February 03, 2025

พนมเปญ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยตอกย้ำบทบาทผู้นำด้านการศึกษาระดับภูมิภาคด้วยการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับกัมพูชา ในวันที่ 17 มกราคม 2568 คณะผู้บริหารจุฬาฯ นำโดย ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) เข้าเยี่ยมคารวะ ฯพณฯ ดร.ฮัง ชวน นารอนรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เยาวชน และกีฬาแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ซึ่งเป็นศิษย์เก่าหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาบริหารการศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ

ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาฯ เข้าเยี่ยมคารวะ ฯพณฯ ดร.ฮัง ชวน นารอน

การประชุมครั้งนี้มุ่งเน้นขยายความร่วมมือให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นทั้งในด้านการศึกษา และการวิจัย ไม่เพียงแต่กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเสริมสร้างความสัมพันธ์ในภาคการศึกษาระหว่างสองประเทศ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าการศึกษาเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิต อีกทั้งยังร่วมหารือการยกระดับการศึกษาของกัมพูชาผ่านการบูรณาการเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในโรงเรียนและมหาวิทยาลัย โดยจะมีนำ AI มาช่วยเสริมสร้างรูปแบบการเรียนการสอน เพิ่มการเข้าถึงการศึกษาแก่เยาวชนทั่วภูมิภาคอย่างยั่งยืน ซึ่งการหารือเชิงกลยุทธ์ครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของจุฬาฯ ในการส่งเสริมนวัตกรรมด้านการศึกษาและความร่วมมือที่เปิดกว้างในอาเซียน

นอกจากนี้ยังได้เยี่ยมชมการประยุกต์ใช้วิศวกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูงในการจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อม การสร้างพลังสะอาดจากแสงอาทิตย์ และการสร้างหุ่นยนต์อำนวยความสะดวก ณ สถาบันเทคโนโลยีกัมพูชา (Institute of Technology of Cambodia – ITC) ภายใต้การบริหารของ ศ.ดร.โพ คิมโถ ศิษย์เก่าหลักสูตรปริญญาโท สาขาวิชาวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์และการสื่อสาร คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ

 

ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาฯ และ ดร.โพ คิมโถ ผู้บริหารสถาบันเทคโนโลยีกัมพูชา (ITC)

เจ้าหญิงนีน่า นโรดม ศิษย์เก่าคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ ก็เป็นอีกหนึ่งบุคคลที่สะท้อนถึงบทบาทของจุฬาฯ ในการสร้างผู้นำและขับเคลื่อนวัฒนธรรมของกัมพูชา โดยในโอกาสนี้ เจ้าหญิงนีน่า มีกำหนดการพบปะกับคณะผู้บริหารจุฬาฯ เพื่อพูดคุยถึงความประทับใจในช่วงที่ทรงศึกษา ณ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ รวมถึงร่วมหารือถึงแนวทางความร่วมมือทางวิชาการและวัฒนธรรมระหว่างสองสถาบันในอนาคต

 

เจ้าหญิงนีน่า นโรดม ศิษย์เก่าคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ และ คณะผู้บริหารจุฬาฯ

ฯพณฯ ดร.ฮัง ชวน นารอน เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการผลักดันการปฏิรูปการศึกษาของกัมพูชา โดยนำความรู้และทักษะความเป็นผู้นำที่ได้รับจากการศึกษาในจุฬาฯ มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาระบบการศึกษาของประเทศ สะท้อนถึงความร่วมมือด้านการศึกษาที่ยาวนานระหว่างสองประเทศ

นอกจากนี้ ยังมีศิษย์เก่าจุฬาฯ ชาวกัมพูชา จำนวน 10 คน เข้าร่วมพบปะกับรัฐมนตรีในครั้งนี้ ซึ่งสะท้อนถึงความนิยมของจุฬาฯ ในหมู่นักศึกษาชาวกัมพูชา ซึ่งศิษย์เก่าหลายคนได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสำคัญในแวดวงการศึกษา รัฐบาล และอุตสาหกรรมของราชอาณาจักรกัมพูชา

ดร.ฮง คิมเชือง ศิษย์เก่าสาขาการสอนภาษาอังกฤษ คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ และปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคโนโลยี Kampong Speu Institute of Technology (KSIT) และผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการฯ มีบทบาทสำคัญในการประสานความร่วมมือครั้งนี้

ปัจจุบัน มีชาวกัมพูชาที่กำลังศึกษาและทำวิจัยที่จุฬาฯ จำนวน 11 คน ประกอบด้วยนิสิตระดับปริญญาตรี คณะทันตแพทยศาสตร์จำนวน 7 คน นิสิตระดับปริญญาตรี คณะวิทยศาสตร์ จำนวน 1 คน นักวิจัยจำนวน 2 คนในคณะพยาบาลศาสตร์ และสถาบันวิจัยสังคมศาสตร์ รวมถึงบุคลากรจำนวน 1 คน ในคณะแพทยศาสตร์

ชี้ทักษะแห่งอนาคต พร้อมแนะกลยุทธ์สร้างมนุษย์แห่งอนาคต (Future Human) สำหรับประเทศไทย

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (จุฬาฯ) มหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศไทย ร่วมกับ Google Cloud ประกาศตัวโครงการ ‘ChulaGENIE’ เพื่อบุกเบิกการพัฒนาและส่งมอบแอปพลิเคชันที่นำเอาเทคโนโลยี Generative AI อันล้ำสมัยที่สุดในโลกอันหนึ่ง มาให้ประชาคมจุฬาฯ ใช้งานได้อย่างปลอดภัย เชื่อถือได้ และไม่มีค่าใช้จ่าย โดยคาดว่าในระยะแรก ChulaGENIE จะเปิดให้คณาจารย์และบุคลากรใช้งานได้ในเดือนมกราคม 2568 และจะเปิดให้บริการแก่นิสิตทุกคนได้ภายในเดือนมีนาคม 2568 โดยชื่อ ChulaGENIE ย่อมาจาก ‘Chula’s Generative AI Environment for Nurturing Intelligence and Education’

ด้วยการผสานรวมกับ Model Garden บน Vertex AI ทำให้ ChulaGENIE เปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถค้นหาและเลือกใช้โมเดล AI พื้นฐานที่ได้รับการคัดสรรอย่างดี ซึ่งแต่ละโมเดลมีจุดเด่นและความเหมาะสมกับงานที่แตกต่างกัน ในระยะแรกผู้ใช้สามารถใช้งาน Gemini 1.5 Flash หรือ Gemini 1.5 Pro ของ Google และในอนาคตอันใกล้จะมีตัวเลือก ในการใช้โมเดล Claude จาก Anthropic และโมเดล Llama จาก Meta อีกด้วย

ผู้ใช้ ChulaGENIE สามารถใช้ความสามารถในการรองรับหลายภาษา (multilinguality) ของโมเดล Gemini เพื่ออธิบายหัวข้อที่ซับซ้อนให้เข้าใจได้ง่าย รวมถึงสร้างเนื้อหาในภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาอื่น ๆ ด้วยความรวดเร็วและความแม่นยำ และด้วยความสามารถในการรองรับข้อมูลหลายประเภท (multimodality) และขอบเขตการประมวลผลช่วงบริบทที่ยาว (long context window) ของโมเดล Gemini ทำให้ผู้ใช้สามารถอัปโหลดเอกสารที่มีความยาวและซับซ้อน (เช่น เอกสารที่มีความยาว 1.4 ล้านคำ พร้อมตาราง แผนภูมิ และภาพประกอบ) รวมถึงไฟล์ PDF โดยโมเดล Gemini สามารถประมวลผลเนื้อหาและองค์ประกอบภาพในเอกสารเหล่านี้เพื่อช่วยให้ผู้ใช้ดึงข้อมูลหรือวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งมีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับนักวิจัยที่ต้องการสรุปวรรณกรรมทางวิชาการหรือวิเคราะห์ชุดข้อมูลขนาดใหญ่

ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า “เพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ในการเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำด้าน AI ของประเทศไทย (AI University) วันนี้จุฬาฯ ประกาศจับมือกับพันธมิตรระดับโลกเพื่อเร่งรัดการพัฒนา Responsible AI เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับสังคมไทยในระยะยาว การใช้แพลตฟอร์ม Vertex AI ของ Google Cloud ซึ่งรวมเอาความสามารถที่เราต้องการ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการด้านความปลอดภัย และความเป็นส่วนตัวไว้ในที่เดียว รวมถึงความยืดหยุ่นในการเลือกโมเดลผ่าน Model Garden และความสามารถในการปรับแต่งโมเดลพื้นฐานที่ทรงพลังให้เหมาะกับความต้องการที่หลากหลายและการตอบสนองได้แม่นยำ ด้วยความสามารถเหล่านี้ ทำให้จุฬาฯ สามารถพัฒนา ChulaGENIE ได้ภายในเวลาไม่ถึงสามเดือน ทำให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกในประเทศไทยที่มีแอปพลิเคชัน Generative AI สำหรับการใช้งานเพื่อการศึกษาและวิจัยในระดับอุดมศึกษา โดยยึดหลัก Responsible AI และตอบสนองความต้องการของประชาคมในวงกว้าง โดยจุฬาฯ มีแผนที่จะร่วมมือกับ Google Cloud เพื่อพัฒนา ChulaGENIE ให้ดียิ่งขึ้น และส่งเสริมการสร้างนวัตกรรม AI ด้านการศึกษาที่พัฒนาขึ้นเองในประเทศให้ใช้งานได้จริงเพื่อสนับสนุนการศึกษาทุกระดับ”

เสริมศักยภาพให้ประชาคมจุฬาฯ ด้วย AI ที่ปรับแต่งได้และมีความรับผิดชอบ

จุฬาฯ เตรียมเพิ่มฟังก์ชันใหม่บน ChulaGENIE เร็ว ๆ นี้ โดยประชาคมจุฬาฯ จะสามารถสร้างตัวช่วยเฉพาะทางที่ปรับแต่งได้สำหรับงานเฉพาะด้าน ตัวอย่างของตัวช่วย AI ที่ปรับแต่งได้ มีดังนี้:

  • ตัวช่วยด้านการวิจัย ที่ถูกปรับแต่งในประเด็นเฉพาะ เช่น ประสิทธิภาพของเทคนิคการกักเก็บคาร์บอนต่าง ๆ ในวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม หรือการปรับปรุงการจราจรในเขตเมืองในด้านวิศวกรรมโยธา ซึ่งจะช่วยให้อาจารย์และนิสิตสามารถเชื่อมโยงหรือค้นหาความเชื่อมโยงในงานวิจัย รวมถึงเสนอคำถามหรือสมมติฐานใหม่ ๆ ได้
  • ตัวช่วยด้านการศึกษา ที่พัฒนาจากตำรา หรือฐานข้อมูลด้านการศึกษาและอาชีพ พร้อมข้อมูลแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศและข้อพิจารณาด้านจริยธรรม ช่วยให้นิสิตได้รับคำแนะนำที่ปรับให้เหมาะสมและเป็นเฉพาะบุคคลในการเลือกหลักสูตรและการวางแผนเส้นทางอาชีพได้
  • ตัวช่วยด้านการบริหารและธุรการ ที่สามารถเข้าใจและตอบคำถามในประเด็นต่าง ๆ เช่น การสมัครเรียน การลงทะเบียน ทุนการศึกษา การจัดการอาคารสถานที่ หรือการสนับสนุนด้าน IT เป็นต้น

จุฬาฯ ให้ความสำคัญสูงสุดกับการใช้งาน AI ที่มีความรับผิดชอบ โดยทางมหาวิทยาลัยได้นำระบบกรองเนื้อหาของ Vertex AI และนโยบาย AI ของจุฬาฯ มาใช้เพื่อออกแบบ ChulaGENIE มิให้ตอบหรือสร้างเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมหรือเป็นอันตราย นอกจากนี้จุฬาฯ ยังเตรียมเพิ่มความแม่นยำในการตอบคำถามของ ChulaGENIE ด้วยการเปิดใช้งานการ Grounding ด้วย Google Search ซึ่งเป็นฟีเจอร์พิเศษที่พัฒนาโดย Google Cloud

นอกจากนี้จุฬาฯ ยังใช้เทคโนโลยีการเข้ารหัสข้อมูลและการควบคุมการเข้าถึงระดับองค์กรของ Google Cloud เพื่อมอบประสบการณ์ AI ที่มีความเป็นส่วนตัวและปลอดภัย ระบบนี้ช่วยให้มั่นใจได้ว่าคำสั่งหรือข้อมูลที่ผู้ใช้งานป้อนรวมถึงคำตอบของ AI จะไม่ถูกผู้พัฒนาโมเดลภายนอกจุฬาฯ นำไปใช้ในการฝึกโมเดลพื้นฐานที่อยู่เบื้องหลัง ซึ่งเป็นการรักษาความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน ในขณะเดียวกันจุฬาฯ ยังสามารถวิเคราะห์แนวโน้มการใช้งานโดยรวมของ ChulaGENIE เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพของแอปพลิเคชัน และที่สำคัญระบบดังกล่าวยังช่วยป้องกันไม่ให้ ChulaGENIE เผยแพร่ข้อมูลงานวิจัยที่เป็นความลับหรือทรัพย์สินทางปัญญาที่มีความอ่อนไหวโดยไม่ได้ตั้งใจอีกด้วย

ในอนาคต จุฬาฯ มีแผนที่จะขยายความร่วมมือกับ Google Cloud เพื่อพัฒนาโมเดลภาษาไทยขนาดใหญ่แบบโอเพ่นซอร์สที่เน้นเฉพาะด้านสำหรับการศึกษาในระดับอุดมศึกษา โมเดลนี้สามารถนำไปใช้ในการพัฒนาแอปพลิเคชันที่ปรับให้เหมาะกับความเร็วและรูปแบบการเรียนรู้ของนิสิตแต่ละคน โดยให้แบบฝึกหัด คำอธิบาย และข้อเสนอแนะที่ปรับแต่งได้ตามความต้องการ นอกจากนี้ โมเดลดังกล่าวยังสามารถสนับสนุนแอปพลิเคชันที่วิเคราะห์หลักสูตรที่มีอยู่ เพื่อค้นหาช่องว่างหรือจุดที่ควรปรับปรุง พร้อมเสนอแนวทางแก้ไขโดยอ้างอิงจากงานวิจัยล่าสุดและแนวโน้มด้านการศึกษาในปัจจุบัน

เสริมทักษะ AI ที่จำเป็นให้กับประชาคมจุฬาฯ

จุฬาฯ อบรมคอร์ส Google AI Essentials ให้กับบุคลากร คณาจารย์ และนักศึกษา โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ภายใต้โครงการ Samart Skills ของ Google ซึ่งในปัจจุบันมีผู้สำเร็จหลักสูตรนี้แล้วกว่า 800 คน และได้รับใบรับรองจาก Google เพื่อยืนยันความเชี่ยวชาญในการใช้งานเครื่องมือ Generative AI โดยคอร์ส Google AI Essentials นี้มุ่งเน้นให้ผู้เรียนพัฒนาทักษะการใช้งาน AI ผ่านวิดีโอการสอนจากผู้เชี่ยวชาญ การฝึกปฏิบัติจริง รวมถึงการประเมินผล และเครื่องมืออื่น ๆ โดยมีเป้าหมายให้ผู้เรียนเข้าใจเทคนิคการเขียนคำสั่ง (prompting) และการใช้งาน AI อย่างมีความรับผิดชอบ

ทั้งนี้ จุฬาฯ กำลังปรับหลักสูตร Google AI Essentials ให้เรียบง่ายขึ้นสำหรับผู้เรียนที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก เพื่อให้ประชาคมจุฬาฯ ทุกคนสามารถเรียนรู้การใช้งาน ChulaGENIE ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มประสิทธิผลในการทำงาน แก้ไขปัญหาในโลกความเป็นจริง และส่งเสริมการสร้างนวัตกรรมในสาขาของตนเอง

นายอรรณพ ศิริติกุล Country Director, Google Cloud ประเทศไทย กล่าวว่า “ที่ Google Cloud เราเชื่อมั่นว่าประโยชน์ของ AI ขึ้นอยู่กับความแม่นยำและการนำไปใช้อย่างรับผิดชอบ แพลตฟอร์ม Vertex AI ของเราช่วยให้องค์กรต่าง ๆ อย่างเช่น จุฬาฯ สามารถนำ Responsible AI ไปใช้ได้จริงผ่านฟีเจอร์ต่าง ๆ เช่น Grounding บริการประเมินโมเดล และเครื่องมือที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์มาตรฐานที่เข้มงวดในด้านการกำกับดูแลข้อมูล ความเป็นส่วนตัว และการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา การเปิดตัว ChulaGENIE อย่างรวดเร็วของจุฬาฯ ตอกย้ำคุณค่าของแนวทางที่เน้นแพลตฟอร์มเป็นศูนย์กลาง (platform-first approach) สำหรับโครงการริเริ่มด้าน AI เชิงกลยุทธ์ ซึ่งช่วยให้สามารถพัฒนา ติดตั้ง และจัดการ AI ได้ในวงกว้าง ประกอบกับการพัฒนาโมเดลภาษาไทยขนาดใหญ่สำหรับการศึกษาในระดับอุดมศึกษา และโครงการพัฒนาทักษะ AI ของ Google จะช่วยเปิดโอกาสใหม่ ๆ ในด้านการวิจัยและวิชาการ ซึ่งในท้ายที่สุดจะสร้างประโยชน์ให้กับสังคมไทยของเรา”

จุฬาฯ เปิดตัวศูนย์นวัตกรรมการวิจัยและพัฒนาโกโก้ไทยเพื่อความยั่งยืน ISTC กู้วิกฤตราคาโกโก้ตกต่ำโดยส่งเสริมแนวปฏิบัติอย่างยั่งยืนและพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ นำโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธัญศิภรณ์ ณ น่าน สำนักวิชาทรัพยากรการเกษตร จุฬาฯ ศูนย์นวัตกรรมแห่งนี้จัดตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและธุรกิจด้านระบบนิเวศโกโก้ในประเทศไทย โดยใช้การศึกษา งานวิจัย และนวัตกรรม โดยมีเป้าหมายหลัก คือ การนำผลผลิตโกโก้ไปสู่ตลาดสินค้าคุณภาพสูงด้วยรสชาติและกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพื่อทำให้โกโก้ไทยได้เปรียบในการแข่งขันกับตลาดทั่วโลก

ผลผลิตได้น้อยลง ด้วยสภาพอากาศที่เหมาะสม ประเทศไทยจึงถูกมองว่าเป็นศูนย์กลางการปลูกโกโก้แห่งใหม่ที่มีศักยภาพ เกษตรกรชาวไทยจำนวนมาก โดยเฉพาะในจังหวัดน่าน (ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็น “ จังหวัดโกโก้” ในปัจจุบัน) ก็ได้เริ่มหันมาเพาะปลูกโกโก้โดยมองว่าเป็นผลผลิตที่จะมีมูลค่าทางเศรษฐกิจที่ดีในอนาคต อย่างไรก็ตามเกษตรกรก็ยังขาดความรู้ที่ถูกต้องสำหรับการเพาะปลูก การเก็บเกี่ยว และการหมักโกโก้ ทำให้ได้ผลผลิตไม่ได้มาตรฐาน อีกทั้งยังทำให้เมล็ดโกโก้มีคุณภาพต่ำ ส่งผลให้ไม่มีผู้รับซื้อ ผลผลิตราคาตก และถูกทิ้งเป็นจำนวนมาก

เพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ ศูนย์ ISTC ซึ่งดำเนินการภายใต้โครงสร้างของบริษัท ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมจามจุรี จำกัด จึงได้เข้ามามีบทบาทในการให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่เกษตรกรในด้านวิธีการเพาะปลูกโกโก้ที่เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ พร้อมทั้งเสริมสร้างศักยภาพและความสามารถในทุกหน่วยธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับโกโก้ นอกจากนี้ทางศูนย์ฯ ยังได้ส่งเสริมการแปรรูปและการหมักโกโก้ในท้องถิ่น เพื่อคงคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ลดการสูญเสียคุณภาพระหว่างการขนส่ง

ทางศูนย์ฯ ยังมีบริการด้านการรับรองคุณภาพด้วยระบบการจัดการคุณภาพโกโก้ที่ทันสมัย และระบบรับรองมาตรฐานคุณภาพเมล็ดโกโก้ เพื่อยกระดับคุณภาพและมาตรฐานโกโก้ไทยในระดับโลก นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาแอปพลิเคชันสำหรับเกษตรกรเพื่อแนะนำการเลือกพื้นที่ที่เหมาะสมกับการปลูกโกโก้เป้าหมายระยะยาวของ

ศูนย์ ISTC คือ การสร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัวให้กับโกโก้ของไทย โดยการสร้างกลิ่นและรสชาติที่โดดเด่นตามพื้นที่เพาะปลูกที่แต่ละที่ การหมักในลักษณะที่เป็นงานคราฟ และการเล่าเรื่องราวเพื่อเพิ่มคุณค่า

ของผลิตภัณฑ์ ทางศูนย์ฯ ยังได้ส่งเสริมให้เกษตรกรมุ่งเน้นไปที่การผลิตโกโก้คุณภาพสูงที่เป็น Single Origin ซึ่งมีมูลค่าสูงในตลาดเฉพาะกลุ่ม ศูนย์ ISTC ได้มุ่งหวังที่จะยกระดับโกโก้ไทยให้เป็นพืชเศรษฐกิจแบบยั่งยืน

สร้างผลประโยชน์ให้แก่เกษตรกรและอุตสาหกรรมในวงกว้าง โดยใช้การศึกษา การรับรองคุณภาพ และนวัตกรรม

 

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนำความภาคภูมิใจให้สถาบันอุดมศึกษาไทยในเวทีโลกอีกครั้ง ครองอันดับ Top 50 ของโลกจาก Times Higher Education Impact Rankings 2024 ซึ่งเป็นการจัดอันดับมหาวิทยาลัยที่มีการดำเนินงานเพื่อสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนและสร้างผลกระทบสูงต่อสังคม

การจัดอันดับมหาวิทยาลัยโดย THE Impact Rankings 2024 ประเมินจากบทบาทของมหาวิทยาลัยทั้งในด้านงานวิจัย การบริหารหน่วยงาน งานบริการวิชาการ และการเรียนการสอนที่ตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals: SDGs) มีสถาบันอุดมศึกษาทั่วโลกเข้าร่วมการจัดอันดับทั้งสิ้น 2,152 แห่ง จาก 125 ประเทศ และจุฬาฯ ได้รับการจัดอันดับเป็นที่ 1 ของไทยใน SDG 9 Industry, Innovation and infrastructure (การพัฒนานวัตกรรม อุตสาหกรรม และโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน)

ความสำเร็จของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยซึ่งติด Top 50 “มหาวิทยาลัยด้านความยั่งยืน” โดย THE Impact Rankings 2024 สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่ให้ความสำคัญในด้าน SDGs Impact โดยได้มีการดำเนินงานในเรื่องนวัตกรรมเพื่อสังคม และการพัฒนาอย่างยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง ติดตามผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยได้ที่ https://www.timeshighereducation.com/impactrankings

Page 1 of 4
X

Right Click

No right click