ในยุคที่เครื่องมือดิจิทัลกลายเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ “โฆษณา” จึงกลายเป็นกลยุทธ์หลักที่ช่วยให้แบรนด์โดดเด่นในโลกออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการสร้างสรรค์คอนเทนต์คุณภาพแต่มีข้อจำกัดด้านเวลาและทีมดีไซน์ เทคโนโลยี AI จึงเข้ามาเป็นตัวช่วยสำคัญที่เพิ่มศักยภาพในการทำโฆษณา ด้วยความสามารถในการสร้างและปรับแต่งชิ้นงานได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย พร้อมช่วยลดต้นทุนในการผลิตโฆษณา LINE Creative Lab จึงพัฒนาเครื่องมือที่ผสานพลัง AI ช่วยให้ผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์สามารถสร้างโฆษณาที่โดดเด่นได้ด้วยตัวเอง โดยไม่จำเป็นต้องมีพื้นฐานด้านดีไซน์หรือจ้างทีมงานภายนอก ช่วยประหยัดทั้งเวลาและงบประมาณในการทำตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

LINE Creative Lab เป็นเครื่องมือช่วยสร้างชิ้นงานโฆษณาจาก LINE สามารถสร้างได้ทั้งภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว และวิดีโอ มีจุดเด่นคือใช้งานง่าย สะดวก ไม่จำเป็นต้องมีพื้นฐานด้านดีไซน์ก็สามารถเลือกใช้เทมเพลตสำเร็จรูป ปรับแต่งสี ตัวอักษร โลโก้ และรูปภาพได้อย่างอิสระ พร้อมเชื่อมต่อกับโซลูชันยอดนิยมอย่าง LINE Ads และ LINE OA ช่วยให้ผู้ประกอบการหรือเจ้าของธุรกิจสามารถนำผลงานไปใช้งานจริงได้ทันที โดยไม่ต้องโอนย้ายไฟล์ไปมาให้ยุ่งยาก

ข้อควรรู้ในการเริ่มต้นใช้งาน LINE Creative Lab

สำหรับผู้ประกอบการที่ยังไม่เคยใช้ LINE Creative Lab สามารถเริ่มต้นใช้งานได้ง่าย ๆ ผ่าน https://creativelab.line.biz/th (แนะนำให้ใช้งานผ่าน Chrome) เลือกผูกบัญชี LINE OA หรือ LINE Ads กับ LINE Creative Lab ให้เรียบร้อยก่อนเริ่มใช้งาน โดยบัญชี LINE OA หรือ LINE Ads ดังกล่าวต้องเป็นบัญชีที่ล็อกอินด้วย LINE Business ID เท่านั้น จากนั้นสามารถเริ่มสร้างผลงานโฆษณาได้ทันที โดยมีเครื่องมือ ฟังก์ชันหลากหลายให้เลือกใช้ พร้อมไซส์พื้นฐานของชิ้นงานในแต่ละช่องทาง เทมเพลตอย่างง่ายแนะนำให้พร้อมก่อนเริ่มสร้างชิ้นงาน

การใช้งาน 3 ฟีเจอร์ AI จะมีเงื่อนไขในการใช้งานด้วยการใช้ 1 เครดิตต่อการสร้างชิ้นงาน 1 ครั้ง* โดยผู้ใช้งานจะได้รับเครดิตเริ่มต้นจำนวน 30 เครดิตต่อเดือนโดยอัตโนมัติ (เครดิตจะถูกใช้งานสำหรับการสร้างชิ้นงานผ่านฟีเจอร์

AI เท่านั้น ฟีเจอร์ ฟังก์ชันอื่นๆ ทั่วไปใน LINE Creative Lab สามารถใช้งานได้ฟรี ไม่มีเงื่อนไขเครดิตในการใช้งาน) นอกจากนี้ สำหรับผู้ที่คุ้นเคยกับการใช้ Adobe ยังสามารถสร้างชิ้นงานบน LINE Creative Lab ได้เช่นกันผ่านฟังก์ชัน ‘สร้างโดยใช้ Adobe Express’ โดยผู้ใช้ต้องมีบัญชี Adobe อยู่ก่อนแล้วจึงสามารถใช้งานได้ อีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับผู้ประกอบการไทย ช่วยเพิ่มความสะดวกสบาย จะสร้างชิ้นงานรูปแบบไหน สะดวกสร้างด้วยวิธีใด และลงช่องทางใดบน LINE ก็สามารถสร้างเองได้ง่ายๆ บน LINE Creative Lab

LINE Creative Lab ช่วยปลดล็อกศักยภาพด้านครีเอทีฟให้กับทุกธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นรายเล็กหรือรายใหญ่ ให้สามารถสร้างผลงานโฆษณาได้ด้วยตัวเองอย่างสะดวก รวดเร็ว และมีคุณภาพ พร้อมต่อยอดสู่การตลาดในยุคดิจิทัลได้อย่างมั่นใจ ผู้ประกอบการที่สนใจสามารถศึกษาการใช้งานเบื้องต้นผ่านเว็บไซต์ https://creativelab.line.biz/th (แนะนำให้ใช้งานผ่าน Chrome) หรือศึกษาวิธีการเริ่มใช้งานได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=tjJAJbqXu5w

ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย ชู 3 องค์กรชั้นนำของไทย ได้แก่ กลุ่มเอสซีบีเอกซ์ (SCBX) เอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (OCS) ในฐานะ “Frontier Firms” ผู้นำด้านนวัตกรรมที่นำ AI มาทำงานผสานกับมนุษย์อย่างลงตัว พร้อมเผยข้อมูลเพิ่มเติมจากรายงานวิจัย Work Trend Index ประจำปี 2025 ที่ตอกย้ำถึงทิศทางการปรับเปลี่ยนองค์กรในยุค AI สู่มุมมองและโครงสร้างรูปแบบใหม่ที่เพิ่มความยืดหยุ่นในหลายมิติ

ข้อมูลเพิ่มเติมจากรายงาน Work Trend Index ของไมโครซอฟท์ เผยให้เห็นถึงความท้าทายที่คนทำงานในปัจจุบันต้องเผชิญ ต่อยอดจากข้อมูลชุดเดิมที่ชี้ว่า 88% ของพนักงานไทยไม่มีแรงและเวลาเพียงพอที่จะรับมือกับงานในมือ โดยสถิติการใช้งานเครื่องมือและบริการต่างๆ บนแพลตฟอร์ม Microsoft 365 ระบุว่าคนทำงานทั่วโลกจะได้รับข้อความแจ้งเตือนเรื่องต่างๆ ทุก 2 นาทีโดยเฉลี่ย หรือคิดเป็น 275 ครั้งในแต่ละวัน ซึ่งการแจ้งเตือนดังกล่าว อาจมาจากทั้งอีเมล ข้อความแชท หรือตารางนัดประชุม นอกจากนี้ ราวครึ่งหนึ่งของการประชุมในแต่ละวันจะเกิดขึ้นในช่วงเวลา 09.00-11.00 น. และ 13.00-15.00 น. ซึ่งมักเป็นช่วงเวลาที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการทำงานแต่ละวัน

ธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย กล่าวว่า “ผู้บริหารส่วนใหญ่ต้องการขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่คนทำงานมีแรงและเวลาที่จำกัด ระบบ AI หรือ Agentic AI ที่สามารถทำงานได้แบบอัตโนมัติจึงเป็นทรัพยากรที่มีค่ามหาศาล พร้อมให้องค์กรนำไปปรับใช้ในรูปแบบที่เหมาะสม การสร้างทีมแบบไฮบริดที่มีพนักงานเป็นผู้บริหาร AI จึงเป็นคำตอบที่องค์กรจำนวนมากเลือก นับตั้งแต่ระยะสั้น ที่องค์กรในไทยราว 68% ได้นำ AI เข้ามาเปลี่ยนระบบงานบางส่วนให้กลายเป็นระบบอัตโนมัติแล้ว ไปจนถึงระยะยาว ที่เราอาจได้เห็นโครงสร้าง องค์กร และเส้นทางในอาชีพการงานเปลี่ยนแปลงไป เมื่อ 83% ของผู้บริหารมองว่าพนักงานรุ่นใหม่จะมีโอกาสได้ทำงานเชิงกลยุทธ์และการวางแผนเร็วขึ้นหากมี AI เข้ามาแบ่งเบาภาระ”

ทีมวิจัยของไมโครซอฟท์ได้แนะแนวทางสำหรับองค์กรที่ต้องการปรับทิศทางเพื่อมุ่งสู่สถานะ Frontier Firm ไว้ดังนี้

1. ใช้กฎ 80/20 แบ่งงานให้ AI: จากกฎที่ว่า 80% ของผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น มาจากตัวแปรหรือเนื้องานเพียง 20% องค์กรในกลุ่ม Frontier Firm จึงอาจยกเนื้องานอีก 80% ที่สร้างผลลัพธ์ได้เพียง 20% นี้ไปให้ AI และระบบอัตโนมัติต่างๆ รับมือแทน

2. ปรับมุมมองสู่ผังเนื้องาน: เมื่อ AI สามารถทำงานได้โดยไม่จำกัดความรู้ความสามารถอยู่ในแผนกหรือด้านใดด้านหนึ่ง เส้นทางการติดต่อประสานงานต่างๆ จึงอาจเปลี่ยนไปในรูปแบบที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดรอยต่อระหว่างแผนกลง เสริมความคล่องตัวให้องค์กรอีกระดับ

3. บริหาร AI ให้เหมือนบริหารพนักงาน: AI ที่สามารถทำงานได้โดยอัตโนมัติ สามารถเรียนรู้ ยกระดับความสามารถ เสนอความคิดเห็น และเข้ารับการประเมินผลงานได้เช่นเดียวกับพนักงานที่เป็นมนุษย์ โดยอาจเริ่มจากการปรับคำสั่งพื้นฐาน เพิ่มชุดข้อมูลที่ AI สามารถเข้าถึงได้ หรือแม้แต่การแลกเปลี่ยนความเห็นกับ AI โดยตรง ซึ่งจะเป็นรูปแบบการทำงานในอนาคตที่มนุษย์และ AI Agent ทำงานร่วมกันเป็นทีม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

3 องค์กรไทยระดับ “Frontier Firm” กับการผนึก AI เข้าสู่หัวใจองค์กร

ในโอกาสนี้ ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย ได้เชิญ 3 องค์กรระดับแถวหน้าของไทย ได้แก่ กลุ่มเอสซีบีเอกซ์ เอสซีจี เคมิคอลส์ และ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มาแลกเปลี่ยนมุมมองและประสบการณ์ในการนำ AI เข้ามาเป็นหัวใจสำคัญของทีมงาน ระบบงาน และพันธกิจของแต่ละองค์กร

ทาง SCBX ได้สานต่อเป้าหมายขององค์กรในการก้าวสู่ความเป็น AI-first organization ด้วยการสนับสนุนให้พนักงานในทุกแผนก ทุกสายงาน ได้มีโอกาสนำ AI มาประยุกต์ใช้ในรูปแบบที่ตอบโจทย์ของตนเอง ยกระดับประสิทธิภาพการทำงาน และเปิดประตูสู่ความเป็นไปได้ใหม่ๆ ไปพร้อมกัน

ลลินทิพย์ เยี่ยมพลพัฒน์ Head of Financial Planning and Data Intelligence บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) เผยว่า “เราส่งเสริมการใช้ AI ให้พนักงานมีเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ในขณะเดียวกันยังสนับสนุนให้เกิดการต่อยอดและขยายขีดความสามารถของฟังก์ชันงานที่เรามีอยู่เดิม ให้มีประสิทธิภาพ ละเอียด และครอบคลุมมากยิ่งขึ้นด้วย AI ซึ่งออกแบบและพัฒนาโดยบุคลากรภายในองค์กรของเราเอง แสดงให้เห็นว่าพนักงานทุกคนและทุกฝ่ายสามารถมีส่วนพัฒนาการใช้ AI ในองค์กรโดยไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านไอที ตัวอย่างเช่น ระบบวิเคราะห์และปรับปรุงวิธีการสื่อสารกับลูกค้าของพนักงานสาขาในกลุ่มธุรกิจสินเชื่อทะเบียนรถ เพื่อยกระดับมาตรฐานการบริการและความถูกต้องของข้อมูล”

สำหรับ SCGC ผู้นำนวัตกรรมพอลิเมอร์และโซลูชันครบวงจรเพื่อความยั่งยืน ได้ส่งเสริมให้พนักงานนำ AI มาใช้ในการทำงานทุกวัน เป็น AI Everyday เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความแม่นยำ และความคล่องตัวในกระบวนการทำงานทั่วทั้งองค์กร ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนนวัตกรรมและเทคโนโลยี สร้างการเติบโตขององค์กรอย่างยั่งยืน

สัญญา จินดาประเสริฐ Enterprise Digital Director บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC กล่าวเพิ่มเติมว่า “SCGC เลือกใช้เทคโนโลยี Azure OpenAI Service, Power Platform และ AI Hub เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนา AI ในองค์กร โดยเฉพาะกับการประมวลผลข้อมูลด้าน Market Intelligence และได้ต่อยอดนำ Microsoft Azure OpenAI Service มาพัฒนาโครงการ “AILY” เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และการใช้งาน AI ในองค์กรอย่างทั่วถึง ช่วยลดภาระงานและเพิ่มความคล่องตัวในการทำงาน โดยพนักงานทุกคนสามารถใช้งาน AI กับข้อมูลภายในได้อย่างปลอดภัย นับเป็นการเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานทั่วทั้งองค์กรอย่างมีนัยสำคัญ และนำไปสู่การตัดสินใจทางธุรกิจที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น”

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้พัฒนาโปรเจกต์ AI ภายใต้ชื่อ “TH2OECD” สานต่อภารกิจของประเทศไทยในการเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ควบคู่ไปกับการยกระดับระบบบริหารจัดการเอกสารทางกฎหมายต่างๆ ให้อยู่ในรูปแบบข้อมูลที่สามารถสืบค้น อ้างอิง และใช้งานต่อได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำยิ่งขึ้น

ดร.ณรัณ โพธิ์พัฒนชัย ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ผลกระทบและประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย กองพัฒนากฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เผยว่า “AI มีส่วนช่วยให้เราก้าวข้ามความท้าทายในด้านข้อมูลในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของภาษากฎหมายที่ซับซ้อน การเปรียบเทียบและตีความกฎหมายระหว่างภาษาไทยและภาษาอังกฤษให้อยู่ในมาตรฐานและความเข้าใจที่ถูกต้องและตรงกัน เปิดโอกาสให้เราวิเคราะห์ความสอดคล้องระหว่างกฎหมาย นโยบาย และแนวปฏิบัติของประเทศไทยให้กับตราสารทางกฎหมาย คำแนะนำ และมาตรฐานที่ OECD กำหนดไว้ และในขณะเดียวกัน AI ยังช่วยให้นักกฎหมายของเราทำงานได้เร็วขึ้นในการค้นหาข้อมูลกฎหมายจากฐานข้อมูล การสรุปและกำหนดแนวทางการทำงาน รวมทั้งการพัฒนานโยบายและหลักกฎหมายให้เข้ากับบริบทปัจจุบันของสังคม” สำหรับชุดข้อมูลเพิ่มเติมฉบับเต็มจากรายงาน Work Trend Index 2025 สามารถอ่านรายงานสรุปได้ ที่นี่ หรือย้อนไปอ่านข้อมูลจากรายงานฉบับหลักที่สรุปสถานการณ์และแนวโน้มการสรรสร้าง Frontier Firms ในประเทศไทยได้ ที่นี่

ในยุคที่เทคโนโลยีและนวัตกรรมกำลังเปลี่ยนแปลงโลกอย่างรวดเร็ว ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้เข้ามามีบทบาทในฐานะเครื่องมือที่ช่วยเสริมพลังให้มนุษย์สามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ได้อย่างไร้ขีดจำกัด หากเราสามารถนำ AI มาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ย่อมเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ๆ ให้กับชีวิต ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย มุ่งมั่นเสริมสร้างทักษะ AI ให้กับคนไทยผ่านโครงการ “THAI Academy: ขับเคลื่อนอนาคต AI ประเทศไทย” ขอแบ่งปันเรื่องราวความสำเร็จของคนไทยที่ใช้ AI เป็นขุมพลังอันชาญฉลาดขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในมิติต่างๆ ได้อย่างที่ใครหลายคนอาจไม่เคยทราบมาก่อน

เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสด้วย AI

คุณวิวัฒน์ สาทรสวัสดิ์ หรือ คุณเบนซ์ ช่างภาพฟรีแลนซ์ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากวิกฤตโควิด-19 เมื่อปี 2562 เป็นหนึ่งในหลายๆ คนที่ตัดสินใจมองหาโอกาสใหม่ผ่านการเรียนรู้ทักษะด้านไอที “ผมเริ่มต้นเรียนรู้จาก Microsoft Learn ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์ฟรีของไมโครซอฟท์ ผมตั้งใจเรียนทุกบทเรียนเหมือนกับว่าอนาคตของผมขึ้นอยู่กับมัน AI ไม่ใช่เครื่องมือที่จะมาแทนแรงงานมนุษย์ แต่เป็นคู่หูที่ช่วยเราทำงานได้เร็วขึ้น เติบโตได้ชัดเจนขึ้น และเปลี่ยนแปลงชีวิตได้อย่างแท้จริง"

จากการศึกษาด้วยตนเองและความมุ่งมั่นไม่หยุดพัฒนา ภายในเวลาเพียง 5 ปี คุณเบนซ์กลายมาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านไอที มีรายได้เพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า และยังมีโครงการสร้าง Startup ในอุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยงอีกด้วย

ผสานวัฒนธรรมดั้งเดิมกับเทคโนโลยีล้ำสมัย

ที่ชุมชนบ้านตำนานดิน อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี คุณธนกฤต วงษ์ศา ผู้นำชุมชนไทยทรงดำ (หรือลาวซ่ง) และ คุณขวัญ บุตรสาว ได้นำ AI มาช่วยอนุรักษ์และส่งเสริมวัฒนธรรมอันเก่าแก่กว่า 200 ปีของชุมชน ไม่ว่าจะเป็นการแปลภาษา จัดทำเนื้อหาประชาสัมพันธ์ และหาข้อมูลในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชน ทำให้สามารถติดต่อสื่อสารกับนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

คุณธนกฤต เล่าว่า “ก่อนที่เราจะรู้จัก AI ต้องรอให้ลูกสาวกลับมาจากที่เรียนในวันหยุดเพื่อช่วยสื่อสารกับนักท่องเที่ยวต่างชาติ และหลายๆ ครั้งหากเจอนักท่องเที่ยวพูดภาษาจีน ญี่ปุ่น หรือเยอรมัน พวกเราก็ยังติดขัดอยู่ดี”

ขณะที่ คุณขวัญ กล่าวเสริมว่า “ทุกวันนี้ AI ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือ แต่มันคือสะพานที่เชื่อมโยงจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ของคน AI ถ่ายทอดเรื่องที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น และประเพณีต่างๆ ให้น่าสนใจ มีชีวิตและมีความหมายใหม่แก่ทุกคน"

ความสำเร็จของชุมชนบ้านตำนานดินยังสอดคล้องกับโครงการพัฒนาทักษะ AI เพื่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ภายใต้โครงการ AI Skills for Tourism ที่ไมโครซอฟท์ร่วมมือกับสถาบันคีนันแห่งเอเซีย โดยจัดกิจกรรมนำร่องในพื้นที่ตำบลอู่ทอง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนในภาคการท่องเที่ยว

ปฏิวัติการเรียนรู้ด้วย AI ในห้องเรียน

ที่โรงเรียนศรีสุวิช จังหวัดชลบุรี คุณครูวรรณวิสา หอมสุวรรณ หรือ ครูวิว ได้นำ Microsoft Copilot มาปฏิวัติการสอนคณิตศาสตร์ เปลี่ยนวิชาที่หลายคนมองว่ายากให้มีชีวิตชีวาและเข้าใจง่าย ช่วยให้นักเรียนสามารถเห็นภาพแนวคิดทางคณิตศาสตร์ที่เป็นรูปธรรม ทำให้เข้าใจและเรียนรู้ได้เร็วขึ้น สามารถวิเคราะห์และแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ครูวิว กล่าวว่า “นักเรียนที่ทำโจทย์คณิตศาสตร์ไม่ค่อยได้ ไม่ใช่ว่าเขาไม่เก่ง แต่เป็นเพราะพวกเขาไม่สามารถจินตนาการภาพได้”

 

ทางด้านผู้อำนวยการโรงเรียน ดร. ประถมาภรณ์ ฟักฤกษ์ เสริมว่า “ที่โรงเรียนศรีสุวิช เราเชื่อว่าการผสานรวม AI ในการศึกษาไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่เป็นการสร้างความหวังและสร้างอนาคตที่สดใส ช่วยให้เราสามารถปรับการเรียนรู้ให้เข้ากับสถานการณ์และความเหมาะสม”

ความสำเร็จนี้สอดคล้องกับความร่วมมือระหว่างไมโครซอฟท์กับกระทรวงศึกษาธิการภายใต้โครงการ THAI Academy ที่มุ่งพัฒนาทักษะ AI แก่บุคลากรครู เพื่อถ่ายทอดความรู้ต่อไปยังนักเรียนในทุกระดับชั้นทั่วประเทศ นอกจากนี้ ยังมีการร่วมมือกับสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) และศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) บรรจุเนื้อหาจากหลักสูตรพื้นฐานด้าน AI ของไมโครซอฟท์ไว้ในหลักสูตร AI Literacy สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ถึงมัธยมศึกษาปีที่ 6

พลิกโฉมอุตสาหกรรมเกษตรไทยด้วย AI

สำหรับธุรกิจส่งออกมะพร้าวน้ำหอมรายใหญ่ของไทยอย่าง K-Fresh ก็ได้นำ AI มาปฏิวัติธุรกิจ ทั้งการควบคุมคุณภาพ วิเคราะห์ความสด ขนาด และปริมาณน้ำตาลของผลไม้แบบแม่นยำ รวมถึงทำนายแนวโน้มตลาดเพื่อปรับแผนการผลิตและจัดส่งล่วงหน้า นอกจากนี้ยังใช้ AI ในการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า วิเคราะห์พฤติกรรมผู้ซื้อ และปรับเปลี่ยนข้อเสนอให้เหมาะสม

 

คุณวราภรณ์ มนัสรังษี กรรมการผู้จัดการของ K-Fresh มองว่า AI ไม่ได้เป็นเพียงเทคโนโลยี แต่เป็นเพื่อนคู่คิดคนสำคัญที่ช่วยให้เธอสามารถตัดสินใจอย่างแม่นยำ และนำไปใช้ในชีวิตส่วนตัวด้วย เช่น งานประดิษฐ์ ออกแบบภาพประกอบหนังสือนิทาน และวิเคราะห์การลงทุน “ก่อนหน้านี้ เราเผชิญกับความผันผวนของตลาด ปัญหาห่วงโซ่อุปทาน และความจำเป็นในการควบคุมคุณภาพแบบเรียลไทม์ วิธีการแบบเดิมไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการที่สูงขึ้นของผู้ซื้อจากต่างประเทศได้”

ความสำเร็จของ K-Fresh สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของโครงการ THAI Academy ที่ไมโครซอฟท์ร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ เช่น สภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย (DCT) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เพื่อขับเคลื่อนการเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยกว่า 20,000 คน

ยกระดับการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนด้วย AI

คุณดรุณี วิริยะเอี่ยมพิกุล เจ้าหน้าที่พัฒนาพื้นที่พิเศษ องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) สำนักงานพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเมืองโบราณอู่ทอง ได้นำ Microsoft Copilot มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในโครงการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ตั้งแต่การนำเสนอโครงการปรับปรุงภูมิทัศน์โซล่าฟาร์ม ไปจนถึงการก่อสร้างศูนย์การเรียนรู้การจัดการพลังงานทดแทนที่พุทธมณฑลประจำจังหวัดสุพรรณบุรี โดยสามารถสร้างภาพเสมือนความสำเร็จตามจินตนาการก่อนที่จะเกิดขึ้นจริง ทำให้ผู้ตัดสินใจเห็นผลกระทบได้อย่างชัดเจน

คุณดรุณี เปิดเผยว่า “เราให้เอไอช่วยจัดการงานประจำที่จำเจ เพื่อให้เราสามารถมุ่งเน้นไปที่ความคิดสร้างสรรค์และเพลิดเพลินกับชีวิตได้อย่างแท้จริง"

ทางด้าน ดร.ชูวิทย์ มิตรชอบ รองผู้อำนวยการ อพท. กล่าวเสริมว่า “การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนไม่ได้หมายความถึงการดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนสถานที่ใดสถานที่หนึ่งเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการสร้างความมั่นใจว่าชุมชนท้องถิ่นจะเจริญรุ่งเรืองไปพร้อมๆ กันด้วย ที่ อพท. เราเห็นว่า Microsoft Copilot เป็นสะพานเชื่อมระหว่างการท่องเที่ยว ผู้คน และนวัตกรรม”

ทั้งนี้ คุณดรุณีเป็นหนึ่งในข้าราชการ 120,000 คนที่เข้าร่วมโครงการพัฒนาทักษะ AI ของไมโครซอฟท์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ THAI Academy ที่ร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (กพร.) และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) (สพร. / DGA) เพื่อพัฒนาทักษะด้าน AI ให้กับข้าราชการไทย

THAI Academy: ขับเคลื่อนอนาคต AI ประเทศไทย โครงการ "THAI Academy" เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับไมโครซอฟท์ ประเทศไทย ที่มุ่งเปิดโอกาสให้คนไทยทุกคน ในทุกสาขาอาชีพและทุกระดับทักษะ ได้มีโอกาสเรียนรู้ทักษะสำคัญใหม่ๆ ในยุคที่สังคมโลกและเศรษฐกิจไทยต่างมีนวัตกรรม AI เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ โดยโครงการนี้มีเป้าหมายยกระดับทักษะ AI ให้คนไทยกว่า 1 ล้านคน ภายในปี 2568 โดยร่วมมือกับพันธมิตรกว่า 35 องค์กรจากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ครอบคลุม 4 ด้านหลัก ได้แก่ การขับเคลื่อนหน่วยงานภาครัฐ การพัฒนาภาคการศึกษา การเสริมพลังผู้ประกอบการ และการสร้างโอกาสการเรียนรู้อย่างทั่วถึง

เรื่องราวความสำเร็จของคนไทยจากหลากหลายภาคส่วนตอกย้ำว่า AI คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยปลดล็อกศักยภาพของผู้คนและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ได้อย่างไม่มีขีดจำกัด โดยโครงการ THAI Academy เป็นบทพิสูจน์ความมุ่งมั่นของไมโครซอฟท์ที่จะสร้างโอกาสให้คนไทยทุกคนได้เข้าถึงและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี AI เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและขับเคลื่อนประเทศไทยสู่อนาคตที่ยั่งยืน

ผู้ที่สนใจเสริมทักษะด้าน AI สามารถเข้าไปเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ผ่านแพลตฟอร์ม AI Skills Navigator ที่รวบรวมหลักสูตรและเนื้อหาด้าน AI เป็นภาษาไทยกว่า 200 หลักสูตร ตั้งแต่ระดับพื้นฐานจนถึงระดับสูง เปิดให้เรียนทีhttps://aiskillsnavigator.microsoft.com/th-th

รายงาน whitepaper ฉบับใหม่ที่เผยแพร่ในวันนี้ ได้เผยให้เห็นว่าปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จในยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0 ซึ่งมุ่งยกระดับเศรษฐกิจไทยจากการพึ่งพาการผลิตแบบดั้งเดิม ไปสู่การขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง

อย่างไรก็ตาม รายงาน whitepaper ซึ่งจัดทำโดยสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ร่วมกับสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ) (ETDA) ภายใต้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (MDES) และ SAP ผู้พัฒนาตลาดด้านซอฟต์แวร์สำหรับองค์กร ชี้ให้เห็นว่ายังมีอีกหลายปัจจัยที่ต้องเร่งดำเนินการ โดยปัจจุบันมีผู้ประกอบการภาคการผลิตในประเทศไทยเพียง 2% เท่านั้นที่สามารถเปลี่ยนผ่านสู่มาตรฐานอุตสาหกรรม 4.0 ได้อย่างเต็มรูปแบบ ทั้งที่ศักยภาพในการนำ AI มาใช้ในประเทศไทยสามารถขยายได้มากถึง 300 กรณีการใช้งานในภาคการผลิต ซึ่งจะช่วยยกระดับให้ประเทศไทยกลายเป็นผู้นำในระดับภูมิภาคได้

 

ดร.ชัยชนะ มิตรพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) กล่าวว่า “ข้อมูลเชิงลึกที่ปรากฏในรายงานฉบับนี้จะมีบทบาทสำคัญในการผลักดันการนำ AI มาใช้ในภาคการผลิต ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0 ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนจะเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จ โดยเฉพาะในด้านการกำกับดูแล AI ทั้งนี้ ความร่วมมือกับบริษัทชั้นนำอย่าง SAP สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเราในการส่งเสริมให้ภาคธุรกิจไทยได้รับประโยชน์จากนวัตกรรม AI อย่างเต็มที่”

ดร. สลิลธร ทองมีนสุข นักวิชาการอาวุโส TDRI กล่าวว่า “AI มีศักยภาพในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ส่งเสริมนวัตกรรม และทำให้เกิดการพัฒนาโรงงานอัจฉริยะ รวมถึงช่วยสนับสนุนเป้าหมายด้านความเป็นกลางทางคาร์บอนของประเทศไทย หากมีการนำ AI มาใช้อย่างแพร่หลายในภาคการผลิต ประเทศไทยจะสามารถสร้างฐานการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืนและสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของประเทศในการเป็นเศรษฐกิจที่มีความยืดหยุ่นและแข่งขันได้ในเวทีโลก”

อุตสาหกรรมการผลิตในประเทศไทยพร้อมรับประโยชน์มหาศาลจาก AI

การนำ AI มาใช้ในบริษัทผู้ผลิตในประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะขยายตัวอย่างรวดเร็ว แม้ว่าภาพรวมของภาคธุรกิจไทยในปัจจุบันจะมีการนำ AI มาใช้เพียง 18% แต่คาดว่าภาคการผลิตจะมีการนำ AI มาใช้เพิ่มขึ้นถึง 60% ภายในปี พ.ศ. 2568 ธุรกิจการผลิตจะได้รับประโยชน์อย่างมากจาก AI คาดว่า AI จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการพยากรณ์ความต้องการเพื่อลดการสูญเสียยอดขายได้ถึง 65% เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตได้ 20% ผ่านระบบอัตโนมัติทางอุตสาหกรรมที่เสริมด้วย AI ลดเวลาหยุดทำงานของเครื่องจักรได้ 20% ผ่านการบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์ และลดพฤติกรรมที่ไม่ปลอดภัยในสถานที่ทำงานได้ถึง 90%

ข้อมูลยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับผู้ผลิตไทยในการนำ AI มาใช้

แม้ว่าเกือบสามในสี่ (73%) ขององค์กรไทยวางแผนที่จะนำ AI มาใช้ แต่ก็ยังมีความท้าทายหลายประการ โดยเฉพาะเรื่องของข้อมูล ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญในการประยุกต์ใช้ AI ในภาคการผลิต เกือบสองในสาม (65%) ขององค์กรการผลิตระบุถึงความกังวลเกี่ยวกับคุณภาพของข้อมูลว่าเป็นอุปสรรคสำคัญ โดยมีจำนวนที่ใกล้เคียงกัน (65%) ของผู้ผลิตไทยระบุว่าโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่เพียงพอส่งผลกระทบต่อการนำ AI มาใช้

 

คุณกุลวิภา ปิยวัฒนเมธา กรรมการผู้จัดการ SAP ประเทศไทย กล่าวว่า "วิธีเดียวที่จะสร้าง Business AI ที่ดีที่สุดได้ คือการใช้ข้อมูลที่ดีที่สุด ปัจจุบันเรามีลูกค้ามากกว่า 34,000 ราย ที่ใช้ SAP Business AI ซึ่งรวมถึงลูกค้าหลายพันรายทั่วเอเชีย พวกเขาได้รับประโยชน์จากการฝังขีดความสามารถของ AI ขั้นสูงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานทางธุรกิจ ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ การตัดสินใจอัตโนมัติ การพยากรณ์ที่แม่นยำขึ้น และประสิทธิภาพการผลิตที่เพิ่มขึ้น ด้วย Business AI ที่เกี่ยวข้อง เชื่อถือได้ และมีความรับผิดชอบ เชื่อมโยงกับความเข้าใจทางธุรกิจอย่างสมบูรณ์และข้อมูลที่ครอบคลุมที่สุด ผู้ผลิตไทยจึงสามารถวางใจในเรื่องความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ความปลอดภัย และการปฏิบัติตามข้อกำหนด พร้อมทั้งตระหนักถึงประโยชน์มหาศาลของยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0 ทั้งสำหรับธุรกิจของตนเองและสำหรับประเทศ"

กรอบนโยบายเพื่อส่งเสริมการเติบโต

รายงาน Whitepaper ยังเสนอแนวทางเชิงนโยบายเพื่อส่งเสริมความสำเร็จทั้งในระดับองค์กรและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการจัดตั้งกรอบกำกับดูแล AI เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ปรับปรุงข้อกำหนดทางกฎหมายเพื่อขจัดความไม่ชัดเจนในการใช้ AI และผลักดันความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนผ่านคณะอนุกรรมการในอุตสาหกรรมต่าง ๆ

 

ดร. สลิลธร กล่าวเพิ่มเติมว่า “การสร้างระบบนิเวศ AI ที่แข็งแกร่งในประเทศไทยต้องเริ่มจากการวางยุทธศาสตร์ด้านการกำกับดูแล AI ทบทวนมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ เสริมสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน และส่งเสริมการทำงานร่วมกันในระดับสากล ภาคธุรกิจจำเป็นต้องได้รับคำปรึกษาเพื่อระบุว่าโซลูชัน AI ใดเหมาะสมกับตนมากที่สุด เพื่อให้มั่นใจถึงผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ที่ดี หากดำเนินการตามแนวทางเหล่านี้ ประเทศไทยจะสามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการนำ AI มาใช้ในภาคการผลิต และส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนได้ในระยะยาว”

“ด้วยความร่วมมือและการลงทุนที่เพิ่มขึ้น ภาครัฐและองค์กรชั้นนำอย่าง SAP จะสามารถบรรลุเป้าหมายร่วมกันในการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ อุตสาหกรรม 4.0” คุณกุลวิภา กล่าวสรุป “ด้วยนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วย AI เราเชื่อมั่นว่าจะเกิดการเติบโตและความเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก ไม่เฉพาะในภาคการผลิตเท่านั้น แต่รวมถึงเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม ด้วย”

ทรู คอร์ปอเรชั่น รุกสกัดต้นทางหลอกลวงของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ลุยคุมกำเนิดซิมผี เพิ่มประสิทธิภาพการลงทะเบียนซิมด้วยข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วน ดึงศักยภาพ AI พัฒนาระบบอัจฉริยะพิสูจน์อัตลักษณ์ขั้นสูง ชูระบบ Liveness Detection ที่ผ่านการรับรองจาก iBeta ระดับ 2 ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลระดับสูงสุด พร้อมฟีเจอร์ตรวจจับการปลอมแปลงและความผิดปกติทั้งเอกสารและไบโอเมทริกซ์แบบเรียลไทม์ทุกขั้นตอนของการลงทะเบียนซิม ตั้งแต่การถ่ายภาพนิ่งและ Liveness ตรวจสอบคุณภาพของภาพถ่าย พิสูจน์อัตลักษณ์ขั้นสูงในการยืนยันตัวตน เปรียบเทียบภาพได้แม่นยำมากกว่า 99% พร้อมตรวจสอบเอกสารที่ใช้ลงทะเบียนและอ้างอิงข้อมูลกับกรมการปกครอง สอดรับกับมาตรการยืนยันตัวตนและข้อมูลเกี่ยวกับการใช้บริการของผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของภาครัฐ พร้อมเปิดให้ลูกค้าทรู ดีแทค ลงทะเบียนซิมและยืนยันตัวตนด้วยระบบพิสูจน์อัตลักษณ์ขั้นสูงได้ง่ายๆด้วยตนเองผ่านทรูแอป (True App) แล้ววันนี้ และเตรียมเปิดใช้งานเต็มรูปแบบครบทุกช่องทางการลงทะเบียนซิมในเดือนกรกฎาคม 2568 นี้

 

นายจักรกฤษณ์ อุไรรัตน์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกิจการองค์กร บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า การสกัด ตัดวงจรเหล่ามิจฉาชีพที่ใช้ซิมผีหลอกลวงประชาชน เป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญที่ ทรู คอร์ปอเรชั่น มุ่งเน้นและร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐดำเนินมาตรการต่างๆอย่างต่อเนื่องมาตลอด เพื่อป้องกันความเสียหายและเพิ่มความปลอดภัยให้แก่ลูกค้าทรู ดีแทค รวมถึงผู้บริโภคชาวไทย ล่าสุด ทรู ยกระดับมาตรการยืนยันตัวตนและข้อมูลเกี่ยวกับการใช้บริการของผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่อย่างรัดกุมและเข้มข้นมากขึ้น โดยพัฒนาระบบลงทะเบียนซิมรูปแบบใหม่ที่สามารถพิสูจน์อัตลักษณ์ขั้นสูงด้วย AI ที่มีความแม่นยำมากกว่า 99% และอีกหลายฟีเจอร์อัจฉริยะ ซึ่งจะช่วยคัดกรอง เปรียบเทียบ และตรวจจับการปลอมแปลงและข้อมูลเท็จได้แบบเรียลไทม์ เพิ่มความมั่นใจในการปกป้องลูกค้าจากภัยไซเบอร์แบบครบวงจร ตั้งแต่ขั้นตอนการลงทะเบียนซิม ไปจนถึง การบล็อกลิงก์อันตรายและแจ้งเตือนสายเรียกเข้าที่อาจเป็นมิจฉาชีพผ่าน True CyberSafe ที่ใช้ AI ช่วยวิเคราะห์และตรวจจับพฤติกรรมต้องสงสัย เราเชื่อมั่นว่า การลงทุนในเทคโนโลยี AI นำมาพัฒนาระบบอัจฉริยะเพื่อรับมือกับภัยไซเบอร์ ไม่เพียงช่วยแก้ไขปัญหาการหลอกลวงทางไซเบอร์และบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน แต่ยังสอดคล้องตามหลักธรรมาภิบาลของบริษัทในการดำเนินธุรกิจตามแนวทางแห่งความยั่งยืน นับเป็นความก้าวหน้าของอุตสาหกรรมโทรคมนาคมด้านมาตรฐานความปลอดภัยในการใช้บริการ ช่วยให้ลูกค้ามั่นใจมากยิ่งขึ้นเมื่อใช้บริการของทรู

ระบบลงทะเบียนซิมรูปแบบใหม่ของทรู ดีแทค มาพร้อมความสามารถในการพิสูจน์อัตลักษณ์ขั้นสูงได้แบบเรียลไทม์ ประยุกต์ใช้ AI ในทุกขั้นตอนของการลงทะเบียน ด้วยฟีเจอร์เด่น ดังนี้

1) ตรวจสอบคุณภาพของภาพถ่าย ทั้งบัตรประชาชน และภาพหน้าตรงแบบ Liveness

2) ตรวจสอบสภาพแวดล้อมขณะทำการยืนยันตัวตน เช่น แสงสว่าง และสิ่งปกปิดใบหน้า

3) ตรวจจับการปลอมแปลงในการทำอัตลักษณ์แบบ Liveness ใช้ AI ขั้นสูง ที่ได้รับการรับรอง iBeta ระดับ 2 ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลระดับสูงสุด การันตีความสามารถในการตรวจจับความผิดปกติได้ทั้งภาพนิ่ง การเล่นวิดีโอจากหน้าจอ การใช้ Deepfake บนหน้าจอ และการใช้หน้ากากปลอมทั้ง 2D และ 3D

4) AI เปรียบเทียบอัตลักษณ์ ตรวจสอบภาพใบหน้าจริงกับฐานข้อมูล ด้วยความแม่นยำมากกว่า 99%

5) ตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารที่ใช้ลงทะเบียน ทั้งจับแสงสะท้อน ความคมชัด ตรวจจับการแก้ไข ปลอมแปลง ตัดต่อ สำเนา หรือใช้เอกสารที่ไม่ใช่เอกสารจริง

6) ตรวจสอบข้อมูลแบบเรียลไทม์ กับกรมการปกครอง ภายใต้ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

ลูกค้าที่ซื้อซิมทรู ดีแทค ผ่านช่องทางออนไลน์ สามารถลงทะเบียนซิมและยืนยันตัวตนด้วยระบบพิสูจน์อัตลักษณ์ขั้นสูงผ่านทรูแอป (True App) ได้แล้ววันนี้ และจะเปิดใช้งานเต็มรูปแบบครบทุกช่องทางการลงทะเบียนซิมในเดือนกรกฎาคม 2568 นี้เป็นต้นไป สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คอลเซ็นเตอร์ ทรู 1242 หรือ ดีแทค 1678

Page 1 of 22
X

Right Click

No right click