เจ้าพระยา ถือกำเนิดขึ้นและทรงพลังได้ด้วยการรวมตัวของ ปิง วัง ยม น่าน ฉันใด
Cryptocurrency ก็อุบัติและเสริมสร้างตัวเองให้เข้มแข็งขึ้นได้ด้วย Blockchain, Miner, Trader, และ ICO ฉันนั้น
กล่าวได้ว่า Blockchain + Miner + Trader + ICO เปรียบเสมือน "แม่น้ำ 4 สาย" ของ Cryptocurrency ทั้งมวล ซึ่งกำลังทรงพลังอยู่อย่างมากในโลกขณะนี้
สายบล็อกเชน สายขุด สายเทรด และสายไอซีโอ
แม่น้ำ 4 สาย ดังว่านี้ ยังเปรียบได้กับ "เสาหลัก" และ "ผนังทองแดงกำแพงเหล็ก" ที่ทั้ง "ค้ำจุน" และ "ปกป้อง" มิให้ผู้ใดมาทำลาย Cryptocurrency ให้ย่อยยับลงไปต่อหน้าต่อตาอีกด้วย
แม้จะมีผู้เกลียดชังหรือหมั่นไส้ Cryptocurrency อยู่เป็นจำนวนมากก็ตาม
ที่สำคัญ จำนวนไม่น้อยในบรรดาผู้เกลียดชังเหล่านั้น ล้วนเป็นผู้ทรงอิทธิพลในสังคม
ทว่าเขาเหล่านั้น ก็ไม่สามารถโค่นล้ม Cryptocurrency ลงได้ แม้จะมีความพยายามใช้ทั้งอำนาจทางการเมืองและกฎหมาย ก็ตามที
เพราะมี "แม่น้ำ 4 สาย" เป็น "องครักษ์พิทักษ์คริปโต" อย่างแข็งขันนั่นเอง
ทำให้คิดถึง จั่นเจา หวังเฉา หม่าฮั่น และ จางหลง ของ "ท่านเปาบุ้นจิ้ง" แห่ง "ศาลไคฟง" ขึ้นมาตงิดๆ
ในบรรดาองครักษ์ทั้งสี่นี้ Blockchain ถือเป็นพี่ใหญ่และมีความสำคัญสูงสุด เพราะถ้าไม่มี Blockchain เสียแล้ว Cryptocurrency ทั้งมวลก็ยืนหยัดอยู่ไม่ได้
Blockchain นั้น ถือกำเนิดขึ้นด้วยวัตถุประสงค์ให้เป็นการบันทึกข้อมูลธุรกรรมทุกธุรกรรมของ Bitcoin ซึ่งถือเป็น "พี่เอื้อย" ของ Cryptocurrency ทั้งมวลที่มีอยู่ในโลกขณะนี้
กล่าวได้ว่า ถ้าไม่มี Bitcoin ก็ไม่มี Blockchain และในขณะเดียวกัน ถ้าไม่มี Blockchain ให้เป็นหลังพิง Bitcoin ก็ไม่น่าจะได้รับความเชื่อถือมากมายขนาดนี้ จนส่งผลให้เกิด Cryptocurrency อื่นๆ ตามมาอีกเป็นจำนวนมากและหลากหลาย ดังที่เราทราบกันดีอยู่แล้ว
แนวคิดของ Blockchain นั้น ถือได้ว่ายอดเยี่ยมมาก เพราะมันเปิดเผย และเป็นอะไรที่ง่ายๆ ทว่าทรงพลัง
วิธีการของ Blockchain อนุญาตให้ใครก็ได้ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย สามารถไว้ใจและวางใจกันได้ ถึงขั้นโอนสินทรัพย์ให้กันได้อย่างง่ายดาย ไม่ต้องคิดมาก แม้จะเป็นมูลค่าสูงๆ ก็ตามที เพราะวิธีการของ Blockchain นั้น สามารถพิสูจน์ให้ทั้งสองฝ่ายเห็นได้อย่างง่ายๆ ว่า การโอนครั้งนั้น จะโกงกันไม่ได้ แม้เวลาผ่านไปก็กลับมาแก้ไขได้ยาก
ที่สำคัญคือ วิธีการของ Blockchain นี้ มันตัดตัวกลาง (ที่ทั้งสองฝ่ายเคยไว้ใจให้เป็นผู้ลงบัญชีและตรวจสอบธุรกรรม) ออกไปจากสมการการโอนสินทรัพย์ในครั้งนั้น
ตรงนี้เองที่ทำให้ Miner เข้ามามีบทบาทสำคัญ ในฐานะผู้ (ช่วยกัน ร่วมกัน และแข่งขันกัน) ตรวจสอบความถูกต้องของธุรกรรมการโอนสินทรัพย์ดังกล่าว โดยระบบได้ออกแบบให้ Miner ที่สามารถรับรองธุรกรรมนั้นๆ ได้ก่อนใคร ก็จะได้รับผลตอบแทนเป็น Bitcoin ซึ่งถือเป็นการสร้างแรงจูงใจอยู่ในที
ยิ่ง Bitcoin มีราคาตลาดสูงขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งจูงใจให้มีคนเข้ามาทำหน้าที่ Miner มากยิ่งขึ้นเป็นเงาตามตัว
คนที่ออกแบบ Blockchain และ Bitcoin ไว้แต่แรกนั้น (นามแฝงว่า Satoshi Nagamoto แต่ไม่มีใครรู้จักตัวจริง) ต้องการให้ Miner มีความหลากหลาย และมีจำนวนมากพอ กว่าที่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งจะสามารถเข้าไปครอบงำได้
แม้ว่าการแยกตัว (Fork) ของ Bitcoin และ Ethereum เมื่อปีที่ผ่านมา จะแสดงให้เห็นถึงจุดอ่อนของ Blockchain ว่านอกจากจะไม่สามารถแก้ปัญหาด้วยตัวเองหรือ Self-Correcting ได้แล้ว (ต้องแตกหักสถานเดียว) มันยังล่อแหลมต่อการถูกครอบงำด้วยคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งได้อีกด้วย (ก่อนการแยกวงครั้งนั้น ก็ได้มีคนวงใน ให้ข้อมูลอันน่าหวาดหวั่นออกมาว่า Miner ส่วนใหญ่ของ Bitcoin ขณะนั้นอยู่ในประเทศจีน (เกิน 70%) และกว่า 50% ของมูลค่าซื้อขาย Bitcoin ในแต่ละวันนั้น มาจากเมืองจีน)
บทเรียนครั้งนั้น ทำให้ผู้คนเริ่มระวังมากขึ้น โดยเฉพาะกับแนวคิดของ Cryptocurrency ที่อาศัยเครือข่ายคนกันเองให้มาทำหน้าที่ Miner ที่เรียกว่า Native Blockchain
กระนั้นก็ตาม เมื่อ Bitcoin กลายเป็นกระแสสูง ทำให้เกิดการซื้อขายกันในตลาดรองอย่างล้นหลาม ซึ่งหมายความว่าบรรดา Trader หรือ "สายเทรด" ทั้งหลาย เริ่มเข้ามาซื้อขาย Bitcoin และ Cryptocurrency กันเหมือนกับหุ้น พันธบัตร ทองคำ สินค้าโภคภัณฑ์ หรือสินทรัพย์ทางการเงินอื่น
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อคนสำคัญๆ จำนวนมาก ในหลายอุตสาหกรรม เริ่มมองเห็นว่าวิธีการของ Blockchain เป็นวิธีการที่เปิดเผยดีมาก น่าจะสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในธุรกรรมประเภทอื่นได้ด้วย จึงเกิดกระแสการลงทุนที่นำเอา Blockchain ไปใช้ในงานหลายอย่าง ในหลากหลายอุตสาหกรรม ส่งผลทางอ้อมให้ความนิยมในตัว Bitcoin (และ Cryptocurrency อื่น) เพิ่มมากขึ้นไปอีก และราคาของมันในตลาดรองก็ยิ่งร้อนแรงขึ้น จนกลายเป็นที่สนใจของคนทั่วโลก และตัวมันเองก็ได้กลายเป็นเครื่องมือในการลงทุน หรือ Asset Class หมวดหนึ่ง ในสายตานักลงทุนที่หัวก้าวหน้าและศึกษาจนเข้าใจสินทรัพย์ประเภทนี้
ปัจจุบัน มีนักลงทุนใช้ Bitcoin และ Cryptocurrency เป็นตัวกระจายความเสี่ยงใน Portfolio ของตนมากขึ้นเรื่อยๆ
ทำให้ "สายเทรด" เข้ามามีบทบาทต่อความนิยมในตัว Cryptocurrency มากขึ้น และมีความพยายามที่จะหาวิธี "ประเมินมูลค่า" (Valuation) ที่น่าเชื่อถือ ของสินทรัพย์ประเภทนี้
เมื่อความต้องการมีมากขึ้นในตลาดรอง จึงเกิดปรากฏการณ์ ICO หรือการเสนอขาย Cryptocurrency ชนิดต่างๆ ขึ้นในตลาดแรก ถือเป็นการเพิ่มสินค้าให้นักลงทุนได้เลือกลง
ICO เป็นประโยชน์ต่อกิจการเกิดใหม่ทั่วโลก ช่วยให้พวกเขาเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น และการเกิดขึ้นของ Cryptocurrency ตัวใหม่ๆ ก็เป็นการแก้ไขข้อบกพร่องของตัวเก่าๆ ได้ด้วย เช่น LiteCoin ออกมาเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องของ Bitcoin ในแง่ของความรวดเร็วของธุรกรรมการโอน หรืออย่าง DeepOnion ซึ่งกำลังโด่งดังและได้รับความนิยมอย่างมาก ณ บัดนี้ ออกมาเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องของ Cryptocurrency ตัวก่อนหน้าทั้งหลาย ในเชิงของการปกป้องตัวตน (หรือรักษาความลับ) ของผู้โอนและผู้รับโอน ซึ่งบรรดาผู้ร่วมพัฒนาเหรียญหลังนี้ มองว่ามันยังไม่เป็นความลับเท่าที่ควร เป็นต้น
Cryptocurrency และ Blockchain ยังถือว่าอยู่ในช่วงเริ่มต้น เปรียบกับคนก็ต้องถือว่า ยังอยู่ในช่วงทารก ที่เพิ่งจะพูดและลุกเดินขึ้นได้แบบเตาะแตะๆ
แต่ทารกคนนี้ เป็นทารกพิเศษ ที่มีศักยภาพสูง ที่จะมาเปลี่ยนแปลงโลก
และทารกคนนี้ นอกจากจะได้รับการประคบประหงมจากบรรดา "แม่น้ำสี่สาย" ดังที่กล่าวมาแล้ว ก็ยังได้รับการ "ขุน" จากบรรดาคนเก่งๆ และรวยๆ จำนวนมากทั่วโลก
อีกไม่นาน ทารกผู้นี้จะโต แต่แทนที่จะเติบโตแบบทารกทั่วไป ที่เริ่มเดินและวิ่งแบบเป็นขั้นเป็นตอนไป ทารกผู้นี้อาจลุกขึ้นแล้วเหาะเหินไปในอากาศเลย ก็เป็นได้
ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว
สำหรับผู้สนใจ ขอเชิญเข้าร่วมงานสัมมนา "ICO in Action - ยุทธการก้าวสู่ ICO"
ดูรายละเอียดเพิ่มเติม และลงทะเบียน "คลิกที่นี่"