November 22, 2024

ตลาดโซลูชันความปลอดภัยอัจฉริยะไร้สาย (Intelligent Security Solution) มาแรงตอบโจทย์การใช้ชีวิต Smart life เผยเทรนด์ Smart Building และ Smart City ภาวะเศรษฐกิจบีบคั้น สังคมสูงวัย กระตุ้นตลาด คาดตลาดโลกจะเติบโตไปถึง 334.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2572 และอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) อยู่ที่ 6.2%  ระหว่างปี  2566-2571 ตลาดไทยมีมูลค่า  27,000 ล้านบาท เมื่อปีก่อน AJAX  โซลูชันพิทักษ์ความปลอดภัย มาตรฐานยุโรป  ผ่านแอปฯ AJAX บนมือถือและ แอป AJAX PRO สำหรับศูนย์เฝ้าระวัง Monitoring Center พร้อมเปิดตัว  3  ผลิตภัณฑ์ใหม่ AJAX  NVR  เชื่อมกล้อง CCTV กับระบบตรวจจับขโมย และ ตรวจจับไฟไหม้ พร้อมแจ้งเตือนเรียลไทม์, KeyPad TouchScreen  ควบคุมง่ายแค่ปลายนิ้ว, ManualCallPoint (Red)  ปุ่มกดเตือนไฟไหม้และเหตุฉุกเฉินอื่นๆ พร้อมเดินหน้าขยายตลาด ผ่านพาร์ทเนอร์กลุ่มกล้องวงจรปิด ผู้ทำระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ เจาะลูกค้า B2B ทุกกลุ่มธุรกิจบริการจัดการอาคาร อสังหาฯ โรงงาน โรงเรียน โรงพยาบาล และหน่วยงานภาครัฐ พร้อมร่วมออกบูธในงานวิศวกรรมแห่งชาติ 2567 ในวันที่ 24-26 กรกฎาคม 2567 ณ ชั้น 1 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

นางนิสา มังกรทอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท  ชิสเท็ม 2000 จำกัด Exclusive Distributor ของผลิตภัณฑ์ AJAX ในประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดโซลูชันเพื่อความปลอดภัยกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วทั้งในและต่างประเทศคาดว่าจะเติบโตไปถึง 334.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2572 อัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) คาดว่าจะอยู่ที่ 6.2%  ระหว่างปี  2566-2571 กลุ่มที่เติบโตสูง ได้แก่ ระบบรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์  กล้องวงจรปิด (CCTV) ระบบควบคุมการเข้าออก ระบบตรวจจับการบุกรุก รวมถึงระบบเตือนภัย อัจฉริยะ เพื่อป้องกัน เช่นเตือนไฟไหม้ น้ำท่วม เตือนอันตรายในการทำงานต่างๆ ด้านตลาดในประเทศไทย คาดว่าตลาดระบบรักษาความปลอดภัยในประเทศไทย จะมีมูลค่า  27,000 ล้านบาท ในปี  2566 กลุ่มที่เติบโตสูง ได้แก่ ระบบรักษาความปลอดภัย  สำหรับบ้านพักอาศัย ระบบรักษาความปลอดภัย สำหรับธุรกิจ

โดยเฉพาะโซลูชันอัจฉริยะไร้สาย (Intelligent Security Solution ) ปัจจุบันความกังวลด้านความปลอดภัยอาชญากรรม การก่อการร้าย  ภัยไฟไหม้และภัยธรรมชาติ เพื่อดูแลคนและทรัพย์สินเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการเพิ่มขึ้นของอาชญากรรมและการโจรกรรมต่างๆ ในสภาวะเศรษฐกิจบีบคั้น การใช้ชีวิตในยุค Smart life และสังคมผู้สูงอายุ รวมถึงการเติบโตของเทคโนโลยี  เช่น  IoT  ปัญญาประดิษฐ์  และ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในตลาดโลก ทำให้เกิดความต้องการ โซลูชันอัจฉริยะไร้สาย (Smart Security) ที่สามารถเชื่อมต่อกับระบบและอุปกรณ์เตือนภัยเดิมเช่น อุปกรณ์ตรวจจับไฟไหม้ที่ติดตั้งในอาคารต่างๆ อุปกรณ์ตรวจจับการรั่วไหลของแก๊ส รวมถึงกล้องวงจรปิด IP Cameraฯลฯ ยิ่งไปกว่านั้น ซึ่งปัจจุบันผู้พัฒนาอุปกรณ์เหล่านี้ยังไม่มีการพัฒนาแอปพลิเคชัน เชื่อมโยงการแจ้งเตือนบนมือถือ ในบางรายที่มีก็มีต้นทุนค่าใช้จ่ายในการเชื่อมต่อโมบายแอปที่สูงมาก ทำให้มีช่องว่างทางการตลาด โซลูชั่นของ AJAX เข้าไปตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นโซลูชั่นที่สามารถเชื่อมโยงกับอุปกรณ์ระบบแจ้งเตือนภัยและ IP Camera ง่ายในการเชื่อมต่อ, วิธีการใช้งาน, ความเสถียรของระบบ และความปลอดภัยทางไซเบอร์

 
ทั้งนี้ โซลูชันของ AJAX ดูแลเรื่องความปลอดภัยครบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันขโมย อุปกรณ์ระบบตรวจจับแจ้งเหตุไฟไหม้ อุปกรณ์ตรวจจับน้ำท่วมพร้อมวาล์วอัตโนมัติ สวิตช์ไฟอัตโนมัติสำหรับอาคารพาณิชย์และที่พักอาศัย จุดเด่นที่แตกต่างจากโซลูชั่นอื่น ๆ คือ ความสามารถในการเชื่อมต่อระบบเข้ากับกล้องวงจรปิดแบบ ONVIF ที่ติดตั้งอยู่เดิม, เชื่อมต่อการเตือนภัยจากเหตุเพลิงไหม้ หรือต่อ Relay เพื่อให้สามารถควบคุมการทำงานของอุปกรณ์อัตโนมัติอื่นๆที่ติดตั้งอยู่ ด้วยแอป AJAX ได้นอกจากนี้ ยังส่งสัญญาณเตือนภัยไปยังผู้ใช้งานได้พร้อมกัน ถึง 200 users เป็นการอัปเกรดให้เกิดความคล่องตัวในการประสานงานขณะเกิดเหตุได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ช่วยลดความเสียหาย เพิ่มประสิทธิภาพในการสอดส่องเข้าถึงพื้นที่ และช่วยลดค่าใช้จ่ายในการจ้างพนักงานรักษาความปลอดภัย

นอกจากนี้ AJAX ยังเป็นโซลูชั่นแบบไร้สาย ที่ออกแบบมาให้ง่าย ตั้งแต่ขั้นตอนการติดตั้ง ไปจนถึงการใช้งาน พร้อมระบบตรวจสอบสถานะการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆที่ติดตั้งอยู่บนตัว HUB ด้วยตนเอง ตลอด 24 ชั่วโมง ตอบโจทย์เจ้าของกิจการ ที่ต้องการหาเครื่องมือง่ายๆแต่มั่นใจได้ ในการควบคุมและตั้งค่าระบบ รวมทั้งรับสัญญาณเตือนภัยจากบ้าน อาคาร ของตนเองแบบเรียลไทม์ เปรียบเสมือนเป็น “ศูนย์บัญชาการความปลอดภัยเชิงป้องกัน” ที่ส่งตรงถึงมือถือทุกคนที่เกี่ยวข้อง สามารถระงับเหตุความเสียหายได้ทันท่วงที

ในไตรมาสที่ 2 นี้ AJAX ได้เปิดตัวนวัตกรรมใหม่ถึง 3 ผลิตภัณฑ์ เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลาย ได้แก่

1. AJAX NVR ศูนย์กลางควบคุมระบบกล้องวงจรปิด ช่วยให้มองเห็นทุกมุมแบบเรียลไทม์ ควบคุมง่ายด้วยปลายนิ้ว เชื่อมต่อสัญญาณ Alert เข้าไปกดดูภาพบนแอปพลิเคชัน AJAX ในสมาร์ทโฟนได้ทันทีที่มีผู้บุกรุกเลือก Videowall จากกล้องหลายตัว พร้อมกันหรือแบบเต็มจอ บันทึกภาพคมชัด ด้วยระบบเก็บข้อมูลออนไซด์ ไม่ขึ้นคราวน์ รองรับกล้อง IP Camera ได้หลากหลาย พร้อมแอปศูนย์เฝ้าระวังเหตุ ที่สามารถเข้าไปเลือกดูกล้องจากหน่วยงานสาขาที่อยู่ต่างโลเคชัน ได้อย่างชัดเจนแบบเรียลไทม์
 
2. AJAX KeyPad TouchScreen ความปลอดภัยแค่ปลายนิ้ว เป็นกุญแจสู่ระบบรักษาความปลอดภัยที่ทันสมัย หน้าจอสัมผัสขนาด 5 นิ้ว ใช้งานง่ายเหมือนแอปพลิเคชัน AJAX บนสมาร์ทโฟน รองรับหลายภาษาความปลอดภัยสูงด้วย เทคโนโลยี DESFire และ BLE   จัดการระบบง่ายดาย ทั้งการตั้งค่าระบบรักษาความปลอดภัย เปิด ปิด ระบบ ตรวจสอบสถานะควบคุมอัจฉริยะเชื่อมต่อกับอุปกรณ์สมาร์ทโฮมอื่น ๆได้ สามารถแจ้งเตือนเมื่อมีเหตุการณ์ผิดปกติ เช่น เกิดไฟไหม้ หรือมีผู้บุกรุก แบบเรียลไทม์

3. ManualCallPoint(Red) ปุ่มกดฉุกเฉิน แจ้งเตือนไฟไหม้ และเตือนภัยอื่น ๆ เหมาะสำหรับการเตือนภัยร้ายแรงฉุกเฉิน กดปุ่มเดียว ระบบเตือนภัย ไซเรน ทั้งอาคาร หรือทั้งชั้น ทำงานทันที ไม่ต้องลุกไปกดที่แผงควบคุม ติดตั้งง่าย ไร้สาย เหมาะกับทุกพื้นที่ เหมาะสำหรับติดตั้งในโรงเรียน อาคารสถานที่ราชการ หรือเอกชนที่เปิดเป็นพื้นที่สาธารณะ ที่อาจถูกบุกรุกจากผู้ก่อการร้าย หรือผู้คลุ้มคลั่งขาดสติ ทำให้ช่วยระงับเหตุได้รวดเร็วทันสถานการณ์

สำหรับแผนขยายตลาด AJAX จะเพิ่มพาร์ทเนอร์ตัวแทนจำหน่าย ในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มการจัดการความปลอดภัย และหน่วยงานภาครัฐ โดยจะมีทีมผู้เชี่ยวชาญของ AJAX ฝึกอบรมให้ความรู้กับพาร์ทเนอร์อย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพประยุกต์การออกแบบและติดตั้งระบบนำเสนอลูกค้า โดยพาสเนอร์จะได้ใบรับรอง AJAX เมื่อผ่านการฝึกอบรม เพื่อให้พาร์ทเนอร์มีความเข้าใจในตัวโซลูชันและนำเสนอได้ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าของตนเอง

"เรามั่นใจว่า AJAX จะสามารถตอบโจทย์ความต้องการด้านความปลอดภัยของลูกค้าได้อย่างครอบคลุม และจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการ บ้าน คอนโด ร้านค้า ห้างร้าน โรงงาน โรงเรียน โรงพยาบาล และหน่วยงานภาครัฐ เพื่อช่วยยกระดับการพิทักษ์ดูแลความปลอดภัยให้แก่ชีวิต และลดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของเจ้าของธุรกิจในทุกระดับ” นางนิสา กล่าว

นอกจากนี้ AJAX จะไปร่วมออกบูธในงานวิศวกรรมแห่งชาติ 2567 ในวันที่ 24-26 กรกฎาคม 2567 ณ ชั้น 1 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยจัดแสดงการเชื่อมต่อโซลูชั่นของ AJAX เข้ากับอุปกรณ์ระบบอื่นๆ รวมทั้งการสาธิตการใช้งานของแอปฯ ที่ออกแบบมาเป็นอย่างดี ใช้งานง่ายและสะดวกเข้ากับวิถีชีวิตในยุคปัจจุบัน ด้วยระบบอุปกรณ์มาตรฐานระดับโลก

ในยุคที่มีการปรับเปลี่ยนสู่ดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง ธุรกิจ B2B ได้ยืนอยู่ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว ซึ่งได้รับแรงหนุนจากดิจิทัลดิสรัปชั่น พฤติกรรมการซื้อที่เปลี่ยนไป การปรับแต่งแบบ personalization รวมถึงพลังของคนรุ่นใหม่ (Gen M) ทำให้การมองเทรนด์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในเชิงกลยุทธ์จำเป็นสำหรับธุรกิจ B2B ซึ่งไม่ใช่เพื่อความอยู่รอดเท่านั้น แต่เพื่อความสำเร็จของธุรกิจด้วย

DHL Express Thailand  ได้เผยบทความเเพื่อชี้ถึงแนวโน้มของอีคอมเมิร์ซ B2B เพื่อที่จะช่วยให้องค์กรธุรกิจก้าวทันเทรนด์และความเปลี่ยนแปลง ฟันฝ่าวิกฤต และยกระดับสู่การเป็นผู้นำยุคอีคอมเมิร์ซ B2B โดยอ้างอิงข้อมูลจากรายงาน ‘The Ultimate Guide On B2B E-Commerce Trends in APAC’  โดย ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรสได้ รวบรวมเทรนด์ที่น่าจับตา คือ

ยอดขายอีคอมเมิร์ซ B2B ล็อตใหญ่จะเพิ่มสูงขึ้น

ก่อนหน้านี้ องค์กรธุรกิจต่างๆ ลังเลที่จะลงทุนในแพลตฟอร์มดิจิทัล เนื่องจากลูกค้าไม่สะดวกที่จะซื้อสินค้าล็อตใหญ่ผ่านทางออนไลน์ นอกจากนี้ การจัดซื้อในรูปแบบดิจิทัลมักเป็นแบบ B2C มากกว่า B2B แต่มีการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดขึ้นเมื่อมีการชำระเงินแบบเข้ารหัส (encrypted payment) ทำให้การทำธุรกรรมโดยรวมมีความสะดวกมากขึ้น องค์กรธุรกิจต่างๆ จึงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการชำระเงินออนไลน์อีกต่อไป โดย 35% ระบุว่าพวกเขายินดีใช้จ่ายเงิน 500,000 ดอลลาร์ขึ้นไปสำหรับการทำธุรกรรมหนึ่งครั้งผ่านช่องทางดิจิทัล และ 15% ของผู้มีอำนาจตัดสินใจในองค์กรรู้สึกสบายใจที่จะซื้อสินค้าที่มีมูลค่ามากกว่า 1 ล้านดอลลาร์ผ่านทางออนไลน์1 อีคอมเมิร์ซจึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับองค์กรธุรกิจที่ต้องการซื้อขายสินค้าล็อตใหญ่  การเปลี่ยนแปลงนี้ถูกเร่งให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเนื่องจากภาวะการแพร่ระบาด ส่งผลให้ธุรกรรมออนไลน์ขนาดใหญ่กลายเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ด้วยระบบการชำระเงินแบบเข้ารหัสและความแพร่หลายของธุรกรรมออนไลน์ของธุรกิจ B2B องค์กรจึงรู้สึกมั่นใจในการใช้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซเพื่อสั่งซื้อสินค้าจำนวนมาก

สำหรับประเทศไทย มีการปรับตัวให้เข้ากับวิวัฒนาการทางดิจิทัลของเศรษฐกิจยุคใหม่ โดยในปี 2560 รัฐบาลไทยได้พัฒนาระบบ ‘พร้อมเพย์’ ซึ่งเป็นแผนแม่บทสำหรับการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ รองรับการริเริ่มใช้ระบบชำระเงินดิจิทัลระดับประเทศอย่างกว้างขวาง โดยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงวิธีการชำระเงินที่ครอบคลุมทุกธนาคารและเข้าถึงได้สะดวก ระบบนี้ช่วยให้ผู้บริโภคและองค์กรธุรกิจในไทยมีส่วนร่วมในธุรกรรมอีคอมเมิร์ซได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผลลัพธ์ของโครงการดังกล่าวแสดงให้เห็นได้จากขนาดการเติบโตของตลาดอีคอมเมิร์ซ B2B ในประเทศที่

เพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งมีมูลค่า 0.84 ล้านล้านบาทในปี 25632 และคิดเป็น 27% ของธุรกรรมอีคอมเมิร์ซทั้งหมดในปี 25653

 

ประสบการณ์แบบ Personalization จะเพิ่มมากขึ้นเพราะคนรุ่นมิลเลนเนียล

ทุกวันนี้ บุคลากรส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นมิลเลนเนียล ซึ่งคุ้นเคยกับการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางและรูปแบบการดำเนินธุรกิจขององค์กร โดย 73% ของกลุ่มมิลเลนเนียลมีหน้าที่ให้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจซื้อสินค้าของบริษัท และ 34% เป็นผู้มีอำนาจในการตัดสินใจ4 ด้วยเหตุนี้ การปรับแต่งแบบ Personalization จึงเพิ่มมากขึ้นในธุรกรรมและการดำเนินงานของธุรกิจ B2B ซึ่งอาศัยประสบการณ์จากการทำธุรกรรม B2C สมัยใหม่ เนื่องจากคนรุ่นมิลเลนเนียลคุ้นเคยกับการมีส่วนร่วมของลูกค้าแบบ B2C พวกเขาจึงใช้แนวทางเดียวกันนี้ในการทำธุรกิจ B2B

การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมีผลกับประสบการณ์ของผู้ซื้อที่ต้องเป็นส่วนตัว เป็นมิตร และกระตุ้นให้เกิดความภักดีต่อแบรนด์มากขึ้น ธุรกรรมอีคอมเมิร์ซ B2B ได้เปลี่ยนแปลงไป จากเดิมที่มุ่งเน้นความได้เปรียบด้านราคาแต่ตอนนี้มุ่งเน้นการมอบประสบการณ์ส่วนบุคคลที่เหมาะกับความต้องการเชิงกลยุทธ์มากขึ้น

โซลูชั่นดิจิทัลแบบบริการตนเอง (Self-serve digital solutions) จะแพร่หลายมากขึ้น

องค์กรธุรกิจในเอเชียแปซิฟิกคาดหวังว่าจะได้เห็นตัวเลือกในการบริการตนเองสำหรับลูกค้าเพิ่มมากขึ้น การแพร่ระบาดทำให้ผู้บริโภคหันมาใช้แนวทางแบบ ‘hands-off’ มากขึ้น โดยจำกัดการติดต่อกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริการและการจัดการสินค้า การบริการตนเองช่วยสร้างโอกาสที่ดีสำหรับธุรกิจในการลดต้นทุนการขาย โดยไม่กระทบต่อการบริการลูกค้าและประสบการณ์ความสัมพันธ์แบบ B2B

 

ด้วยการเปลี่ยนแคตตาล็อก รายการราคาสินค้า เครือข่ายตัวแทนจำหน่ายให้เป็นรูปแบบดิจิทัล และเปิดให้ลูกค้าเข้าถึงข้อมูลดังกล่าว องค์กรธุรกิจต่างๆ จะสามารถลดภาระงานด้านธุรการ และมอบประสบการณ์ที่ราบรื่นยิ่งขึ้นให้กับลูกค้า จากการสำรวจของ CRM Magazine พบว่าโซลูชั่นแบบ self-serve มีความสำคัญมากขึ้น โดยเกือบครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าองค์กรธุรกิจของตนใช้ช่องทางการบริการตนเองในระบบ CRM และคาดว่าแนวทางนี้จะมีการขยายตัวเพิ่มมากขึ้น5

การทำแผนผังเครือข่ายซัพพลายเชนมีความสำคัญมากขึ้นท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว

ผลจากการแพร่ระบาดทำให้ธุรกิจจำนวนมากไม่สามารถเข้าถึงร้านค้าที่มีหน้าร้านจริงได้ และต้องพึ่งพาช่องทางอีคอมเมิร์ซในการทำธุรกรรม ความต้องการสินค้าที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับข้อจำกัดที่เข้มงวดมากขึ้นสำหรับการจัดส่งสินค้าระหว่างประเทศต่างๆ ทำให้องค์กรธุรกิจจำนวนมากในภาค B2B เริ่มตระหนักถึงจุดอ่อนในห่วงโซ่อุปทานและระบบการจัดการโลจิสติกส์ของตน ด้วยเหตุนี้ องค์กรธุรกิจจึงจำเป็นต้องสร้างระบบใหม่ที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น

B2B International ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ Merkel แนะนำให้องค์กรต่างๆ มุ่งเน้นไปที่การทำแผนผังเครือข่ายซัพพลายเชน โดยให้ความเห็นว่า “การรู้ว่าซัพพลายเออร์ ไซต์งาน ชิ้นส่วน และผลิตภัณฑ์ใดบ้างที่มีความเสี่ยงในช่วงวิกฤต จะช่วยให้องค์กรต่างๆ สามารถเข้าถึงสินค้าคงคลังและกำลังการผลิตที่มีอยู่อย่างจำกัดในไซต์อื่นๆ เพื่อเป็นทางเลือกทดแทน”6 การแพร่ระบาดได้แสดงให้เห็นว่าเครือข่ายซัพพลายเชนที่หลากหลายจะช่วยยกระดับความมั่นคงปลอดภัยในช่วงที่เกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจ และช่วยให้ธุรกิจต่างๆ สามารถลดความสูญเสียที่เกี่ยวข้องกับการหยุดชะงักของซัพพลายเชนและโลจิสติกส์

มุ่งเน้นความยั่งยืนมากขึ้น

ลูกค้าในวันนีั้ให้ความสำคัญกับการซื้อขายอย่างมีจริยธรรมมากกว่าที่เคยเป็นมา ด้วยวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น ลูกค้าในกลุ่ม B2B และ B2C จะยังคงเลือกใช้จ่ายเงินสำหรับทางเลือกที่ยั่งยืน อย่างไรก็ดี การคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมไม่ได้เป็นเพียงทางเลือกที่ชาญฉลาดและมีจริยธรรมเท่านั้น แต่ยังก่อให้เกิดผลดีต่อธุรกิจอีกด้วย

จากการศึกษาพบว่ามีลูกค้าจำนวนมากที่ระบุว่าความยั่งยืนเป็นปัจจัยสำคัญในการพิจารณาก่อนตัดสินใจซื้อ และลูกค้ายินดีที่จะจ่ายมากขึ้นสำหรับผลิตภัณฑ์ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและมีความยั่งยืน7 ซึ่งชี้ให้เห็นว่าบริษัทอีคอมเมิร์ซ B2B สามารถขยายช่องทางใหม่ในการสร้างรายได้และความร่วมมือ ด้วยการปรับใช้นโยบายที่ดึงดูดฐานลูกค้าที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น การลดขยะและของเสียให้เหลือน้อยที่สุดตามแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนของระบบนิเวศจะช่วยธุรกิจต่างๆ ลดการสูญเสียรายได้ที่เป็นผลมาจากของเสียจากผลิตภัณฑ์อีกด้วย

เฮอร์เบิร์ต วงศ์ภูษณชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด และหัวหน้าภาคพื้นอินโดจีน กล่าวว่า “อีคอมเมิร์ซ B2B มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และกลายเป็นกำลังสำคัญในระบบการค้าโลก โดยมีบทบาทในการรักษาความยั่งยืนของซัพพลายเชน การลงทุนอย่างต่อเนื่องของเราในด้านการปรับเปลี่ยนสู่ดิจิทัล ความยั่งยืน และโครงสร้างพื้นฐาน ตอกย้ำถึงความพร้อมและความมุ่งมั่นของเราในการช่วยให้ธุรกิจต่างๆ ได้รับประสบการณ์อีคอมเมิร์ซที่ดีขึ้น ได้มีโอกาสใหม่ๆ พร้อมทั้งก้าวไปสู่ตลาดโลก เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง”

โนเกีย นำเสนอกลยุทธ์เทคโนโลยี 2573 ที่ระบุถึงเทรนด์และเทคโนโลยีที่กำลังจะเกิดขึ้นอันมีผลต่อการกำหนดเทคโนโลยี เครือข่าย และโลกใบนี้ในอีกเจ็ดปีข้างหน้า

อ้างอิงจากรายงานด้านปริมาณการใช้งานเครือข่ายทั่วโลกปี 2573 ของโนเกีย (Nokia Global Network Traffic 2030 Report) ชี้ให้เห็นว่าปริมาณการใช้งานข้อมูลในเครือข่าย (Network traffic) กำลังเติบโตและจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วงทศวรรษนี้ การขับเคลื่อนการเติบโตที่เป็นเทรนด์ล่าสุด อาทิ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) การเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning: ML) เทคโนโลยีความจริงขยาย (Extended reality: XR) คู่แฝดดิจิทัล (Digital twins) ระบบอัตโนมัติ และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เป็นดิจิทัลอีกนับพันล้านอย่าง โดยการใช้ศักยภาพแบบทวีคูณของเทคโนโลยีเหล่านี้เพื่อรับมือกับความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอนาคต เครือข่ายจำเป็นต้องปรับแต่งและเปลี่ยนแปลงด้วยการส่งมอบนวัตกรรมที่ยั่งยืน คงทน และเข้าถึงได้ ซึ่งล้วนต้องอาศัยเครือข่ายที่น่าเชื่อถือ ปลอดภัย และมีความเฉลียวฉลาด

 นิชันต์ ภัทรา ประธานเจ้าหน้าที่ด้านกลยุทธ์และเทคโนโลยีของโนเกีย กล่าวว่า “กลยุทธ์เทคโนโลยี 2573 ของโนเกียเป็นการตอบสนองโดยตรงต่อความแพร่หลายของเทคโนโลยีล้ำสมัยที่เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือความจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในตอนนี้เพื่อพัฒนาเครือข่ายให้ตอบรับกับความท้าทายในอนาคตและที่จะเกิดต่อไปในวันข้างหน้า องค์กรต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมการสื่อสารต้องเผชิญกับเทรนด์สามประการที่กำลังจะเกิดขึ้น อย่าง เอไอ คลาวด์ และวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่องของการเชื่อมต่อ โดยกลยุทธ์เทคโนโลยี 2573 ของเราจะชี้ให้เห็นถึงสถาปัตยกรรมเครือข่ายแห่งอนาคตสำหรับลูกค้าของเรารวมถึงภาคอุตสาหกรรม ที่จะนำมาซึ่งโอกาสสำหรับนวัตกรรม ความยั่งยืน ผลิตภาพ และความร่วมมือ ที่มีเพียงเครือข่ายที่เปี่ยมด้วยพลังแบบทวีคูณเท่านั้นที่จะสามารถทำให้มันเป็นจริงได้”

กลยุทธ์เทคโนโลยี 2573 ของโนเกีย ยังระบุถึงเทรนด์และเทคโนโลยีที่กำลังจะเกิดขึ้นอันจะส่งผลกระทบต่อเครือข่ายของผู้ให้บริการ องค์กร และอุตสาหกรรมในช่วงทศวรรษนี้ รวมถึงวิธีการที่โนเกียจะให้ความช่วยเหลือในด้านการพัฒนาเครือข่าย โดยเทรนด์สำคัญที่มีอิทธิพลต่อกลยุทธ์เทคโนโลยี 2573 ของโนเกีย ได้แก่ เอไอ ระบบคลาวด์แบบครบวงจร (Cloud continuum) เมตาเวิร์ส เศรษฐกิจดิจิทัลด้วย API (API economy) อุตสาหกรรม 5.0 อินเทอร์เน็ตสร้างมูลค่า (Internet of Value) ความยั่งยืน และความปลอดภัย โดยเทรนด์ทั้งหมดเหล่านี้ต่างต้องอาศัยเครือข่ายที่มีการตอบสนองและความปลอดภัยที่ดีเยี่ยม

ในรายงานด้านปริมาณการใช้งานเครือข่ายทั่วโลกในปี 2573 โนเกียแสดงให้เห็นว่าความต้องการด้านปริมาณการใช้งานข้อมูลของผู้ใช้ปลายทางจะเพิ่มขึ้นที่อัตราการเติบโตของพอร์ตเฉลี่ยต่อปีแบบทบต้น (CAGR) ที่ 22% ถึง 25% นับจากปี 2565 ตลอดไปถึงปี 2573 และความต้องการปริมาณการใช้เครือข่ายทั่วโลกถูกคาดการณ์ว่าจะสูงถึง 2,443 ถึง 3,109 เอกซะไบต์ (EB) ต่อเดือนในปี 2573 กรณีที่มีอัตราการใช้งานของคลาวด์เกมมิ่งและ XR ที่สูงขึ้น ในช่วงครึ่งหลังของทศวรรษนี้ โนเกีย ระบุว่าอัตรา CAGR จะสูงถึง 32% และสำหรับเครือข่ายที่จะตอบรับกับความต้องการใช้งานที่เพิ่มขึ้นในอนาคต เครือข่ายเหล่านั้นจะต้องมีความชาญฉลาดและเป็นอัตโนมัติยิ่งขึ้นผ่านการใช้ประโยชน์จาก AI และ ML ตลอดจนตอบสนองความต้องการและรูปแบบการดำเนินงานที่จะเปลี่ยนแปลงขององค์กรและลูกค้า ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่าง XR และคู่แฝดดิจิทัล ผนวกเข้ากับ Web3 และนวัตกรรมอื่น ๆ ที่ได้รับการกล่าวขานมากมายกำลังถือกำเนิดขึ้น จะเป็นจุดเปลี่ยนให้กับธุรกิจ สังคม และโลกใบนี้

 เจอร์รี่ แครอน หัวหน้าด้านการวิจัยและวิเคราะห์ระดับโกลบอล ของ โกลบอลดาต้า เทคโนโลยี กล่าวว่า “ภายในปี 2573 ความรุดหน้าของความล้ำสมัยด้านเทคโนโลยีที่เรากำลังประจักษ์กันอยู่ในขณะนี้จะเพิ่มปริมาณการใช้งานบนเครือข่ายอย่างมีนัยสำคัญ กลยุทธ์เทคโนโลยี 2573 ของโนเกีย เน้นความสำคัญกับการใช้งานเอไอ คลาวด์ การเชื่อมต่อ และเศรษฐกิจดิจิทัลด้วย API ซึ่งถือเป็นกรอบการทำงานแบบหนึ่งที่ผู้ให้บริการและองค์กรจะต้องยอมรับ อุตสาหกรรมผู้ให้บริการจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองจากการทำงานแบบเดิม ๆ ที่มีโครงสร้างบูรณาการแบบดั้งเดิมในแนวตั้งไปเป็นโครงสร้างการทำงานแห่งอนาคตที่เป็นโครงสร้างแบบแนวนอนและขับเคลื่อนด้วย API ที่จะช่วยในการส่งมอบบริการที่ยั่งยืน ง่ายดาย สามารถปรับเปลี่ยน มีความเป็นอัตโนมัติ และมีความยืดหยุ่นมากขึ้นได้ ทั้งนี้ โนเกียและทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับอุตสากรรมนี้จะต้องแสดงให้เห็นว่าเข้าใจถึงปัญหาและศักยภาพด้วยแนวทางการเพิ่มขีดความสามารถตามที่ระบุไว้ในกลยุทธ์เทคโนโลยี 2573 ของโนเกีย”

ในยุคปัจจุบัน ที่นักการตลาดต้องรับมือกับความเปลี่ยนแปลงต่างๆ มากมาย และในฐานะหนึ่งในผู้ให้บริการด้านระบบออโตเมชั่นสำหรับการตลาดแบบ B2B อะโดบีได้ สำรวจเทรนด์ และ ข้อมูลเชิงลึกด้านการตลาด เพื่อศึกษาว่า ทีมงานฝ่ายการตลาดและฝ่ายปฏิบัติงานด้านการตลาดแบบ B2B ที่เชี่ยวชาญในปัจจุบัน ใช้เทคโนโลยี และกลยุทธ์อะไรบ้าง?  เพื่อสร้างความแตกต่างเหนือคู่แข่ง

จากข้อมูลการศึกษาพบว่า แรงกดดันทางเศรษฐกิจส่งผลให้หลายองค์กรหันไปให้ความสำคัญกับ “การลงทุน” “การเติบโตของธุรกิจ และ ประสบการณ์ของลูกค้”  โดยถือเป็นภารกิจสำคัญสูงสุดสำหรับฝ่ายการตลาด

จากการศึกษาอย่างเจาะลึกว่า องค์กรชั้นนำจัดการกับภารกิจที่ท้าทายเหล่านี้อย่างไร? และวันนี้ อะโดบีได้เผยแพร่ผลการศึกษาสถานะของการตลาดแบบออโตเมชั่น (The State of Marketing Automation) ซึ่งเผยเคล็ดลับความสำเร็จของทีมงานการตลาด B2B ที่ประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ทั้งสามข้อดังกล่าว ด้วยเทคโนโลยีด้านการตลาดและมายเซ็ทแบบ “automate & operationalize” แนวทางปฏิบัติของนักการตลาดที่ประสบความสำเร็จเหล่านี้ นับเป็นคู่มือสำคัญในการนำเสนอแคมเปญการตลาดที่มีประสิทธิภาพและก่อให้เกิดผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้นในปี 2566 และปีต่อๆ ไป

รายงาน The State of Marketing Automation อ้างอิงผลการสำรวจความคิดเห็นแบบปกปิดข้อมูลทั้งสองทาง (double-blind) โดยทำการศึกษาผู้บริหารและผู้นำฝ่ายการตลาดที่มีบทบาทในการสร้างดีมานด์ และการดำเนินงานกว่า 600 คน

โดยผู้จัดการ ผู้อำนวยการ รองประธานและ CMO เหล่านี้ใช้แพลตฟอร์มการตลาด B2B แบบออโตเมชั่น เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ทางการตลาด จากกลุ่มผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด 98% ระบุว่า ระบบการตลาดแบบออโตเมชั่นมีความสำคัญอย่างมากถึงมากที่สุดต่อความสำเร็จของพวกเขา เพราะระบบดังกล่าวช่วยการทำ Personalization at Scale และ CustomerEngagement at Scale เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจ โดยศึกษาว่านักการตลาดเหล่านี้จัดการกับความเปลี่ยนแปลงอย่างไร และจำแนกแนวทางปฏิบัติของนักการตลาดที่มีประสิทธิภาพสูง ทำให้เราพบข้อมูลเกี่ยวกับเทรนด์ของ Marketing Automation ดังนี้

เร่งการปรับใช้เทคโนโลยีและ AI

จากผลสำรวจพบว่าบริษัทชั้นนำ 91% มีความพึงพอใจอย่างมากถึงมากที่สุดต่อฟีเจอร์ต่างๆ ของระบบ marketing automation ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ที่พวกเขาใช้อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งครอบคลุมกระบวนการด้านการตลาดทั้งหมด ตั้งแต่การกำหนดกลุ่มเป้าหมาย การติดต่อสื่อสาร ไปจนถึงการวัดผล ในแง่ของการปรับใช้เทคโนโลยี องค์กรชั้นนำมีแนวโน้มที่จะใช้แพลตฟอร์ม Marketing Automation สำหรับกลยุทธ์การตลาดทั้งแบบที่มุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมาย และแบบที่มุ่งเน้นฐานลูกค้าที่มีอยู่ (แทนที่จะใช้กับกลยุทธ์แบบใดแบบหนึ่ง) นอกจากนี้ นักการตลาดยังได้ระบุรายการความสามารถมากมายที่จำเป็นสำหรับระบบ Marketing Automation ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และตอกย้ำถึงความต้องการความสามารถขั้นสูงเพื่อรองรับรูปแบบการใช้งานหลักๆ ของระบบ Marketing Automation

การดำเนินงานด้านการตลาดต้องสอดคล้องกับงานขาย

ไม่น่าแปลกใจที่ผู้ตอบแบบสอบถาม 98% ระบุว่าจำเป็นที่จะต้องมีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดมากขึ้นระหว่างฝ่ายการตลาดและฝ่ายขายในช่วงเวลาหลายปีนับจากนี้ การดำเนินงานที่สอดคล้องกันนับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะจะช่วยให้เกิดระบบที่ครบถ้วนสมบูรณ์สำหรับการติดต่อสื่อสารและการวัดผล เพื่อขับเคลื่อนประสบการณ์ที่กลมกลืนและการเติบโตของธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ บริษัทชั้นนำ 100% กล่าวว่าการดำเนินงานด้านการตลาดจะมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ และที่สำคัญก็คือ ฝ่ายการตลาดมีหน้าที่จัดการดูแลประสบการณ์ที่ช่วยสร้างรายได้ผ่านทุกช่องทาง รวมถึงช่องทางการขาย ความสามารถเกี่ยวกับข้อมูลเชิงลึกด้านการขาย นับเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงวิธีการสร้างสะพานเพื่อเชื่อมโยงการดำเนินงานทั้งสองส่วนนี้เข้าด้วยกัน

 องค์กรที่มีประสิทธิภาพสูงขับเคลื่อนประสบการณ์ Personalization ผ่านหลากหลายช่องทาง

จากการศึกษาดังกล่าว พบว่าสิ่งที่สร้างความแตกต่างให้กับองค์กรที่มีประสิทธิภาพสูงได้มากที่สุดก็คือ “ความสามารถในการปรับแต่งการติดต่อสื่อสารแบบเฉพาะบุคคลในขอบเขตที่กว้างขวาง” โดย 99% ขององค์กรชั้นนำใช้การสร้างประสบการณ์ Personalization ในระดับปานกลางหรือสูง โดยครอบคลุมหลากหลายช่องทางและกำลังใช้เทคโนโลยีด้านการตลาดในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การจัดระเบียบข้อมูลบุคคล โอกาส และข้อมูลบัญชีที่รองรับ Personalization ไปจนถึงการปรับปรุงเวิร์กโฟลว์การสร้างคอนเทนต์ การนำเสนอคอนเทนต์แบบไดนามิก และการระบุแหล่งที่มาของรายได้ องค์กรเหล่านี้ทราบดีว่าการซื้อที่มีการพิจารณาอย่างรอบคอบมักจะเกี่ยวข้องกับยอดซื้อจำนวนมากและครอบคลุมระยะเวลานาน ด้วยเหตุนี้ จึงต้องอาศัยการติดต่อสื่อสารแบบ Personalization จำนวนมาก ซึ่งจะสามารถทำได้ด้วยระบบออโตเมชั่นและ AI เท่านั้น ข่าวดีก็คือเทคโนโลยีนี้ได้รับการพิสูจน์และพร้อมใช้งานแล้ว และหลายบริษัทกำลังนำเอาเทคโนโลยีนี้ไปใช้งานจริง

นักการตลาดเปลี่ยนลำดับความสำคัญของช่องทางที่สร้าง Engagement อย่างมีประสิทธิภาพ

การระบาดที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบอย่างมากต่อพฤติกรรมของผู้ซื้อ รวมถึงแนวทางการตลาด และเร่งการเปลี่ยนไปใช้ช่องทางดิจิทัลเพิ่มมากขึ้น นอกเหนือจากการเพิ่มขึ้นอย่างมากของการจัด digital event และการสัมมนาออนไลน์แล้ว นักการตลาดยังระบุว่า เว็บไซต์ แชทบนเว็บไซต์ อีเมล โซเชียลมีเดีย และโฆษณาออนไลน์ มีความสำคัญมากขึ้น เมื่อถามถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต 90% ของนักการตลาดวางแผนที่จะใช้งานหรือปรับปรุงการแชทบนเว็บไซต์ในปีหน้า นอกจากนี้ หลายองค์กรคาดว่าจะมีการจัดกิจกรรมแบบพบเจอกันโดยตรงอีกครั้ง ซึ่งจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับโปรแกรมการสัมมนาออนไลน์ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ โดยทุกองค์กรกำลังใช้ประโยชน์จาก Marketo Engage หรือโซลูชั่นระบบการตลาดอัตโนมัติอื่นๆ เพื่อจัดการดูแลการติดต่อสื่อสารในทุกขั้นตอน โดยครอบคลุมหลากหลายช่องทางที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง

การวัดผลดัชนีที่สำคัญ

องค์กรชั้นนำเพิ่มการระบุแหล่งที่มา (Attribution) เพื่อพิสูจน์และปรับปรุงผลกระทบทางการตลาด โดยพยายามที่จะตรวจวัดประสิทธิภาพด้านการขาย รายได้ และ ROI ของแคมเปญ ช่องทาง คอนเทนต์ และ Touchpoint ทั้งหมด เพื่อให้ทราบว่ามีกลยุทธ์ใดบ้างที่ใช้ได้ผลในแต่ละขั้นตอนและควรจะลงทุนที่ส่วนใดบ้างในอนาคต จากผลสำรวจความคิดเห็น พบว่าองค์กรชั้นนำ 71% ได้เปลี่ยนแนวทางการระบุแหล่งที่มาจากเดิมที่เป็นแบบ Single-touch ไปเป็นแบบ Multi-touch และองค์กรชั้นนำ 100% วางแผนที่จะปรับปรุงการระบุแหล่งที่มาในปีหน้า นอกจากนี้ ส่วนใหญ่รู้สึกว่ากระบวนการที่อ้างอิงตามแคมเปญในปัจจุบันนั้นไม่สมบูรณ์และเป็นแบบ Manual มากเกินไป อันที่จริง 95% เห็นว่าการระบุแหล่งที่มาแบบอัตโนมัติมีความสำคัญหรือสำคัญมาก ผู้บริหารฝ่ายการตลาดสามารถสร้างการติดต่อสื่อสารอย่างเป็นระบบ และตอนนี้พวกเขากำลังดำเนินการวัดผลอย่างเป็นระบบโดยใช้แอปพลิเคชั่น SaaS

ปรับปรุงข้อมูลเพื่อรองรับประสบการณ์ที่ดีกว่า

การจัดการข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพนับเป็นรากฐานสู่ความสำเร็จสำหรับฝ่ายการตลาดที่มีผลการปฏิบัติงานดีเยี่ยม เพราะข้อมูลรองรับการกำหนดกลุ่มเป้าหมายอย่างเหมาะสม การติดต่อสื่อสารแบบเฉพาะบุคคล และการวัดผลอย่างแม่นยำ แพลตฟอร์ม marketing automation ให้ข้อมูลด้านการตลาดที่มีประสิทธิภาพสูง

ขณะเดียวกัน แพลตฟอร์มข้อมูลลูกค้า อย่างเช่น Adobe Real-Time Customer Data Platform ได้เพิ่มความสามารถด้าน B2B โดยเฉพาะ และปัจจุบัน องค์กรชั้นนำได้ผสานจุดแข็งของระบบ marketing automation และ CDP เข้าด้วยกัน แม้ว่าเมื่อหลายปีก่อน ยังไม่มี CDP ที่รองรับ B2B แต่เกือบหนึ่งในห้า (18%) ของนักการตลาด B2B ได้บูรณาการ CDP เข้ากับแพลตฟอร์มการตลาดอัตโนมัติที่ใช้อยู่ ซึ่งช่วยให้ได้รับประโยชน์มากมาย เช่น การกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่แม่นยำมากขึ้น และการปรับแต่งการติดต่อสื่อสารให้เป็นแบบเฉพาะบุคคล

แม้ว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาจะมีความท้าทายสำหรับนักการตลาดในการสำรวจแนวทางต่างๆ แต่การสร้างสรรค์นวัตกรรมก็ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง และองค์กรชั้นนำยังคงสร้างความแตกต่างและทิ้งห่างจากคู่แข่ง แต่จะว่าไปแล้ว ทุกวันนี้ ไม่ว่าบริษัทใดก็ตามก็สามารถพลิกโฉมการตลาดและประสบการณ์สำหรับลูกค้า โดยอาศัยเทคโนโลยีออโตเมชั่นและ AI

ผู้อ่านสามารถสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ  marketing automation  ทั้งข้อมูลผลการสำรวจ และข้อมูลเชิงลึก ทั้งหมดได้ในรายงาน The State of Marketing Automation จากอะโดบี

 

ปลดล็อกธุรกิจทั่วประเทศสู่การค้าบนโลกออนไลน์ สมัครใช้งานฟรี

Page 1 of 2
X

Right Click

No right click