December 05, 2025

ดีลอยท์ (Deloitte) ประกาศรับทีมแอ๊พซินท์ (Appsynth) ที่ปรึกษาดิจิทัลสัญชาติไทยเข้าเป็นส่วนหนึ่งของทีมบริการด้านเทคโนโลยีและการปฏิรูป (Technology & Transformation) เพื่อเสริมศักยภาพด้านดิจิทัลและขยายตลาดของดีลอยท์เพื่อรองรับพัฒนาการด้านดิจิทัลที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ทั้งนี้ พนักงานของแอ๊พซินท์ทั้งหมดจะปฏิบัติงานในฐานะพนักงานของดีลอยท์ โดย นาย บ๊อบ แกลลาเกอร์ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารแอ๊พซินท์ จะดำรงตำแหน่งเป็นหนึ่งในพาร์ทเนอร์ ให้บริการด้านเทคโนโลยีและการปฏิรูป ดีลอยท์ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยทั้งหมดปฏิบัติงานประจำสำนักงานในประเทศไทย

บริการที่ปรึกษาด้านดิจิทัลของดีลอยท์ ครอบคลุมการพัฒนากลยุทธ์การขยายฐานลูกค้าและการเติบโตของธุรกิจด้วยเทคโทโลยีดิจิทัล การพัฒนาแอปพลิเคชันทั่วไป จนถึงซุปเปอร์แอป รวมถึงการออกแบบ UX/UI ที่เน้นประสบการณ์ผู้ใช้งาน ซึ่งจะทำให้ดีลอยท์มีความได้เปรียบในการปรับและพัฒนากลยุทธ์เพื่อการเปลี่ยนผ่านธุรกิจของลูกค้า สร้างประสบการณ์ดิจิทัลที่ไร้รอยต่อ และขับเคลื่อนการเติบโตให้กับลูกค้า เพื่อก้าวนำในโลกธุรกิจยุคดิจิทัล

นาย ยูจีน โฮ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดีลอยท์ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า “การรวมทีมครั้งนี้จะยกระดับบริการด้านดิจิทัลของดีลอยท์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ในการขยายขีดความสามารถในการเป็นที่ปรึกษาแบบครบวงจร โดยมุ่งเน้นบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างครอบคลุมทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การร่วมทีมของแอ๊พซินท์จะช่วยให้ดีลอยท์สามารถตอบสนองต่อความต้องการด้านกลยุทธ์ดิจิทัลอันทันสมัย อีกทั้งยังช่วยเสริมความสามารถในการส่งมอบโซลูชันที่แตกต่างออกไปให้กับลูกค้าในภูมิภาคนี้”

พัฒนาการด้านนวัตกรรมดิจิทัลของประเทศไทยกำลังเติบโตในอัตราที่ไม่เคยมีมาก่อน อันเนื่องมาจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) บล็อกเชน (Blockchain) และเทคโนโลยีทางการเงิน (Fintech) โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลที่ต้องการผลักดันให้ประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจดิจิทัลของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การร่วมทีมของแอ๊พซินท์ทำให้ดีลอยท์สามารถให้บริการด้านดิจิทัลที่จะช่วยให้ภาคธุรกิจในประเทศไทยและภูมิภาคมีความได้เปรียบในเชิงการแข่งขัน

ดร. เมธินี จงสฤษดิ์หวัง กรรมการผู้จัดการ ดีลอยท์ ประเทศไทย กล่าวว่า องค์กรธุรกิจในประเทศไทยต้องการที่ปรึกษาที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง พร้อมให้บริการที่เหมาะกับอุตสาหกรรมแต่ละประเภท และมีความรู้ความเข้าใจถึงสภาวะเศรษฐกิจและสถานการณ์ในประเทศอย่างลึกซึ้ง

“นายบ๊อบและทีมงานมีความเชี่ยวชาญด้านโซลูชันดิจิทัลเป็นอย่างมาก ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมการพัฒนากลยุทธ์ที่มุ่งเน้นอนาคต เอื้อต่ออุตสาหกรรมแต่ละประเภทและนำไปใช้ปฏิบัติได้จริง รวมทั้งสามารถบูรณาการเข้ากับแนวทางการให้บริการด้านที่ปรึกษาแบบครบวงจร ด้วยขนาดของทีมที่ใหญ่ขึ้น ดีลอยท์จะสามารถส่งมอบบริการเพื่อการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัลแก่ลูกค้าได้อย่างครบถ้วน โดยครอบคลุมทั้งการตลาดแบบเฉพาะเจาะจง การตลาดดิจิทัลและ AI นอกจากนี้ ดีลอยท์ยังให้ความสำคัญกับบุคลากร ทีมงานที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเรา จะเป็นสมาชิกของทีมปฏิบัติงานด้านดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งจะได้รับการส่งเสริมให้เติบโตก้าวหน้าในอาชีพ ผ่านการทำงานร่วมกัน เรียนรู้ซึ่งกันและกัน พัฒนาทักษะที่จำเป็น และสร้างความสำเร็จร่วมกัน ท่ามกลางภูมิทัศน์ธุรกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา” ดร. เมธินี กล่าวเสริม

นาย บ๊อบ แกลลาเกอร์ พาร์ทเนอร์ บริการด้านเทคโนโลยีและการปฏิรูป ดีลอยท์ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า “ขณะนี้เรากำลังอยู่ระหว่างการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญทางเทคโนโลยีของประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ธุรกิจต่าง ๆ ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี ทำให้ความต้องการโซลูชันที่สามารถทำงานได้อย่างไร้รอยต่อ เหมาะสมและสามารถปรับได้ตามขนาดของธุรกิจ จึงมีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การร่วมงานกับดีลอยท์จึงเป็นการใช้ประโยชน์จากจุดแข็งที่เรามีร่วมกัน นั่นคือ บริการที่ครอบคลุมและเครือข่ายทั่วโลกของดีลอยท์ ผสานกับความเชี่ยวชาญในด้านดิจิทัลและเทคโนโลยีของแอ๊พซินท์ เพื่อเป็นผู้นำในการให้บริการโซลูชันด้านอุตสาหกรรมแก่ธุรกิจต่าง ๆ ในภูมิภาคนี้”

การรับทีมแอ๊พซินท์ในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ดีลอยท์ในการขยายการเติบโตและการลงทุนในประเทศไทยและภูมิภาค เพื่อยกระดับการให้บริการที่ปรึกษาครบวงจรได้อย่างไร้รอยต่อแก่ลูกค้า

ดีลอยท์ เซาท์อีสท์เอเชีย ซีเอฟโอ โปรแกรม (Deloitte Southeast Asia CFO Program) เปิดเผยผลสำรวจ SEA CFO Agenda 2025 พบว่าการเติบโตของรายได้เป็นประเด็นด้านกลยุทธ์สำคัญอันดับต้นๆ ของ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน (ซีเอฟโอ) ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ร้อยละ 82 เหนือกว่าการควบคุมต้นทุน (ร้อยละ 71) และผลการดำเนินงานทางการเงิน (ร้อยละ 70) ทั้งนี้ แม้จะยังมีความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงภายนอก เช่น ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว อัตราเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ย ก็ตาม

ดีลอยท์ ได้ทำการสำรวจ ซีเอฟโอ จำนวน 190 คนใน 7 ประเทศทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ บรูไนดารุสซาลาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ประเทศไทย และเวียดนาม โดยมีการสัมภาษณ์แบบตัวต่อตัวกับ ซีเอฟโอ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จำนวน 11 คน ในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 เผยให้เห็นความเห็นของ ซีเอฟโอ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่แตกต่างอย่างชัดเจนจากปีก่อน

“ผลการสำรวจล่าสุดของเราแสดงให้เห็นว่า ซีเอฟโอ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีทัศนคติเป็นกลาง แม้จะมีมุมมองที่เป็นบวกในเรื่องเศรษฐกิจโดยรวมและผลการเงินของบริษัท แต่ก็เป็นไปด้วยความระมัดระวัง ซึ่งเป็นภาพที่แตกต่างอย่างชัดเจนจากความรู้สึกเชิงลบเมื่อปีที่แล้ว สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า ซีเอฟโอ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีการปรับตัวและและคุ้นชินกับภาวะปกติใหม่ที่เต็มไปด้วยความผันผวนทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ ส่งผลให้ซีเอฟโอมุ่งให้ความสำคัญในเรื่องการเติบโตของธุรกิจอย่างชัดเจน” โฮ ก๊ก หยง วีเอฟโอ โปรแกรม ลีดเดอร์ ดีลอยท์ เอเชียแปซิฟิก และ เซาท์อีสท์เอเชีย กล่าว

 เร่งสร้างมูลค่า

เพื่อสนับสนุนองค์กรในการขับเคลื่อนการเติบโตท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ซีเอฟโอ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ใช้วิธีการปรับกลยุทธ์การจัดสรรเงินทุนที่มีความรอบคอบมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็เพิ่มความเข้มข้นในการตรวจสอบสินทรัพย์ลงทุนในพอร์ตของตน จากผลการสำรวจพบว่า กว่าครึ่งของผู้ตอบแบบสอบถาม หรือ ร้อยละ 58 มีการประเมินผลการดำเนินงานของพอร์ตโฟลิโออย่างน้อยปีละสองครั้ง

ที่น่าสังเกตคือ ความสนใจในการควบรวมและเข้าซื้อกิจการ (M&A) กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยกว่าหนึ่งในสี่ของผู้ตอบแบบสอบถาม หรือร้อยละ 28 ระบุว่าองค์กรของตนมีการทำธุรกรรม M&A อย่างน้อยหนึ่งครั้ง ในช่วง 36 เดือนที่ผ่านมา ในขณะที่สัดส่วนที่มากกว่า – เกือบครึ่งหนึ่ง หรือร้อยละ 46 คาดว่าจำนวนข้อตกลงจะเพิ่มขึ้นในอีก 36 เดือนข้างหน้า

“การที่ซีเอฟโอในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ส่วนใหญ่ มีการทบทวนพอร์ตโฟลิโอการลงทุนของตนอย่างน้อยปีละสองครั้ง ถือเป็นสัญญาณที่ดี อย่างไรก็ตาม เพื่อให้สามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วและดำเนินการแก้ไขทิศทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซีเอฟโอต้องเป็นผู้นำในการผลักดันให้องค์กรมีแนวคิดในการทบทวนพอร์ตโฟลิโออย่างต่อเนื่อง ซึ่งหมายถึงการจัดสรรทรัพยากรและมีส่วนร่วมกับคณะกรรมการ เพื่อให้มั่นใจว่าสินทรัพย์สอดคล้องกับทิศทางเชิงกลยุทธ์โดยรวมของบริษัท และหากไม่สอดคล้อง ซีเอฟโอต้องมีความพร้อมและความสามารถในการตัดสินใจถอนการลงทุน หรือร่วมมือกับพันธมิตรที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้อย่างรวดเร็ว” โฮ ก๊ก หยง กล่าว

“ในท้ายที่สุด การเติบโตอย่างแข็งแกร่งท่ามกลางสภาวะที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและผันผวนสูงในปัจจุบัน จำเป็นต้องอาศัยสองความสามารถหลัก ได้แก่ ความสามารถในการรับมือ (resilience) เพื่อสร้างรากฐานที่มั่นคง และ การเติบโตเชิงเปลี่ยนแปลง (transformative growth) เพื่อเร่งสร้างมูลค่าเพิ่ม ดังนั้น เป้าหมายของซีเอฟโอในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ควรเป็นการกระจายแหล่งรายได้และพัฒนาโครงสร้างรายได้ให้แข็งแกร่งขึ้น เพื่อให้องค์กรสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แม้ในช่วงที่เศรษฐกิจมีความผันผวน” เขากล่าวเสริม

 การผลักดันการใช้ AI ที่มีความน่าเชื่อถือ

โดยรวมแล้ว ซีเอฟโอ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จำนวนหนึ่ง คาดหวังว่าเทคโนโลยีดิจิทัลและระบบอัตโนมัติจะมีบทบาทมากขึ้นในการดำเนินงานขององค์กร มากกว่าครึ่ง หรือร้อยละ 59 ของผู้ตอบแบบสอบถามคาดหวังที่จะนำระบบอัตโนมัติหรือเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการดำเนินงานมากขึ้น และมากกว่าหนึ่งในสาม หรือร้อยละ 34 คาดว่าจะเพิ่มการลงทุนด้านดิจิทัลในอนาคต

ซีเอฟโอ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จำนวนมากที่ ดีลอยท์ได้คุยด้วย เปิดเผยว่าองค์กรของพวกเขามีการจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศ (Centres of Excellence – CoEs) และ/หรือ ทีมเฉพาะเพื่อดูแลการทดลองการใช้งานกรณีศึกษาของปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างไรก็ตามนื่องจากหลายองค์กรยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการนำ AI มาใช้ การใช้งานส่วนใหญ่จึงอย่างไรก็ตาม เนื่องจากองค์กรส่วนใหญ่อยู่ในช่วงเริ่มต้นของการนำ AI มาใช้ กรณีศึกษาต่างๆ จึงมักเป็นแอปพลิเคชันที่มีความเสี่ยงต่ำ ที่มุ่งเน้นไปที่การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ด้วยการนำระบบอัตโนมัติมาใช้กับงานที่ต้องใช้แรงงานคนบางส่วนเท่านั้น

นอกจากนี้ ซีเอฟโอยังเผชิญกับความท้าทายในการตัดสินใจลงทุนใน AI เนื่องจากขาดกรณีศึกษาที่มีความน่าสนใจอย่างชัดเจน และความยากในการประเมินผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับ AI อีกทั้งยังมีความกังวลด้านความเสี่ยงและการกำกับดูแล (ร้อยละ 45) รวมถึงประเด็นด้านความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย (ร้อยละ 27)

สำหรับบทบาทด้านการเงินโดยเฉพาะ ซีเอฟโอในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ระบุว่าปัจจัยด้านบุคลากรและความเชื่อมั่นเป็นข้อกังวลหลักเกี่ยวกับการใช้ AI ซึ่งรวมถึง ทักษะทางเทคนิคและความเชี่ยวชาญด้าน AI ร้อยละ 78 ความเสี่ยงในการนำ AI มาใช้ ร้อยละ 55 และ วัฒนธรรมองค์กรและความไว้วางใจ ร้อยละ 45

ผลการสำรวจสะท้อนให้เห็นว่าซีเอฟโอในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตระหนักว่าวิจารณญาณและการตัดสินใจของมนุษย์มีบทบาทสำคัญต่อความสำเร็จในการนำ AI ที่มีความน่าเชื่อถือมาใช้งาน นอกจากนี้ พวกเขายังเห็นว่าการพัฒนาทักษะและความสามารถของพนักงาน ไม่เพียงแต่เพื่อให้สามารถใช้เครื่องมือ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่านั้น แต่ความสามารถระบุ ประเมิน และจัดการความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับ AI ได้ ควรเป็นเป้าหมายหลักในการยกระดับความเข้าใจและความชำนาญด้าน AI ในอนาคต

 การปรับวัตถุประสงค์ด้าน ESG และวัตถุประสงค์ทางการเงินให้สอดคล้องกัน

แม้ว่าการพูดคุยของดีลอยท์กับซีเอฟโอในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะสะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจร่วมกันเกี่ยวกับความสำคัญและความเร่งด่วนที่เพิ่มขึ้นของประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) แต่ผลสำรวจพบว่า มีซีเอฟโอเพียงไม่ถึงหนึ่งในสี่ (ร้อยละ 23) เท่านั้นที่นำปัจจัยด้านสภาพอากาศและ/หรือ ESG มาบูรณาการเข้ากับรูปแบบการดำเนินงานขององค์กร โดยส่วนใหญ่ยังคงอยู่ใน ช่วงของการสำรวจหรือทดลองแนวทาง เป็นหลัก

สาเหตุที่เป็นไปได้สำหรับเรื่องนี้ ได้แก่ การขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะ ร้อยละ 80 ความยากลำบากในการวัดผลกระทบของ ESG ร้อยละ 78 และความจำเป็นในการจัดการงานที่มีความสำคัญหลายๆงานพร้อมกัน ร้อยละ 69 ในขณะปัญหาด้านบุคลากรและความยากลำบากในการวัดผลเป็นความท้าทายสำคัญในด้าน ESG แต่จากการพูดคุยระหว่างดีลอยท์ กับซีเอฟโอในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบว่าความท้าทายที่ถูกพูดถึงอย่างมากคือการบริหารจัดการให้เกิดสมดุลระหว่างผลประโยชน์และต้นทุนที่มาพร้อมกับการขับเคลื่อนเป้าหมายด้านสภาพอากาศและ ESG ความท้าทายเหล่านี้เห็นได้ชัดเจนเป็นพิเศษในด้าน การจัดซื้อจัดจ้าง เนื่องจากกลยุทธ์การจัดหาสินค้าและบริการที่เป็นไปตามมาตรฐาน ESG มักมาพร้อมกับ ต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งอาจจำเป็นต้องมีมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพด้านต้นทุนในด้านอื่น ๆ มาชดเชย

จากมุมมองของการตัดสินใจทางการเงิน ซีเอฟโอในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังดำเนินมาตรการสำคัญ อาทิ การประเมินความเสี่ยงด้าน ESG ร้อยละ 40 การรายงานเกี่ยวกับโครงการด้าน ESG ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ร้อยละ 40 และการกำหนดตัวชี้วัดผลการดำเนินงานด้าน ESG ร้อยละ 33 อย่างไรก็ตาม มีเพียงส่วนน้อย หรือเพียงร้อยละ 16 ที่ปรับการจัดสรรเงินทุนให้สอดคล้องกับเป้าหมาย ESG ซึ่งสะท้อนถึงความท้าทายในการวัดผลกระทบของ ESG ที่ได้กล่าวถึงก่อนหน้านี้

ซีเอฟโอ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตระหนักว่า เป้าหมายด้าน ESG และความสำเร็จทางการเงินในระยะยาวไม่ได้ขัดแย้งกันอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้นที่ต้องเร่งดำเนินการ พวกเขายังต้องเผชิญกับความท้าทายที่ในการปรับวัตถุประสงค์ด้าน ESG ให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ทางการเงิน เพื่อช่วยให้องค์กรในการหาสมดุลที่เหมาะสม ซีเอฟโอ อาจพิจารณาการนำ balanced scorecards มาใช้ควบคู่ไปกับการวิเคราะห์ต้นทุนและผลประโยชน์ เพื่อบูรณาการเป้าหมายทางการเงินและ ESG เข้าด้วยกัน” โฮ ก๊ก หยง กล่าว

“อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงคือแม้ว่าตัวชี้วัดจะมีความสำคัญ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด ซีเอฟโอ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ควรหลีกเลี่ยงการยึดติดกับตัวชี้วัดทางการเงินระยะสั้นมากเกินไป เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อความยั่งยืนทางการเงินในระยะยาว” เขากล่าวเพิ่มเติม

ระเบียบวิธีวิจัย

ระหว่างเดือนสิงหาคม ถึง ตุลาคม 2567 ดีลอยท์ เซาท์อีสท์เอเชีย ได้ทำการสำรวจ ซีเอฟโอ จำนวน 190 คนใน 7 ประเทศ (บรูไนดารุสซาลาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม) เพื่อทำความเข้าใจความท้าทายและลำดับความสำคัญของซีเอฟโอให้ดียิ่งขึ้น กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 62 เป็นซีเอฟโอของบริษัทที่มีรายได้ต่อปีมากกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรม อาทิ สินค้าอุปโภคบริโภค พลังงานและทรัพยากร บริการทางการเงิน วิทยาศาสตร์ชีวภาพและการดูแลสุขภาพ การผลิตและอุตสาหกรรม ภาครัฐ รวมถึงเทคโนโลยี สื่อ และโทรคมนาคม นอกจากนี้ ยังได้ทำการสัมภาษณ์เชิงลึกแบบตัวต่อตัวกับซีเอฟโอในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จำนวน11 ราย ระหว่างเดือนกันยายนถึง พฤศจิกายน 2567 เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับมุมมองและความท้าทายเฉพาะของซีเอฟโอ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

รายงานใหม่จากดีลอยท์Rebalancing your portfolio to fuel growth ชี้ชัด บริษัทต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จำเป็นต้องเร่งพิจารณาพอร์ตการลงทุนอย่างละเอียด เพื่อปรับสัดส่วนการลงทุนเพื่อสร้างโอกาสการเติบโต และจำหน่ายเงินลงทุนหรือสินทรัพย์ที่ไม่สอดคล้องกับกลยุทธ์ทางธุรกิจออกไป 

รายงานนี้เป็นการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ขององค์กรที่อยู่ในช่วงของการเปลี่ยนแปลงและปัจจัยที่เป็นแรงขับเคลื่อนการทบทวนพอร์ตการลงทุน โดยได้สัมภาษณ์ผู้บริหารระดับสูง 250 คน จากบริษัทเอกชนและบริษัทมหาชน ทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวมถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทที่มีรายได้เกินกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ  

ปัจจัยที่เป็นแรงขับเคลื่อนภายนอก 5 ประการสำคัญ ที่ผลักดันให้เกิดความจำเป็นในการปรับสมดุลพอร์ตการลงทุน ได้แก่ 

  • ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่ส่งผลกระทบต่อการยุติติดต่อหรือทำธุรกรรมกับตลาด ห่วงโซ่อุปทาน และพันธมิตรทางการค้าที่เกี่ยวข้อง  
  • กฎระเบียบด้านประสิทธิภาพของเงินทุน (ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และมีแนวโน้มว่าจะครอบคลุมไปทั่วทั้งเอเชีย) ที่กำหนดให้บริษัทต้องเปิดเผยผลตอบแทนจากเงินทุนที่ต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด 
  • การเคลื่อนไหวของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้นในเอเชีย สร้างแรงกดดันให้บริษัทต้องแก้ไขสินทรัพย์ที่มีประสิทธิภาพต่ำกว่ามาตรฐานและขายธุรกิจที่ไม่ได้เป็นธุรกิจหลัก 
  • ESG (Environmental, Social, and Governance (สิ่งแวดล้อม สังคม การกำกับดูแล)) และเส้นทางสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ กระตุ้นให้คณะกรรมการบริษัทและผู้บริหารดำเนินการซื้อขายสินทรัพย์เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่ "พอร์ตโฟลิโอสีเขียว" 
  • บทบาทที่เพิ่มขึ้นของกองทุนที่ลงทุนในหุ้นของบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ (กองทุน Private Equity) ในฐานะนักลงทุนและพันธมิตรทางธุรกิจ ในการตัดสินใจปรับพอร์ตการลงทุนในสินทรัพย์ของบริษัท 

 ผลการสำรวจพบว่า การบริหารพอร์ตการลงทุนเชิงรุก กำลังกลายเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้บริหารและคณะกรรมการบริษัท เพื่อปรับให้เข้ากับแรงขับเคลื่อนภายนอก 5 ประการสำคัญข้างต้น รายงานผลการสำรวจดังกล่าวสนับสนุนแนวคิดการบริหารพอร์ตการลงทุนเชิงรุก ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การสร้างความยืดหยุ่นและการเติบโตอย่างเป็นรูปธรรม โดยอาศัยโอกาสการเติบโตและการผนึกกำลังเมื่อมีโอกาสที่เหมาะสม 

เจียก ซี อึ้ง ลีดเดอร์ ฝ่ายกลยุทธ์ ความเสี่ยง และธุรกรรมรายการ (Strategy, Risk and Transactions)  ดีลอยท์ เอเชียแปซิฟิก ให้ความเห็นต่อรายงานดังกล่าวว่า "แรงขับเคลื่อนที่เปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจโลกส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อบริษัทต่างๆ ทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ไม่ว่าจะเป็นความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ปัจจัยด้านความยั่งยืน หรือแรงกดดันจากนักลงทุน ซึ่งบริษัทต่างๆ ควรต้องดำเนินการเชิงรุกในการปรับสมดุลพอร์ตการลงทุนเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันและเตรียมพร้อมสำหรับการจำหน่ายสินทรัพย์หรือธุรกิจ รายงานของดีลอยท์เน้นย้ำถึงความจำเป็นสำหรับกระบวนการทบทวนพอร์ตการลงทุนให้มีพลวัตมากขึ้นและสอดคล้องกับวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ของธุรกิจเพื่อการเติบโตและสร้างมูลค่าในระยะยาว"  

ESG เป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างมูลค่าธุรกิจ  

จากผลการวิจัย ผู้ตอบแบบสำรวจมากกว่าครึ่ง หรือร้อยละ 52 มีความเห็นว่า ประเด็นด้าน ESG  มีการนำมาพูดคุยกันบ่อยครั้งขึ้นในระหว่างการเจรจาซื้อขายกิจการในช่วงที่ผ่านมา ปัจจุบัน ปัจจัยด้าน ESG มีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ของบริษัท รวมถึงการกำหนดเกณฑ์ที่ใช้ในการประเมินพอร์ตการลงทุนและกิจกรรมในการปรับสมดุลการลงทุน 

ผลกระทบของ ESG ต่อบริษัทแต่ละแห่งนั้นแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรมและสถานะของบริษัทในตลาด บริษัทต่างๆ จำเป็นต้องตระหนักถึงทั้งความเสี่ยง (แรงหน่วง) และโอกาสด้านการเติบโตและการสร้างมูลค่า (แรงหนุน) ที่มาจากการให้ความสำคัญกับ ESG ที่เพิ่มมากขึ้น โดยผลสำรวจชี้ให้เห็นว่า บริษัทที่สามารถเชื่อมโยงแผนธุรกิจและปัจจัยด้าน ESG ได้อย่างชัดเจน มีโอกาสสร้างมูลค่าธุรกิจได้สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ถึงหกเท่า 

การหาทางออกนอกเหนือจากการขายกิจการแบบเดิมได้รับความนิยมมากขึ้น   เกือบทุกบริษัทที่ตอบแบบสอบกล่าวว่าบริษัทกำลังพิจารณาใช้กลยุทธ์การหาทางออกนอกเหนือจากการขายกิจการแบบเดิม ควบคู่ไปกับการขายให้กับกองทุนเอกชน กองทุนที่ลงทุนในหุ้นของบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ (กองทุน Private Equity) ซึ่งมีรายงานว่ายังมีเงินทุนมหาศาลที่ยังไม่ได้ลงทุน ที่มีความต้องการสูงในการลงทุนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทที่ต้องการขายธุรกิจหรือสินทรัพย์จำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ โดยการติดต่อกับผู้ซื้อที่มีศักยภาพตั้งแต่เนิ่นๆ และเปิดกว้างต่อโครงสร้างข้อตกลงที่หลากหลายมากขึ้น 

5 แนวทางสำคัญที่ธุรกิจควรนำไปปฏิบัติ 

จากการสำรวจกลุ่มผู้นำธุรกิจ พบว่า ผู้บริหารส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 79 คาดการณ์ว่าจะมีการจำหน่ายเงินลงทุนหรือสินทรัพย์ 2 ครั้งเป็นอย่างน้อยในช่วงภายใน 18 เดือนข้างหน้า ที่น่าสนใจคือร้อยละ 95 เคยยกเลิกการเจรจาขายกิจการในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งบ่งชี้ว่า บริษัทต่างๆ จำเป็นต้องเตรียมความพร้อมสำหรับการขายกิจการมากขึ้น 

 “ในยุคของเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วและการให้ความสำคัญกับ ESG ที่เพิ่มมากขึ้น การบริหารพอร์ตการลงทุนเชิงรุกจะเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จขององค์กร เราจะเห็นการควบรวมกิจการและการขายกิจการที่เกิดขึ้นจากความต้องการเร่งการลดก๊าซเรือนกระจกสุทธิ และ/หรือ การเข้าซื้อกิจการเทคโนโลยีขั้นสูงมากขึ้น ทำให้การควบรวมกิจการกลายเป็นเครื่องมือที่ช่วยทั้งในเรื่องของวัตถุประสงค์และเป้าหมายด้านผลกำไร” เดวิด ฮิลล์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดีลอยท์ เอเชียแปซิฟิก กล่าวเสริม 

จากการวิเคราะห์ผลการวิจัย บริษัทต่างๆ ควรดำเนินการดังต่อไปนี้: 

  1. ปรับใช้แนวคิดการทบทวนพอร์ตการลงทุนอยู่เสมอ โดยจัดให้มีหน่วยงานดูแลโดยเฉพาะ รวมถึงมีการกำกับดูแลจากคณะกรรมการบริษัท เพื่อให้สินทรัพย์สอดคล้องกับทิศทางเชิงกลยุทธ์ของธุรกิจ 
  1. ประเมินพอร์ตการลงทุนตามความเหมาะสมกับกลยุทธ์ ศักยภาพในการสร้างมูลค่า และความยืดหยุ่น บริษัทควรประเมินการลงทุนโดยนำสามปัจจัยดังกล่าวมาทบทวนอย่างสม่ำเสมอและครอบคลุมทุกด้าน 
  1. เพิ่มมูลค่าจากสินทรัพย์ที่ไม่สอดคล้องกับกลยุทธ์ของบริษัท ด้วยการสื่อสารแผนธุรกิจที่น่าสนใจและผลการดำเนินงานในอดีตของสินทรัพย์นั้น 
  1. บูรณาการให้ ESG เป็นหัวใจสำคัญในการประเมินและปรับสมดุลพอร์ตการลงทุน 
  1. พิจารณาผลกระทบด้านภาษีและโอกาสทางภาษีอย่างรอบคอบ ในการปรับสมดุลพอร์ตการลงทุนทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก 

  มูราลีดาร์ เอ็ม เอส เค กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์ ความเสี่ยง และธุรกรรมรายการ (Strategy, Risk and Transactions) ของ ดีลอยท์ เซาท์อีสต์เอเชีย  กล่าวว่า “นอกเหนือจากการเป็นแนวปฏิบัติที่ดีขององค์กรแล้ว การบริหารพอร์ตการลงทุนเชิงรุก ยังเป็นกลยุทธ์ที่มีค่าสำหรับบริษัทต่างๆ ในการรับมือกับแรงกดดันด้านกฎระเบียบใหม่ๆและ แรงกดดันจากนักลงทุน ยกตัวอย่างเช่น ในประเทศสิงคโปร์ บริษัทจดทะเบียนที่ได้ปรับสมดุลโครงสร้างทุนในช่วงปีที่ผ่านมามีผลการดำเนินงานดีกว่าบริษัททั่วไปในตลาด ดังนั้น บริษัทต่างๆ ควรมีการปรับตัวเพื่อให้มั่นใจได้ว่าสินทรัพย์ของตนมีความสอดคล้องกับทิศทางเชิงกลยุทธ์โดยรวมขององค์กร หากไม่เป็นเช่นนั้น บริษัทอาจจำเป็นต้องดำเนินการอย่างรวดเร็วเพื่อขายกิจการหรือร่วมมือกับพันธมิตรที่สามารถช่วยเพิ่มมูลค่าเงินลงทุนให้กับผู้ถือหุ้นและบรรลุเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ของธุรกิจ” 

ดีลอยท์ ประเทศไทย ร่วมกับธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย(SME D Bank) และตลาดหลักทรัพย์ไลฟ์เอ็กซ์เช้นจ์ (LiVEx) โดย นายวัลลภ วิไลวรวิทย์ และนางสาวลสิตา มากัต พาร์ทเนอร์ บริการด้านการสอบบัญชี ดีลอยท์ ประเทศไทย (ที่สี่และห้าจากซ้าย) นางสาวกัลยา เฉลิมโชคชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ผู้รับผิดชอบสายงานบริหารเงินและบัญชี ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ที่หกจากซ้าย) และ นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ,ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ไลฟ์เอ็กซ์เช้นจ์, กรรมการผู้จัดการบริษัท ไลฟ์ฟินคอร์ป จำกัด (ที่ห้าจากขวา) ร่วมเป็นประธาน ในพิธีเปิดงานและงานปฐมนิเทศ Acceleration Program - Road to LiVE รุ่นที่ 2 โครงการเสริมความพร้อมที่สำคัญของผู้ประกอบการในการเข้าตลาดทุน ณ ห้อง สุรศักดิ์ บอลรูม โรงแรม อีสติน แกรนด์ สาทร เมื่อเร็วๆนี้

โดยภายในงานมีการบรรยายในหัวข้อ “โอกาสของผู้ประกอบการบนเส้นทางตลาดทุน (SET/mai/LiVEx)” โดยนายประพันธ์ เจริญประวัติ และทีมผู้บริหารจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย “IPO Journey เส้นทางการเป็นบริษัทจดทะเบียน” โดย นายวัลลภ วิไลวรวิทย์ และ “How to become the smart IPO?” โดย รศ.(พิเศษ) ดร.กฤษฎา เสกตระกูล กรรมการอิสระ บริษัท ทีเคเค คอร์ปอเรชั่น จำกัด โดยมี นางสาวลสิตา มากัต พาร์ทเนอร์ ดีลอยท์ ประเทศไทย เป็นผู้ดำเนินการบรรยาย ในช่วงเย็นยังมีกิจกรรมเน็ตเวิร์คกิ้งเพื่อให้ผู้ประกอบการได้ร่วมรับประทานอาหารเย็น และ สานสัมพันธ์ต่อยอดธุรกิจ โดยมีนายพิชิต มิทราวงศ์ (กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย) เป็นประธานเปิดงาน

ดีลอยท์ ประเทศไทย เผยผลสำรวจ Deloitte Global 2024 Gen Z and Millennial Survey – Thailand Perspective ซึ่งเป็นผลการศึกษาสะท้อนมุมมองของเจนซี และมิลเลนเนียลชาวไทย ที่มีต่อเศรษฐกิจ สังคม และ สิ่งแวดล้อม

ผลสำรวจ Global 2024 Gen Z and Millennial Survey จัดทำขึ้นโดยดีลอยท์ ต่อเนื่องกันมาเป็นปีที่ 13 ทำการสำรวจมุมมองแนวคิดเชิงลึกของคนในเจนซี และมิลเลนเนียล จำนวน 22,841 คนจาก 44 ประเทศทั่วโลก มีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะติดตามความเปลี่ยนแปลงด้านแนวคิดและมุมมองต่าง ๆ ของกลุ่มเจนซีและมิลเลนเนียล ที่เป็นกำลังสำคัญในตลาดแรงงานทั่วโลก โดยมีคนไทยที่เข้าร่วมการตอบแบบสอบถามทั้งหมด 301 คน แบ่งเป็น เจนซี 201 คน และ มิลเลนเนียลชาวไทย จำนวน 100 คน ผลการสำรวจสะท้อนมุมมองเชิงลึกของคนไทยในทั้งสองเจเนอเรชั่นดังกล่าวที่มีต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยในปีเดียวกันของคนในเจเนอเรชั่นเดียวกันทั่วโลก ดังต่อไปนี้

 

ด้านสุขภาพจิต และ ความกังวลหลัก

จากผลการสำรวจในปีนี้พบว่า เรื่องที่เจนซีมีกังวลมากที่สุดคือ ค่าครองชีพ (ร้อยละ 37) การว่างงาน (ร้อยละ 36) และ ความเหลื่อมล้ำทางรายได้และความมั่งคั่ง (ร้อยละ 21) สำหรับปัจจัยที่มิลเลนเนียลมีความกังวล 3 อันดับแรกได้แก่ ค่าครองชีพ (ร้อยละ 37) การความเหลื่อมล้ำทางรายได้และความมั่งคั่ง (ร้อยละ 26) และ ความไม่มั่นคงทางการเมือง/ความขัดแย้งระดับโลก (ร้อยละ 24) นอกจากนั้นยังพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามเจนซีในประเทศไทย ร้อยละ 42 และ มิลเลนเนียล ร้อยละ 60 รู้สึกดีถึงดีมากกับสภาพจิตใจโดยรวมของตนเองในปัจจุบัน เทียบกับปี 2566 โดยคนทั้งสองกลุ่ม ระบุว่ามีความเครียดน้อยลง ผู้ตอบแบบสอบถามเจนซีที่บอกว่ารู้สึกวิตกกังวลหรือเครียดตลอดเวลาหรือเกือบตลอดเวลา ลดลงจากร้อยละ 51 เหลือร้อยละ 40 และ มิลเลนเนียล ลดลงเล็กน้อยจากร้อยละ 39 เหลือร้อยละ 38 เหตุผลที่สร้างความเครียดได้แก่ การเงินในอนาคต การเงินในชีวิตประจำวัน และ งาน

ปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคมที่มีผลกับสุขภาพจิตของคนไทย

ความคาดหวังของเจนซีและมิลเลนเนียลไทยต่อสถานการณ์เศรษฐกิจและการเงินว่าจะเป็นไปในทางที่ดีขึ้นในอีก 12 เดือนข้างหน้าลดลง เมื่อเทียบกับปี 2566 โดยความคาดหวังต่อภาพรวมเศรษฐกิจ ของเจนซี ลดลงจากร้อยละ 27 เหลือร้อยละ 15 และ มิลเลนเนียล ลดลงจากร้อยละ 26 เหลือร้อยละ 22 ความคาดหวังต่อสถานการณ์การเงินของตัวเอง ของเจนซี ลดลงจากร้อยละ 37 เหลือ ร้อยละ 19 และ มิลเลนเนียล ลดลงจากร้อยละ 38 เหลือร้อยละ 33 และ ความคาดหวังต่อสถานการณ์โดยรวมของเศรษฐกิจ/การเมืองของเจนซี ลดลงจากร้อยละ 27 เหลือร้อยละ 15 และมิลเลนเนียล ลดลงจากร้อยละ 24 เหลือร้อยละ 23

ผลสำรวจพบว่า ร้อยละ 42 ของ เจนซี และ ร้อยละ 45 ของมิลเลนเนียล เชื่อว่าองค์กรภาคธุรกิจสร้างผลกระทบเชิงบวกกับสังคม ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ร้อยละ 49 และ 47 ตามลำดับ คนไทยรุ่นใหม่มีความคาดหวังว่าภาคธุรกิจควรมีบทบาทในการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม โดยมองภาคธุรกิจควรสร้างโอกาสการมีส่วนร่วมของพนักงาน ให้ผลตอบแทนที่เท่าเทียมและโปร่งใส สนับสนุนด้านทุนการศึกษา และ สร้างความมั่นใจว่าเทคโนโลยีใหม่ ๆ จะไม่มาซ้ำเติมให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางสังคมเพิ่มมากขึ้น

ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม

เมื่อถามถึงความรู้สึกต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เจนซีและมิลเลนเนียลในประเทศไทย ร้อยละ 81 และ 92 ตามลำดับ ตอบว่ามีความวิตกกังวลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของคนกลุ่มเดียวกันทั่วโลกอย่างมีนัยสำคัญ ที่ร้อยละ 62 และ 59 ตามลำดับ เจนซี ร้อยละ 90 และ มิลเลนเนียล ร้อยละ 91 มองว่าภาครัฐและภาคธุรกิจควรมีบทบาทในด้านการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศมากขึ้น ทั้งนี้ ร้อยละ 92 ของเจนซี และ ร้อยละ 93 ของมิลเลนเนียล ยอมจ่ายแพงขึ้นเพื่อใช้สินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยแนวปฏิบัติยอดนิยม ได้แก่ หลีกเลี่ยงการซื้อสินค้าแฟชั่นด่วน (Fast Fashion) ลดการเดินทาง ศึกษาข้อมูลด้านการสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของบริษัทก่อนการอุดหนุนสินค้าของบริษัทนั้นๆ ทานมังสะวิรัติ หรือ วีแกน (Vegan) และ เลือกใช้รถยนต์ไฟฟ้า

ปัจจัยด้านการทำงาน

คนรุ่นใหม่ไทยมีเป้าหมายในการทำงานที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกพนักงาน โดยร้อยละ 96 ของ เจนซีในประเทศไทย และ ร้อยละ 99 ของมิลเลนเนียล ตอบว่าการมีเป้าหมายในการทำงานค่อนข้างสำคัญหรือสำคัญมากต่อความพึงพอใจในงานและ ความเป็นอยู่ที่ดี ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของเจนซีและมิลเลนเนียลทั่วโลกที่ร้อยละ 86 และ ร้อยละ 89 ตามลำดับ อย่างไรก็ดี ร้อยละ 91 ของ เจนซีในประเทศไทย และ ร้อยละ 93 ของ มิลเลนเนียลในประเทศไทย บอกว่างานปัจจุบันทำให้ตนเองรู้สึกถึงความมุ่งหมาย (Purpose) ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ ร้อยละ 55 ของ เจนซี และ ร้อยละ 60 ของ มิลเลนเนียลในประเทศไทย ปฏิเสธงานที่ได้รับมอบหมายที่ขัดต่อจริยธรรมและความเชื่อของตนเอง ร้อยละ 55 ของเจนซี และ ร้อยละ 57 ของมิลเลนเนียล ปฏิเสธที่จะร่วมงานกับองค์กรที่ขัดต่อจริยธรรมและความเชื่อของตนเอง โดยจะเลือกทำงานกับองค์กรที่ตอบโจทย์ในการสร้างสมดุลให้ชีวิตและการทำงาน (Work/life Balance) มีโอกาสในการเรียนรู้ และ เป็นงานที่มีความหมาย

 ในภาพรวม เจนซีและมิลเลนเนียลในประเทศไทยเห็นว่านายจ้างมีความใส่ใจต่อพนักงาน ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก โดยเจนซี ร้อยละ 70 และ มิลเลนเนียล ร้อยละ 74 ตอบว่านายจ้างให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตของพนักงาน เจนซี ร้อยละ 77 และ มิลเลนเนียล ร้อยละ 76 ตอบว่ารู้สึกสบายใจที่จะพูดคุยกับผู้จัดการอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับความรู้สึกเครียด วิตกกังวล หรือปัญหาด้านสุขภาพจิตอื่น ๆ และ เจนซี ร้อยละ 73 และ มิลเลนเนียล ร้อยละ 68 บอกว่าหัวหน้างานรู้ว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไรเมื่อมีการพูดคุยสื่อสารเมื่อเกิดความเครียด ซึ่งคำตอบของเจนซีและมิลเลนเนียลคนไทยทั้งสองกลุ่ม สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ ร้อยละ 52 และร้อยละ 59 ตามลำดับ

ดีลอยท์ติดตามความเคลื่อนไหวของคนทั้งสองเจนเนอเรชั่นทั่วโลกมาอย่างต่อเนื่อง เพราะเราอยากทราบพัฒนาการทางความคิดและมุมมองของคนรุ่นใหม่ ที่จะช่วยให้เกิดโอกาสใหม่ ๆ และ ความเข้าใจกันระหว่างคนในวัยต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น” อริยะ ฝึกฝน กรรมการบริหาร ดีลอยท์ คอนซัลติ้ง กล่าว

มานิตา ลิ่มสกุล ผู้จัดการอาวุโส ฝ่าย Human Capital ดีลอยท์ คอนซัลติ้ง กล่าวว่า “อยากจะขอเน้นย้ำว่าเรื่องการมีสุขภาวะทางจิตที่ดี หรือ Mental Well-being เป็นเรื่องสำคัญมาก กลุ่มเจนซีและมิลเลนเนียล คือ แรงงานหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของโลกในวันนี้ องค์กรที่มีความเข้าใจ ให้ความสำคัญในเรื่องนี้ และ สามารถปรับเปลี่ยนวิธีในการดูแลคนรุ่นใหม่ได้อย่างถูกต้อง จะสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับองค์กรได้อย่างมีนัยสำคัญ”

ดร. โชดก ปัญญาวรานันท์ ผู้จัดการฝ่าย Clients & Market ดีลอยท์ ประเทศไทย กล่าวเสริมว่า “ผลการสำรวจมีความน่าสนใจและสะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกลักษณะของคนไทยที่มีความแตกต่างจากค่าเฉลี่ยโลกในในหลายแง่มุม ถ้ามองให้ละเอียดกว่านั้น จะเห็นถึงความแตกต่างกันของคนในแต่ละเจนอีกด้วย”

Page 1 of 4
X

Right Click

No right click