December 04, 2024

เจ เวนเจอร์ส เผยความสำเร็จ JNFT จับมือพันธมิตรเปิดประสบการณ์ NFT ให้คนไทย เจาะตลาดรูปแบบ B2B สร้างอีโคซิสเต็มเติบโตอย่างแข็งแกร่ง

เมื่อเร็วๆนี้ นายธนวัฒน์ เลิศวัฒนารักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด  ได้เปิดเผยถึงตลาดคริปโตเคอร์เรนซี และ NFT ในปีนี้ทีมีความผันผวนหรือที่เรียกกันว่าภาวะตลาดหมี แต่เจ เวนเจอร์สยังคงมองเห็นว่าแนวโน้มของตลาดในภาคธุรกิจว่ามีโอกาสเติบโต สะท้อนได้จากเทรนด์และความสนใจจากหลายอุตสาหกรรม ที่ได้นำ NFT เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการวางกลยุทธ์ทางการตลาดให้กับแบรนด์ มีหลายแบรนด์ดังที่เข้าสู่วงการ NFT และเปิดธุรกิจใน Metaverse เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับประสบการณ์ใหม่ ๆ รวมถึงการสร้างชุมชนของแฟนคลับให้ขยายฐานออกไปกว้างมากขึ้น รองรับการเติบโตของกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบเทคโนโลยี

เทคโนโลยีบล็อกเชนและแพลตฟอร์มที่เจ เวนเจอร์สได้พัฒนาขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็น JFIN Chain ซึ่งเป็นบล็อกเชนของเราเอง หรือ JNFT Marketplace แพลตฟอร์ม NFT ที่พร้อมใช้งาน จากเดิมเราที่เน้นสร้างแพลตฟอร์มสำหรับให้ครีเอเตอร์ได้มาพบกับคอลเล็กเตอร์ จากช่วงปีที่ผ่านมาเราได้พัฒนา Infrastructure ให้พร้อมรองรับทุกการเติบโต ทำให้เราเห็นถึงศักยภาพที่จะสร้างให้เกิดอีโคซิสเต็มของ NFT กับพันธมิตรของเรา ไม่ว่าจะเป็นภาคธุรกิจ หรือรัฐวิสาหกิจ ที่จะทำให้ครีเอเตอร์ได้มีโอกาสมากกว่าแค่เพียงสร้างงานให้เกิดการสะสม หรือซื้อขาย และธุรกิจเองก็จะได้ใช้เทคโนโลยีนี้ให้เป็นมากกว่าของสะสม หรือกิจกรรมทางการตลาดเท่านั้น แต่จะเป็นทั้ง Loyalty Program หรือการจัดอีเวนต์ทุกรูปแบบ และที่สำคัญถือเป็นอีกส่วนในการขับเคลื่อนองค์กรให้เป็น DX หรือ Digital Transformation อีกด้วย ” นายธนวัฒน์ กล่าว

ในด้านของนายวรพจน์ ธาราศิริสกุล Chief of Technology บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด ได้กล่าวเสริมถึง เทคโนโลยีบล็อกเชนว่าได้เริ่มเข้ามามีบทบาทในส่วนต่างๆของชีวิตประจำวัน ทำให้ภาคธุรกิจเองได้นำเอา NFT เข้ามาใช้ในกิจกรรมทางการตลาดมากขึ้น ด้วยความพร้อมของ JNFT ที่พัฒนาแพลตฟอร์มบน JFIN Chain ทำให้ช่วงไตรมาสที่ผ่านมา ทาง JFIN ได้ร่วมกับพันธมิตรนำเอา NFT เข้ามาใช้เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งในเรื่องของการตลาด การสร้างยอดขาย การทำกิจกรรมลูกค้าสัมพันธ์ รวมถึงการนำเอาเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้เป็นเครื่องมือช่วยสร้างความมั่นใจ และความโปร่งใสของการทำธุรกรรมด้วย

 ทั้งนี้ที่ผ่านมา JNFT โดย บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด ได้ร่วมมือกับองค์ธุรกิจชั้นนำระดับประเทศในการสร้างประสบการณ์ด้าน NFT ที่หลากหลาย ได้แก่

· Index Creative Village: โดยใช้ Immersive Experience หรือ รูปแบบการสร้างประสบการณ์แปลกใหม่ ที่น่าตื่นเต้น เร้าใจแก่ผู้ใช้งาน เพื่อให้รู้สึก “อิน” ผ่านการจัดคอนเสิร์ต NFT ที่ทำให้ผู้คนดื่มด่ำกับประสบการณ์ดิจิทัลทั้งในด้านดนตรี ด้านไลฟ์สไตล์ และด้านศิลปะดิจิทัลเข้าด้วยกัน

· บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด: สร้างสรรค์ 1st NFT Stamp ครั้งแรกของอาเซียน เนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบ 140 ปี โดย JNFT เป็นผู้สร้างระบบการใช้งาน และร่วมกับพาร์ทเนอร์ในการรวมกลุ่มศิลปินและชุมชน NFT ที่มีชื่อเสียงที่สุดในไทยมารวมตัวกัน เพื่อช่วยเสริมสร้างการรับรู้ถึงประสบการณ์การสะสมแสตมป์ที่แตกต่างจากเดิมเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิทัล

· บริษัท เจมาร์ท โมบาย จำกัด: เปิดประสบการณ์ใหม่แก่ผู้บริโภคแบบ Customer Experience กับครั้งแรกของการครอบครองของขวัญสุดสมาร์ทอย่าง “Jaybird NFT Collection 2022” ของพรีเมียมอินเทรนด์ล้ำยุค ที่ไม่ซ้ำใคร จำนวน 7,777 ชิ้น ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Enjoy MetaWorld”

· Pixel Paint ผู้เชี่ยวชาญในวงการศิลปะเมืองไทย: โดยใช้ Expressive Experience ร่วมมือกับโครงการ Portraits by Sakwut เพื่อนำเอา NFT มาใช้เป็นสื่อกลางในการสร้างประสบการณ์การซื้อขายสิทธิ์ เพื่อยืนยันว่าใครคือผู้ที่ซื้อ เพื่อยืนยันตัวตนในการรับรูปภาพ โดยหลังจากเปิดการขาย 3 รอบได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยพบว่าในรอบแรกมียอดจองขายหมดภายใน 24 ชั่วโมง โดยมีการจัดงานรูปแบบ Physical และรูปแบบ Live Sketch NFT ซึ่งผู้ซื้อจะได้เห็นลายเส้นของอาจารย์ศักดิ์วุฒิที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นมาในแต่ละขั้นตอนจนกลายเป็นภาพวาดที่สมบูรณ์ เรียกได้ว่าเป็นการเปิดประสบการณ์ที่เจ้าของภาพ จะได้เห็นการสื่อความหมายของแต่ละลายเส้นของศิลปินผู้วาด

"สำหรับเป้าหมายของ JNFT ในปี 2566  ทาง JFIN เราตั้งเป้าที่จะขยายความร่วมมือระหว่างธุรกิจต่อธุรกิจ (B2B) เพื่อนำเอา NFT เข้าสู่ธุรกิจและองค์กรในรูปแบบต่าง ๆ อีกทั้งยังเน้นย้ำในการร่วมสร้างอีโคซิสเต็มทางธุรกิจ เนื่องจากเทคโนโลยี NFT จะต้องนำพาผู้ใช้งานให้เข้าถึงการทำงานที่แท้จริง ดังนั้น เราจะไม่จำกัดตัวเอง พร้อมเปิดรับทุกพันธมิตร และคอมมูนิตี้ที่สนใจ เพื่อให้สังคม NFT และบล็อกเชนเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน” นายวรพจน์ กล่าวเสริม

Image preview

บ.เจ เวนเจอร์ส (JVC) ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ และแอปพลิเคชันทางด้านฟินเทค และลงทุนในธุรกิจสตาร์ตอัพ ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บมจ.เจมาร์ท (JMART) เปิดเกมรุกธุรกิจใหม่ในโลกของฟินเทค เตรียมเปิดตัว JFin DDLP ระบบสินเชื่อแบบดิจิทัลที่ไม่มีตัวกลาง อีกทั้งเตรียมนำมาต่อยอดผลิตภัณฑ์อื่นๆ ประเดิมใช้งานในกลุ่มเจมาร์ทภายในปี 2562 นี้

สำหรับก้าวรุกครั้งนี้ เป็นความต่อเนื่อง จากที่ บมจ.เจมาร์ท (JMART) ประกาศความสำเร็จของบ.เจ เวนเจอร์ส โดยได้เปิดระดมทุน ICO (Initial Coin Offering) เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่
ผ่านมา และการระดมทุนครั้งนี้สร้างปรากฏการณ์ จากการเปิด Pre-Sale JFin Coin ที่ราคา 6.60 บาทต่อโทเคน และจำนวน 100 ล้านโทเคนนั้น สามารถขายหมดเกลี้ยงภายใน 55 ชั่วโมง

 

 

ธนวัฒน์ เลิศวัฒนารักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด หรือ JVC เผยถึงการพัฒนาระบบสินเชื่อแบบ DDLP คือ ระบบการกู้ยืมเงินแบบดิจิทัลบนเทคโนโลยีบล็อกเชนที่มีความปลอดภัยสูง รองรับกระบวนการแบบครบวงจร ตั้งแต่การระบุตัวตน (KYC) กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ การประเมินเครดิต การอนุมัติสินเชื่อ และการติดตามหนี้สิน เพื่อสนับสนุนและพัฒนาการบริการด้านสินเชื่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ

รวมถึงรองรับระบบ P2P Lending ระบบตลาดสินเชื่อออนไลน์ที่เชื่อมต่อให้ผู้กู้ที่มีศักยภาพสามารถกู้เงินได้โดยตรง ไม่ต้องผ่านธนาคารหรือสถาบันการเงิน ดังนั้นระบบ DDLP จะเป็นหนึ่งในระบบสำคัญที่เพิ่มศักยภาพการแข่งขันของกลุ่มบริษัทเจมาร์ทในอนาคตอันใกล้นี้ ตั้งเป้าระบบจะแล้วเสร็จพร้อมเริ่มใช้งานในปี 2562

สำหรับจุดแข็งของ JFin DDLP คือ เป็นระบบที่พัฒนาขึ้นจากการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้ ทำให้สามารถสร้างระบบการเงินที่ยั่งยืน ขยายตลาด และเข้าถึงประชากรได้อีกจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่สามารถเข้าถึงระบบธนาคารหรือการให้บริการทางการเงิน โดยบริษัทฯ มุ่งเน้นการจับกลุ่มลูกค้าที่มีเครดิตดี วิเคราะห์จากฐานข้อมูลลูกค้าของกลุ่มเจมาร์ทที่มีรวมกันมากกว่า 3 ล้านราย

โดยเฉพาะบริษัทในเครือ ได้แก่ บมจ.เจเอ็มที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) ผู้นำในธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ และรับจ้างติดตามหนี้สิน เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เรามีฐานข้อมูลและสามารถรับความเสี่ยงได้มากขึ้น

รวมถึงการเสริมทัพด้วยการจับมือพันธมิตรและกลุ่ม
ผู้ประกอบการสตาร์ตอัพ เพื่อสนับสนุนข้อมูลให้แก่บริษัทฯ ให้มี Big Data ที่สามารถสร้าง Credit scoring หรือการประเมินการขอสินเชื่อบุคคลโดยอัตโนมัติผ่านเทคนิคการให้คะแนนเครดิตผ่านข้อมูลต่างๆ ที่ระบุไว้ เพื่อให้สามารถคัดเลือกลูกค้าที่มีเครดิตดีได้อย่างแม่นยำมากขึ้น นับเป็นจุดเริ่มต้นของการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในโลกการเงินอย่างสมบูรณ์แบบ ส่งผลดีต่อ JVC ในฐานะผู้นำในธุรกิจพัฒนาซอฟต์แวร์ และแอปพลิเคชันทางด้านฟินเทคให้ได้รับการตอบรับมากขึ้นในอนาคต 

X

Right Click

No right click