December 05, 2025

กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดงาน Thailand E-Commerce Expo 2025 งานอีคอมเมิร์ซใหญ่ที่สุดของไทย จัดระหว่างวันที่ 15–16 สิงหาคม 2568 ณ ทรูไอคอนฮอลล์ ชั้น 7 ไอคอนสยาม เพื่อเสริมศักยภาพผู้ประกอบการไทยในยุคดิจิทัล เชื่อมโยงความรู้ เทคโนโลยี และเครื่องมือใหม่ๆ พบอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังกว่า 50 ชีวิต พร้อม 50 แพลตฟอร์มชั้นนำ และไฮไลท์การมอบรางวัล Thailand e-Commerce Genius 2025 เพื่อเชิดชูผู้ประกอบการ อีคอมเมิร์ซรุ่นใหม่ที่เติบโตจากการใช้เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ คาดสร้างมูลค่าการค้าได้กว่า 200 ล้านบาท
นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดงาน Thailand E-Commerce Expo 2025 ณ ทรูไอคอนฮอลล์ ชั้น 7 ศูนย์การค้าไอคอนสยาม ว่า ในวันนี้ (15 สิงหาคม 2568) กระทรวงพาณิชย์ได้มอบหมายให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าจัดงานดังกล่าวขึ้นระหว่างวันที่ 15–16 สิงหาคม 2568 เพื่อส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการไทยในยุคดิจิทัลให้สามารถแข่งขันในตลาดออนไลน์อย่างยั่งยืน เพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้า และขยายโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับธุรกิจรายย่อยทั่วประเทศ
รมว.พณ. กล่าวเพิ่มเติมว่า “งานนี้ถือเป็นงาน E-Commerce ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ จัดต่อเนื่องขึ้นเป็นปีที่ 6 โดยปีนี้จะเน้นการเชื่อมต่อองค์ความรู้ด้านการค้าออนไลน์ เทคโนโลยี และเครื่องมือดิจิทัล ผ่านเวทีสัมมนาและกิจกรรมเชิงปฏิบัติการจากอินฟลูเอนเซอร์และ Creator ชื่อดังกว่า 50 ราย รวมถึงแพลตฟอร์มด้านอีคอมเมิร์ซชั้นนำกว่า 50 ราย ที่มาถ่ายทอดประสบการณ์ตรง แชร์เทคนิคสร้างยอดขายผ่านตลาดออนไลน์ แนะนำการใช้ AI และเครื่องมือใหม่ๆ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทางธุรกิจ ตลอดจนเปิดพื้นที่ทดลองใช้งานจริงจากแพลตฟอร์มชั้นนำ อาทิ Shopee, Lazada, TikTok Shop, LINE, Meta และอีกมากมาย

 

ภายในงานประกอบไปด้วย 6 กิจกรรมได้แก่ 1) Guru Talk เวทีถ่ายทอดความรู้จากอินฟลูเอนเซอร์และ Content Creator ชั้นนำกว่า 50 ราย ที่จะเล่าถึงวิธีการสร้างแบรนด์ สร้างไวรัลคอนเทนต์ การใช้ AI เสริมยอดขาย และการทำ Affiliate Marketing อาทิ โอม ค็อกเทล (นักร้องและนักธุรกิจชื่อดัง) ซีเค เจิง (เจ้าของแพลตฟอร์ม Fastwork), หยกทอง แม่ค้าออนไลน์ที่ประสบความสำเร็จ, ทีม The Driver (โอ๊ต ปราโมทย์/พิชญ์ กาไชย/พลอย หอวัง) เจ้าของรายการที่สร้างคอนเทนต์ได้น่าสนใจ, นัทนิสา (จากอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังจนกลายเป็นเจ้าของแบรนด์ Lip It), iHaveCPU (จากแบรนด์เล็กๆ สู่ยอดขายร้อยล้าน), จือปาก (อินฟลูเอนเซอร์ที่ครองใจชาวเน็ตสู่การเป็นเจ้าของธุรกิจ) , RAD Cosmetics (พิม พิมประภา นักแสดงและเจ้าของแบรนด์ ที่มียอดขายอันดับ 1 ใน Tiktok), ฝ้าย ใช้เท้าแต่งหน้า (บิวตี้ครีเอเตอร์ที่มีผู้ติดตามกว่า 6 ล้านราย) และแบงค์กิ (อินฟลูเอนเซอร์ที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์เปลี่ยนอาหารให้เป็นรายได้ จนมีผู้ติดตามกว่า 9 ล้านคน) 2) Pain-Point Fixer โซนที่รวมแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซทั่วไทยกว่า 50 แห่ง อาทิ Lazada, Meta, NocNoc, NextGenCommerce, Shopee และ TikTok Shop พร้อมโซลูชันแก้ปัญหาเฉพาะทาง ทั้งเรื่องโลจิสติกส์ การวิเคราะห์ข้อมูล การปิดการขาย และการชำระเงิน
3) Business Consult โซนให้คำปรึกษาแบบตัวต่อตัวจากผู้เชี่ยวชาญด้านอีคอมเมิร์ซกว่า 20 ราย ครอบคลุมทุกขั้นตอนการทำตลาดออนไลน์ 4) Review and Reward โซนจัดแสดงสินค้าออนไลน์แบรนด์ไทยจากผู้ประกอบการที่ผ่านหลักสูตร Online Marketing Genius รุ่นที่ 5 พร้อมโค้ดส่วนลดและโอกาสเข้าร่วม Affiliate กับครีเอเตอร์ 5) E-Commerce Lab พื้นที่ทดลองและ Workshop การขายออนไลน์จริง เสริมสร้างทักษะผู้ประกอบการผ่านการจำลองสถานการณ์ และ6) DBD Online Mega Sale โปรโมชันพิเศษบน Shopee ผ่านหน้าแลนดิ้งเพจ “สุขใจซื้อของไทย” พร้อมคูปองส่วนลดภายใต้โค้ด “DBD50” รวมมูลค่ากว่า 205,000 บาท ทั้งนี้ คาดว่าจะมีผู้

 

ประกอบการเข้าร่วมงานทั้งออฟไลน์และออนไลน์รวมกว่า 10,000 ราย สร้างมูลค่าการค้ากว่า 200 ล้านบาท โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อยจะได้รับแรงบันดาลใจในการขยายตลาดและพัฒนาธุรกิจออนไลน์ พร้อมทั้งได้เชื่อมโยงกับพันธมิตรใหม่ๆ และเทคโนโลยีที่จะช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน
ในวันนี้ยังมีกิจกรรมไฮไลท์อีกหนึ่งกิจกรรมคือ การมอบรางวัล Thailand e-Commerce Genius 2025 ซึ่งเป็นกิจกรรมต่อเนื่องจากโครงการ Online Marketing Genius รุ่นที่ 5 (OMG#5) หลักสูตรเข้มข้นที่จัดต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 5 โดยผู้เข้าอบรมได้เรียนรู้การใช้เทคโนโลยี AI การทำคลิปวิดีโอ การปักตะกร้า และกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ ก่อนจะผ่านกระบวนการคัดกรองอย่างเข้มข้น จนได้ผู้เข้าร่วมกิจกรรม One-on-One Coaching ระยะเวลา 1 เดือนเต็มกับผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง จำนวน 50 ราย และคัดเหลือ 10 รายสุดท้าย สู่รอบชิงชนะเลิศครั้งนี้
การมอบรางวัลในวันนี้ประกอบไปด้วย 3 ประเภทรางวัลคือ 1) รางวัลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า มูลค่ารวม 100,000 บาท พร้อมโล่ ใบประกาศนียบัตร และรางวัลสนับสนุนจากหน่วยงานพันธมิตร ได้แก่ AIS, Flash Express, LINE และ Shopee มูลค่ารวม 579,476 บาท โดยแบ่งเป็น รางวัลชนะเลิศ คือ คุณอิทธิกร เทพมณี แบรนด์ JAIKLA ได้รับเงินรางวัลมูลค่า 50,000 บาท โล่ พร้อมประกาศนียบัตร สิทธิพิเศษจาก Flash Express แพคเกจส่งเสริมธุรกิจ (ส่งสินค้าในราคาพิเศษ) กับช่องทางประชาสัมพันธ์ธุรกิจผ่าน Flash Express และสิทธิพิเศษจาก AIS ซิมเป็นหนึ่งพร้อมแพกเกจมูลค่า 749 บาท จำนวน 6 เดือน รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 คือ คุณซูลกิฟลี มะเต๊ะ แบรนด์ Hobee ได้รับเงินรางวัลมูลค่า 30,000 บาท โล่ พร้อมใบประกาศนียบัตร และสิทธิพิเศษจาก AIS ซิมเป็นหนึ่งพร้อมแพกเกจมูลค่า 499 บาท จำนวน 6 เดือน รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 คือ คุณอนุวัช อินปลัด แบรนด์ไทยทิชชู ได้รับเงินรางวัลมูลค่า 20,000 บาท โล่ พร้อมใบประกาศนียบัตร และสิทธิพิเศษจาก AIS ซิมเป็น

 

หนึ่งพร้อมแพกเกจมูลค่า 499 บาท จำนวน 6 เดือน และรางวัลชมเชย คือ คุณดวงสมร ผุดผ่อง แบรนด์ Fur a Friend ได้รับโล่ พร้อมใบประกาศนียบัตร และสิทธิพิเศษจาก AIS ซิมเป็นหนึ่งพร้อมแพกเกจมูลค่า 499 บาท จำนวน 6 เดือน
2) รางวัลพิเศษจาก LINE ร่วมสนับสนุนให้เป็น Success Case ซึ่งจะได้รับการโปรโมทผ่านช่องทางของ LINE พร้อมของที่ระลึกผ้าห่มลิขสิทธิ์ LINE Friends จำนวน 3 รางวัล ได้แก่ คุณดวงสมร ผุดผ่อง แบรนด์ Fur a Friend, คุณณัฐพร กิตติพงษ์ถาวร แบรนด์ Mami Cover และคุณจิณณ์ณณัช ธนะพิทักษ์ แบรนด์ Grase และ 3) รางวัล Shopee Awards for Thailand E-commerce Genius จำนวน 3 รางวัล ได้แก่ คุณอิทธิกร เทพมณี แบรนด์ JAIKLA ได้รับพื้นที่ในการโปรโมทร้านค้าบนแลนดิ้งเพจ “สุขใจซื้อของไทย” ตั้งแต่วันที่ 1-31 ตุลาคม 2568 พร้อม Shopee Voucher มูลค่า 3,000 บาท, คุณธนวชร หนูแสง แบรนด์ Muscle Chef ได้รับ Shopee Voucher มูลค่า 2,000 บาท และคุณดวงสมร ผุดผ่อง แบรนด์ Fur a Friend ได้รับ Shopee Voucher มูลค่า 1,000 บาท
รมว.พณ. กล่าวปิดท้ายว่า “โอกาสนี้ผมขอแสดงความยินดีกับผู้ที่ได้รับรางวัลในครั้งนี้ และเป็นกำลังใจกับผู้ประกอบการไทย ขอให้มีพลังสร้างสรรค์ธุรกิจสู่อนาคต และภูมิใจในตัวเองว่าท่านคือแรงสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยประกอบกับขอให้ความสำคัญกับการค้าออนไลน์ที่จะไม่ใช่แค่ทางเลือกอีกต่อไป แต่คือโอกาสในการเติบโตอย่างไร้ขีดจำกัด ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะเป็นผู้ผลักดันและเสริมปัจจัยต่างๆ ให้ผู้ประกอบการมีความรู้ที่ทันสมัย และมีเครื่องมือทางการตลาดที่ดี โดยงานนี้แสดงให้เห็นชัดเจนแล้วว่าผู้ประกอบการไทยมีศักยภาพสูงมาก พร้อมที่จะพัฒนาไปสู่แบรนด์ระดับประเทศ และเติบโตอย่างมั่นคงในตลาดโลก”

“นภินทร” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานในงาน “10 ปี MOC Biz Club รวมพลังเครือข่ายผู้นำขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย” โดยมีผู้นำเครือข่ายธุรกิจ MOC Biz Club จากทั่วประเทศเข้าร่วม ณ โรงแรมอมารี ดอนเมือง แอร์พอร์ต กรุงเทพฯ ในวันพฤหัสบดีที่ 24 เมษายน 2568 

        

นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ประกอบการ MSME มากถึง 99.5% ซึ่งผู้ประกอบการ MSME จะประกอบธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ ต้องมีปัจจัยหลายประการ ทั้งการวางแผนกลยุทธ์ ทุน และองค์ความรู้อื่นๆ กระทรวงพาณิชย์ ได้ให้ความสำคัญในเรื่องดังกล่าว และต้องการช่วยให้ MSME สามารถประกอบธุรกิจและเติบโตได้ทันสถานการณ์โลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จึงได้ริเริ่มผลักดันสร้างเครือข่ายธุรกิจ MOC Biz Club มาตั้งแต่ปี 2554 จนขยายพื้นที่ครอบคลุมทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศในปี 2559 เพื่อส่งเสริมการรวมกลุ่มของผู้ประกอบการในพื้นที่ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ถ่ายทอดประสบการณ์ ให้คำปรึกษา แก้ไขปัญหา และพัฒนาธุรกิจ โดยมีกลไกความร่วมมือระหว่างส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ได้แก่ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า สำนักงานพาณิชย์จังหวัด คณะกรรมการ Biz Club Thailand และประธานเครือข่ายธุรกิจ MOC Biz Club ทั้ง 77 จังหวัด ซึ่งเครือข่ายธุรกิจ MOC Biz Club เป็นกลุ่มผู้ประกอบการที่มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ตั้งแต่ระดับชุมชน จังหวัด ภูมิภาค ไปจนถึงระดับประเทศ

ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินนโยบายส่งเสริมและพัฒนาเครือข่ายธุรกิจ MOC Biz Club ในด้านต่างๆ จนเกิดความสำเร็จจากการรวมกลุ่มเครือข่ายธุรกิจเกิดขึ้นหลายประการ ได้แก่ (1) การสร้างเครือข่ายธุรกิจ ในปัจจุบันเครือข่ายธุรกิจ MOC Biz Club มีจำนวน 14,870 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568) ครอบคลุมผู้ประกอบการทุกขนาด ตั้งแต่รายย่อยไปจนถึงผู้ประกอบการรายใหญ่ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 60,000 ล้านบาท (2) การพัฒนาศักยภาพเครือข่ายธุรกิจ สำหรับประธานเครือข่ายและสมาชิก MOC Biz Club อาทิ การอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการบริหารจัดการธุรกิจในด้านต่างๆ รวมถึงการใช้เทคโนโลยี การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ถ่ายทอดประสบการณ์ และการให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญ รวมทั้งรูปแบบการเรียนออนไลน์ผ่านหลักสูตร e-learning ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (3) การเชื่อมโยงเครือข่ายธุรกิจและพันธมิตรทางการค้า ซึ่งสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจแล้วกว่า 1,200 ล้านบาท ผ่านการจัดกิจกรรมการจัดแสดงและจำหน่ายสินค้าและการเจรจาจับคู่ธุรกิจ การจัดตั้ง “Biz Shop / Biz Corner” ซึ่งปัจจุบันมีจำนวน 13 แห่งใน 12 จังหวัด จำหน่ายสินค้ารวมกว่า 200 ราย สามารถสร้างมูลค่ากว่า 40 ล้านบาท

ในปี 2569 กระทรวงพาณิชย์ตั้งเป้าส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการในเครือข่ายธุรกิจ MOC Biz Club รวมถึงผู้ประกอบการรายย่อยและขนาดย่อม (Micro & Small Enterprises) จำนวนไม่น้อยกว่า 400 ราย สร้างมูลค่ากว่า 130 ล้านบาท ผ่าน 3 แนวทาง ดังนี้ (1) ยกระดับการเชื่อมโยงเครือข่ายสมาชิก MOC Biz Club โดยขยายจำนวนเครือข่ายสมาชิก MOC Biz Club ให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น มีการบริหารจัดการองค์กรที่มีศักยภาพ สามารถบริหารจัดการองค์กรในลักษณะยืนด้วยตนเองได้ ซึ่งอาจจัดตั้งเป็นสมาคมหรือนิติบุคคลในรูปแบบเดียวกับสมาพันธ์หรือสมาคมการค้าต่างๆ โดยมีกระทรวงพาณิชย์และกรมพัฒนาธุรกิจการค้าร่วมเป็นพันธมิตร รวมทั้งกระชับความสัมพันธ์และขยายเครือข่ายกับหน่วยงานพันธมิตรอื่นๆ ที่ช่วยสนับสนุนธุรกิจในด้านต่างๆ เช่น แหล่งเงินทุน การวิจัยและพัฒนา เทคโนโลยีและนวัตกรรม เป็นต้น (2) การเสริมสร้างองค์ความรู้และพัฒนาทักษะผู้ประกอบการ โดยจัดหลักสูตร การพัฒนาศักยภาพประธานเครือข่ายและสมาชิก MOC Biz Club อย่างต่อเนื่อง การให้คำปรึกษาเชิงลึกด้านการทำตลาดออนไลน์ โดยผู้เชี่ยวชาญด้าน e-commerce รวมทั้งการสัมมนาเกี่ยวกับเครื่องมือต่างๆ เกี่ยวกับการขายออนไลน์ และมีอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังมาร่วมแชร์ประสบการณ์ ตลอดจนการจัดทำ “แพลตฟอร์ม DBD SMEs 360” (https://dbdsmes360.dbd.go.th) ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าที่เป็นศูนย์กลางรวบรวมบริการด้านเทคโนโลยีเครื่องมือการทำธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการไว้ ณ จุดเดียว ซึ่งสมาชิกเครือข่าย MOC Biz Club รวมถึง SME สามารถเข้ามาใช้ประโยชน์ได้ รวมถึงส่งเสริมเรื่องการออกแบบเครื่องหมายการค้า และ Packaging เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ (3) การขยายโอกาสทางการตลาดทั้งในและต่างประเทศ ในปี 2568 กรมพัฒนาธุรกิจการค้า จัดงาน “MOC Biz Club Fair 2025 by DBD จำนวน 3 ครั้ง พร้อมตั้งเป้าขยาย Biz Shop 10 สาขา ในปี 2568 และ 20 สาขา ปี 2569 ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถจัดตั้ง Biz Shop ให้ครอบคลุม 77 จังหวัด ภายในปี 2570 รวมทั้งกิจกรรมการเจรจาจับคู่ธุรกิจ “BizclubX Business Matching 2025” ในวันที่ 6 มิถุนายน 2568 ณ อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น เซ็นเตอร์ เมืองทองธานี นอกจากนี้ จะมีการต่อยอดพัฒนาผู้ประกอบการ MOC Biz Club ที่มีศักยภาพความพร้อมในการขยายตลาดออกสู่ต่างประเทศ โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้าประสานการทำงานร่วมกับสำนักงานพาณิชย์จังหวัด และกรมต่างๆ เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับผู้ประกอบการเชื่อมโยงทางการค้ากับประเทศเพื่อนบ้านและต่างประเทศ

การส่งเสริมให้เครือข่ายธุรกิจ MOC Biz Club มีความเข้มแข็ง มีระบบการบริหารจัดการองค์กรที่มีศักยภาพ มีมาตรฐานตามหลักธรรมาภิบาล เติบโตทันกระแสเศรษฐกิจโลก และเป็นที่ยอมรับในทุกระดับ เป็นรากฐานสำคัญขององค์กรที่จะทำให้เครือข่ายธุรกิจ MOC Biz Club พัฒนาไปสู่การจัดตั้งในรูปสมาคมการค้า หรือนิติบุคคลในรูปแบบสมาพันธ์ เพื่อขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างมีทิศทางและมีเสถียรภาพ โดยกระทรวงพาณิชย์ยังคงให้การสนับสนุนและให้ความร่วมมือกับเครือข่ายฯ อย่างใกล้ชิดและแนบแน่นเช่นเดิม เพื่อร่วมกันสร้างความแข็งแกร่งให้เศรษฐกิจประเทศอย่างต่อเนื่อง    

การจัดงาน “10 ปี MOC Biz Club รวมพลังเครือข่ายผู้นำ ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย” ในวันนี้เกิดขึ้นจากความมุ่งมั่นตั้งใจของกระทรวงพาณิชย์เพื่อแสดงถึงความสำเร็จที่เกิดขึ้นจากการรวมกลุ่มของเครือข่ายธุรกิจ MOC Biz Club ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เพื่อขับเคลื่อนเครือข่ายธุรกิจ MOC Biz Club ไปสู่เป้าหมายความสำเร็จที่ตั้งไว้ในอนาคต และเป็นเวทีสำหรับให้ผู้นำเครือข่ายจากทั่วประเทศได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนมุมมองความเห็นในการพัฒนายกระดับธุรกิจ ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางการทำงานของกระทรวงพาณิชย์ที่ต้องการใช้ตลาดและความต้องการของผู้ประกอบการเป็นตัวนำกำหนดทิศทางและนโยบายในการสนับสนุนให้ตรงตามความต้องการของภาคธุรกิจ เพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน เกิดการเชื่อมโยงเครือข่ายธุรกิจแบบเกื้อกูลซึ่งกันและกัน นำไปสู่การสร้างต้นแบบการทำงานร่วมกันในระดับพื้นที่ จนสามารถขยายขอบเขตไปสู่ระดับประเทศและระดับสากลในอนาคต และเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยให้เติบโตอย่างมั่นคงต่อไป

4 เสาหลักองค์กรธุรกิจ “กรมพัฒนาธุรกิจการค้า - สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย – มหาวิทยาลัย หอการค้าไทย – ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย” ร่วมกันสร้างพลังผนึก (Synergy) ต่อยอดความสำเร็จ ภายใต้โครงการ Family Business Thailand ให้กับผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ด้วยเป้าหมายสู่การสร้าง “ธรรมนูญครอบครัวแห่งชาติ” ให้กับธุรกิจครอบครัวไทย และการจัดอบรมให้ความรู้ รุ่นที่ 4 ในวันที่ 23 เม.ย.นี้ที่จ. สุราษฎร์ธานี

Family Business Thailand สร้างปรากฏการณ์ใหม่อีกครั้ง โดยในปีนี้ โครงการฯ ได้รับเกียรติจาก ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เข้าร่วมสนับสนุน ในฐานะหนึ่งในสี่พันธมิตรหลักที่สำคัญ เพื่อร่วมสนับสนุนด้านองค์ความรู้และแนวทางพัฒนาธุรกิจครอบครัวให้เติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งเชื่อมโยงโอกาสสู่ตลาดทุน

ทั้งนี้ นับจากการเริ่มต้นโครงการฯ เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2567 โครงการฯ ได้จัดอบรมให้กับผู้ประกอบการ SMEs มาแล้ว 3 รุ่นที่ กรุงเทพฯ, ชลบุรี และเชียงใหม่ โดยได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และในปีนี้ได้จัดการอบรมรุ่นที่ 4 ในวันที่ 23 เมษายน 2568 ที่โรงแรมแก้วสมุยรีสอร์ท จ.สุราษฎร์ธานี เพื่อให้ผู้ประกอบการในภาคใต้ได้เข้าร่วมและพัฒนาศักยภาพอย่างต่อเนื่อง

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กล่าวว่า ธุรกิจครอบครัวเป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจไทยและเป็นกำลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ เราจึงได้ริเริ่มโครงการ Family Business  Thailand โดยความร่วมมือกับ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อเสริมสร้างศักยภาพของธุรกิจครอบครัวไทยให้สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน ผ่านการสนับสนุนในหลายมิติ อาทิ การอบรมสัมมนา การเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญ และกรณีศึกษาธุรกิจต้นแบบ การจัดทำธรรมนูญครอบครัวเพื่อลดความขัดแย้ง และการพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการ โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กที่ต้องการพัฒนาการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ

นอกจากนี้ กรมฯ ยังมีแนวทางขยายความร่วมมือไปยังพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น สถาบันการเงิน เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุน สถาบันการศึกษาและวิจัย เพื่อพัฒนาหลักสูตรการบริหารธุรกิจครอบครัว รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐและองค์กรภาคเอกชนอื่น ๆ ที่ช่วยสนับสนุนธุรกิจครอบครัว ซึ่งความร่วมมือเหล่านี้จะช่วยให้ธุรกิจครอบครัวไทยสามารถปรับตัวและเติบโตได้อย่างยั่งยืน”

ขณะที่ นายสนั่น  อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย และ สภาหอการค้าแห่ง ประเทศไทย กล่าวว่า “แม้ธุรกิจครอบครัวมีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจในประเทศไทย และสามารถสร้างผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) คิดเป็น 71.23% ทว่า ในทางปฏิบัติ ธุรกิจครอบครัว ส่วนใหญ่มักมีปัญหาการส่งต่อธุรกิจ โดยมีสาเหตุที่สำคัญจากความไม่เข้าใจของสมาชิกในครอบครัวที่มีช่องว่างระหว่างรุ่น (Generation Gap) กันอยู่มาก ฉะนั้น การมีกลไกหรือวิธีการจัดการ นั่นก็คือการสร้าง “ธรรมนูญครอบครัว” เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน รวมทั้งการจัดตั้ง “สภาครอบครัว” เพื่อเป็นเวทีในการแก้ไขปัญหาก็จะช่วยให้ธุรกิจครอบครัวเติบโตได้อย่างยั่งยืน ดังนั้น โครงการ Family Business Thailand จึงนับ เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการทำความเข้าใจเรื่องการสร้างธรรมนูญครอบครัว อีกทั้งยังสามารถแบ่งปันประสบการณ์จากธุรกิจครอบครัวที่ประสบความสำเร็จ เพื่อให้ธุรกิจครอบครัวอื่น ๆ ใช้เป็นกรณีศึกษาได้ อีกทั้งยังจะสามารถต่อยอดสู่เป้าหมายของการพัฒนา “ธรรมนูญแห่งชาติ” ในอนาคตสำหรับธุรกิจครอบครัวในระดับมหภาคอีกด้วย

ในทางปฏิบัติ ​“คนรุ่นใหญ่” ในธุรกิจครอบครัวเองก็ต้องรับฟัง “คนรุ่นใหม่” ด้วยความเข้าใจ อีกทั้งทำหน้าที่ต้องให้แง่คิด มุมมองต่าง ๆ ที่ดี มิใช่การสั่งเพียงอย่างเดียว เพื่อช่วยประคับประคองและเข้าถึงคนรุ่นใหม่ได้ดีขึ้น และจะส่งผลให้การสืบทอดหรือการส่งต่อธุรกิจเป็นไปได้อย่างราบรื่น เนื่องจากเป็นกระบวนการที่ต้องใช้ระยะเวลา ดังนั้น องค์กรธุรกิจ ซึ่งเป็นพันธมิตรหลักเหล่านี้จึงย่อมจะเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจครอบครัว และทำหน้าที่เป็น “พี่เลี้ยง” ให้กับทุกครอบครัวได้ดำเนินธุรกิจให้เติบโตยิ่ง ๆ ขึ้นไป”

นอกจากนี้ นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย องค์กรพันธมิตรใหม่ล่าสุดของปีนี้ได้กล่าวเสริมว่า

“การสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเติบโตของธุรกิจครอบครัวจึงถือเป็นหัวใจสำคัญของโครงการ Family Business Thailand ซึ่งมีแนวทางการสนับสนุนในหลายมิติ เช่น การพัฒนาองค์ความรู้ด้านการบริหารและการวางแผนสืบทอดกิจการ การให้คำปรึกษาเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ การส่งเสริมหลักธรรมาภิบาลและโครงสร้างธุรกิจที่มีประสิทธิภาพ การสนับสนุนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจครอบครัวและเศรษฐกิจไทยนั้น

ในส่วนของตลาดหลักทรัพย์ฯ เราได้พัฒนา LiVE Platform ให้เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ที่จะช่วยให้ธุรกิจครอบครัวสามารถเข้าถึงหลักสูตรเฉพาะด้าน อาทิ การบริหารจัดการภายใน การปรับโครงสร้างธุรกิจ การวางแผนมรดก และการสร้างกลยุทธ์เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน และในวาระครบรอบ 50 ปีของตลาดหลักทรัพย์ฯ เราได้ขยายความร่วมมือด้านงานวิจัยเพื่อสนับสนุนให้นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญจัดทำงานวิจัยที่เชื่อมโยงธุรกิจครอบครัวกับตลาดทุนและเศรษฐกิจไทย โดยคาดว่า ในกลางปี 2568 จะมีผลงานวิจัยที่ช่วยเสริมสร้างแนวทางการพัฒนาให้ธุรกิจครอบครัวไทยเติบโตอย่างมั่นคง ภายใต้ปณิธานของ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่มุ่งมั่นร่วมสร้างอนาคต เพื่อโอกาสของทุกคน และพร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันให้ธุรกิจครอบครัวไทยก้าวสู่ความมั่นคงและยั่งยืน”

รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวถึงโครงการฯ นี้ในฐานะของสถาบันการศึกษาที่ให้ความสำคัญกับธุรกิจครอบครัวมานับทศวรรษว่า

“การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยในทุกยุคทุกสมัย ไม่เพียงแต่ต้องอาศัยการกำหนดนโยบาย ของภาครัฐ หากแต่ยังต้องอาศัยพลังขับเคลื่อนจากภาคธุรกิจ ซึ่งในบริบทของประเทศไทยก็เช่นเดียวกับ นานาประเทศ ธุรกิจครอบครัวถือเป็นรากฐานสำคัญของระบบเศรษฐกิจ เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีการวางรากฐานอย่างมั่นคงและดำเนินกิจการสืบทอดต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน”

ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยตระหนักถึงบทบาทของตนในการช่วยขับเคลื่อน ส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจครอบครัวให้มีศักยภาพมากขึ้น ดังนั้น เราจึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอน ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการผลิตองค์ความรู้ งานวิจัย และกรณีศึกษาที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริงในทางปฏิบัติ อย่างไรก็ตาม การพัฒนาธุรกิจครอบครัวให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากภาคส่วนต่าง ๆ

ในโอกาสนี้ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้ผสานความร่วมมือกับ สภาหอการค้าไทย ซึ่งมีเครือข่ายสมาชิกกว่า 200,000 ราย กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งมีบทบาทในการกำหนดนโยบายและส่งเสริมภาคธุรกิจ และ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งมีธุรกิจครอบครัวจดทะเบียนอยู่เป็นจำนวนมาก ความร่วมมือระหว่างทั้งสี่หน่วยงานนี้จึงย่อมจะช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับธุรกิจครอบครัวไทยในทุกระดับ ตั้งแต่ขนาดเล็ก ขนาดกลาง ไปจนถึงขนาดใหญ่ อีกทั้งจะสามารถนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืนและสามารถเดินหน้าสู่เป้าหมายของการสร้าง “ธรรมนูญครอบครัวแห่งชาติ” ให้กับธุรกิจครอบครัวไทยในอนาคตอีกด้วย”

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการที่สนใจสามารถติดตามและสมัครเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ที่จัดร่วมกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้ทางเว็บไซต์ www.dbd.go.th หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่กองธุรกิจบริการ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า โทร. 02 5475985 หรือสายด่วน 1570

Page 1 of 2
X

Right Click

No right click