November 17, 2025

“เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ชวนสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีออกไปสนุกท่ามกลางธรรมชาติ กับเทศกาลดนตรีและภาพยนตร์กลางแจ้ง “Movie on the Hill” ครั้งที่ 6 ที่กลับมาอีกครั้งในธีม “บุปผาซน” ในวันเสาร์ที่ 8 พฤศจิกายน 2568 ณ ไร่ทองสมบูรณ์คลับ เขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา ร่วมสัมผัสบรรยากาศการชมภาพยนตร์กลางขุนเขา พร้อมคอนเสิร์ตจากศิลปินชื่อดังของไทย อาทิ วง แอตลาส / เจ เจตริน / เจฟ ซาเตอร์ / เดอะ ทอยส์ / แสตมป์ และ แหลม สมพล ที่จะมาสร้างสีสันและความสุขให้กับค่ำคืนสุดพิเศษแห่งปี

นางสาววริษฐา พัฒนรัชต์ ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” กล่าวว่า งาน “Movie on the Hill ครั้งที่ 6” ถือเป็นหนึ่งในเทศกาลดนตรีและภาพยนตร์กลางแจ้งยอดนิยมที่เคทีซีพร้อมมอบความสุข ความบันเทิง และประสบการณ์ที่แตกต่างให้กับสมาชิก ภายใต้แนวคิด ‘Fun & Learn, Enjoy the Moment’ ซึ่งในปีนี้งานดังกล่าวกลับมาอีกครั้งในธีม ‘บุปผาซน’ ที่พร้อมชวนทุกคนไปสัมผัสกับธรรมชาติ เสียงหัวเราะ และความอบอุ่นของมิตรภาพ สมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีที่สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ฟรี ตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม 2568 – วันที่ 20 ตุลาคม 2568 ผ่านเว็บไซต์ ktc.promo/moh2025 โดย 500 ท่านแรกที่ลงทะเบียนสำเร็จ จะได้รับ โค้ด E-Ticket สำหรับเข้างาน ท่านละ 2 ใบ ผ่านแอป KTC Mobile ในวันที่ 31 ตุลาคม 2568” ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.ktc.co.th/promotion/book-hobby-entertainment/events/movie-on-hill หรือสอบถามที่ KTC PHONE 02 123 5000 สำหรับผู้สนใจสมัครบัตรเครดิตเคทีซีทุกประเภท คลิก https://ktc.today/apply-card หรือศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ ทั้งนี้ ผู้ถือบัตรเครดิตควรใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี

62% ของคนไทยมีเงินสำรองใช้ไม่ถึง 3 เดือน แล้วถ้าวันพรุ่งนี้เกิดเหตุฉุกเฉินเช่น เข้าโรงพยาบาลกะทันหัน รถเสียกลางทาง หรือรายได้สะดุด ทุกคนพร้อมที่จะกาง “ร่มกันฝนทางการเงิน” จากที่ไหน เพราะพายุการเงินไม่เคยบอกล่วงหน้า และฝนตกหนักครั้งนี้อาจทำให้ชีวิตสั่นคลอนได้ฤดูกาลไม่ได้เปลี่ยนเพียงท้องฟ้า แต่ยังเปลี่ยนพฤติกรรมการเงินของผู้คนไปพร้อมกัน ในภาษาอังกฤษมีสำนวน “saving for a rainy day” หมายถึงการเตรียมเงินไว้ใช้ในยามลำบาก ไม่ใช่แค่วันที่ฝนตกจริง ๆ ดังนั้นทุกคนควรต้องมี Rainy-day Fund หรือเงินสำรองฉุกเฉิน เพื่อเป็นร่มกันฝนทางการเงินไว้ปกป้องในวันที่ชีวิตไม่เป็นใจ

ผลสำรวจระหว่างปี พ.ศ. 2563–2565 โดยธนาคารแห่งประเทศไทยร่วมกับสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า แม้คนไทยมีเงินออมเพิ่มขึ้นเป็น 74.7% จาก 72.0% ในปี 2561 แต่มีเพียง 38% เท่านั้นที่มีเงินสำรองเพียงพอเกิน 3 เดือน สะท้อนว่าคนไทยแม้ออมเงิน แต่ยังไม่พร้อมรับมือเหตุฉุกเฉินจริงๆ เคทีซีจึงได้รวบรวม 3 ขั้นตอน “อ–อ–ม” เพื่อเริ่มต้นสร้างร่มคุ้มกันทางการเงิน ที่จะช่วยให้ชีวิตมั่นใจได้แม้ในวันที่ฝนตกหนักที่สุด

1. อ – ออมก่อนใช้

ทุกครั้งที่มีรายได้เข้ามา ควรหักออก 5–10% เพื่อเก็บทันที เสมือนเป็นค่าใช้จ่ายประจำของตัวเอง หรือใช้หลักการ 50/30/20 ได้แก่ 50% สำหรับค่าใช้จ่ายจำเป็น 30% สำหรับไลฟ์สไตล์ และ 20% สำหรับออมและลงทุน โดยให้เงินสำรองฉุกเฉินเป็นหนึ่งในส่วนนั้น

2. อ – อยู่ในที่ปลอดภัย

เงินสำรองไม่ควรถูกนำไปลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง แต่ควรฝากไว้ในบัญชีออมทรัพย์ดอกเบี้ยสูง หรือกองทุนตลาดเงินที่ปลอดภัย เพื่อให้เงินก้อนนี้งอกเงยเล็กน้อย แต่ยังสามารถถอนมาใช้ได้ทันทีเมื่อจำเป็น

3. ม – มีวินัยสม่ำเสมอ

การเก็บเงินเพียงวันละ 50–100 บาท เมื่อสะสมอย่างต่อเนื่องจะกลายเป็นก้อนใหญ่ในอนาคต แต่ควรทบทวนจำนวนเงินที่เก็บอย่างน้อยปีละครั้ง โดยปรับตามรายได้และค่าใช้จ่ายที่เปลี่ยนแปลง เพื่อให้เก็บเงินได้อย่างเหมาะสมกับรายรับ

เมื่อฝนตกเราอาจยืมร่มจากคนอื่นได้ แต่เมื่อการเงินสะดุด ไม่มีใครช่วยเราได้เท่ากับตัวเอง Rainy-day Fund ไม่ใช่แค่การออม แต่คือหลักประกันชีวิตที่คุณสร้างเองได้ตั้งแต่วันนี้ คำถามคือ…คุณจะรอให้ฝนตกก่อนค่อยหาที่กางร่ม หรือจะเริ่มสร้างร่มของคุณตั้งแต่ตอนนี้?

ในยุคที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับ “คุณภาพชีวิต” มากกว่าปริมาณการใช้จ่ายเพื่อความสุขใจ (Emotional Spending) กลายเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยที่น่าจับตามองในปี 2568 โดยเฉพาะใน 3 หมวดฮีลใจ ได้แก่ หนังสือ สัตว์เลี้ยง และกีฬา-เวลเนส ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการของคนไทยในการดูแลจิตใจ สร้างพื้นที่ส่วนตัว และลงทุนกับสุขภาวะอย่างยั่งยืน สถิติชี้ชัด “Book-Lover” อ่านเฉลี่ยเกือบ 2 ชั่วโมงต่อวัน “Pet Parent” พร้อมจ่ายเพื่อสัตว์เลี้ยงเหมือนสมาชิกครอบครัว และ “Sports Wellness” กลายเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ สะท้อนวิถีชีวิตที่ไม่ได้มุ่งเพียงสิ่งจำเป็น แต่คือการมองหาความสุขเล็กๆ ที่เติมเต็มใจได้ทุกวัน

หนังสือ: อ่านเพื่อเติมใจ พื้นที่สงบในโลกที่วุ่นวาย

แม้โลกดิจิทัลจะเต็มไปด้วยคอนเทนต์สั้นและรวดเร็ว เช่น TikTok หรือ Reels เข้ามามีบทบาท แต่การอ่านยังคงเป็นกิจกรรมที่คนไทยเลือกใช้เพื่อเยียวยาใจ เป็น “พื้นที่สงบใจ” ของคนยุคใหม่ ข้อมูลจากสมาคม ผู้จัดพิมพ์ฯ ปี 2567 ชี้ว่าคนไทยอ่านเฉลี่ย 113 นาทีต่อวัน สวนกระแสความเชื่อว่า “ไม่อ่านหนังสือ” ด้วยสาเหตุหลักคือ ช่องทางการเข้าถึงที่ง่ายและหลากหลายขึ้น ไม่ว่าจะเป็น E-book Audiobook และกระแส “BookTok” ที่ทำให้หนังสือหลายเล่มกลับมาติดอันดับขายดี โดยเฉพาะแนวจิตวิทยา Self-Help และ Spirituality ที่ตอบโจทย์การดูแลสุขภาพจิตในชีวิตประจำวัน

สัตว์เลี้ยง: เปย์เพื่อสมาชิกตัวน้อย สะท้อนโครงสร้างครอบครัวใหม่

ด้วยโครงสร้างครอบครัวไทยเปลี่ยนไป ครัวเรือนเดี่ยวและคนโสดมีจำนวนเพิ่มขึ้น ทำให้ “สัตว์เลี้ยง” ก้าวขึ้นมาเป็นเพื่อนแท้ และสมาชิกครอบครัวที่เจ้าของพร้อมดูแลไม่ต่างจากคนในบ้าน ข้อมูลล่าสุดชี้ตลาดสัตว์เลี้ยงในประเทศไทยปี 2568 มีมูลค่ารวมราว 9 หมื่นล้านบาท และยังเติบโตต่อเนื่องกว่า 10–13% ต่อปี โดยเจ้าของใช้จ่ายเฉลี่ยประมาณ 50,000 บาท/ตัว/ปี ครอบคลุมตั้งแต่อาหาร ของเล่น บริการสุขภาพ และประกันสัตว์เลี้ยง กระแส “Pet Humanization” เจ้าของเลี้ยงสัตว์เสมือนลูก จึงเลือกอาหารพรีเมียม ของเล่นเสริมพัฒนาการ และบริการสุขภาพเฉพาะทาง “Petfluencer” สัตว์เลี้ยงจำนวนมากกลายเป็นดาราโซเชียล สร้างคอนเทนต์และมียอดผู้ติดตามหลักหมื่น–แสน เป็นส่วนผลักดันให้ตลาดสินค้าและบริการสัตว์เลี้ยงให้ก้าวสู่โลกดิจิทัล “บริการครบวงจร” ตั้งแต่ Pet hotel, Pet spa ไปจนถึงประกันสุขภาพสัตว์เลี้ยง เจ้าของยินดีลงทุนเพื่อให้มั่นใจว่าสัตว์เลี้ยงได้รับการดูแลระดับเดียวกับคน ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า การใช้จ่ายเพื่อสัตว์เลี้ยงไม่ใช่เพียงค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยอีกต่อไป แต่คือการลงทุนทางใจที่ตอบโจทย์ชีวิตคนยุคใหม่ที่เลือกอยู่เดี่ยว อยู่คู่ หรือสร้างครอบครัวเล็กที่มีสัตว์เลี้ยงเป็นศูนย์กลาง

 

กีฬาและเวลเนส (Wellness): ลงทุนกับสุขภาพกายใจ สร้างพลังชีวิตใหม่

การเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์หลังโควิดทำให้คนไทยตระหนักว่าสุขภาพกายใจคือทุนชีวิตที่สำคัญ ตลาดเวลเนสและฟิตเนสในไทยได้รับแรงหนุนจาก 2 ปัจจัยใหญ่คือ “การเข้าถึงง่ายขึ้น” ฟิตเนสแบบรายเดือน คลาสออนไลน์ และ Wellness Retreat ที่เปิดกว้างให้คนทั่วไปเข้าร่วม “Mental Health Awareness” คนไทยหันมาให้ความสำคัญกับสมาธิ การพักผ่อนเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) โยคะ เวิร์กช็อป Mindfulness โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ที่การออกกำลังกายไม่ใช่แค่เรื่องรูปร่าง แต่คือการเติมพลังใจ รวมไปถึง Run Club และ Community การวิ่งมาราธอน การปั่นจักรยาน หรือการเข้าร่วมคลับฟิตเนสเล็กๆ กลุ่มเหล่านี้เติบโตต่อเนื่องไม่เพียงสร้างพื้นที่ให้คนออกกำลังกายร่วมกัน แต่ยังช่วยเสริมพลังของแบรนด์ต่างๆ การสร้างกลุ่มที่เหนียวแน่น สะท้อนให้เห็นว่าการดูแลสุขภาพวันนี้ไม่ได้เป็นเพียงกิจกรรมเดี่ยว แต่เป็นประสบการณ์ร่วมที่สร้างทั้งคุณค่าและมูลค่าในสังคม

การขยายตัวของ “Emotional Spending” ในประเทศไทย ปี 2568 สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างสังคมและพฤติกรรมผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การอ่านหนังสือ ที่กลายเป็นพื้นที่พักใจและการพัฒนาตนเอง การดูแลสัตว์เลี้ยง ที่สะท้อนบทบาทของครอบครัวเดี่ยวและการเลี้ยงสัตว์เสมือนสมาชิกในบ้าน หรือ การออกกำลังกายและเวลเนส ที่ตอบโจทย์การลงทุนด้านสุขภาวะกายใจ ทั้งหมดนี้แม้จะเป็นตลาดที่มีสัดส่วนไม่ใหญ่เมื่อเทียบกับหมวดสินค้าจำเป็น แต่กลับมีอัตราการเติบโตต่อเนื่องและมีคุณค่าเชิงสังคมที่ชัดเจน

เคทีซีร่วมขับเคลื่อนการตอบสนองต่อเทรนด์ดังกล่าว ด้วยการมอบสิทธิประโยชน์ที่ครอบคลุมทั้ง Book, Pet และ Sports & Wellness ผ่านพันธมิตรหลากหลาย อาทิ ร้านหนังสือชื่อดัง ร้านค้า โรงพยาบาลสัตว์ และบริการสัตว์เลี้ยง ไปจนถึง Community “KTC Sports ตัวจริงเรื่องกีฬา” และ กิจกรรม Burn & Earn Challenge ที่ต่อยอดการออกกำลังกายของสมาชิกเข้าสู่ปีที่ 5 รวมถึงโปรโมชั่นไลฟ์สไตล์สายสุขภาพโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นฟิตเนส เวลเนสคลับ หรือร้านอาหารเพื่อสุขภาพ ตอกย้ำบทบาทของเคทีซีในการเป็นมากกว่าบัตรเครดิต แต่คือการเชื่อมโยงกับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ และสนับสนุนการใช้จ่ายที่มีทั้งคุณค่าและความยั่งยืน

Cr:  บทความจาก KTC 

 

 

 

c

เคทีซีเผยพฤติกรรมการใช้จ่ายของสมาชิกในช่วงเทศกาลวันแม่ยังคงคึกคัก แม้เศรษฐกิจยังเปราะบาง โดยเฉพาะหมวดร้านอาหารที่มียอดใช้จ่ายเพิ่มขึ้นกว่า 80% จากวันปกติ ขณะที่หมวดสุขภาพ-ความงาม และการท่องเที่ยวยังมาแรง สะท้อนเทรนด์ผู้บริโภคที่เน้น “การให้” อย่างมีคุณค่า ใช้คะแนนแทนเงินสด เลือกผ่อนชำระ 0% เพื่อบริหารค่าใช้จ่ายอย่างมีวินัย

นางประณยา นิถานานนท์ ผู้บริหารสูงสุดสายงานการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ครึ่งปีแรก 2568 เคทีซีมียอดใช้จ่ายบัตรเติบโต 4.4% สูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 1.2% โดยในช่วงเทศกาลวันแม่ ถือเป็นช่วงที่มียอดใช้จ่ายสูงสุดของปีในหลายหมวด โดยเฉพาะหมวดร้านอาหารที่ในช่วงเทศกาลวันแม่ปี 2567 มียอดธุรกรรมเพิ่มขึ้นกว่า 50% และมียอดใช้จ่ายรวมเพิ่มกว่า 80% จากวันปกติ ซึ่งชี้ให้เห็นว่า แม้เศรษฐกิจยังท้าทาย แต่ผู้บริโภคยังเลือกใช้จ่ายเพื่อมอบความสุขแก่คนสำคัญ ด้วยวิธีที่สอดคล้องกับสภาพคล่องของตัวเอง”

สุขภาพและความงาม: ของขวัญที่สะท้อนความใส่ใจ

หมวดสุขภาพและความงามยังได้รับความนิยมต่อเนื่อง โดยพบว่ามียอดใช้จ่ายเฉลี่ยต่อบิลสูงกว่า 10,000 บาทเพิ่มขึ้นจากวันปกติถึง 10% โดยเฉพาะกลุ่มคลินิกความงาม ฟิตเนส และบริการฟื้นฟูสุขภาพที่มียอดเฉลี่ยเพิ่มขึ้นถึง 17% โดยผู้บริโภคใช้คะแนน KTC FOREVER แลกรับส่วนลดหรือของขวัญ รวมถึงใช้บริการผ่อนชำระ 0% เพื่อบริหารรายจ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ สะท้อนเทรนด์ของขวัญที่เน้นการดูแลสุขภาพและรูปลักษณ์ มากกว่าแค่ของชิ้นจับต้องได้ เคทีซีจึงได้จัดสิทธิประโยชน์สาย Wellbeing ครอบคลุมกว่า 100 พันธมิตร ทั้งอาหารสุขภาพ ฟิตเนส การพักผ่อน และโปรแกรมฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ รายละเอียดเพิ่มเติม: ktc.co.th/refined-wellness

เที่ยววันแม่ สร้างโมเมนต์อบอุ่นทั้งครอบครัว

หมวดท่องเที่ยวเป็นอีกหมวดที่ได้รับความนิยมสูงช่วงวันหยุดยาวโดยเดือนกรกฎาคม 2568 ยอดจำนวนสมาชิกที่ใช้จ่ายในหมวดท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นกว่า 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 โดยเฉพาะปลายทางยอดฮิต อาทิ จังหวัดชลบุรี จังหวัดระยอง และ เขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา ที่ยังคงได้รับความนิยมสะท้อนว่าการท่องเที่ยวยังเป็นวิธีที่คนไทยใช้สร้างช่วงเวลาที่อบอุ่นและน่าจดจำร่วมกับแม่ เคทีซีจึงได้จับมือการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เดินหน้าแคมเปญ Grand Moment, Year of Celebration และ ISAN Greencation มอบสิทธิพิเศษครบครัน ทั้งโรงแรม ตั๋วเครื่องบิน รถเช่า และร้านอาหารทั่วประเทศ

เสริมความมั่นใจในการใช้จ่าย ด้วยเทคโนโลยีปลอดภัย

เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมการใช้จ่ายสูงช่วงวันแม่ ระบบป้องกันความเสี่ยงผ่านแอป KTC Mobile จะสามารถช่วยสร้างความมั่นใจให้สมาชิกทำการล็อคบัตรชั่วคราวได้ทันทีในกรณีเกิดเหตุไม่คาดฝัน หรือควบคุมการใช้จ่ายด้วยตัวเองผ่านแอป KTC Mobile ไม่ว่าจะเป็นการเปิด-ปิดบัตรชั่วคราว ตรวจสอบรายการใช้จ่ายแบบเรียลไทม์ผ่าน KTC Connect (KTC LINE Official) หรือขอความช่วยเหลือจาก Call Center ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

 ตั้งเป้าครึ่งปีหลังเติบโตอย่างมีวินัย

“แม้ภาวะเศรษฐกิจและหนี้ครัวเรือนยังคงเป็นปัจจัยสำคัญ เคทีซียังคงมุ่งเน้นการเติบโตอย่างมีคุณภาพ โดยวางกลยุทธ์การตลาดที่เชื่อมโยงกับช่วงเวลาสำคัญ (emotional seasons) พร้อมสิทธิประโยชน์ที่ตรงใจสมาชิก เพื่อให้ทุกการใช้จ่ายเป็น ‘ใช้จ่ายอย่างรู้คุณค่าช่วงโมเมนต์สำคัญ’ อย่างแท้จริง” นางประณยากล่าวปิดท้าย

ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ KTC PHONE 02 123 5000 หรือติดตาม โปรโมชันของเคทีซีได้ที่  https://www.ktc.co.th สำหรับผู้ที่ต้องการสมัครสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี สามารถคลิก   ดูรายละเอียดได้ที่ลิงค์ https://ktc.today/apply-card หรือติดต่อศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขา    ทั่วประเทศ 

หมายเหตุ : บัตรเครดิตใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้ตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี

ในยุคที่ดอกเบี้ยปรับตัวขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง การกู้ยืมเงินไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป ทั้งสินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถยนต์ สินเชื่อส่วนบุคคล รวมถึงการใช้บัตรเครดิต ต่างมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนชีวิตทางการเงินของคนยุคนี้ แต่ก่อนจะตัดสินใจกู้เงิน หรือรูดบัตรเครดิต สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องเข้าใจเรื่อง "ดอกเบี้ย" ให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้กลายเป็นภาระหนี้จนเกิดทุกข์

ดอกเบี้ยมีหลายแบบ เข้าใจให้ถูก ช่วยประหยัดเงินจริง

ดอกเบี้ยคงที่ (Fixed Rate)
คือ อัตราดอกเบี้ยที่กำหนดไว้แน่นอนตั้งแต่เริ่มต้นจนจบสัญญา ผู้กู้จึงสามารถวางแผนผ่อนชำระได้อย่างมั่นใจ ไม่ต้องกังวลกับความผันผวนของดอกเบี้ยในตลาด เหมาะกับผู้ที่ต้องการความแน่นอนทางการเงิน อย่างสินเชื่อแบบไม่มีหลักประกัน ได้แก่ บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด และสินเชื่อแบบมีหลักประกัน ได้แก่ สินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถยนต์

ดอกเบี้ยลอยตัว (Floating Rate) ตรงกันข้ามกับแบบแรก ดอกเบี้ยลอยตัวจะปรับขึ้นลงตามภาวะตลาดการเงิน ซึ่งอิงกับตัวเลขมาตรฐานของแต่ละสถาบันการเงิน เช่น
- MLR (Minimum Loan Rate) สำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี
- MOR (Minimum Overdraft Rate) สำหรับลูกค้ารายใหญ่ทั่วไป
- MRR (Minimum Retail Rate) สำหรับลูกค้ารายย่อยชั้นดี
ใครเลือกใช้สินเชื่อแบบดอกเบี้ยลอยตัว จึงต้องติดตามทิศทางดอกเบี้ยอย่างใกล้ชิด เพราะมีผลต่อยอดผ่อนชำระในอนาคตโดยตรง


รู้ทันวิธีคิดดอกเบี้ย Flat Rate vs Effective Rate


ไม่ใช่แค่ประเภทของดอกเบี้ย แต่ "วิธีคิดดอกเบี้ย" ก็มีผลต่อเงินในกระเป๋า Flat Rate หรือเงินต้นคงที่ นิยมใช้ในสินเชื่อรถยนต์ หรือสินเชื่อผ่อนชำระสินค้า จะคำนวณดอกเบี้ยจากยอดกู้เต็มจำนวนตลอดอายุสัญญา ถึงแม้เงินต้นจะลดลง แต่ดอกเบี้ยคิดจากยอดเต็มตั้งแต่ต้นจนจบ ส่วน Effective Rate หรือลดต้นลดดอก มักใช้กับสินเชื่อบ้านหรือบัตรเครดิต โดยคำนวณดอกเบี้ยจากยอดหนี้คงเหลือในแต่ละงวด เมื่อเงินต้นลดลง ดอกเบี้ยก็ลดลงตาม ที่สำคัญคือ ตัวเลข Flat Rate มักดูต่ำกว่า แต่จริงๆ แล้วภาระดอกเบี้ยจริงอาจสูงกว่ามาก เช่น Flat Rate 18% อาจแปลงเป็น Effective Rate สูงถึง 32% ต่อปีเลยทีเดียว


บัตรเครดิต ใช้เป็นเหมือนอาวุธ ใช้ผิดกลายเป็นภาระ

หากใช้บัตรเครดิตอย่างมีวินัย บัตรเครดิตจะเป็นเครื่องมือทางการเงินที่สะดวกและมีประโยชน์ แต่ในขณะเดียวกันก็อาจเป็นจุดเริ่มต้นของหนี้สะสม หากขาดการบริหารจัดการที่ดี ดังนั้น ก่อนสมัครบัตรเครดิต ควรศึกษาและทำความเข้าใจข้อมูลให้ดี และพึงระลึกไว้เสมอว่าบัตรเครดิต คือ เงินอนาคต ที่ต้องชำระอย่างมีวินัยและรับผิดชอบ เมื่อถึงกำหนดเวลา โดยทั่วไปจะมีระยะปลอดดอกเบี้ยประมาณ 45-56 วัน แต่หากชำระล่าช้าเกินระยะเวลาที่กำหนด หรือจ่ายไม่เต็มจำนวน (การชำระค่าบัตรเครดิตขั้นต่ำอยู่ที่ 8% ของยอดค้างชำระ) ผู้ถือบัตรเครดิตจะต้องรับผิดชอบดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นแบบ Effective Rate ไม่เกิน 16% ต่อปี (รวมค่าปรับและค่าธรรมเนียมต่างๆ แล้ว) สำหรับค่าธรรมเนียมอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้น เช่น การใช้บัตรเครดิตเบิกถอนเงินสด จะคิดค่าธรรมเนียมในอัตรา 3% จากยอดเงินที่เบิก พร้อม VAT 7% (ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย ณ วันที่ 16 มิถุนายน 2568)

ดอกเบี้ยไม่ใช่เรื่องไกลตัว ความเข้าใจผิดเพียงเล็กน้อย อาจกลายเป็นภาระหนี้ก้อนใหญ่ในอนาคตได้ง่ายๆ สิ่งสำคัญคือ การมีวินัยทางการเงิน วางแผนหนี้ให้เหมาะสมกับรายได้ และรู้เท่าทันกลไกทางการเงินแต่ละแบบอย่างถ่องแท้ จะช่วยให้สามารถใช้สินเชื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้อย่างปลอดภัย

Page 1 of 80
X

Right Click

No right click