บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR โดย นายฐิติเดช ศรีมารยาท ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายการตลาดและพัฒนาธุรกิจ เป็นตัวแทนรับรางวัลสาขา Most Innovative Brand (รางวัลองค์กรที่เป็นที่สุดด้านนวัตกรรม) จากเวที The Future Trends Awards 2024 ซึ่งรางวัลดังกล่าวเป็นผลจากความสำเร็จของการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ในการดำเนินธุรกิจทั้งสินเชื่อทะเบียนรถ และธุรกิจนายหน้าประกันภัย

นายฐิติเดช กล่าวว่า การดำเนินธุรกิจของ บมจ.เงินติดล้อ อยู่ภายใต้เจตนาในการสร้างโอกาสทางการเงินที่เป็นธรรม โปร่งใส ให้กับกลุ่มลูกค้ารายย่อย และผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็ก (SMEs) และยังมุ่งส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงประกันภัยได้เพิ่มขึ้น เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการทางการเงิน ควบคู่ไปกับการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับกลุ่มลูกค้ารายย่อย ที่อาจไม่สามารถเข้าถึงบริการจากสถาบันการเงินทั่วไปได้ ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินธุรกิจของ บมจ.เงินติดล้อ ไปพร้อมกับการยกระดับมาตรฐานการให้บริการเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน ด้วยการใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทั้งด้านสินเชื่อทะเบียนรถ และประกันภัย ดังนี้

1. “บัตรติดล้อ” บัตรกดเงินสดหมุนเวียนตามวงเงินสินเชื่อทะเบียนรถ ซึ่งเปรียบเหมือนกระเป๋าเงินที่ลูกค้าสามารถพกติดตัวไว้เพื่อใช้แก้ปัญหายามเกิดเหตุฉุกเฉิน โดยลูกค้าสามารถกดเงินสดได้สะดวกจากตู้เอทีเอ็มธนาคารพาณิชย์ชั้นนำทั่วประเทศกว่า 50,000 แห่ง ตลอด 24 ชม.

2. แอปพลิเคชันเงินติดล้อ กับบริการด้านสินเชื่อ “โอนเงินสินเชื่อเข้าบัญชี” ช่วยให้ลูกค้าสามารถโอนเงินตามวงเงินคงเหลือที่ยังไม่ได้ใช้ในบัตรติดล้อไปยังบัญชีธนาคารพาณิชย์ หรือบัญชีพร้อมเพย์ของลูกค้าที่ลงทะเบียน

ไว้ได้สะดวก ทุกที่ ทุกวัน ระหว่างเวลา 06.00 น. – 22.45 น. โดยไม่เสียค่าธรรมเนียม เพื่อช่วยให้ลูกค้ารู้สึกอุ่นใจ คลายกังวล ฉุกเฉินเมื่อไหร่ก็โอนเงินสินเชื่อเข้าบัญชีได้ นอกจากนี้ บริการด้านนายหน้าประกันภัย แอปเงินติดล้อยังช่วยทำให้เรื่องประกันง่ายขึ้น โดยลูกค้าสามารถต่ออายุประกันภัยพร้อมแบ่งจ่ายเบี้ยประกันเงินสดได้ด้วยตัวเอง และยังต่อ พ.ร.บ. ได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องเดินทางไปที่สาขา รวมถึงยังช่วยให้เช็คข้อมูลกรมธรรม์ แจ้งเตือนต่ออายุประกันภัย ช่วยค้นหาอู่ และช่วยให้ค้นหาเบอร์ติดต่อบริษัทประกันภัยได้สะดวก อีกด้วย

3. นอกจากนี้ ยังมี heygoody แบรนด์นายหน้าประกันภัยออนไลน์น้องใหม่ ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มนายหน้าประกันภัยออนไลน์ชั้นนำ ที่สร้างขึ้นเพื่อกลุ่มลูกค้าที่ต้องการเลือกซื้อประกันภัยจากบริษัทประกันภัยพันธมิตรชั้นนำด้วยตัวเอง ผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งมีผลิตภัณฑ์ประกันภัยครอบคลุม ทั้งประกันรถยนต์ ประกันการเดินทาง สุขภาพ อุบัติเหตุ เป็นต้น

ทั้งหมดนี้ ถือเป็นเครื่องยืนยันความตั้งใจในการใช้จุดแข็งด้านเทคโนโลยี เพื่อยกระดับบริการด้านการเงินและประกันภัยให้กับลูกค้า

สำหรับ งานประกาศรางวัล ‘Future Trends Awards 2024’ จัดขึ้นเพื่อมอบแด่สุดยอดผู้นำแห่งโลกธุรกิจและบุคคลที่เป็น Trends Setter รวม 95 รางวัล จาก 13 สาขา เป็นส่วนหนึ่งของงาน ‘Future Trends Ahead & Awards 2024’ สุดยอดงานสัมมนาและประกาศรางวัลแห่งปี ให้คุณรู้เทรนด์อนาคตเพื่อเป็นผู้ชนะของวันพรุ่งนี้ จาก Future Trends ซึ่งจัดขึ้น ณ ภิรัชฮอลล์ 2-3 ไบเทคบางนา (Bhiraj Hall 2-3, Bitec Bangna) เมื่อเร็วๆ นี้

ศ. ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กทม. ในฐานะประธานศูนย์ยุทธศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการสื่อสาร (DeSTIC) พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์จะยกระดับงานด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการเข้าถึงปัญหาของประชาชนและการสนับสนุนการทำงานของทีมงานในพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ โดยขณะนี้จะเพิ่มช่องทาง LINE Official เป็นอีกหนึ่งช่องทางหลักในการติดต่อสื่อสารกับพี่น้องประชาชน โดยคาดว่าภายในเดือนมีนาคม 2567 นี้จะมีผู้สนใจขอเป็น FRIEND กับ LINE Official Account พรรคประชาธิปัตย์เพิ่มขึ้นมากกว่า 1 หมื่นคน

“LINE Official Account พรรคประชาธิปัตย์ จะเป็น One Stop Services ถือเป็นช่องทางหลักในการติดต่อออนไลน์ระหว่างสมาชิกหรือบุคคลทั่วไปกับพรรคประชาธิปัตย์ นอกจากได้รับข่าวสารและความเคลื่อนไหวของพรรคประชาธิปัตย์แล้ว ใครมีอะไรที่อยากแสดงความคิดเห็น อยากขอความช่วยเหลือ แจ้งปัญหา หรือเรื่องร้องเรียนต่าง ๆ ก็สามารถติดต่อผ่านช่องทาง LINE ได้เลย” ศ. ดร.สุชัชวีร์ กล่าว

ศ. ดร.สุชัชวีร์ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ต้องการยกระดับการสื่อสารให้เข้าถึงประชาชน โดยใช้เทคโนโลยีที่ประชาชนคุ้นเคย พร้อมสร้างการมีส่วนร่วมกับเครือข่ายต่าง ๆ ทั่วประเทศ จึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชน หรือเครือข่ายภาคประชาชน และแฟนคลับประชาธิปัตย์ ขอเป็น FRIEND อีกครั้งกับ LINE Official Account พรรคประชาธิปัตย์ เพื่อมาร่วมกิจกรรมและเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับประเทศไทย

นอกจากนี้ศูนย์ DeSTIC กำลังอยู่ระหว่างการเตรียมพัฒนาแอปพลิเคชั่นของพรรคเพื่อให้สมาชิกพรรคสามารถติดต่อสื่อสารกับพรรคได้มากขึ้นและรวดเร็วขึ้น รวมไปถึงการปรับปรุงเว็บไซต์ โดยจะมีการเพิ่มเนื้อหาข้อมูลประวัติศาสตร์ของพรรค รวมไปถึงองค์ความรู้ต่าง ๆ ที่สำคัญ เช่น ความรู้ด้านกฎหมาย และจะมีระบบการแจ้งเตือนที่จะส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชน เช่น ระบบการแจ้งเตือนเรื่องอากาศ หรือฝุ่นพิษ เป็นต้น

ทั้งนี้พี่น้องประชาชนสามารถขอเป็น FRIEND อีกครั้ง กับ LINE Official Account พรรคประชาธิปัตย์ ที่จะเป็นช่องทางหลักในการติดต่อออนไลน์ โดยสามารถติดต่อสอบถามเรื่องต่าง ๆ เช่น การสมัครเป็นสมาชิกพรรค เป็นต้น นอกจากนี้ยังได้รับข่าวสารและความเคลื่อนไหวของพรรคประชาธิปัตย์ ในการทำงานด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่องในอนาคต เพิ่มเป็นเพื่อนได้ที่ LINE OA ID: @democratpartyth

 

 

รายงาน Digital Lives Decoded ของเทเลนอร์ เอเชีย ระบุว่า 75% ของผู้ตอบแบบสอบถามในประเทศไทยนั้นมีความกังวลเกี่ยวกับประเด็นด้านความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูล

ซึ่งแม้ว่าตัวเลขดังกล่าวจะฟังดูสูง แต่ก็ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคเอเชียซึ่งอยู่ที่ 93%

มนตรี สถาพรกุล Head of Data Protection แห่งบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน)  เผยความเห็นว่า Data Privacy กับ Data Security คือเรื่องเดียวกัน

"ความเป็นส่วนตัวหรือ privacy นั้นหมายถึงการเคารพขอบเขตที่เจ้าของข้อมูลที่แท้จริงเป็นผู้กำหนด ถ้าคุณเล่าอะไรที่เป็นส่วนตัวกับใครก็ตาม บุคคลนั้นไม่ได้รับอนุญาตจากคุณในการนำเรื่องนั้นๆ ไปบอกต่อกับคนอื่นๆ เช่นเดียวกันกับข้อมูลดิจิทัล คุณในฐานะเจ้าของข้อมูลมีสิทธิในข้อมูลนั้นๆ และบริษัทที่ทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูลดังกล่าวมีหน้าที่รับผิดชอบในการปกป้องข้อมูลของผู้ใช้งาน ที่ทรู เราให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก ถือเป็นส่วนหนึ่งของเจตนารมณ์ของเราในฐานะผู้นำด้านโทรคมนาคม-เทคโนโลยี” มนตรีกล่าว

ปัจจุบัน ทรูมีผู้ใช้งานบนเครือข่ายมือถือจำนวนกว่า 51 ล้านคน ไม่นับรวมบริการอื่นๆ อาทิ บริการเก็บข้อมูลบนคลาวด์ คอนเทนต์ อินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ โซลูชัน IoT ทำให้ทรูถือเป็นหนึ่งในผู้เล่นรายใหญ่ที่สุดในมิติด้านข้อมูลของประเทศไทย

“เมื่อลูกค้าทรูเปิดโทรศัพท์มือถือ จะมีการรับและส่งข้อมูลไปยังอุปกรณ์ของพวกเขา ข้อมูลดังกล่าวไม่ได้หมายรวมถึงเพียงคอนเทนต์อย่างข้อความเอสเอ็มเอสหรือวิดีโอเท่านั้น แต่ยังรวมถึงข้อมูลส่วนบุคคลที่จำเป็นในการระบุว่าใครคือผู้ส่งข้อมูลดังกล่าว และส่งจากที่ใดด้วย” มนตรีกล่าว

นี่ถือเป็นความรับผิดชอบใหญ่หลวงสำหรับผู้ให้บริการโทรคมนาคม กล่าวคือ ผู้ให้บริการต้องดูแลให้การรับส่งข้อมูลนั้นเป็นไปอย่างปลอดภัย และป้องกันไม่ให้ข้อมูลนั้นถูกเข้าถึงโดยบรรดาแฮกเกอร์หรือผู้ไม่ประสงค์ดี ขณะเดียวกัน ผู้ให้บริการโทรคมนาคมต้องบังคับใช้มาตรการในการควบควมดูแลเพื่อให้การเก็บและประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลนั้นเป็นไปตามขอบเขตและเคารพสิทธิความเป็นส่วนตัวของเจ้าของข้อมูล

“บิ๊กดาต้านั้นเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังมากในการช่วยให้เราออกแบบบริการที่ดียิ่งขึ้น และทำให้บริการเหล่านั้นเข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น อย่างไรก็ดี เราไม่เคยประนีประนอมเมื่อเป็นเรื่องสิทธิความเป็นส่วนตัวและการคุ้มครองข้อมูลของลูกค้า เราเก็บรักษาข้อมูลให้ปลอดภัย ภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยไซเบอร์ที่เข้มข้น เราจะเข้าถึงข้อมูลของลูกค้าเฉพาะกรณีที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของข้อมูลเท่านั้น และเราจะเข้าถึงเฉพาะข้อมูลที่มีความจำเป็นจริงๆ” เขาอธิบาย

 

การขอ Consent จำเป็นแค่ไหน? ตามมาตรฐานด้านข้อมูลส่วนบุคคลของทรู และกฎหมายของประเทศไทยว่าด้วย พรบ. คุ้มครองข้อมูลส่วน

บุคคล ผู้ใช้บริการโทรคมนาคมสามารถเลือกให้ความยินยอมในด้านความเป็นส่วนตัวกับผู้ให้บริการโทรคมนาคมได้ 2 ระดับ ซึ่งการให้ความยินยอมในระดับแรกนั้นมีความจำเป็นเพื่อจุดประสงค์การให้บริการด้านโทรคมนาคม โดยจะจำกัดการใช้งานข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าเพื่อจุดประสงค์ที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการโทรคมนาคมเท่านั้น

สำหรับการให้ความยินยอมในระดับที่สองถือเป็นทางเลือก โดยผู้ใช้บริการสามารถเลือกให้ความยินยอมในการเข้าถึงและใช้งานข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อรับข้อเสนอหรือสิทธิประโยชน์ที่ออกแบบเพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะบุคคลยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น แอปพลิเคชันของทรูหรือดีแทคอาจมีการแจ้งเตือนไปยังลูกค้าเกี่ยวกับโอกาสในการแลกสิทธิประโยชน์บางอย่างได้ฟรี โดยขึ้นอยู่กับระดับสถานะ loyalty program และตำแหน่งที่ตั้ง (location) ของผู้ใช้งาน

“เรามีการพิจารณาในสองแง่มุม คือหนึ่ง เราได้รับความยินยอมอย่างชัดแจ้งจากลูกค้าหรือไม่ และสอง การใช้งานข้อมูลลูกค้านั้นนำมาซึ่งประโยชน์สำหรับลูกค้าหรือเปล่า เพื่อให้การเข้าถึงข้อมูลนั้นเป็นไปตามจุดประสงค์เหล่านี้ เรามีการกำหนดกลไก (control point) และมีการติดตามทุกครั้งที่มีการเข้าถึงข้อมูลของลูกค้า และดูแลให้การเข้าถึงข้อมูลนั้นๆ เป็นไปตามวัตถุประสงค์” มนตรีกล่าว

ในการจะเข้าถึงคลังข้อมูลของทรูนั้น บุคคลที่เป็นผู้ใช้งานภายใน (internal user) ต้องสามารถชี้แจงได้ว่าคำร้องขอของตนนั้นเป็นไปตามกฎหมายและวัตถุประสงค์การใช้งาน ซึ่งมาตรการนี้มีการบังคับใช้กับผู้ใช้งานภายในทุกคน รวมทั้งผู้ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบและรับรองคุณภาพ (audit and quality assurance) รวมทั้งยังครอบคลุมถึงกรณีคำขอต่างๆ จากหน่วยงานภาครัฐด้วย

“หน่วยงานภาครัฐไม่มีสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลของลูกค้าโดยตรง และต้องยื่นคำร้องขอการเข้าถึงข้อมูลในกรณีที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงหรือผลประโยชน์แห่งชาติ เรามีการประเมินคำร้องขอทุกครั้งเพื่อให้มั่นใจว่าคำร้องขอนั้นๆ มาจากหน่วยงานรัฐที่มีอำนาจทางกฎหมาย และคำร้องขอนั้นเป็นไปตามข้อกำหนด เฉพาะในกรณีดังกล่าว เราจึงจะอนุญาตให้หน่วยงานรัฐเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลได้” มนตรีกล่าว

 

ข้อมูลส่วนบุคคลคือราคาที่ต้องจ่ายเพื่อเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ? มนตรียังเล็งเห็นด้วยว่าผู้บริโภคชาวไทยนั้นมีความกังวลในเรื่องความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวมากขึ้นกว่าแต่ก่อน และคาวมแพร่หลายของเทคโนโลยีอย่าง AI, IoT และบิ๊กดาต้า ก็ยิ่งเร่งให้หลายฝ่ายหันมาให้ความสำคัญกับประเด็นการยกระดับธรรมาภิบาลของข้อมูล (data governance) ให้เข้มข้นยิ่งขึ้น เพื่อปกป้องสิทธิของผู้บริโภค

“จุดมุ่งหมายของทรูในการก้าวไปเป็นผู้นำด้านโทรคมนาคม-เทคโนโลยีนั้น ไม่ได้ถึงเพียงการเป็นผู้นำด้านโทรคมนาคมเท่านั้น แต่เราต้องการเป็นผู้นำด้านบริการดิจิทัลอื่นๆ ด้วย หากการจะไปถึงจุดนั้นได้ เราต้องเริ่มต้นจากการสร้างความไว้วางใจให้กับลูกค้าของเราก่อน จึงเป็นสาเหตุที่เรามีเจตนารมณ์แรงกล้าในการก้าวไปเป็นผู้นำด้านความเป็นส่วนตัว ผู้ใช้งานของเราต้องได้รับการชี้แจงเกี่ยวกับสิทธิความเป็นส่วนตัวของตนอย่างเหมาะสม ขณะเดียวกันเราต้องได้รับความยินยอมจากผู้ใช้งานในการเข้าถึงข้อมูลของพวกเขา และเราจะเข้าถึงข้อมูลเพื่อวัตถุประสงค์ในการมอบบริการที่ดีที่สุดและนำเสนอสิทธิประโยชน์ต่างๆ เท่านั้น” เขากล่าว

เพื่อให้ก้าวทันกับความเปลี่ยนแปลงในมิติความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ปัจจุบัน มนตรีกำลังประเมินถึงผลกระทบของเทคโนโลยีใหม่ๆ ต่อการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล ยกตัวอย่างเช่น TrueX ซึ่งให้บริการโซลูชันบ้านอัจฉริยะ หรือบริการ telemedicine จากหมอดี ซึ่งล้วนเป็นบริการที่เข้าไปอยู่ในชีวิตส่วนตัวของลูกค้า

“ถึงแม้จะเป็นประเด็นเรื่อง AI หรือ IoT เราก็ยังคงยึดถือหลักการเดียวกันในเรื่องความเป็นส่วนตัวของข้อมูล เราต้องดูแลให้การใช้งานข้อมูลส่วนบุคคลนั้นเป็นไปตามวัตถุประสงค์ ตั้งอยู่บนพื้นฐานความจำเป็นในการให้บริการ และสร้างประโยชน์ให้กับลูกค้า หากเรารักษามาตรฐานนี้ไว้ได้ ผมเชื่อมั่นว่าการมาถึงของเทคโนโลยีใหม่ๆ จะไม่ส่งผลกระทบต่อสิทธิด้านความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานของเราอย่างแน่นอน” มนตรีทิ้งท้าย

ศีล 5 กับจริยธรรมทางเทคโนโลยี เป็นเซตแนวปฏิบัติที่มีจริยธรรมในแวดวงธุรกรรมทางเทคโนโลยี   

ได้รับแรงบันดาลใจจากศีลห้าของพุทธศาสนา แต่ได้รับการปรับให้เข้ากับปัญหาเฉพาะทางในวงการออกแบบและใช้งานเทคโนโลยี

 ศีล 5 (5 precepts) ในทางเทคโนโลยี ได้แก่การละเว้น (abstrain)

Harm ละเว้นการใข้เทคโนโลยีก่อความรุนแรง:  ซึ่งหมายถึงหลีกเลี่ยงสร้างหรือใช้คอมพิวเตอร์ให้ เป็นอันตรายต่อผู้คน สัตว์ หรือสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังหมายถึงหลีกเลี่ยงใช้เทคโนโลยีเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือแสดงความเกลียดชัง

Dishonesty :  ละเว้นการไม่ซื่อสัตย์ในการออกแบบใช้งานเทคโนโลยี :  หมายถึงการซื่อสัตย์เมื่อติดต่อกับคู่ค้าทั้งออนไลน์และออฟไลน์  นอกจากนี้ยังหมายถึงหลีกเลี่ยงการลอกเลียนแบบ ไม่ซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพในรูปแบบอื่นใด

Disrespectful : ละเว้นการไม่เคารพผู้อื่น ที่มีการติดต่อสื่อสารด้วยเทคโนโลยี : หมายถึงปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างให้เกียรติและมีน้ำใจ แม้ว่าจะเห็นต่างก็ตาม  นอกจากนี้ยังหมายถึงหลีกเลี่ยงการกลั่นแกล้งให้อับอายบนอินเทอร์เน็ตและการคุกคามออนไลน์ในรูปแบบอื่นใด

Irresponsible ละเว้นการไม่แสดงความรับผิดชอบต่อผลเมื่อเราออกแบบใช้งานเทคโนโลยี : หมายถึงตระหนักถึงผลที่ตามมาจากการออกแบบใช้งานของคุณโดยแสดงความรับผิดชอบต่อระบบเหล่านั้น  และหมายถึงคำนึงถึงผลกระทบทางเทคโนโลยีของคุณต่อผู้อื่นด้วย

Closed-minded  ละเว้นการใจแคบ ไม่เรียนรู้สิ่งใหม่  : หมายถึง เต็มใจที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ และยอมรับมุมมองที่แตกต่าง  นอกจากนี้ยังหมายถึงเปิดกว้างและต้อนรับทุกคนไม่เลือกจำกัดทางเทคโนโลยี

ศีลห้าข้อในแวดวงเทคโนโลยีไม่ใช่กฎเกณฑ์ แต่เป็น ข้อแนะนำ ช่วยให้เราตัดสินใจอย่างมีจริยธรรมในการทำงาน

ศีล 5 หรือ ข้อห้าม ทั้งห้า ทางเทคโนโลยี นี้มีความสำคัญเนื่องจากเทคโนโลยีปัจจุบันมีอิทธิพลสามารถสร้างผลกระทบต่อโลกมหาศาล ความรับผิดชอบและจริยธรรมจึงเป็นสิ่งสำคัญ

 ตัวอย่างการนำศีล 5 ในเทคโนโลยี ไปใช้ในทางปฏิบัติ:

ห้ามทำอันตราย: เมื่อออกแบบแอพพลิเคชั่นซอฟต์แวร์ใหม่ ควรพิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ใช้และสังคมเป็นสิ่งสำคัญ  ตัวอย่างเช่น แอปโซเชียลมีเดียควรได้รับการออกแบบเพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้และป้องกันการแพร่กระจายของข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง:

ซื่อสัตย์: เมื่อเขียนบทความวิจัยหรือโพสต์เผยแพร่บนบล็อก สิ่งสำคัญคือต้องอ้างอิงแหล่งที่มาและหลีกเลี่ยงการลอกเลียนแบบ  plagiarism หรือ ข้อสำคัญคือต้องแสดง"ความจริง"เกี่ยวกับสิ่งที่คุณค้นพบ ไม่พูดเกินจริงหรือบิดเบือนความจริง

ให้ความเคารพ: เมื่อมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นทางออนไลน์ สิ่งสำคัญคือต้องสุภาพและให้เกียรติ แม้ว่าคุณจะไม่เห็นด้วยกับพวกเขาก็ตาม  สิ่งสำคัญคือต้องตระหนักถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากคำพูดของคุณ และหลีกเลี่ยงการกลั่นแกล้งบนอินเทอร์เน็ตและการคุกคามทางออนไลน์ในรูปแบบอื่นๆ
มีความรับผิดชอบ: เมื่อพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ สิ่งสำคัญคือต้องคำนึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม  ตัวอย่างเช่น เมื่อพัฒนาอัลกอริทึมใหม่ สิ่งสำคัญคือต้องทดสอบความเบี่ยงเบน bias หรือ

คำตอบที่เข้าข้างใคร เช่น รถไร้คนขับ จะรักษาชีวิตคนเดินถนน หรือ คนขับ การรับรองว่ามันยุติธรรมและเป็นกลางสำคัญมาก


เปิดใจกว้าง: เมื่อทำงานเป็นทีม สิ่งสำคัญคือต้องเปิดรับแนวคิดและมุมมองใหม่ๆ  สิ่งสำคัญคือต้องมีความครอบคลุมและยินดีต้อนรับผู้คนจากทุกแบบ


ศีล 5 ในถือเป็นแนวทางอันทรงคุณค่าสำหรับจริยธรรมในสาขา  การปฏิบัติตามหลักคำแนะนำเหล่านี้ช่วยให้เรามั่นใจได้ว่าคอมพิวเตอร์จะถูกนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์และเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ

บทความโดย : ผศ.ดร. พิษณุ  คนองชัยยศ  

                   ภาควิชาคอมพิวเตอร์ / คณะวิศวฯ จุฬาฯ 

 CIS 2023 - Corporate Innovation Summit  งานสัมมนาด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมแบบลงมือทำที่ครั้งใหญ่ในเอเชีย จัดโดย RISE สถาบันเร่งสปีดนวัตกรรมองค์กร กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 14-15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566 ณ ทรู ดิจิทัล พาร์ค

RISE เผยถึงธีมหลักของการจัดงานปีนี้ คือ “Accelerating Growth While Saving The World” ที่ต้องการเน้นย้ำถึงความสำคัญของการพัฒนาธุรกิจและประเทศไทย รวมถึงภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างยั่งยืน โดยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการดำเนินงานเพื่อสร้างความเติบโตทางธุรกิจแบบ ก้าวกระโดด และการพัฒนาธุรกิจควบคู่ไปกับการสร้างความยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจหลักของ RISE ในการขับเคลื่อน 1% GDP ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และการลดอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนของโลกให้ได้ 1%

ในปีนี้ RISE มุ่งขยายความสำเร็จจากงานในปีก่อนๆ โดยมีผู้บริหารระดับสูงและเจ้าของธุรกิจเข้าร่วมงานกว่า 2,000 คน สปีกเกอร์ระดับโลกมากกว่า 100 คน และเวิร์คช็อปมากกว่า 60 หัวข้อ รวมไปถึง โชว์เคสสตาร์ทอัพที่มีเทคโนโลยีขั้นสูงกว่า 60 บริษัทจากทั่วโลก

ทั้งนี้ สปีกเกอร์ซึ่งถือเป็นหนึ่งในไฮไลท์ของงาน CIS 2023 คือ

- Chris Cowart, Managing Director จาก Nomura-SRI Innovation Center ผู้อยู่เบื้องหลังการสร้าง Siri ใน iPhone, อดีต Associate Partner ของ IDEO บริษัทที่ปรึกษาด้านการดีไซน์ระดับโลกที่อยู่เบื้องหลังนวัตกรรมเม้าส์คอมพิวเตอร์ตัวแรกของโลก

- Lake Dai ศาสตราจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิด้าน AI จาก Carnegie Mellon University ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ด้าน AI ของโลกและเจ้าของ #RealAIusecases ผู้วิเคราะห์ผลกระทบของ AI ต่อกลยุทธ์ธุรกิจในหลากหลายอุตสาหกรรมและนำเสนอหนทางรอดของมวลมนุษยชาติ

- Christopher Mowry, CEO, Type One Energy, บริษัทพลังงานสะอาดแรกของโลก ที่มีแผนนำเอานิวเคลียร์ฟิวชั่นมาให้บริการกับผู้บริโภค โดยได้รับเงินให้เปล่าจากกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ และได้รับเงินลงทุนจาก Breakthrough Energy Ventures ของ Bill Gates

- Michelle Khoo, Center Leader of Center of the Edgte จาก Deloitte SG ที่เป็นบริษัทให้คำปรึกษาแนวหน้าที่ตั้งขึ้นมาเฉพาะเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงโลกจากโอกาสทางธุรกิจและเทคโนโลยี

- 2 ผู้บริหารบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก เช่น Jackie Wang, Country Director, Google Thailand และ แพร ดำรงค์มงคลกุล Country Director ประจำ Meta Thailand

CIS 2023 จะดำเนินไปภายใต้ 5 หัวข้อหลัก ได้แก่ Corporate Innovation, Sustainability, Deep Technology, People Transformation และ Future of Investment ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นความเคลื่อนไหวของโลกที่มีอิทธิพลต่อการขับเคลื่อนโลกไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน

Page 1 of 7
X

Right Click

No right click