมมาตรฐานโลก โดยมีคลินิกเฉพาะทางต่าง ๆ ประกอบไปด้วย คลินิกโรคทางเดินอาหารทั่วไป (General GI Center), ศูนย์เฉพาะทางด้านการทำงานระบบทางเดินอาหาร (Motility Center), ศูนย์ส่องกล้องทางเดินอาหาร (Endoscopy Center), โปรแกรมตับอ่อน (Pancreas program), คลินิกพันธุกรรมโรคระบบทางเดินอาหาร, คลินิกโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (IBD Center), คลินิกโรคตับ (Liver Center) และคลินิกไมโครไบโอมแบบบูรณาการ (Integrative Microbiome Clinic)

ปัจจุบันเรามีวิวัฒนาการใหม่ ๆ เข้ามาช่วยเสริมประสิทธิภาพการวินิจฉัยรักษาได้ดีขึ้น เช่น การให้บริการตรวจคัดกรองโรคในทางเดินอาหารด้วยการส่องกล้องพร้อมระบบ AI detection ซึ่งช่วยให้สามารถเจอติ่งเนื้อได้มากขึ้นถึง 54% เมื่อเจอติ่งเนื้อในลำไส้หรือกระเพาะอาหาร แพทย์จะสามารถตัดชิ้นเนื้อเพื่อส่งตรวจวิเคราะห์หาสาเหตุได้ในทันที โดยการส่องกล้องไม่ต้องผ่าเปิดหน้าท้อง สิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับผู้ป่วยของเรามาโดยตลอด

ในปีนี้ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ได้รับเกียรติให้เป็นผู้สนับสนุนหลักของงาน FNM 2024 นับเป็นความภาคภูมิใจในฐานะคนไทยที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของงานประชุมวิชาการระดับนานาชาติครั้งนี้ที่ประเทศไทยเราเป็นเจ้าภาพ ซึ่งจะทำให้แพทย์ไทยเป็นที่รู้จักและยอมรับในเวทีทางวิชาการระดับนานาชาติ และแสดงถึงศักยภาพของไทยในฐานะประเทศที่เป็นผู้นำการประชุมวิชาการระดับโลกที่สำคัญ การประชุมนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพ แต่ยังเป็นเวทีสำหรับนวัตกรรมทางการแพทย์และความร่วมมือในอนาคตของประเทศไทย ปัจจัยเหล่านี้จะเอื้อประโยชน์ต่อโครงสร้างพื้นฐานด้านการดูแลสุขภาพ สร้างแรงบันดาลใจให้กับวงการแพทย์ในประเทศ และท้ายที่สุดจะยกระดับมาตรฐานการดูแลผู้ป่วยทั่วทั้งภูมิภาค

ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงาน FNM 2024 หรือศึกษารายละเอียดและหัวข้อเสวนาเพิ่มเติมได้ที่ https://www.fnm2024.com/

มูลนิธิโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จัดโครงการ “Bumrungrad Young Take Care” ณ สถานสงเคราะห์คนชราเฉลิมราชกุมารี (หลวงพ่อเปิ่นอุปถัมภ์) จ.นครปฐม เมื่อวันอังคารที่ 30 เมษายน ที่ผ่านมา เพื่อสืบสานประเพณีไทย และส่งต่อความห่วงใยให้กับผู้สูงอายุ

โดยตระหนักถึงความสำคัญของการแบ่งปันและมีมิตรไมตรีต่อกัน ตลอดจนการอนุรักษ์ สืบสาน และส่งเสริมประเพณีไทย ในการระลึกถึงผู้สูงอายุ ซึ่งถือเป็นสมาชิกสำคัญในสังคม จึงจัดกิจกรรมรดน้ำดำหัว มอบยาและเวชภัณฑ์ เลี้ยงอาหารกลางวัน รวมถึงกิจกรรมสันทนาการ เพื่อสร้างบรรยากาศของการมีส่วนร่วม เสริมสร้างความสุขและสุขภาพจิตที่ดี โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการเยียวยา ช่วยเหลือ และแสดงความห่วงใยต่อสังคม

“เราให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานของความรับผิดชอบต่อสังคมควบคู่ไปกับการดูแลกันอย่างเอื้ออาทร โดยการส่งมอบความรู้และความเชี่ยวชาญทางการแพทย์ การดูแลสุขภาพ และการสาธารณสุขตามมาตรฐานสากลให้แก่ประชาชนอยู่เสมอ ซึ่งนอกจากจะเป็นการส่งเสริมการมีส่วนร่วมในกิจกรรมเพื่อสังคมให้กับบุคลากรแล้ว ยังเป็นการตอบแทนและส่งต่อความห่วงใย เพื่อขับเคลื่อนองค์กรและสร้างสรรค์ความยั่งยืนสู่สังคมไปพร้อมกัน” คุณนภัส เปาโรหิตย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการตลาด โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าว

มูลนิธิโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ยังคงเดินหน้าสานต่อกิจกรรมเพื่อสังคมอีกมากมายภายใต้แนวคิด “Your smile is my Happiness”  ตลอดทั้งปี สอดคล้องกับนโยบายด้านความยั่งยืนตามพันธกิจขององค์กร

ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ (VitalLife Scientific Wellness Center) ในเครือโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จัดงานเสวนาสุขภาพ “Health Talk” เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในการดูแลสุขภาพอย่างถูกต้อง และเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนการเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่จังหวัดภูเก็ตภายในเดือนกรกฎาคม 2567 โดยมี นพ. สุธี ศิริเวชฎารักษ์ Chief Administrative Officer และ พญ. สุวรรณา สุวรรณพงษ์ Cardiology, Internal Medicine, Anti-Aging and Regenerative Medicine จากศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ ร่วมบรรยาย ในหัวข้อ “ไขความลับสู่การมีอายุยืนยาว” และ หัวข้อ “อายุยืนยาวอย่างเยาว์วัยด้วยหัวใจที่แข็งแรง” ซึ่งได้รับความสนใจและกระแสตอบรับอย่างล้นหลามจากเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ พันธมิตร และองค์กรชั้นนำในจังหวัดภูเก็ต

ไวทัลไลฟ์ เป็นศูนย์ส่งเสริมสุขภาพแห่งแรกของภูมิภาคเอเชีย ที่ให้บริการผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติกว่า 150 ประเทศมานานกว่าสองทศวรรษ ซึ่งเน้นการวางแผนเพื่อดูแลสุขภาพเชิงป้องกันและเวชศาสตร์เพื่อการมีอายุยืน ภายใต้การดูแลของทีมแพทย์เฉพาะทาง ไวทัลไลฟ์มุ่งหวังที่จะเป็นหมุดหมายแห่งนวัตกรรมด้านสุขภาพในเอเชีย โดยมุ่งมั่นที่จะยืดอายุสุขภาพและเสริมสร้างคุณภาพชีวิต ผ่านการผสมผสานของวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ล้ำสมัยและการดูแลเฉพาะบุคคลตามมาตรฐานระดับสากล

ไวทัลไลฟ์ ภูเก็ต เริ่มต้นขึ้นจากการบุกเบิกด้านเวชศาสตร์เพื่อการมีอายุยืน ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญกว่า 20 ท่าน การเปิดตัวอย่างเป็นทางการของศูนย์ส่งเสริมสุขภาพในภูเก็ตที่กำลังจะมีขึ้นภายในเดือนกรกฎาคมนี้ ถือเป็นการบุกเบิกครั้งสำคัญของการเปิดตัวโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ภูเก็ต ที่จะมีขึ้นในปี 2569 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ในการยกระดับมาตรฐานการดูแลสุขภาพและการส่งเสริมสุขภาวะความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืน ที่พร้อมให้บริการแก่ชาวภูเก็ต ผู้คนในจังหวัดใกล้เคียง และนักเดินทางจากทั่วโลก

โดยจะนำเสนอบริการและผลิตภัณฑ์เฉพาะทางที่หลากหลาย ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของแต่ละบุคคล ได้แก่

  1. การทดสอบอายุทางชีวภาพ เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสถานะสุขภาพโดยรวม
  2. การบำบัดดูแลเพื่อการมีอายุยืนยาว ด้วยโปรแกรมที่สร้างขึ้นโดยเฉพาะ โดยเน้นมาตรการป้องกัน การปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิต รวมถึงการบำบัดดูแลทางการแพทย์
  3. การประเมินอย่างต่อเนื่อง เพื่อติดตามและปรับเปลี่ยนแผนการดูแลรักษา โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีความก้าวหน้าทางการแพทย์

การเปิดตัวของไวทัลไลฟ์ ภูเก็ต ไม่ได้เป็นเพียงการจัดตั้งศูนย์ส่งเสริมสุขภาพ แต่แสดงถึงนวัตกรรมของการเปลี่ยนแปลงด้านสุขภาพและการมีอายุยืนยาว ด้วยการบูรณาการวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ล้ำสมัยเข้ากับการดูแลเฉพาะบุคคลอย่างไร้รอยต่อ เพื่อผลลัพธ์การรักษาที่มีประสิทธิภาพภายใต้มาตรฐานและคุณภาพระดับสากล สู่การกำหนดนิยามใหม่ให้กับวงการสุขภาวะและการดูแลสุขภาพในเอเชีย

โรคต่อมลูกหมากโต เป็นภาวะที่ต่อมลูกหมากจะมีขนาดใหญ่เกินกว่าเกณฑ์ปกติและไปกดทับท่อปัสสาวะ ทำให้ผู้ป่วยปัสสาวะติดขัด ปัสสาวะบ่อยมากขึ้น กลั้นปัสสาวะไม่ค่อยอยู่ หรือบางครั้งอาจถึงขั้นปัสสาวะไม่ออก ซึ่งอาการเหล่านี้ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยอย่างมาก โดยโรคต่อมลูกหมากโตพบได้ครึ่งหนึ่งของผู้ชายที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไปและกว่าร้อยละ 80 ของชายที่มีอายุ 70 ปีขึ้นไป

ศูนย์ทางเดินปัสสาวะ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ให้การดูแลรักษาโรคเฉพาะทาง ทั้งต่อมลูกหมากโต และมะเร็งต่อมลูกหมาก ด้วยการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา โดยล่าสุดได้นำเทคโนโลยียูโรลิฟต์ (UroLift) เข้ามาใช้กับผู้ป่วยต่อมลูกหมากโตเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ซึ่ง UroLift เป็นหนึ่งในวิธีการในการรักษาโรคต่อมลูกหมากโตในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA) มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2556 และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของไทยเมื่อ 5 กุมภาพันธ์ 2567

นพ. อธิป ฉัตรสุทธิพงษ์ แพทย์ผู้ชำนาญการเฉพาะทางด้านศัลยศาสตร์ยูโรวิทยา โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า เทคโนโลยี UroLift เป็นการรักษาโรคต่อมลูกหมากโตแบบรุกล้ำน้อยเพื่อขยายท่อปัสสาวะที่ต่อมลูกหมากกดทับให้กว้างขึ้น โดยก่อนการทำหัตถการ แพทย์จะให้ยาสงบประสาทแบบอ่อน ๆ หลังจากนั้นแพทย์จะใช้เครื่องมือและส่องกล้องเพื่อนำอุปกรณ์ขนาดจิ๋วที่ทำจากสแตนเลสสตีลเกรดการแพทย์ และโลหะพิเศษนิทินอลที่มีความยืดหยุ่นสูง ผ่านทางท่อปัสสาวะเข้าไปยังต่อมลูกหมาก หลังจากนั้นแพทย์จะใส่อุปกรณ์ขนาดจิ๋วประมาณ 4-6 ตัว ขึ้นอยู่กับขนาดและความรุนแรงของโรค เข้าไปยังต่อมลูกหมากเพื่อดึงเนื้อเยื่อต่อมลูกหมากให้ถ่างออกจากท่อปัสสาวะอย่างถาวร เป็นหัตถการที่ไม่มีการตัดหรือเจาะที่อวัยวะใด ๆ ทั้งสิ้น และใช้เวลาเพียง 30 นาทีถึงหนึ่งชั่วโมง

ทั้งนี้ แพทย์จะเป็นผู้ประเมินอาการและให้คำแนะนำเกี่ยวกับทางเลือกในการรักษาให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย โดยปัจจัยของผู้ที่เหมาะกับการรักษาด้วยเทคโนโลยี UroLift นั้น ควรจะเป็นผู้ที่ต่อมลูกหมากโตปานกลางถึงใหญ่ แต่มีขนาดไม่เกิน 100 กรัม, ผู้ที่ยังปัสสาวะได้หรือปัสสาวะแล้ว ยังมีปัสสาวะเหลือค้างไม่เกิน 350 ซีซี, ผู้ที่อายุมากหรือมีสุขภาพไม่แข็งแรง ที่ไม่เหมาะกับการผ่าตัดใหญ่ หรือ ผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยงปัญหาสุขภาพทางเพศ เป็นต้น

การรักษาด้วย UroLift เป็นหัตถการที่รุกล้ำน้อย ผู้ป่วยไม่ต้องวางยาสลบ เพียงใช้ยาสงบประสาทหรือการบล็อกหลัง ไม่ต้องใส่สายสวนปัสสาวะหลังการผ่าตัด และไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล และที่สำคัญการรักษาวิธีนี้สามารถแก้ไขปัญหาการปัสสาวะได้เร็ว โดยเห็นผลลัพธ์ทันทีหลังการผ่าตัด และไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพทางเพศ

ศูนย์ทางเดินปัสสาวะ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ มีแพทย์ผู้ชำนาญเฉพาะทางด้านทางเดินปัสสาวะที่มีประสบการณ์ในการรักษาผู้ป่วยโรคต่อมลูกหมากโตด้วยเทคโนโลยี  UroLift ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ทำให้ผู้ป่วยวางใจได้ถึงผลลัพธ์ในการรักษาที่มีประสิทธิภาพ การนำเทคโนโลยี UroLift เข้ามาใช้ครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ที่ยืนยันถึงความมุ่งมั่นและการไม่หยุดพัฒนาที่จะนำนวัตกรรมที่มีประสิทธิภาพมาใช้เพื่อผลการรักษาที่ดียิ่งขึ้น และเราจะยังคงติดตามเทรนด์การรักษาใหม่ ๆ จากทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง ยังมีนวัตกรรมที่ดีอีกมากที่เราจะนำมาใช้ในอนาคต” นพ. อธิป กล่าวทิ้งท้าย

สอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับการรักษาได้ที่ศูนย์ทางเดินปัสสาวะ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ชั้น 16 อาคาร A (คลินิก) โทร. 0 2066 8888, 061 409 3943 (Hotline) หรือโทร. 1378

โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ คว้ารางวัล Hospital of the Year - Thailand และ ดร.อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ คว้ารางวัล CEO of the Year ในงาน Healthcare Asia Awards 2024 ณ ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นเวทีอันทรงเกียรติที่เชิดชูความเป็นเลิศในอุตสาหกรรมการแพทย์ระดับเอเชีย รางวัลนี้ ตอกย้ำถึงความเป็นผู้นำด้านการบริบาลด้านสุขภาพของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ภายใต้การนำของ ดร.อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ และสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการยกระดับการรักษาทัดเทียมมาตรฐานสากล  

ดร.อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า รางวัลนี้เป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความทุ่มเทในการส่งมอบการบริบาลที่เป็นเลิศของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ให้แก่ผู้ป่วยของเราทุกคน การยอมรับจากสถาบันชั้นนำที่น่าเชื่อถือระดับนานาประเทศคือประจักษ์พยานที่ชัดเจนถึงความมุ่งมั่นของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ไม่เฉพาะแต่ในด้านความเป็นเลิศในการส่งมอบการบริบาลเท่านั้น แต่ยังรวมถึงวัฒนธรรมองค์กรที่โดดเด่นและเข้มแข็ง มาตรฐานสูงสุดด้านจริยธรรม หลักธรรมาภิบาล และที่สำคัญคือความไว้วางใจที่ผู้ป่วยมีต่อเราเสมอมา

ทั้งนี้ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จะไม่หยุดยั้งในการพัฒนาประสบการณ์การรักษาด้วยคุณภาพ ความปลอดภัย การใช้นวัตกรรม และการส่งมอบการบริบาลเชิงบวกด้วยความเอื้ออาทร เพื่อสร้างความเชื่อมั่นของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ในระดับโลกและเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับสาธารณสุขไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน

Page 1 of 8
X

Right Click

No right click