November 25, 2024

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) โดย นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ ททท. ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “การส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย Reshaping Thailand’s Tourism with Innovation and Advanced Data Analytics” เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวตลาดต่างประเทศในปีท่องเที่ยว Thailand Grand Tourism Year 2025 กับ วีซ่า ผู้นำการให้บริการการชำระเงินดิจิทัลระดับโลก โดยมีนายปุณณมาศ วิจิตรกุลวงศา ผู้จัดการวีช่าประจำประเทศไทย ร่วมลงนาม เพื่อยกระดับการท่องเที่ยวด้วยนวัตกรรมทางการเงิน เสริมสร้างประสบการณ์การเดินทางที่ไร้รอยต่อให้แก่นักท่องเที่ยว ณ ห้องโถงธนะรัชต์ อาคาร ททท. สำนักงานใหญ่ กรุงเทพมหานคร

นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ททท. มุ่งเดินหน้าดำเนินงานด้านการตลาดท่องเที่ยวภายใต้การบูรณาการของทุกภาคส่วน (Partnership 360 องศา) ทั้งในและต่างประเทศ โดยบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับวีซ่าครั้งนี้ ถือเป็นการทำงานร่วมกันโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับการท่องเที่ยวด้วยนวัตกรรมทางการเงินให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางและเชื่อมโยงทางการเงินเพื่อใช้จ่ายทางการท่องเที่ยวอย่างไร้รอยต่อ โดยใช้ประโยชน์จากการวิเคราะห์ข้อมูลของวีซ่ามาใช้ต่อยอดในการทำแคมเปญการท่องเที่ยว รวมถึงการขยายจุดรับชำระเงินแบบดิจิทัลให้มากขึ้นเป็นตัวช่วยสำคัญให้นักท่องเที่ยวได้รับความสะดวกสบายในการจับจ่ายใช้สอย ทั้งนี้ ททท. หวังว่าความร่วมมือดังกล่าวจะมีส่วนสำคัญในการเสริมศักยภาพทางการท่องเที่ยว เพิ่มการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะตลาดนักท่องเที่ยวต่างประเทศศักยภาพ 23 ตลาดที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทยและสร้างรายได้มากกว่าร้อยละ 80 ของจำนวนและรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด

นายปุณณมาศ วิจิตรกุลวงศา ผู้จัดการวีซ่า ประจำประเทศไทย กล่าวว่า “เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่จะได้กระชับความสัมพันธ์อันดีกับ ททท. ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ผ่านการใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญระดับโลกของเราในเรื่องของโซลูชันทางการชำระเงิน และการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง เมื่อการเดินทางทั่วโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น  นักท่องเที่ยวระหว่างประเทศมีความต้องการเพิ่มขึ้นในเรื่องของประสบการณ์การชำระเงินที่ไร้รอยต่อ ปลอดภัย และไม่ต้องพึ่งเงินสด ความร่วมมือในครั้งนี้นอกจากจะช่วยหนุนธุรกิจท้องถิ่นในประเทศ ยังจะช่วยเปิดโอกาสใหม่ ๆ ในภาคการท่องเที่ยว และเป็นอีกแรงผลักดันให้เกิดการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างยั่งยืนอีกด้วย”

สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้จะร่วมกันส่งเสริมตลาดการท่องเที่ยวโดยมีใจความสำคัญที่มุ่งเน้นไปที่ความร่วมมือหลัก 4 ด้าน ดังต่อไปนี้

  1. โปรแกรมการตลาดเชิงกลยุทธ์: ร่วมกันส่งเสริมตลาดในโครงการ “5 Must Do in Thailand” ประกอบด้วย Must Taste อิ่มอร่อยกับอาหารถิ่น Must Try สุดยอดกีฬาท้าทายกายใจ Must Buy หัตถกรรมล้ำค้าน่าซื้อฝาก Must Seek แสวงหาอันซีนถิ่นน่าเที่ยว และ Must See ละลานตาวัฒนธรรม เพื่อเชิญชวนให้นักท่องเที่ยวมาร่วมสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำในประเทศไทย ค้นพบมุมมองใหม่ที่มีคุณค่า
  2. การขยายบริการของวีซ่าและโครงการ STAR (Sustainable Tourism Acceleration Rating : STAR) : ขยายจุดรองรับการชำระเงินของวีซ่าในจังหวัดท่องเที่ยวหลัก เพื่อพัฒนาระบบการให้บริการด้านการท่องเที่ยวที่มีประสิทธิภาพ ส่งมอบประสบการณ์ทางการชำระเงินที่สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยว พร้อมทั้งช่วยสนับสนุนธุรกิจท้องถิ่น ชุมชนการท่องเที่ยว และผู้ประกอบการในโครงการ STAR ของ ททท.
  3. การจัดโปรโมชันและแคมเปญร่วมกัน : ทำการสื่อสารสร้างการรับรู้ในกลุ่มเป้าหมายร่วมกันเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เดินทางมาเยือนประเทศไทยผ่านการจัดโปรโมชั่นและแคมเปญต่าง ๆ
  4. การวิเคราะห์ข้อมูลและการให้คำปรึกษา: ดึงจุดแข็งด้านการวิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรม ของนักท่องเที่ยวในเรื่องของการใช้จ่ายมาเป็นฐานข้อมูลในการกำหนดแคมเปญด้านการท่องเที่ยว อาทิ โครงการ อะเมซิ่ง ไทยแลนด์ แกรนด์ เซลล์ (Amazing Thailand Grand Sale) และเทศกาลการลดราคาสินค้าและบริการในช่วงเวลาต่าง ๆ ตลอดจนนำต่อยอดพัฒนากลยุทธ์การตลาดและกระตุ้นการมีส่วนร่วมของนักท่องเที่ยวตลอดทั้งปี

ทั้งนี้ ททท. ได้มีความร่วมมือกับ วีซ่า มาอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลากว่า 20 ปี เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวระดับโลก มุ่งเน้นการพลิกโฉมอนาคตการท่องเที่ยวของประเทศไทย ด้วยการใช้นวัตกรรมทางการเงินเสริมสร้างความสะดวกสบายและการเชื่อมโยงทางการเงินอย่างไร้รอยต่อให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพื่อนำไปสู่การขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ

 วีซ่า พันธมิตรด้านเทคโนโลยีการชำระเงินอย่างเป็นทางการของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก และพาราลิมปิกเกมส์ เผยข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับเทรนด์การใช้จ่ายของผู้บริโภคในระหว่างสุดสัปดาห์ช่วงเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก เกมส์ ปารีส 2024  

โดยวีซ่าเผยว่าโอลิมปิก เกมส์ ปารีส 2024 กระตุ้นการค้าในกรุงปารีสให้คึกคักยิ่งขึ้น และสร้างผลบวกให้กับเศรษฐกิจของฝรั่งเศสโดยรวม  ซึ่งประกอบด้วย

  • ธุรกิจขนาดเล็ก และร้านค้ารายย่อยในกรุงปารีสมียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 26% จากผู้ถือบัตรวีซ่าในช่วงสุดสัปดาห์แรกของมหกรรมกีฬาโอลิมปิก 
  • ยอดการใช้จ่ายในกรุงปารีสเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโรงละคร และพิพิธภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นถึง 159% ธุรกิจเครื่องอุปโภคบริโภค (อาหารและร้านขายของชำ) เพิ่มขึ้น 42%  ร้านอาหารเพิ่มขึ้น 36% ร้านค้าปลีกเพิ่มขึ้น 21% และธุรกิจความบันเทิงต่างๆ เพิ่มขึ้น 18%  
  • โดยชาวต่างชาติที่มีปริมาณการใช้จ่ายมากที่สุดมาจากผู้ถือบัตรวีซ่าจากสหรัฐอเมริกา (29%) ในขณะที่สัดส่วนการใช้จ่ายเพิ่มมากสุดเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมาจากผู้ถือบัตรวีซ่าจากญี่ปุ่น (เพิ่มขึ้น 129%) และบราซิล (เพิ่มขึ้น 33%)   
  • 78% ของการชำระเงินดิจิทัลจากบัตรที่มาจากต่างประเทศในกรุงปารีสเป็นการแตะเพื่อจ่าย (คอนแทคเลส) โดยเพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 
  • ยอดจองเที่ยวบินไปกรุงปารีสก่อนโอลิมปิกเริ่ม สูงขึ้น 39% เทียบกับช่วงเดียวกันในปี 25662   
  • จำนวนนักเดินทางไปยังกรุงปารีสที่มีอายุต่ำกว่า 35 ปี เพิ่มขึ้นถึง 120% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน3 
  • จำนวนนักเดินทางต่างชาติไปยังกรุงปารีสที่เพิ่มขึ้นมากที่สุดเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มาจากสหรัฐอเมริกา (เพิ่มขึ้น 64%) ตามด้วยนักเดินทางจากเยอรมนี (เพิ่มขึ้น 61%) และสเปน (เพิ่มขึ้น 27%)  
  • การใช้จ่ายยังเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในเมืองต่างๆ ที่มีจัดการแข่งขันกีฬานอกกรุงปารีส ได้แก่ แซ็งเตเตียน (Saint-Etienne) เพิ่มขึ้น 214%, ลีล (Lille) เพิ่มขึ้น 100%, และมาร์เซย์ (Marseille) เพิ่มขึ้น 38%  

ชาล็อต ฮ็อกก์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารวีซ่า ประจำยุโรป กล่าวว่า “ในฐานะผู้สนับสนุนการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกมาร่วม 40 ปี และการแข่งขันกีฬาพาราลิมปิก เกมส์ ที่ให้การสนับสนุนมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2545 เราทราบดีถึงผลบวกจากมหกรรมกีฬาโอลิมปิกที่ช่วยหนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศเจ้าภาพ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าประสงค์ของวีซ่าที่ต้องการยกระดับประสบการณ์การใช้จ่ายสำหรับทุกคนในทุกที่ทั่วโลก  ที่สำคัญยิ่งกว่า เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ธุรกิจรายย่อยได้รับอานิสงส์จากการที่ประเทศของเขาเป็นเจ้าภาพมหกรรมกีฬาระดับโลก โดยตลอดสี่ปีที่ผ่านมาวีซ่าได้ให้การสนับสนุนผู้ประกอบการท้องถิ่นกว่า 13 ล้านรายทั่วยุโรปให้เข้าถึงระบบการชำระเงินแบบดิจิทัล  

ในฐานะพันธมิตรด้านเทคโนโลยีการชำระเงินอย่างเป็นทางการของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก และพาราลิมปิก เกมส์ วีซ่าได้ทำงานร่วมกับคณะผู้จัดงานตลอดช่วงสามปีที่ผ่านมา ในการออกแบบและสร้างเครือข่ายการชำระเงินที่เหมาะสำหรับกรุงปารีสและเมืองต่างๆ ที่จัดการแข่งขัน และรองรับการชำระเงินแบบคอนแทคเลสของวีซ่าในกว่า 3,500 จุดขายที่กระจายอยู่ทั่วสนามจัดการแข่งขันโอลิมปิกทั้ง 32 แห่ง และของงานพาราลิมปิกอีก 16 แห่ง  

วีซ่า เปิดตัวแอป Visa Go เพื่อเชื่อมต่อกับผู้เข้าชมการแข่งขันและนักท่องเที่ยวกับธุรกิจท้องถิ่นในช่วงการจัดการแข่งขัน โดยผู้มาเยือนสามารถดาวน์โหลดแอป Visa Go ได้ที่ https://go.paris.visa.com/home 

 

วีซ่า พันธมิตรด้านเทคโนโลยีการชำระเงินอย่างเป็นทางการของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก และพาราลิมปิก เกมส์ เผยข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับเทรนด์การใช้จ่ายของผู้บริโภคในระหว่างสุดสัปดาห์ช่วงเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก เกมส์ ปารีส 2024

โดยผู้นำการให้บริการการชำระเงินดิจิทัลระดับโลกเผยว่าโอลิมปิก เกมส์ ปารีส 2024 กระตุ้นการค้าในกรุงปารีสให้คึกคักยิ่งขึ้น และสร้างผลบวกให้กับเศรษฐกิจของฝรั่งเศสโดยรวม

  • ธุรกิจขนาดเล็ก และร้านค้ารายย่อยในกรุงปารีสมียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 26% จากผู้ถือบัตรวีซ่าในช่วงสุดสัปดาห์แรกของมหกรรมกีฬาโอลิมปิก
  • ยอดการใช้จ่ายในกรุงปารีสเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโรงละคร และพิพิธภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นถึง 159% ธุรกิจเครื่องอุปโภคบริโภค (อาหารและร้านขายของชำ) เพิ่มขึ้น 42% ร้านอาหารเพิ่มขึ้น 36% ร้านค้าปลีกเพิ่มขึ้น 21% และธุรกิจความบันเทิงต่างๆ เพิ่มขึ้น 18%
  • โดยชาวต่างชาติที่มีปริมาณการใช้จ่ายมากที่สุดมาจากผู้ถือบัตรวีซ่าจากสหรัฐอเมริกา (29%) ในขณะที่สัดส่วนการใช้จ่ายเพิ่มมากสุดเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมาจากผู้ถือบัตรวีซ่าจากญี่ปุ่น (เพิ่มขึ้น 129%) และบราซิล (เพิ่มขึ้น 33%)
  • 78% ของการชำระเงินดิจิทัลจากบัตรที่มาจากต่างประเทศในกรุงปารีสเป็นการแตะเพื่อจ่าย (คอนแทคเลส) โดยเพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
  • ยอดจองเที่ยวบินไปกรุงปารีสก่อนโอลิมปิกเริ่ม สูงขึ้น 39% เทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2566[1]
  • จำนวนนักเดินทางไปยังกรุงปารีสที่มีอายุต่ำกว่า 35 ปี เพิ่มขึ้นถึง 120% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน[2]
  • จำนวนนักเดินทางต่างชาติไปยังกรุงปารีสที่เพิ่มขึ้นมากที่สุดเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มาจากสหรัฐอเมริกา (เพิ่มขึ้น 64%) ตามด้วยนักเดินทางจากเยอรมนี (เพิ่มขึ้น 61%) และสเปน (เพิ่มขึ้น 27%)
  • การใช้จ่ายยังเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในเมืองต่างๆ ที่มีจัดการแข่งขันกีฬานอกกรุงปารีส ได้แก่ แซ็งเตเตียน (Saint-Etienne) เพิ่มขึ้น 214%, ลีล (Lille) เพิ่มขึ้น 100%, และมาร์เซย์ (Marseille) เพิ่มขึ้น 38%

ชาล็อต ฮ็อกก์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารวีซ่า ประจำยุโรป กล่าวว่า “ในฐานะผู้สนับสนุนการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกมาร่วม 40 ปี และการแข่งขันกีฬาพาราลิมปิก เกมส์ ที่ให้การสนับสนุนมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2545 เราทราบดีถึงผลบวกจากมหกรรมกีฬาโอลิมปิกที่ช่วยหนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศเจ้าภาพ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าประสงค์ของวีซ่าที่ต้องการยกระดับประสบการณ์การใช้จ่ายสำหรับทุกคนในทุกที่ทั่วโลก

ที่สำคัญยิ่งกว่า เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ธุรกิจรายย่อยได้รับอานิสงส์จากการที่ประเทศของเขาเป็นเจ้าภาพมหกรรมกีฬาระดับโลก โดยตลอดสี่ปีที่ผ่านมาวีซ่าได้ให้การสนับสนุนผู้ประกอบการท้องถิ่นกว่า 13 ล้านรายทั่วยุโรปให้เข้าถึงระบบการชำระเงินแบบดิจิทัล

ในฐานะพันธมิตรด้านเทคโนโลยีการชำระเงินอย่างเป็นทางการของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก และพาราลิมปิก เกมส์ วีซ่าได้ทำงานร่วมกับคณะผู้จัดงานตลอดช่วงสามปีที่ผ่านมา ในการออกแบบและสร้างเครือข่ายการชำระเงินที่เหมาะสำหรับกรุงปารีสและเมืองต่างๆ ที่จัดการแข่งขัน และรองรับการชำระเงินแบบคอนแทคเลสของวีซ่าในกว่า 3,500 จุดขายที่กระจายอยู่ทั่วสนามจัดการแข่งขันโอลิมปิกทั้ง 32 แห่ง และของงานพาราลิมปิกอีก 16 แห่ง

วีซ่า เปิดตัวแอป Visa Go เพื่อเชื่อมต่อกับผู้เข้าชมการแข่งขันและนักท่องเที่ยวกับธุรกิจท้องถิ่นในช่วงการจัดการแข่งขัน โดยผู้มาเยือนสามารถดาวน์โหลดแอป Visa Go ได้ที่ https://go.paris.visa.com/home


[1] ตัวเลขรวมถึงเที่ยวบินไปกรุงปารีส ระหว่างวันที่ 19 กรกฎาคม 2567 ถึงวันที่ 11 กรกฎาคม 2567 (เทียบกับปีก่อน) และอย่างน้อย 45 วันก่อนการแข่งขันโอลิมปิก เกมส์

[2] ผู้ถือบัตรวีซ่าของสหรัฐอเมริกา

วีซ่า ผู้นำการให้บริการการชำระเงินดิจิทัลระดับโลก และ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดแคมเปญ “วีซ่าไทยแลนด์แกรนด์เซลล์ 2567” หวังจูงใจนักท่องเที่ยวมาเยือนเมืองไทยเพิ่มขึ้น พร้อมทั้งกระตุ้นการใช้จ่าย ณ แหล่งชอปปิงชั้นนำของไทย ได้แก่ คิงเพาเวอร์ดิวตี้ฟรี สยามพารากอน เอ็มโพเรียม เอ็มควอเทียร์ เอ็มสเฟียร์ ไอคอนสยาม และเกษร

ประเทศไทยถูกจัดอันดับให้เป็นจุดหมายปลายทางลำดับต้น ๆ สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างต่อเนื่อง และการท่องเที่ยวขาเข้ายังมีส่วนสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ อ้างอิงจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา[1] ห้าอันดับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มาเยือนประเทศไทยมากที่สุดตามลำดับคือ สาธารณรัฐประชาชนจีน มาเลเซีย รัสเซีย อินเดีย และเกาหลีใต้นอกจากนี้ในช่วงห้าเดือนแรกของปี 2567 ประเทศไทยได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวแล้วกว่า 14 ล้านราย ซึ่งเพิ่มขึ้นมากถึง 37.64 เปอร์เซนต์ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อนหน้า

นายปุณณมาศ วิจิตรกุลวงศา ผู้จัดการวีซ่า ประจำประเทศไทย กล่าวว่า “วีซ่าได้ร่วมมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เพื่อขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยวมาเป็นเวลากว่าสองทศวรรษ และในปีนี้ด้วยความร่วมมือจากพันธมิตรแหล่งชอปปิงชั้นนำของประเทศไทยเราได้เตรียมข้อเสนอและส่วนลดมากกว่าเดิม เพื่อมอบให้ผู้ถือบัตรวีซ่าชาวต่างชาติจากทั่วโลกเมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรวีซ่า เราภูมิใจที่ได้ร่วมมือกับหลายภาคส่วนเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าประเทศไทย เร่งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ตลอดจนสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับร้านค้าไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ในประเทศไทยอีกด้วย”

นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “เรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมกับวีซ่าออกแคมเปญวีซ่าไทยแลนด์แกรนด์เซลล์ 2567  ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ในการสร้างรายได้ให้กับประเทศ เราหวังว่าความร่วมมือในครั้งนี้นอกจากจะช่วยกระตุ้นการเดินทางเข้าประเทศของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้ว ยังจะช่วยยกระดับประสบการณ์การใช้จ่ายระหว่างการท่องเที่ยวในประเทศอีกด้วย และที่ผ่านมาในปีนี้เราได้เห็นแนวโน้มที่ดีของการท่องเที่ยวรวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศไทย เรามีเป้าหมายที่จะสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวที่ 3.5 ล้านล้านบาท และเชื่อว่าแคมเปญนี้จะช่วยตอกย้ำจุดยืนของประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางแห่งการชอปปิงในทวีปเอเชีย”

แคมเปญวีซ่าไทยแลนด์แกรนด์เซลล์ 2567 เริ่มแล้วตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2567 ที่มาพร้อมคูปองส่วนลดและข้อเสนอสุดพิเศษมากมายแก่ผู้ถือบัตรวีซ่าชาวต่างชาติเมื่อใช้จ่าย ณ ห้างสรรพสินค้าชั้นนำในประเทศไทยที่ร่วมรายการ ได้แก่ คิงเพาเวอร์ดิวตี้ฟรี สยามพารากอน เอ็มโพเรียม เอ็มควอเทียร์ เอ็มสเฟียร์ ไอคอนสยาม และเกษร

ข้อเสนอสุดพิเศษสำหรับผู้ถือบัตรวีซ่าชาวต่างชาติ ได้แก่:

  • ส่วนลด 500 บาท เมื่อมียอดใช้จ่ายตั้งแต่ 7,000 บาทขึ้นไป ที่คิงเพาเวอร์
  • รับบัตรกำนัลมูลค่า 500 บาท เมื่อมียอดใช้จ่ายตั้งแต่ 7,000 บาทขึ้นไปต่อเซลล์สลิป หรือรับบัตรกำนัลมูลค่า 1,000 บาท เมื่อมียอดใช้จ่ายสะสม 25,000 บาท ที่สยามพารากอน เอ็มโพเรียม เอ็มควอเทียร์ และเอ็มสเฟียร์
  • รับกระเป๋าผ้าที่ระลึกจากวีซ่า เมื่อมียอดใช้จ่ายตั้งแต่ 20,000 บาทขึ้นไป ที่เอ็มโพเรียม เอ็มควอเทียร์ และเอ็มสเฟียร์
  • รับบัตรของขวัญมูลค่า 1,000 บาท เมื่อมียอดใช้จ่ายตั้งแต่ 100,000 บาทขึ้นไป ที่สยามพารากอน และไอคอนสยาม
  • รับกระเป๋าผ้าที่ระลึกจากวีซ่า และบัตรรับประทานอาหารมูลค่า 500 บาท เมื่อมียอดใช้จ่ายตั้งแต่ 15,000 บาทขึ้นไปที่เกษร

[1] ข้อมูลสถิตินักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาประเทศไทยปี 2567 (มกราคม-พฤษภาคม) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา https://www.mots.go.th/news/category/759

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย, วันที่ 14 พฤษภาคม 2567 - วีซ่า ผู้นำการให้บริการการชำระเงินดิจิทัลระดับโลก เผยข้อมูลเชิงลึกที่น่าสนใจจากการศึกษาเรื่องทัศนคติการชำระเงินของผู้บริโภคประจำปีของวีซ่า (Visa Consumer Payment Attitudes Study)1 ที่ชึ้ให้เห็นว่าผู้บริโภคชาวไทยมากถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ประสบความสำเร็จในการใช้ชีวิตแบบไร้เงินสดโดยเฉลี่ยนานถึงเก้าวัน

การศึกษาของวีซ่ายังชี้ให้เห็นถึงเทรนด์การใช้จ่ายแบบไร้เงินสดที่ยังคงเดินหน้าอย่างแข็งแกร่งในประเทศไทย โดยพบว่ามากถึงแปดในสิบของผู้บริโภค (81%) พยายามจะใช้จ่ายโดยไม่พึ่งพาเงินสด โดยผู้นำเทรนด์เป็นผู้บริโภคจากกลุ่มเจน Z (85%) [อายุระหว่าง 18 ถึง 23 ปี] และเจน Y (85%) [อายุระหว่าง 24 ถึง 39 ปี] นอกจากนี้ และเมื่อพูดถึงความสำเร็จในการใช้ชีวิตแบบไร้เงินสดก็พบว่าเกือบสี่ในห้าของชาวไทยสามารถทำได้จริงในชีวิตประจำวัน

 

นายปุณณมาศ วิจิตรกุลวงศา ผู้จัดการวีซ่า ประจำประเทศไทย กล่าวว่า “เทรนด์การใช้ชีวิตแบบไร้เงินสดในประเทศไทยถือว่ามาแรงมาก และแนวโน้มเชิงบวกนี้ ยังสอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคทั่วโลกและการเพิ่มขึ้นของอีคอมเมิร์ซ ที่ทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขายเองต่างให้ความสำคัญกับความสะดวก ปลอดภัย และการรับชำระเงินในรูปแบบดิจิทัล สิ่งเหล่านี้ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงโอกาสอันดีของผู้ประกอบการที่จะปรับตัวและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา”

การศึกษายังแสดงให้เห็นด้วยว่าผู้บริโภคชาวไทยมีความมั่นใจมากขึ้นในการที่จะใช้ชีวิตนอกบ้านโดยถือเงินสดในมือลดลง โดยเกือบครึ่ง (47%) เลือกที่จะถือเงินสดในกระเป๋าสตางค์น้อยลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

เทรนด์นี้เกิดขึ้นจากช่องทางการรับชำระเงินในรูปแบบดิจิทัลควบคู่ไปกับการใช้จ่ายแบบไร้เงินสดของผู้บริโภค (อาทิ คิวอาร์โค้ด บัตรชำระเงิน อีวอลเล็ต ฯลฯ) นอกจากนี้ผู้ตอบแบบสอบถามยังระบุว่าได้สังเกตเห็นช่องทางการรับชำระเงินแบบดิจิทัลเพิ่มขึ้นในหลายหมวดหมู่ โดยเฉพาะ หมวดอาหารและเครื่องดื่ม (79%) การค้าปลีก (67%) การจับจ่ายที่ร้านสะดวกซื้อ (67%) ซูเปอร์มาร์เก็ต (64%) และบริการขนส่ง อาทิ แท็กซี่และบริการใช้รถเดินทางร่วมกัน เป็นต้น (60%)

ขณะที่ภาคส่วนต่างๆ ในประเทศไทยมีแผนที่จะนำเวอร์ชวลแบงก์ออกมาตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภค การศึกษายังได้วิเคราะห์ถึงความความสนใจและบริการที่ผู้บริโภคต้องการ โดยจากข้อมูลพบว่า เกินกว่าครึ่งของผู้บริโภคชาวไทย (54%) สนใจบริการของเวอร์ชวลแบงก์ โดยกลุ่มที่ให้ความสนใจมากที่สุดคือกลุ่มเจน Y (68%) และเจน X (53%) และบริการของเวอร์ชวลแบงก์ที่ผู้ตอบแบบสอบถามกระตือรือร้นที่จะใช้มากที่สุด คือ การบริการตนเองเต็มรูปแบบ (81%) บริการแบบไลฟ์ผ่านแอปพลิเคชันดิจิทัล (80%) และการใช้ข้อมูลทางการเงินทางเลือกสำหรับประเมินสินเชื่อ (78%)

ส่วนปัจจัยสำคัญที่ผู้บริโภคชาวไทยพิจารณาในการใช้งานเวอร์ชวลแบงก์นั้น ความปลอดภัยยังฟีเจอร์ที่ได้รับการจัดลำดับให้มีความสำคัญสูงสุด โดย 56% ของผู้ตอบแบบสอบถามตอบว่าต้องการชำระเงินและทำธุรกรรมที่ปลอดภัย ตามด้วยความเร็วในการทำธุรกรรม (55%) และการใช้งานสะดวก ง่ายดาย ไม่ซับซ้อนและสำเร็จได้ภายในไม่กี่คลิก (46%)

“วีซ่ามุ่งมั่นที่จะเรียนรู้ และตอบสนองต่อพฤติกรรมของผู้บริโภคชาวไทย และความต้องการที่จะเดินหน้าสู่สังคมไร้เงินสดที่ไม่หยุดนิ่งของอุตสาหกรรมการชำระเงินในประเทศไทย เราหวังว่าข้อมูลเชิงลึกที่เรานำเสนอในทุกปีนี้จะเป็นประโยชน์ต่อพันธมิตรและร้านค้าต่าง ๆ ที่จะใช้เพื่อปรับตัวรองรับความต้องการของลูกค้า และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในความพยายามของประเทศไทยในการพัฒนาสู่สังคมไร้เงินสด”

Page 1 of 4
X

Right Click

No right click