September 28, 2024
×

Warning

JUser: :_load: Unable to load user with ID: 6847

การประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยโดยคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) เมื่อวันที่ 17-18 กันยายนที่ผ่านมา นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่อาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจและการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ผลกระทบนี้ส่งผลชัดเจนอย่างยิ่งต่อตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล ที่มักมีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจมหภาค เช่น การปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่อาจช่วยเสริมสภาพคล่อง และโอกาสในการเติบโต โดยเฉพาะการลดต้นทุนการกู้ยืมที่สามารถกระตุ้นการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง นักลงทุนหลายคนจึงมองว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลมากยิ่งขึ้น

ภาพรวมพื้นฐานเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย และนโยบายล่าสุดของธนาคารกลางสหรัฐฯ

อัตราดอกเบี้ยที่กำหนดโดยธนาคารกลางมีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายทางการเงิน ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงต่อการกู้ยืม การใช้จ่าย และการตัดสินใจลงทุน ปัจจุบัน อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ได้ลดลงจากระดับสูงสุดในรอบ 23 ปีที่ 5.25%-5.50% ซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการควบคุมเงินเฟ้ออย่างเข้มงวดในช่วง 2 ปีครึ่งที่ผ่านมา โดยเงินเฟ้อได้ลดลงจาก 7.1% มาอยู่ที่ 2.5% โดยหลังจากวิกฤตโควิด-19 ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้มีปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นถึง 11 ครั้งภายในช่วงเวลาเพียงหนึ่งปี เพื่อควบคุมภาวะเงินเฟ้อโดยไม่ให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย

ศักยภาพในการฟื้นตัวของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล

ในแง่ของสินทรัพย์ดิจิทัล ผลกระทบจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะโดยทั่วไปแล้ว สินทรัพย์ดิจิทัล เช่น บิทคอยน์ มักมีปฏิกิริยาเชิงลบต่อการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยที่มุ่งควบคุมภาวะเงินเฟ้อ ในทางกลับกัน การปรับลดอัตราดอกเบี้ยมักถือเป็นปัจจัยที่ส่งผลเชิงบวกต่อสกุลเงินดิจิทัล ซึ่งถือเป็นสินทรัพย์เสี่ยง

 

นาย นิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไบแนนซ์ ทีเอช (BINANCE TH)  เผยความเห็นต่อทิศทางนี้ว่า “เราคาดว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้ จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อมูลค่าของสินทรัพย์ดิจิทัล เนื่องจากการลดอัตราดอกเบี้ยจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องในระบบการเงิน ซึ่งจะกระตุ้นความต้องการลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงและมีความเสี่ยง ยกตัวอย่างเช่น บิทคอยน์ที่เคยมีมูลค่าพุ่งสูงขึ้นถึง 375% ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ถึง 2565 ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยใกล้แตะระดับศูนย์”

การปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะช่วยลดต้นทุนการกู้ยืม ส่งผลให้เกิดการไหลเข้ามาของเงินทุนที่มักมุ่งไปยังสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง เช่น สินทรัพย์ดิจิทัล นอกจากนี้ ด้วยคุณสมบัติในการต้านภาวะเงินเฟ้อ อาจยิ่งทำให้บิทคอยน์มีแนวโน้มที่จะได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผู้คนเกิดความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ จากการคาดการณ์การใช้จ่ายและการกู้ยืมเงินที่เพิ่มสูงขึ้น อีกทั้งการอ่อนค่าของอัตราแลกเปลี่ยนดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งมักเกิดขึ้นพร้อมกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ย อาจยิ่งช่วยทำให้สินทรัพย์ดิจิทัลมีบทบาทสำคัญยิ่งขึ้น ในฐานะเกราะป้องกันความเสี่ยงจากลดค่าของเงินตรา

 

ปัจจัยเฉพาะที่มีผลต่อสินทรัพย์ดิจิทัล

นอกเหนือจากปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาคแล้ว บิทคอยน์และสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นๆ ยังมีลักษณะเฉพาะที่อาจส่งผลต่อแนวโน้มการเติบโต หนึ่งในนั้นคือ การเกิด Bitcoin Halving ที่ในอดีตมักส่งผลให้มูลค่าของบิทคอยน์ปรับตัวสูงขึ้นภายในระยะเวลา 6-8 เดือน ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าผลลัพธ์ในอดีตจะไม่สามารถคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แต่ปรากฏการณ์ Bitcoin Halving อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ทิศทางให้กับเหล่านักลงทุน และเมื่อผสานรวมกับการเข้ามาของ Spot ETFs รวมถึงสภาพคล่องที่เพิ่มขึ้นจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ยิ่งอาจส่งผลให้เงินทุนไหลเข้าสู่ตลาดคริปโตมากขึ้นตามไปด้วย

นาย นิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล กล่าวเพิ่มเติมว่า “การเกิดปรากฏการณ์ Bitcoin Halving และการเปิดตัวของ Spot ETFs ในช่วงที่ผ่านมา ถือเป็นแรงผลักดันสำคัญที่อาจมีส่วนช่วยเสริมสภาพคล่องจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยให้ไหลเข้าสู่อุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งถึงแม้ว่าเดือนกันยายน มักเป็นช่วงที่สินทรัพย์ดิจิทัลอ่อนตัว แต่ราคาก็มักจะฟื้นตัวและดีดสูงขึ้นอีกครั้งตั้งแต่เดือนตุลาคมเป็นต้นไป โดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ คาดว่าจะยิ่งเสริมแรงส่งให้ราคาดีดกลับตัวสูงขึ้นยิ่งกว่าเดิม”

นอกจากนี้ ขณะที่คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ กำลังเดินหน้าเตรียมปรับเปลี่ยนนโยบายทางการเงิน การประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ อาจนำไปสู่ยุคใหม่ของการปรับสมดุลทางเศรษฐกิจ (Economic recalibration) ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการเติบโตของอุตสาหกรรมคริปโตได้เช่นกัน

ถึงแม้ว่าผลกระทบจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลต่ออุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลนั้นยังคงมีความไม่แน่นอน แต่สัญญาณต่างๆ ได้บ่งชี้ให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งนี้ อาจเป็นจังหวะที่ดีสำหรับนักลงทุน เนื่องจากต้นทุนการกู้ยืมที่ลดลง และสภาพคล่องที่เพิ่มขึ้น ยิ่งทำให้อุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลมีความน่าสนใจ นอกจากนี้ จากการศึกษาเทรนด์ในอดีต รวมถึงปัจจัยเฉพาะด้านเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล ยังตอกย้ำให้เห็นว่าการปรับนโยบายในครั้งนี้ อาจเป็นแรงกระตุ้นที่เร่งให้เกิดการเติบโตของอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลได้อีกด้วย” นาย นิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล กล่าวปิดท้าย

ความผันผวนของตลาดการลงทุนที่เกิดขึ้นล่าสุดได้ส่งผลกระทบให้เห็นเป็นวงกว้างทั้งในแวดวงสินทรัพย์ดิจิทัลและตลาดหุ้น สะท้อนให้เห็นถึงความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นจากการประกาศรายงานการจ้างงานของสหรัฐอเมริกาที่แสดงให้เห็นถึงโอกาสที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย รวมถึงความตึงเครียดทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น สืบเนื่องต่อไปยังความผันผวนของวอลล์สตรีท (Wall Street) เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่นักลงทุนจำนวนมาก ต่างโยกย้ายเงินทุนออกจากสินทรัพย์ความเสี่ยงสูงอย่างสินทรัพย์ดิจิทัล  ซึ่งเมื่อมาผนวกกับการที่นักลงทุนได้รับผลตอบแทนลดลงจากการที่ปีนี้เป็นฤดูร้อนของคริปโต (Crypto Summer)  ที่ชะลอตัวมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ยิ่งทำให้นักลงทุนต่างพิจารณามองหาสินทรัพย์ประเภทอื่นมากยิ่งขึ้น 

 อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความผันผวนนี้ ยังมีแนวโน้มเชิงบวกเกิดขึ้นด้วยเช่นกัน โดยเมื่อสัปดาห์ก่อนที่ราคาสินทรัพย์ต่างๆ ในตลาดจะดิ่งลง เหล่าผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้มีการกล่าวถึงการสร้างคลังสำรองบิทคอยน์แห่งชาติ ที่ชี้ให้เห็นถึงการยอมรับสินทรัพย์ดิจิทัล รวมถึงการเล็งเห็นศักยภาพของบิตคอยน์ที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ลาร์รี ฟิงก์ (Larry Fink) ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอของ BlackRock บริษัทจัดการสินทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ยังได้ประกาศในรายการ CNBC ว่าเขามองบิทคอยน์เป็นตราสารทางการเงินที่ถูกต้องตามกฎหมายซึ่งนับเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงความคิดครั้งสำคัญ เนื่องจากก่อนหน้านี้เขาย้ำให้สาธารณชนเห็นถึงความไม่เชื่อมั่นในบิทคอยน์ที่เขามี 

ทั้งนี้ เทรนด์การเติบโตของการยอมรับบิทคอยน์ในระดับสถาบันและกลุ่มการเมืองไม่ได้จำกัดอยู่แค่เฉพาะในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น เพราะเมื่อสี่เดือนที่แล้ว ประเทศเอลซัลวาดอร์ ที่ถือว่าเป็นประเทศแรกที่ยอมรับบิทคอยน์เป็นสกุลเงินที่สามารถนำมาชำระหนี้ (Legal Tender) และใช้แทนเงินสดได้ถูกต้องตามกฎหมาย ได้ดำเนินการโยกย้ายบิทคอยน์ส่วนใหญ่ไปเก็บรักษาแบบออฟไลน์หรือ “Cold Storage” ที่สามารถตรวจสอบได้โดยสาธารณะ จากข้อมูล วันที่ 29 กรกฎาคมที่ผ่านมา คลังของเอลซัลวาดอร์มีจำนวนบิทคอยน์ทั้งสิ้น 5,825 บิทคอยน์ หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 405 ล้านดอลลาร์ ซึ่งการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ถือเป็นตัวอย่างอันดีเยี่ยมที่สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในบิทคอยน์ว่าเป็นสินทรัพย์ที่มั่นคงและเป็นปัจจัยสำคัญเชิงกลยุทธ์ทางการเงินของประเทศ 

แต่อย่างไรก็ตาม สภาพตลาดในปัจจุบันก็ยังคงเผชิญหน้ากับความท้าทาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากความผันผวนของตลาดล่าสุด ซึ่งจะส่งผลให้แผนการจัดตั้งคลังสำรองยิ่งต้องทวีความซับซ้อนทั้งทางด้านกระบวนการทางกฎหมายและทางเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น 

เมื่อไม่นานมานี้ ไบแนนซ์ ทีเอช (Binance TH) ได้เผยกรอบการทำงาน CPT Framework (Capital, People, Technology) ที่ได้กำหนดขึ้นเพื่อใช้วิเคราะห์ปัจจัยเชิงโครงสร้างที่อาจส่งผลต่อพลวัตของตลาด ที่ชี้ให้เห็นว่าการจัดตั้งคลังสำรองบิทคอยน์เชิงกลยุทธ์จะส่งผลกระทบต่อทั้งสามปัจจัยของกรอบการทำงาน CPT (Capital, People, Technology) ที่จะส่งเสริมต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมคริปโตในระยะยาว 

การที่คลังสำรองบิทคอยน์แห่งชาติถูกพูดถึงถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับสกุลเงินดิจิทัล เพราะยิ่งหน่วยงานรัฐบาลและสถาบันต่างๆ ตระหนักถึงศักยภาพของบิทคอยน์ ยิ่งถือเป็นการเพิ่มโอกาสที่เราจะได้เห็นการยอมรับและการผสานสินทรัพย์ดิจิทัลเข้ากับระบบการเงินโลกให้เป็นไปอย่างก้าวกระโดด เพื่อปูทางสู่การเดินหน้าไปยังอนาคตทางการเงินที่มีความครอบคลุมและก้าวหน้ายิ่งกว่าเดิม 

สุดท้ายนี้ ถึงแม้ว่าสภาพตลาดในปัจจุบันจะมีความผันผวน แต่แนวโน้มระยะยาวของบิทคอยน์และสกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ ยังมีทิศทางที่ดีและน่าจับตามอง การผนึกกำลังระหว่างการสนับสนุนทางการเมือง การยอมรับระดับสถาบัน และปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาคสะท้อนให้เห็นถึงสัญญาณแห่งอนาคตที่เต็มไปด้วยความสดใสและความหวังของสินทรัพย์ดิจิทัลที่จะผลิบานต่อไป 

จากความมุ่งมั่นของบริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ (Gulf Binance) จำกัด ในการผลักดันแพลตฟอร์ม ไบแนนซ์ ทีเอช บาย กัลฟ์ ไบแนนซ์ (Binance TH by Gulf Binance) แพลตฟอร์มศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลและนายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลชั้นนำในประเทศไทย ให้เป็นแพลตฟอร์มที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการด้านการลงทุนของลูกค้าชาวไทยได้อย่างรอบด้าน

ล่าสุด Binance TH by Gulf Binance ได้เปิดตัวเหรียญใหม่ ประกอบไปด้วยเหรียญยอดนิยมอย่าง BNB XRP RNDR PEPE LTC และเหรียญอื่นๆ อีกมากมาย ทำให้แพลต์ฟอร์ม Binance TH by Gulf Binance กลายมาเป็นแพลตฟอร์มที่มีเหรียญให้บริการมากที่สุดในประเทศไทยกว่า 180 เหรียญ ครอบคลุมกว่า 13 หมวดหมู่ โดยผู้ที่สนใจสามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนเหรียญดังกล่าวบนแพลตฟอร์ม Binance TH by Gulf Binance ได้แล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

นายนิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ กล่าวว่า “จากเสียงเรียกร้องของผู้ใช้งาน และความสนใจในสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีเพิ่มมากขึ้น ทำให้ กัลฟ์ ไบแนนซ์ พยายามเฟ้นหาเหรียญใหม่ที่สามารถรองรับความต้องการที่หลากหลายของทุกคนได้อย่างดีที่สุด ซึ่งที่ผ่านมา เราได้สังเกตเห็นว่านอกจากที่ผู้ใช้งานจะสนใจเหรียญหลัก อย่าง Bitcoin Ethereum หรือ Solana แล้ว พวกเขายังคงมองหาตัวเลือกเหรียญใหม่ในโครงการบล็อกเชนอื่นๆ ที่กำลังอยู่ในกระแสด้วยเช่นกัน ดังนั้น ในวันนี้ เราจึงได้คัดสรรคู่เหรียญใหม่เพิ่มเติมลงบนแพลตฟอร์ม Binance TH by Gulf Binance มาตลอด ซึ่งจะเป็นการเพิ่มทางเลือกในการลงทุนให้กับผู้ใช้ได้อีกขั้น โดยจากการเปิดตัวเหรียญใหม่ในวันนี้ จะทำให้แพลตฟอร์ม Binance TH ยังคงครองตำแหน่งศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทยที่มีบริการคู่เหรียญมากที่สุดถึง 180 คู่เหรียญ

โดยปัจจุบัน เหรียญที่เปิดให้บริการบนแพลตฟอร์ม Binance TH By Gulf Binance สามารถแบ่งออกเป็น 13 หมวดหมู่ ได้แก่ Layer 1 / Layer 2, Stablecoin, Storage, Metaverse, DeFi, Fan Token, Oracle, Meme, AI+DePin, Name Service, Launchpool, GameFi, และ POW (Proof-of-Work) ซึ่งครอบคลุมและตอบโจทย์ทุกความต้องการให้กับเหล่านักลงทุนทุกคนได้อย่างครบครัน

สำหรับอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลของประเทศไทยในปีที่ผ่านมา ได้มีการเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทั้งในด้านเทคโนโลยี ไปจนถึงด้านกรอบการกำกับดูแลโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต) โดยตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทยมีความโดดเด่นชัดเจนเมื่อเทียบกับตลาดคริปโตทั่วโลก ด้วยดัชนีการยอมรับการใช้งานสินทรัพย์ดิจิทัลจาก Chainalysis ที่เผยว่า ประเทศไทยมีอัตราการยอมรับการใช้งานสินทรัพย์ดิจิทัลสูงเป็นอันดับ 10 ของโลก

กัลฟ์ ไบแนนซ์ ตั้งใจที่จะเดินหน้าสานต่อวิสัยทัศน์ในการผลักดันให้เกิดการยอมรับการใช้งานสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย ผ่านการใช้นวัตกรรม พร้อมมุ่งมั่นยกระดับประสบการณ์การซื้อขายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลของผู้ใช้ชาวไทย ด้วยการนำเสนอคู่เหรียญที่หลากหลาย และฟีเจอร์การใช้งานที่ล้ำสมัย ร่วมไปกับการส่งเสริมความรู้ และสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลและบล็อกเชน ผ่านโครงการริเริ่มด้านการศึกษาที่เน้นผู้ใช้เป็นสำคัญบน Binance Academy รวมถึงการสร้างความปลอดภัยและความไว้วางใจเพื่อให้อุตสาหกรรมคริปโตเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป” นายนิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ กล่าว

 เนื่องในวันการกุศลสากล Binance Charity หรือหน่วยงานการกุศลของ Binance ผู้นำบล็อกเชนอีโคซิสเต็ม (Blockchain Ecosystem) ระดับโลก ได้เผยผลสำรวจล่าสุดจากผู้คนกว่า 1,126 ราย ที่มาจากตัวแทนของผู้ใช้งานแพลตฟอร์ม Binance และสาธารณชนในวงกว้าง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทำความเข้าใจรูปแบบของการบริจาคที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งผลสำรวจดังกล่าวได้รวบรวมข้อมูลเชิงลึกที่มีประโยชน์และสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง เพื่อเป็นแนวทางให้กับ Binance Charity ในการริเริ่มสิ่งใหม่ที่สอดคล้องกับความคิดเห็นและความต้องการของสาธารณชนในด้านการกุศลได้ดียิ่งขึ้น

ประเด็นสำคัญจากผลสำรวจ

● ถึงแม้ว่าการบริจาคด้วยวิธีดั้งเดิม อย่างเช่น การใช้เงินสด เช็ค และบัตรเครดิต จะยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง โดยคิดเป็น 43% ของผู้ตอบแบบสอบถาม แต่อย่างไรก็ตาม ผู้คนอีก 32% ได้ให้คำตอบว่าพวกเขาชื่นชอบที่จะทำการกุศลด้วยการบริจาคเหรียญคริปโตมากกว่า

● การสำรวจยังเผยให้เห็นถึงรากฐานอันแข็งแกร่งของการบริจาคและการทำการกุศลด้วยคริปโต เพราะถึงแม้ว่าผู้คนส่วนใหญ่กว่า 71% จะยังไม่เคยมีประสบการณ์ในการบริจาคสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อการกุศล อย่างไรก็ตาม อีกกว่า 29% ของผู้ตอบแบบสอบถามนั้นได้เริ่มนำแนวทางใหม่ในการบริจาคมาใช้แล้ว

· ผู้ตอบแบบสอบถามได้ชี้ให้เห็นถึง 3 จุดแข็งหลักของเทคโนโลยีบล็อกเชนที่ทำให้คริปโตได้รับความนิยมยิ่งขึ้น โดยกว่า 37% ได้กล่าวชมความสามารถในด้านความโปร่งใส 32% ชื่นชอบประสิทธิภาพต่างๆ ซึ่งรวมถึงความคุ้มค่าของเหรียญคริปโต นอกจากนี้กว่า 28% ได้มองเห็นความสามารถอันแสนเฉพาะตัวของเทคโนโลยีบล็อกเชนที่มอบความเชื่อมั่นให้กับผู้บริจาค เนื่องจากพวกเขาสามารถตรวจสอบการทำธุรกรรมทางการเงินได้ด้วยตนเองอีกด้วย

● ผลการสำรวจของ Binance Charity ยังได้เผยให้เห็นถึงปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผู้คนในการเลือกสนับสนุนกองทุนการกุศลต่างๆ ดังนี้

o ความโปร่งใสและความรับผิดชอบ: ผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 27% ยืนยันอย่างชัดเจนว่าการมีจริยธรรมและการรายงานแบบเปิดถือเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ ที่สามารถสร้างความเชื่อใจให้กับผู้บริจาคได้

o วัตถุประสงค์ขององค์กรการกุศล: เกือบ 26% ของผู้ตอบแบบสอบถามร่วมบริจาคเพราะพันธกิจขององค์กร ซึ่งสิ่งนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า วัตถุประสงค์ที่ชัดเจนนั้นมีพลังในการดึงดูดผู้คนได้อย่างมหาศาล

o ผลกระทบทางสังคม: ผู้คนกว่า 18% ให้ความสนใจในด้านผลประโยชน์ที่สังคมจะได้รับ ซึ่งข้อมูลนี้แสดงให้เห็นว่าผลลัพธ์ที่พิสูจน์ได้มีความสำคัญต่อการตัดสินใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ทุกอย่างขับเคลื่อนด้วยข้อมูลเช่นทุกวันนี้

● เมื่อลงรายละเอียดถึงประเภทองค์กรการกุศลที่ผู้คนให้ความสนใจ ผลสำรวจได้ชี้ให้เห็นว่า

o การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม: 22% ของผู้ตอบแบบสอบถามตระหนักถึงความสำคัญของการมอบความช่วยเหลือให้กับผู้คนที่ประสบภัยได้อย่างทันท่วงทีใน

o การศึกษา: 20% ของผู้ตอบแบบสอบถาม มีความปรารถนาที่จะช่วยยกระดับสังคมผ่านการให้ความรู้และการศึกษาแก่ผู้ด้อยโอกาส

o ด้านสุขภาพ: 19% เล็งเห็นถึงการมอบโอกาสทางสุขภาพเพื่อสร้างความเป็นอยู่ที่ดี ซึ่งมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการสนับสนุนด้านการศึกษา

· นอกจากนี้ ผลสำรวจยังได้แสดงให้เห็นถึงระดับการมีส่วนร่วมของสาธารณชนในด้านการกุศล โดยพบว่าผู้คนส่วนใหญ่กว่า 51% จะเข้าร่วมงานการกุศลเมื่อมีเวลาและทรัพยากรที่เอื้ออำนวย ในขณะที่ อีกกว่า 20% ของผู้ตอบแบบสอบถาม ระบุว่าพวกเขามีความมุ่งมั่นและแสวงหาโอกาสที่จะมอบความช่วยเหลือให้กับผู้ด้อยโอกาสอย่างสม่ำเสมอ

องค์กรการกุศล Binance Charity กับการขับเคลื่อนและส่งต่อพลังอันดีให้กับโลกใบนี้

ผลสำรวจของ Binance Charity ได้แสดงให้เห็นถึงภาพรวมของการบริจาคเพื่อการกุศล ซึ่งสะท้อนถึงกระแสของการนำ คริปโตมาใช้ในบริจาคเพิ่มมากขึ้น โดยข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำไปใช้เป็นแหล่งอ้างอิงในการริเริ่มสิ่งใหม่ที่จะสร้างผลกระทบเชิงบวกให้แก่โลกใบนี้ ซึ่ง Binance Charity จะพยายามนำความสามารถของเทคโนโลยีบล็อกเชนมาพัฒนาและสร้างความเปลี่ยนแปลงในด้านการทำการกุศล ทั้งในด้านการช่วยเหลือผู้ประสบภาวะฉุกเฉิน การสนับสนุนด้านการศึกษา ไปจนถึงการพัฒนาด้านสาธารณสุข

ที่ผ่านมา Binance ได้บริจาคเงินจำนวน 10 ล้านดอลลาร์ในรูปแบบคริปโตเคอร์เรนซีเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยในประเทศยูเครน พร้อมทั้งยังได้เปิดตัวบัตร Binance Refugee Card เพื่อให้การโอนเงินอย่างเร่งด่วนไปยังผู้ที่ต้องการเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว ถูก และปลอดภัย นอกจากนี้ Binance ยังได้บริจาคเงินโดยตรงกว่า 5 ล้านดอลลาร์ให้กับเหยื่อที่เผชิญเหตุการณ์แผ่นดินไหวในประเทศตุรกีเพื่อช่วยบรรเทาความสูญเสียให้กับเหยื่อเช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ Binance Charity ยังได้ริเริ่มโครงการด้านการศึกษา ด้วยการสนับสนุนของ Binance Academy รวมถึงสถาบันการศึกษาและสถาบันอาชีวศึกษาชั้นนำ อย่าง Women in Tech และ Utiva เพื่อมอบทุนการศึกษาด้านเทคโนโลยีและบล็อกเชน รวมถึงการส่งเสริมผู้หญิงในอุตสาหกรรมคริปโตเพื่อช่วยลดช่องว่างที่เกิดขึ้น โดยที่ผ่านมามีผู้สำเร็จการศึกษาจากโครงการดังกล่าวกว่า 57,000 คนจาก 5 ทวีปทั่วโลก

ไม่เพียงเท่านั้น Binance Charity ยังได้บริจาคเงินกว่า 5.7 ล้านดอลลาร์ผ่านแคมเปญ Crypto Against Covid ในรูปแบบคริปโตเคอร์เรนซีเพื่อช่วยเหลือด้านสาธารณสุข ผ่านการส่งมอบชุด PPE จำนวนกว่า 2 ล้านชุดและวัคซีนอีกกว่า 500,000 ยูนิตทั่วโลก

Binance Charity ถือเป็นผู้บุกเบิกในด้านการบริจาคคริปโตเพื่อการกุศล พร้อมส่งเสริมและผลักดันให้องค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไรทั่วโลกยอมรับการบริจาคโดยคริปโตผ่านการใช้งาน Binance Pay หรือ แอปพลิเคชัน DeFi Wallet

 

          Crescent Crypto Asset Management ผู้จัดการกองทุนดัชนีสกุลเงินดิจิทัล ที่นำโดยศิษย์เก่าโกลด์แมน แซคส์ ประกาศปิดการระดมทุน Series A และเปิดตัวกองทุนต่างประเทศ Offshore Cayman โดยการระดมทุนรอบนี้นำโดย FBG Capital ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำอุตสาหกรรมในการดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับบล็อกเชน ตั้งแต่การลงทุนในโทเคน การซื้อขาย เช่น principal trading, over-the-counter ("OTC") trading ไปจนถึงกลยุทธ์การลงทุนประเภทต่าง ๆ ได้เข้ามาลงทุน พร้อมนำเครือข่ายและความรู้ในอุตสาหกรรมมาสู่ Crescent

           FBG จะอาศัยความได้เปรียบจากฐานการดำเนินงานระดับโลกที่แข็งแกร่ง เพื่อช่วยสนับสนุน Crescent ในการเพิ่มสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ สำหรับกลุ่มกองทุนเชิงรับ (passive fund) ทั้งในสหรัฐและต่างประเทศ นอกจากนี้ FBG จะใช้ประโยชน์จากเครือข่ายของตนเองเพื่อช่วย Crescent พัฒนาและนำผลิตภัณฑ์เหรียญดิจิทัลหลายสกุลเข้าจดทะเบียนในตลาดการเงินแบบดั้งเดิม

           สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้จะถูกนำไปใช้ในการขยายทีมงาน ว่าจ้างผู้บริหารระดับอาวุโสประจำฝ่ายขายและการพัฒนาธุรกิจ โดยมุ่งเน้นไปที่บุคลากรที่มีความสามารถจากบริษัทวาณิชธนกิจและผู้ให้บริการ ETF ชั้นนำ ซึ่งมีวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นที่จะผลักดันสกุลเงินดิจิทัลเข้าสู่ตลาดกระแสหลักเช่นเดียวกันกับบริษัท นอกจากนี้ บริษัทยังตั้งใจที่จะนำเงินทุนที่ได้มาใช้สร้างแพลตฟอร์มให้คำปรึกษาและการวิจัยสินทรัพย์ดิจิทัลอีกด้วย

          กองทุนต่างประเทศ (Offshore Fund) กำหนดมูลค่าการลงทุนขั้นต่ำที่ 250,000 ดอลลาร์ และขณะนี้เปิดรับใบจองซื้อแล้ว โดยมีค่าธรรมเนียมการจัดการ 2% และสามารถใช้สิทธิไถ่ถอนเป็นรายไตรมาส

           Crescent Crypto เปิดตัวในฤดูใบไม้ผลิของปี 2560 ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัททุกคนเริ่มต้นการทำงานที่โกลด์แมน แซคส์ ก่อนที่จะไปสั่งสมประสบการณ์เพิ่มเติมในกองทุนเฮดจ์ฟันด์และธุรกิจเงินร่วมลงทุน โดยมี Crescent 20 Index Fund เป็นกองทุนเรือธง โดยเป็นกองทุนดัชนีสกุลเงินดิจิทัลที่บริหารจัดการโดยเอกชน ที่มุ่งเน้นผลตอบแทนการลงทุนในโลกของคริปโตด้วยแนวทางเชิงรับและมีกฎเกณฑ์ กลยุทธ์การลงทุนดังกล่าวปรับตัวตามความผันผวน สภาพคล่อง และการจัดเก็บที่ปลอดภัย (safe storage) และได้รับการออกแบบมาเพื่อให้เป็นเครื่องมือการลงทุนที่ไม่ซับซ้อนสำหรับนักลงทุน กองทุน Crescent 20 Index ครอบคลุมมูลค่าตลาดรวมประมาณ 90% ของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล กองทุนถูกจัดเก็บในรูปแบบ Cold Storage ทั้ง 100% และมีการปรับสัดส่วนกองทุนเป็นประจำทุกเดือน ทั้งนี้ กองทุนในประเทศ (onshore fund) จำกัดการลงทุนให้กับผู้ลงทุนที่มิใช่รายย่อย (accredited investor) เท่านั้น ด้วยมูลค่าการลงทุนขั้นต่ำที่ 100,000 ดอลลาร์

X

Right Click

No right click