September 08, 2024

“ซีพี ออลล์” ผู้บริหารร้านเซเว่น อีเลฟเว่น และ เซเว่น เดลิเวอรี่ และ ผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) เตรียมออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนชุดใหม่ เพื่อทดแทนหุ้นกู้ด้อยสิทธิฯ ครั้งที่ 1/2559 ที่บริษัทฯ มีแผนจะใช้สิทธิในการไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนกำหนดในวันที่ 30 พฤศจิกายนนี้ โดยเสนอขายแก่ผู้ถือหุ้นกู้ด้อยสิทธิฯ ชุดเดิม และประชาชนทั่วไปช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ ผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ 7 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย และบริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร ด้วยอันดับความน่าเชื่อถือขององค์กรที่ “A+” แนวโน้ม “คงที่” และอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ด้อยสิทธิฯ ที่ “A-” โดยทริสเรทติ้ง  

นายเกรียงชัย บุญโพธิ์อภิชาติ  ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน  บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า “ซีพี ออลล์”  เตรียมออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน ไถ่ถอนเมื่อเลิกบริษัท (“หุ้นกู้ด้อยสิทธิฯ”) ชุดใหม่ เพื่อชำระคืนหุ้นกู้ด้อยสิทธิฯ ครั้งที่ 1/2559 ของบริษัทฯ ที่ซีพี ออลล์ มีแผนจะใช้สิทธิไถ่ถอนก่อนกำหนดในช่วงปลายปีนี้ โดยบริษัทฯ อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลกับสำนักงาน ก.ล.ต. และมีแผนจะเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิฯ ชุดใหม่ให้กับผู้ถือหุ้นกู้ด้อยสิทธิฯ ครั้งที่ 1/2559 ชุดเดิม และผู้ลงทุนทั่วไป คาดว่าจะเปิดให้ผู้ถือหุ้นกู้ด้อยสิทธิฯ ชุดเดิมจองซื้อได้ระหว่างวันที่ [10-12] พฤศจิกายน 2564 และผู้ลงทุนทั่วไประหว่างวันที่ [22-26 และ 29] พฤศจิกายน 2564 ซึ่งจะมีการกำหนดอัตราผลตอบแทนและจะแจ้งรายละเอียดการจองซื้อให้กับผู้ถือหุ้นกู้ด้อยสิทธิฯ ครั้งที่ 1/2559 และผู้ลงทุนทั่วไปให้ทราบในภายหลัง

สำหรับหุ้นกู้ด้อยสิทธิฯ ครั้งที่ 1/2559 นั้น มีข้อกำหนดที่บริษัทฯ สามารถใช้สิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนกำหนด หรือ call option ได้ในวันแรกคือวันที่  30  พฤศจิกายน  2564  ที่จะถึงนี้  บริษัทฯ  จึงมีแผนจะใช้สิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ดังกล่าวก่อนกำหนด  และออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิฯ ชุดใหม่มาทดแทน เพื่อทำให้บริษัทฯ มีโครงสร้างทางการเงินที่เหมาะสมและมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งต่อไป ตามมาตรฐานบัญชีฉบับปัจจุบันที่บริษัทฯ สามารถนับหุ้นกู้ด้อยสิทธิฯ ชุดใหม่นี้เป็นส่วนของทุนทางบัญชีได้ทั้งจำนวน นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ให้สิทธิจองซื้อแก่ผู้ถือหุ้นกู้ด้อยสิทธิฯ ชุดเดิมได้จองซื้อด้วย นับเป็นการเปิดโอกาสให้แก่ผู้ลงทุนสามารถลงทุนในหุ้นกู้ด้อยสิทธิฯ ชุดใหม่ของบริษัทได้อย่างต่อเนื่อง

“หุ้นกู้ด้อยสิทธิฯ  ‘ซีพี ออลล์’ เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่เข้าใจความเสี่ยงและต้องการกระจายการลงทุนที่หลากหลาย ซึ่งหุ้นกู้ด้อยสิทธิฯ ของ ‘ซีพี ออลล์’ ที่จะออกเสนอขายในครั้งนี้ ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือองค์กรที่ระดับ ‘A+’ แนวโน้ม ‘คงที่’  และอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ด้อยสิทธิฯ ที่ระดับ ‘A-’ จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2564 ซึ่งสะท้อนถึงการเป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทย ที่มีความมั่นคงภายใต้อุตสาหกรรมที่ยังมีศักยภาพในการเติบโตสูง นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีความพร้อมในการดำเนินธุรกิจ มุ่งสู่การให้บริการผ่านออนไลน์ด้วยกลยุทธ์แบบ O2O ที่ผสมผสานช่องทาง Omni-Channel ทั้งออนไลน์และออฟไลน์  ทั้งการให้บริการผ่านออลล์ ออนไลน์ (ALL Online)  ที่เน้นแนวคิด  สะดวก  ครบ จบที่เดียว รวมถึงบริการเดลิเวอรี่ของ ‘เซเว่น อีเลฟเว่น’ (7-Eleven Delivery) ที่จัดส่งสินค้าถึงบ้าน ผ่านทางแอปพลิเคชัน เพื่อตอบรับกับไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภคอีกด้วย”  นายเกรียงชัยกล่าว

ทั้งนี้ “ซีพี ออลล์” เป็นผู้ประกอบธุรกิจหลักในการบริหารร้านสะดวกซื้อที่มีเครือข่ายกระจายครอบคลุมพื้นที่ทุกจังหวัด ซึ่งมุ่งมั่นในการส่งมอบสินค้าและบริการที่สะดวกสบาย หลากหลาย เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าได้เข้าถึงสินค้าและบริการ ภายใต้แบรนด์  “เซเว่น อีเลฟเว่น”  โดย ณ วันที่  30  มิถุนายน  2564  บริษัทฯ  มีสาขา “เซเว่น อีเลฟเว่น”  เปิดให้บริการ 12,743 สาขาทั่วประเทศ โดยภายในปีนี้ บริษัทฯ มีแผนที่จะเปิดสาขาเพิ่มอีก 700 สาขา รวมถึงเตรียมพร้อมสำหรับการเปิดสาขาในประเทศกัมพูชาและประเทศลาว หลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ซึ่งล่าสุด เพิ่งได้มีการเปิดร้าน 7-Eleven สาขาแรก ในกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เป็นที่เรียบร้อย เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม ที่ผ่านมา

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน ซีพี ออลล์” กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้ว่าบริษัทฯ จะต้องเผชิญกับความท้าทายจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19  รวมถึงความไม่แน่นอนจากภาวะเศรษฐกิจ  แต่  “ซีพี ออลล์”  สามารถปรับตัวเพื่อรับมือกับความผันผวนดังกล่าว พร้อมๆ กับมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจตามแนวทางพัฒนาเพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตอย่างยั่งยืน ทำให้บริษัทฯ ประสบความสำเร็จโดยได้รับการยอมรับจากหน่วยงานระดับสากล ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจค้าปลีกระดับโลกที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นผู้นำด้านองค์กรความยั่งยืน อันดับ 1 ของกลุ่ม World Index ประเภท Food & Staples Retailing Industry ในกลุ่มดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices หรือ DJSI) รวมถึงได้รับคัดเลือกให้เข้าเป็นสมาชิกในดัชนีหุ้นยั่งยืน Thailand Sustainability Investment (THSI) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 และในปี 2564 นี้ บริษัทฯ ยังได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิกในดัชนี FTSE4 Good Index ใน Food Retailers & Wholesalers ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 ซึ่งเป็นดัชนีที่ได้รับความเชื่อถือระดับโลก สะท้อนให้เห็นถึงการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลที่แข็งแกร่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากลของ “ซีพี ออลล์”

นอกจากนี้ นิตยสารไฟแนนซ์เอเชีย (FinanceAsia) สื่อสิ่งพิมพ์ชั้นนำซึ่งได้รับการยอมรับในระดับภูมิภาค ในฐานะผู้เผยแพร่ข่าวสาร และข้อมูลเชิงลึกด้านการเงิน และตลาดทุนขององค์กรในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ได้ประกาศรายชื่อสุดยอดบริษัทแห่งเอเชีย ประจำปี 2564 (FinanceAsia Asia’s Best Companies 2021) ซึ่งบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ได้รับการยกย่องในฐานะสุดยอดองค์กรถึง 3 ด้าน ประกอบด้วย บริษัทจดทะเบียนที่มีการบริหารงานยอดเยี่ยม (Best Managed Listed Company) บริษัทที่มีความมุ่งมั่นสร้างสรรค์ประโยชน์เพื่อสังคมยอดเยี่ยม (Most Committed to Social Causes) และบริษัทด้านนักลงทุนสัมพันธ์ ยอดเยี่ยม (Best Investor Relations) และล่าสุด Institutional Investor LLC ซึ่งเป็นผู้นำระดับโลกด้านการวิจัยนักลงทุนสัมพันธ์ และเป็นผู้เผยแพร่ข้อมูลทางธุรกิจโดยมุ่งเน้นด้านการเงินระหว่างประเทศเป็นหลัก ที่ได้รับการยอมรับมากว่า 50 ปี ได้ประกาศผลรางวัล Institutional Investor (II Awards) ประจำปี 2564 ซึ่งเป็นรางวัลที่ยกย่องบุคคล และบริษัทที่เป็นเลิศในด้านการบริหารการเงิน โดยในปีนี้บริษัทฯ คว้าไปถึง 3 รางวัล ได้แก่ Honored Companies ที่มอบให้กับ “ซีพี ออลล์” รางวัล Best CFO และ รางวัล Best IR Program  

“ด้วยความมั่นคงและโอกาสในการเติบโตของ ‘ซีพี ออลล์’ ภายใต้ความร่วมมือของสถาบันการเงินชั้นนำทั้ง 7 แห่ง ที่ทำหน้าที่จัดจำหน่ายหุ้นกู้ด้อยสิทธิฯ ของบริษัทฯ ในครั้งนี้ ทำให้เรามั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนที่สนใจได้เป็นอย่างดีเหมือนกับการเสนอขายหุ้นกู้ทุกครั้งที่ผ่านมา” นายเกรียงชัยกล่าว

ทั้งนี้ ผู้ลงทุนซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นกู้ด้อยสิทธิฯ ครั้งที่ 1/2559 ที่สนใจจองซื้อหุ้นกู้ด้อยสิทธิฯ ของ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ครั้งนี้ ติดต่อได้ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) โทร. 02-777-6784

และสำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่สนใจจองซื้อหุ้นกู้ด้อยสิทธิฯ ของ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ครั้งนี้ สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากร่างหนังสือชี้ชวน หรือติดต่อผ่านสถาบันการเงิน ดังนี้  

ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (ยกเว้นสาขาไมโคร) โทร. 1333

ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-111-1111

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) โทร. 1572

ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-888-8888 กด 819

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) โทร. 02-777-6784

ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-626-7777

บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน)* โทร. 02-165-5555

* ซึ่งรวมถึงธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของบริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน)

การสร้างความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มธุรกิจ SMEs ก็เปรียบเสมือนการสร้างความแข็งแรงทางเศรษฐกิจของไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน

FTSE Russell (Financial Times Stock Exchange Russell) บริษัทอิสระที่จัดตั้งขึ้นโดย The Financial Times และ London Stock Exchange ในปี 1995 เพื่อทำดัชนีในระดับสากล (Independent Global Index Provider) ซึ่งมีความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ในการจัดทำดัชนีให้ตลาดหลักทรัพย์หลายๆ แห่งทั่วโลก อาทิ ตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน ตลาดหลักทรัพย์แนสแด็ก ตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ ตลาดหลักทรัพย์เบอร์ซ่ามาเลเซีย ตลาดหลักทรัพย์โตเกียว เป็นต้น ได้ประกาศรายชื่อบริษัทที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิก FTSE4Good Index ประจำปี 2021 ซึ่งเป็นหนึ่งในดัชนีชั้นนำที่ประเมินศักยภาพการดำเนินงานด้านความยั่งยืนในมิติสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG)  ที่ได้รับการยอมรับระดับโลก 

โดย บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ ได้รับคัดเลือกเป็นปีที่ 4 ติดต่อกันแล้ว (2561-2564) ในกลุ่ม Food Retailers & Wholesalers ซึ่งมีคะแนนสูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมในทุกมิติจากคะแนนเต็ม 5.0 ไม่ว่าจะเป็น ด้านสิ่งแวดล้อมที่ 4.1 คะแนน (ค่าเฉลี่ย 1.3) ด้านสังคม 4.0 คะแนน (ค่าเฉลี่ย 2.0) และด้านธรรมาภิบาล 5.0 คะแนน (ค่าเฉลี่ย 3.6) ทำให้ยังรักษาระดับคะแนนเฉลี่ยรวมไว้ได้ที่ 4.3 คะแนน ขณะเดียวกัน เมื่อลงลึกไปในแต่ละด้านปรากฏว่า ซีพี ออลล์ ได้คะแนนสูงกว่าคะแนนเฉลี่ยของประเทศไทยในเกือบทุกตัวชี้วัด ประกอบด้วย มิติสิ่งแวดล้อม ด้านการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ 3.0 คะแนน (ค่าเฉลี่ย 2.0 คะแนน) ด้านห่วงโซ่อุปทานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 5.0 คะแนน (ค่าเฉลี่ย 2.8 คะแนน) ด้านมลภาวะและทรัพยากร 4.0 คะแนน (ค่าเฉลี่ย 3.2 คะแนน) มิติสังคม ด้านความรับผิดชอบต่อลูกค้า 5.0 คะแนน (ค่าเฉลี่ย 2.9 คะแนน) ด้านสิทธิมนุษยชนและชุมชน 4.0 คะแนน (ค่าเฉลี่ย 3.1 คะแนน) ด้านห่วงโซ่อุปทานทางสังคม 4.0 คะแนน (ค่าเฉลี่ย 2.9 คะแนน) มิติธรรมาภิบาล ด้านการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น 5.0 คะแนน (ค่าเฉลี่ย 4.5) และด้านการกำกับดูแลกิจการ 5.0 คะแนน (ค่าเฉลี่ย 4.4 คะแนน) 

นายธานินทร์ บูรณมานิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซีพี ออลล์ กล่าวว่า การได้รับเกียรติให้เข้าเป็นสมาชิก FTSE4Good Index ตั้งแต่ปี 2561 ไม่เพียงเป็นความภาคภูมิใจของทุกคนที่ซีพี ออลล์ แต่ยังถือเป็นเครื่องพิสูจน์ความมุ่งมั่นของบริษัทในการเติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมกับสังคม โดยคำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม ตามปณิธานองค์กร ร่วมสร้างสรรค์และแบ่งปันโอกาสให้ทุกคน ซึ่ง ซีพี ออลล์ให้คำมั่นจะพัฒนาอย่างต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง 

“ค่านิยม 3 ประโยชน์ของเครือเจริญโภคภัณฑ์ ได้แก่ การสร้างประโยชน์ต่อประเทศชาติ ประชาชน และองค์กร เป็นสิ่งที่ซีพี ออลล์ ยึดมั่นเสมอมาในการดำเนินธุรกิจกว่า 33 ปี เพื่อขับเคลื่อนองค์กรไปสู่ความยั่งยืนที่ครอบคลุมทั้งการดูแลสิ่งแวดล้อม อยู่เคียงข้างสังคม และมีธรรมาภิบาล รวมทั้งเตรียมพร้อมรับมือกับท้าทายใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นจากการพัฒนาของเทคโนโลยี ตลอดจนปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้อย่างโรคระบาด จนทำให้วิถีชีวิตผู้คนเปลี่ยนแปลงไป เพื่อบรรลุตามพันธกิจที่วางไว้ ในการสร้างความผูกพันกับลูกค้าด้วยสินค้าและบริการที่เปี่ยมด้วยนวัตกรรม มุ่งสู่องค์กรคุณภาพและมีความยั่งยืน” นายธานินทร์ กล่าวเน้นย้ำ 

สำหรับการประเมิน FTSE4Good Index ในปีนี้ มีตัวชี้วัดทั้งสิ้น 156 ตัวชี้วัด ใน 10 หัวข้อหลัก ที่ครอบคลุมทั้งด้านนโยบาย การบริหารจัดการ การประเมินและจัดการความเสี่ยง และการรายงานผล โดยยึดข้อมูลที่เปิดเผยสู่สาธารณะจากรายงานของบริษัททั้งรายงานการพัฒนาอย่างยั่งยืน รายงานประจำปี รวมทั้งเว็บไซต์ขององค์กร 

ซีพี ออลล์ ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และ เซเว่น เดลิเวอรี่ เดินหน้าขับเคลื่อนนโยบาย เซเว่น โก กรีน  2021 เพื่อสิ่งแวดล้อม 24 ชั่วโมง ภายใต้การดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคมและบรรษัทภิบาล (Environmental, Social and Governance : ESG) เพื่อสังคม ชุมชน และประเทศชาติ อย่างยั่งยืน พร้อมเชิญชวนคนไทย ลด ละ เลิกใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง เพื่อลดปัญหาสิ่งแวดล้อม

 

นายยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล กรรมการผู้จัดการ (ร่วม) บมจ.ซีพี ออลล์ เผยถึงนโยบาย 7 Go Green  2021 เพื่อสิ่งแวดล้อม 24 ชั่วโมง ว่า ซีพี ออลล์ มีความมุ่งมั่นที่จะร่วมพัฒนาชุมชนและสังคมควบคู่ไปกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ภายใต้ชื่อโครงการ 7 GO Green ตั้งแต่ปี 2550 เพื่อลด และ เลิก ใช้ถุงพลาสติกที่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่นทั่วประเทศ 

พร้อมขับเคลื่อนเคมแปญ “ลดวันละถุง...คุณทำได้ เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2561 ที่ผ่านมา เพื่อรณรงค์เชิญชวนลูกค้าที่มาใช้บริการที่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ปฏิเสธการใช้ถุงพลาสติก รวมทั้งรณรงค์ให้ใช้ถุงผ้าแทนถุงพลาสติก ซึ่งได้รับการตอบรับและความร่วมมือจากลูกค้าทั่วประเทศเป็นอย่างดียิ่ง ทำให้แคมเปญ “ลดวันละถุง คุณทำได้ สามารถลดการใช้ถุงพลาสติกและเปลี่ยนเป็นยอดสมทบทุนรวมกว่า 211 ล้านบาท มอบให้กับ โรงพยาบาลศิริราช, โรงพยาบาลในชุมชน และโรงพยาบาลในถิ่นทุรกันดาร 154 โรงพยาบาลทั่วประเทศ  

อีกทั้ง ซีพี ออลล์ ได้ดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานของความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม และตระหนักถึงความสำคัญของสภาวะการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ อุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น ทำให้ ซีพี ออลล์ มิอาจนิ่งนอนใจต่อการเปลี่ยนแปลงและรับผิดชอบต่อการดำเนินธุรกิจด้วยหัวใจที่เอื้ออาทรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง โดยมุ่งมั่นในการพัฒนาและปรับปรุงกระบวนการทำงานเพื่อป้องกันผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการพัฒนาอย่างยั่งยืนบนแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน อาทิ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การเรียนรู้การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ มุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้บริโภค เพื่อช่วยกันลดโลกร้อนด้วยสองมือเรา  

สำหรับปี 2564 ซีพี ออลล์ จึงได้วางแนวทางในการดำเนินงานด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมภายใต้นโยบาย 7 GO Green Mission 2021 ประกอบด้วย

1. Green Buildingการออกแบบและบริหารจัดการร้านอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งเน้นการจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพครอบคลุมการปรับปรุงระบบและอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ภายใต้กลยุทธ์ “ร้านเพื่อสิ่งแวดล้อม” อาทิ โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพคอยล์เย็น สำหรับตู้แช่เย็นขนาดใหญ่, โครงการเครื่องปรับอากาศ ประเภท Inverter ภายในร้านฯ, โครงการใช้หลอดไฟ LED, โครงการสำรวจและติดตามสภาพอากาศภายในร้านฯ, โครงการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์, โครงการปรับปรุงระบบทำความเย็นของตู้แสดงสินค้า ชนิดไร้บานประตูเป็นแบบรวมศูนย์, โครงการ Knockdown Store นำวัสดุเปลือกอาคารกลับมาใช้ใหม่ และ โครงการสถานีอัดประจุไฟฟ้า สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า โดยในปี 2564 นี้ ซีพี ออลล์ ตั้งเป้า แผนการดำเนินงาน ปี 2564 เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานทดแทนได้  82,987,000 กิโลวัตต์ชั่วโมง (kWh) ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 40,248 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า(tCO2e) หรือเปรียบเทียบการปลูกไม้ยืนต้นจำนวน 111,554 ต้น 

 

2. Green Store : โครงการด้านการจัดการออกแบบบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมที่มีในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น มุ่งหวังในการลดปริมาณขยะพลาสติก ผ่านแนวคิด “ลด และ ทดแทน” โดยพิจารณาตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบและการเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่คำนึงถึงทุกกระบวนการในวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ รวมถึงการหาวัสดุที่มาจากแหล่งทรัพยากรที่สามารถทดแทนได้ และต้องสามารถนำกลับมาใช้ซ้ำ (Reusable) หรือนำมาใช้ใหม่ (Recyclable) หรือสามารถย่อยสลายได้ (Compostable)ได้แก่การจัดการบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง โดยได้เริ่มใช้ฝายกดื่มไม่พึ่งหลอด ตั้งแต่ปี เมษายน 2563  ในร้าน All Café จำนวน 8,492 สาขาทั่วประเทศ และใช้ “แก้วรักษ์โลก” หรือ กระดาษที่สามารถย่อยสลายได้ตามตามธรรมชาติ สำหรับเครื่องดื่มร้อน – เย็น ในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ทั่วประเทศ เริ่มใช้ตั้งแต่ปี ธันวาคม 2562  ปัจจุบันใช้แก้วรักษ์โลกในร้านสาขาพื้นที่เกาะ สถานศึกษา และ สำนักงาน รวมกว่า 874 สาขา โครงการการลดใช้พลาสติกแบบครั้งเดียวทิ้ง (Single-use Plastic) โดยการลดการใช้พลาสติกแบบครั้งเดียวทิ้ง และใช้วัสดุที่มาจากธรรมชาติทดแทน ได้แก่ ไม้คนกาแฟ ถุงกระดาษ และ กระดาษหุ้มหลอด การขับเคลื่อนโครงการ 7 Go Greenในพื้นที่เกาะที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวทั่วประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรณรงค์พื้นที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ  รณรงค์ให้ผู้บริโภคและนักท่องเที่ยวมีส่วนร่วมและมีความรับผิดชอบต่อธรรมชาติ นำไปสู่การสร้างพฤติกรรมใหม่ให้เกิดแนวคิดท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์, โครงการเสื้อพนักงานที่ผลิตจากขวดพลาสติกรีไซเคิล โดยการนำขวดพลาสติกมารีไซเคิลเป็นเสื้อ และ โครงการใบเสร็จรับเงิน / ใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อรณรงค์ในการลดใช้กระดาษ โดยในปี 2564  ซีพี ออลล์ ตั้งเป้ากำหนดการแผนการดำเนินงานในการลดปริมาณการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกจำนวน 10,813 ตันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 80,921 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2e) หรือเปรียบเทียบการปลูกไม้ยืนต้น จำนวน 224,283 ต้น

 

3. Green Logistic : ซีพี ออลล์ ได้ดำเนินงานด้านการขนส่งและการกระจายสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นการจัดการพลังงานผ่านโครงการต่างๆเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านการขนส่งและออกแบบศูนย์กระจายสินค้าทั่วประเทศ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ภายใต้ กลยุทธ์ “โลจิสติกส์เพื่อสิ่งแวดล้อม” ทั้งนี้ ซีพี ออลล์ ได้นำหลักเกณฑ์สำหรับการประเมินอาคาร สีเขียว (Leadership in Energy & Environmental Design: LEED) เป็นหลักเกณฑ์ที่่ใช้การพัฒนาและออกแบบศููนย์กระจายสินค้าทั่่วประเทศอีกด้วยปัจจุบันมีทั้งหมด 20 แห่งใน 12 จังหวัดทั่วประเทศ และได้ติดตั้งแผง Solar Cell เพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ทั่วประเทศ

โดยในปี 2564  ซีพี ออลล์ ตั้งเป้าเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานทดแทนได้ 8,786,280 กิโลวัตต์ชั่วโมง(kWh), ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 4,261 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2e) หรือเปรียบเทียบการปลูกไม้ยืนต้นจำนวน 11,810 ต้น 

4. Green Living ซีพี ออลล์ ได้สานต่อโครงการ “ลดและทดแทน” ภายใต้แนวคิด “ปลูกจิตสำนึกเพื่อสิ่งแวดล้อม” โดยการ รณรงค์และเชิญชวนลดการใช้พลาสติกแบบครั้งเดียวทิ้ง โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อป้องกันผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อม และคำนึงถึงการพัฒนาอย่างยั่งยืนบนแนวคิดหลัก เศรษฐกิจหมุนเวียน หรือ Circular Economy โดยล่าสุดจัดให้มีโครงการ “ถังคัดแยกขยะ” เพื่อรณรงค์ให้คนไทยช่วยกันคัดแยกขยะพลาสติก เพื่อนำขยะพลาสติกเข้าสู่กระบวนการ แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน หรือ Circular Economy อย่างยั่งยืน

โดยในปี 2564 ซีพี ออลล์ ได้กำหนดแผนการดำเนินงาน เพื่อลดและชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวม 128,426 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2e) หรือเปรียบเทียบการปลูกไม้ยืนต้นจำนวน 347,648 ต้น

ซีพี ออลล์ ตระหนักถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบ ผ่านมาตรการต่างๆ ในการเพิ่มประสิทธิภาพและการอนุรักษ์พลังงานที่สอดคล้องกับแผนธุรกิจ และสร้างจิตสำนึกในการให้ความสำคัญของประเทศชาติภายใต้ปณิธาน “ร่วมสร้างสรรค์และแบ่งปันโอกาสให้ทุกคน” นายยุทธศักดิ์ กล่าวทิ้งท้าย 

ปัญหาหลักอย่างหนึ่งของภาคเกษตรกรรมไทยในปัจจุบัน คือจำนวนผู้ที่สนใจเข้าสู่ภาคเกษตรกรรมลดลง ขณะที่กระบวนการต่างๆ ยังต้องพึ่งพาการลงทุนลงแรงค่อนข้างมาก

X

Right Click

No right click