September 28, 2024

จากข้อมูลขององค์การนาซา (NASA) ระบุว่าวันที่ 22 กรกฎาคม 2567 เป็นวันที่โลกร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์ แต่ภาวะโลกร้อนที่รุนแรงมากขึ้นนี้กลับไม่สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของการลงทุนตามหลักเกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ขณะที่ในปี 2566 มีการเปิดตัวกองทุนเพื่อความยั่งยืน (กองทุน ESG) ถึง 993 กองทุน แต่จำนวนกองทุนทั้งหมด กลับลดลงเหลือ 566 กองทุนในปีเดียวกัน และมีแนวโน้มที่จะลดลงอีกในปี 2567 โดยในช่วงเดือนมกราคมถึงพฤษภาคมที่ผ่านมา มีการเปิดตัวกองทุนเพียง 100 กองทุนเท่านั้น

เพื่อเข้าใจภาวะลำบากของการลงทุนด้านความยั่งยืน เราได้พูดคุยกับนอรีน คัยอุม หัวหน้าสายงานนักลงทุนสัมพันธ์ ของทรู คอร์ปอเรชั่น ซึ่งเคยทำงานด้านนักลงทุนสัมพันธ์ที่ดีแทค ประเทศไทย และ Grameenphone ซึ่งเป็นบริษัทในเครือเทเลนอร์ ประเทศบังคลาเทศ โดยนอรีน ยังเคยทำงานในหลากหลายสายอาชีพอย่างกว้างขวาง ทั้งด้านสื่อสารองค์กร การวางกลยุทธ์ ทรานสฟอร์เมชั่นองค์กร และการตลาด

นักลงทุน ESG รุ่นใหม่ในเอเชีย

นอรีน เห็นว่าการถดถอยของหุ้น ESG วอลล์สตรีทไม่น่าส่งผลกระทบในระดับเดียวกันกับภูมิภาคเอเชีย “พลวัต ในสหรัฐอเมริกาและในเอเชียนั้นแตกต่างกันมาก ซึ่งในมุมมองดิฉัน สาเหตุที่ ESG มีความสำคัญในภูมิภาคของเรามากขึ้นอย่างต่อเนื่อง นั่นเพราะเรามีผู้นำและคนรุ่นใหม่ที่มีความตระหนักรู้ในหน้าที่ มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจลงทุน ซึ่งคนรุ่นใหม่นี้ไม่ได้มองแค่ยอดขายหรือผลกำไรเพียงอย่างเดียว แต่ยังมองถึงผลกระทบของธุรกิจต่อโลกและสังคมด้วย” เธอกล่าว “สิ่งนี้ยิ่งมีความสำคัญมากขึ้น เมื่อคนรุ่นใหม่ เริ่มรู้สึกกังวลมากขึ้น และอยากได้ทางเลือกที่จะมีส่วนร่วมสร้างความยั่งยืนในทุกๆ วัน”

แท้จริงแล้ว การออกพันธบัตร ESG ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เติบโตถึง 5.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในไตรมาสแรกของปี 2567 ซึ่งเพิ่มขึ้น 27.4% จากปีที่ผ่านมา จากการศึกษาของ AXA Investment Managers (AXA IM) พบว่า 39% ของนักลงทุนในเอเชียถือกองทุน ESG ซึ่งเมื่อเทียบกับนักลงทุนในยุโรปมีสัดส่วนไม่ถึงหนึ่งในสี่ และในภูมิภาคนี้ คนไทย แสดงความเชื่อมั่นในศักยภาพของกองทุน ESG ที่จะครองตลาดได้ โดย 63% ของผู้ตอบแบบสอบถามคาดหวังว่ากองทุน ESG จะสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่า

 “กองทุน ESG เริ่มได้รับความสนใจอย่างจริงจังในปี 2561 จึงถือเป็นกรอบการทำงานที่ค่อนข้างใหม่ ซึ่งยังไม่ได้ปลูกฝังอยู่ในดีเอ็นเอของบริษัท ดิฉันขอเรียกว่าเป็นวิวัฒนาการที่ต่อยอดมาจากสิ่งที่เราเคยรู้จัก นั่นก็คือความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร หรือ CSR ซึ่งในขณะที่ CSR เป็นเพียงเช็คลิสต์ ว่าองค์กรนั้นมีพฤติกรรมที่ดี แต่ไม่อาจน่าเชื่อถือได้อย่างแท้จริง ESG เป็นกรอบการทำงานที่เข้มงวดกว่าเพื่อให้องค์กรนั้นๆ มีความน่าเชื่อถือ มีความรับผิดชอบต่อผลที่จะตามมา ซึ่งจำเป็นต้องมีหลักการกำกับดูแลที่แข็งแกร่ง อันมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดำเนินธุรกิจให้น่านับถือ ได้รับความไว้วางใจ”

ต้องชัดเจน

หนึ่งในกรอบการทำงานดังกล่าว คือการประเมินด้านความยั่งยืนองค์กรของ S&P Global ซึ่งประเมินองค์กรโดยพิจารณาจากหลักเกณฑ์และข้อมูลกว่า 1,000 หัวข้อในมิติด้านสิ่งแวดล้อม ด้านสังคม และด้านธรรมาภิบาล อนึ่ง ทรู คอร์ปอเรชั่น ติดอันดับ 1 ดัชนีความยั่งยืนระดับโลกดาวน์โจนส์ (DJSI) ด้วยคะแนนสูงสุด ในกลุ่มโทรคมนาคมของโลกต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 แต่นักลงทุนยังเกิดความสับสนกับการติดอันดับดัชนีความยั่งยืนและใบรับรองต่างๆ ด้าน ESG จากหลากหลายสถาบัน

“แม้ว่าความตระหนักรู้เกี่ยวกับ ESG จะเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น นักลงทุนต้องการความชัดเจนและมาตรฐานอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น เรายังไม่สามารถอ้างได้ว่าบริษัทใดบริษัทหนึ่งมีความสมบูรณ์แบบ และเราทุกคนยังมีหนทางอีกยาวไกล” นอรีนอธิบาย “ยิ่งไปกว่านั้น ข้อกำหนดในการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืน ESG สำหรับทุกอุตสาหกรรมและทุกประเทศ จะแตกต่างกันไปตามปัญหาและประเด็นที่เร่งด่วน และจำเป็นต้องปรับเกณฑ์การประเมินให้เข้ากับบริบทของท้องถิ่นนั้นๆ ด้วย”

 สำหรับอุตสาหกรรมโทรคมนาคมในประเทศไทย นอรีนเห็นว่าการดำเนินธุรกิจตามแนวทาง ESG มุ่งเน้นในมิติด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมเป็นอย่างมาก "โครงสร้างพื้นฐานด้านเครือข่ายและเสาสัญญาณทั่วประเทศของบริษัทโทรคมนาคมกระตุ้นให้นักลงทุนสนใจว่าแผนดำเนินงานด้านพลังงานสีเขียวและพลังงานหมุนเวียนของบริษัทเป็นอย่างไร นอกจากนี้ ยังมีความตระหนักเรื่องการขับเคลื่อนเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จึงเป็นเหตุผลให้เรากำหนดเป้าหมายชัดเจนสู่การเป็นองค์กรที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ภายในปี 2573 และองค์กรที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2593 ขณะเดียวกันเรายังมีการสื่อสารความคืบหน้าในการดำเนินงานของเราอย่างโปร่งใสและสม่ำเสมอ"

ความท้าทายอีกประการหนึ่งของการสร้าง ESG ให้มั่นคง คือการสร้างความมั่นคงให้แก่ทุกอุตสาหกรรม อาทิเช่น ธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไปที่มีการซื้อขายอย่างรวดเร็ว จะเผชิญกับแรงกดดันในการลดการใช้พลาสติกครั้งเดียวมากกว่าธุรกิจโทรคมนาคม อย่างไรก็ตาม ธุรกิจโทรคมนาคมต้องยึดมาตรฐานที่สูงกว่าในเรื่องความปลอดภัยทางไซเบอร์และความเป็นส่วนตัวของข้อมูล เป็นต้น

“โอกาสที่ฉันมองเห็นมากขึ้นในการสร้างเกณฑ์มาตรฐานสากล คือมิติด้านการกำกับดูแล บริษัทที่มีนโยบายอย่างเป็นรูปธรรมในการจัดการกับประเด็นสำคัญๆ เช่น แรงงานเด็ก และการต่อต้านการทุจริต จะได้รับการสนับสนุน บริษัทที่ทำงานร่วมกับคู่ค้าพันธมิตรโดยปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมและจรรยาบรรณ ถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ชัดเจนเช่นกัน ในเรื่องความเป็นผู้นำ สัดส่วนของผู้แทนที่สมดุลในคณะกรรมการก็มีความสำคัญต่อนักลงทุน และช่วยสร้างความไว้วางใจให้แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของเรา” เธอกล่าว

ราคาหุ้นของทรู คอร์ปอเรชั่นที่พุ่งขึ้นกว่า 100% ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม แสดงให้เห็นว่านอรีนดูเหมือนจะสามารถสร้างความมั่นใจในกลุ่มนักลงทุนได้อย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่เคยเป็นมา และเมื่อนักลงทุนให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากขึ้น กรอบการทำงาน ESG ที่แข็งแกร่งของทรู คอร์ปอเรชั่น จะมีส่วนช่วยดึงดูดและรักษาการลงทุนของนักลงทุนต่อไป เพื่อส่งเสริมองค์กรให้เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีโทรคมนาคมที่แข็งแกร่งและยั่งยืน

บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารร้านเซเว่น อีเลฟเว่น เซเว่น เดลิเวอรี่ และผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) ขอบคุณนักลงทุนที่เข้ามาร่วมจองซื้อหุ้นกู้ชุดใหม่เต็มจำนวน 13,000 ล้านบาท ท่ามกลางสถานการณ์ความผันผวนของตลาดตราสารหนี้ไทย ตอกย้ำความเป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีกของประเทศที่มีสาขากระจายอยู่ทั่วประเทศกว่า 14,854 สาขา และความเชื่อมั่นจากนักลงทุน

บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการออกหุ้นกู้ทั้ง 4 ชุด โดยเสนอขายให้กับประชาชนเป็นการทั่วไป ได้แก่ หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 4 ปี 4 วัน อัตราดอกเบี้ย 3.05% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.20% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 3 อายุ 8 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.55% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 4 อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.75% ต่อปี โดยบริษัทฯ จะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ครั้งนี้ไปชำระคืนหุ้นกู้ของบริษัทฯ ที่จะครบกำหนดในเดือนสิงหาคม 2567 นี้

“บริษัทฯ ขอขอบคุณนักลงทุนทุกท่าน ที่ให้ความไว้วางใจเข้ามาร่วมลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัทฯ จนทำให้ยอดจองซื้อเต็มวงเงินที่เสนอขาย 13,000 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงความมั่นใจของนักลงทุนที่มีต่อบริษัทฯ ที่เป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีกของประเทศภายใต้แบรนด์ “เซเว่น อีเลฟเว่น” และมีบริษัทย่อยที่เป็นผู้นำในธุรกิจค้าส่งของประเทศอีกด้วย โดยในการแสดงความจำนงจองซื้อหุ้นกู้ของนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนสหกรณ์ได้แสดงความสนใจเข้ามาเป็นจำนวนมากกว่า 5.6 เท่าของยอดที่จัดสรรให้ นอกจากนี้ บริษัทฯ ขอขอบคุณผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ ที่ให้การสนับสนุนบริษัทฯ ด้วยดีเสมอมา โดยหลังจากนี้ บริษัทฯ จะยังคงเดินหน้าสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อสร้างความสะดวกกับทุกชุมชน ตามวิสัยทัศน์ของบริษัทฯ ต่อไป”

ผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้กล่าวเพิ่มเติมว่า “ทางผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ขอขอบคุณนักลงทุนทุกท่านที่ให้การตอบรับหุ้นกู้ของซีพี ออลล์ ในครั้งนี้เป็นอย่างดี ทำให้มียอดจองซื้อครบเต็มจำนวน 13,000 ล้านบาทตามที่บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายไว้ อีกทั้งหุ้นกู้ซีพี ออลล์ ในครั้งนี้ได้รับการปรับอันดับความน่าเชื่อถือเพิ่มมาอยู่ที่ระดับ “AA-” และมีแนวโน้มเป็น “คงที่” (Stable) เป็นทางเลือกในการลงทุนที่น่าสนใจโดยเฉพาะในช่วงที่สถานการณ์ตลาดตราสารหนี้มีความผันผวนสูง ซึ่งเหมาะสมเป็นอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นกู้ที่มีความมั่นคงสูง และขอเน้นย้ำเพิ่มเติมสำหรับนักลงทุนที่พลาดโอกาสการจองซื้อหุ้นกู้ซีพี ออลล์ ในครั้งนี้ ขอให้ผู้ลงทุนโปรดระวังมิจฉาชีพที่แอบอ้างชื่อ “ซีพี ออลล์” หลอกลงทุน โดยนำเสนอผลตอบแทนที่สูงเกินจริงผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียต่างๆ เช่น Facebook และแอปพลิเคชั่น LINE เป็นต้น ทั้งนี้ ช่องทาง CP ALL ของจริง ต้องมีสัญลักษณ์ติ๊กถูกสีฟ้า (Verified Account) เท่านั้น”

กัลฟ์ ไบแนนซ์ (Gulf Binance ) ผู้นำแพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย มอบเซสชั่น อัปเดทเทรนด์การลงทุน และการจัดบริหารจัดการพอร์ตโฟลิโออย่างมีประสิทธิภาพในครึ่งปีหลัง โดยเหล่าผู้บริหารจากแพลตฟอร์มการลงทุนชั้นนำและนักลงทุนมืออาชีพ ผ่านงาน Binance TH Super Meetup: BULLiever ที่จัดขึ้น ณ Q Stadium ชั้น M ศูนย์การค้า EmQuartier เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม ที่ผ่านมา 

ช่วงเวลาแห่งการเริ่มต้นลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก 

ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา มีเหตุการณ์มากมายที่ส่งผลกระทบต่อตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นการอนุมัติ Spot Bitcoin ETFs โดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์   (ก.ล.ต.) แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ส่งผลให้ราคาสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างบิทคอยน์ (BTC) พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ หรือการเกิดปรากฏการณ์ Bitcoin Halving ขึ้นในรอบ 4 ปี ที่ทำให้ราคาบิทคอยน์ลดลงมาเป็นอย่างมากเช่นเดียวกัน  

 

ดร.กร พูนศิริวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์และผู้อำนวยการโครงการ Binance TH Academy (ไบแนนซ์ ทีเอช อะแคดิมี) บริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ จำกัด อธิบายถึงวงจรของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลว่า เมื่ออ้างอิงจากประวัติศาสตร์ของตลาดคริปโตเคอร์เรนซีในอดีต สภาพคล่องของราคาการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งรวมถึงราคาบิทคอยน์จะเป็นไปตามวัฏจักร โดยช่วงเวลาที่เกิดปรากฎการณ์ Bitcoin Halving มักจะเป็นช่วงเวลาที่เงินในตลาดสะพัดและขึ้นสู่จุดสูงสุดซึ่งเป็นวงจรที่เกิดขึ้นในทุกๆ 4 ปี โดย ดร.กร มองว่าการเกิด Halving ในครั้งนี้ ส่งผลให้ราคาบิทคอยน์อยู่ในระดับที่สามารถจับต้องได้ ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของนักลงทุนที่กำลังมองหาสินทรัพย์ทางเลือก 

ในขณะที่ คุณบุริศร์ จีระมะกร จาก Enter to Start  กล่าวว่า การที่สถาบันการเงินขนาดใหญ่ระดับโลกเข้ามามีบทบาทในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น เกิดจากการอนุมัติ Spot Bitcoin ETFs ซึ่งส่งผลให้เกิดการยอมรับการใช้งานสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นวงกว้าง เนื่องจากมีความน่าเชื่อถือและมีกรอบการกำกับดูแลที่ชัดเจน นอกจากนี้ด้วยสถานการณ์โลก อย่างเช่น ภูมิศาสตร์การเมือง ยังส่งผลให้ผู้คนจำเป็นต้องกระจายความเสี่ยงจากการถือครองสินทรัพย์แบบดั้งเดิม สู่การถือครองสินทรัพย์ทางเลือกมากขึ้น ซึ่งสินทรัพย์ดิจิทัลถือเป็นหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ ทั้งจากปัจจัยในด้านการเติบโตของสินทรัพย์ดิจิทัล การอนุมัติ Spot Ethereum ETFs โดย ก.ล.ต.สหรัฐ และการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาที่กำลังจะเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายนนี้  

การเติบโตของ Memecoin  

 

นอกจากเหรียญยอดนิยมอย่างบิทคอยน์แล้ว คุณพีรพัฒน์ หาญคงแก้ว จาก Cryptomind Advisory ยังได้แบ่งปันความคิดเห็นที่มีต่อการเติบโตของเหรียญมีม หรือ Memecoin ว่าเป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่ดีที่สุดในวงการ คริปโตเคอร์เรนซี เนื่องจากเป็นการนำเอาความรู้สึกของผู้คนในคอมมูนิตี้สินทรัพย์ดิจิทัลมาแปลงเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าและสามารถจับต้องได้ในชีวิตจริง  

“อย่างไรก็ตามหากจะเลือกลงทุนใน Memecoin การศึกษาคอมมูนิตี้ของเหรียญเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุน นอกเหนือจากความเข้าใจในตลาดและการจัดการการเงินที่ดี เนื่องจากมูลค่าและความผันผวนของราคาเหรียญจะขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของชุมชน” คุณพีรพัฒน์ กล่าว  

ทั้งนี้ นอกจากเหรียญยอดนิยมอย่าง Bitcoin และ Memecoin แล้ว สินทรัพย์ดิจิทัลประเภทอื่นๆ อย่าง Real Word Asset (RWA) ที่ถึงแม้ว่าในแง่ของการพัฒนาจะยังอยู่ในช่วง Left Curve แต่มูลค่าตลาดของสินทรัพย์ดิจิทัลในประเภทนี้กลับเติบโตจนเกือบจะก้าวเข้าสู่ระยะ Mid Curve แล้วในปัจจุบัน นอกจากนี้ SocialFi และ GameFi ก็ยังถือเป็นกลุ่มโทเค็นที่น่าจับตามองเช่นเดียวกัน เนื่องจากเป็นประเภทเหรียญที่สามารถจับต้องได้ ทำให้มีโอกาสที่จะกลายมาเป็นคลื่นลูกใหญ่ที่ได้รับความนิยมในอนาคต   

คริปโตเคอร์เรนซีและการจัดการพอร์ตการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ 

ถึงแม้ในปัจจุบันจะมีหลากหลายปัจจัยที่ช่วยส่งเสริมให้เกิดการยอมรับการใช้งานในสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า สินทรัพย์ดิจิทัลก็ยังเป็นเรื่องใหม่ของนักลงทุนหลายท่าน โดยเฉพาะนักลงทุนที่เคยถือครองสินทรัพย์ดั้งเดิมและไม่เคยลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมาก่อน ด้วยเหตุนี้ การบริหารจัดการพอร์ตโฟลิโอเพื่อจัดการกับความเสี่ยง จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นที่นักลงทุนทุกท่านควรตระหนักถึง 

 

คุณกวิน สุวรรณตระกูล เจ้าของเพจ TarKawin และคุณยศสรัล พิเชียรสุนทร เจ้าของเพจเด็กการเงิน DekFinance ได้แบ่งปันทริคด้านการลงทุนในแบบฉบับของตนเองว่า การ DCA หรือ Dollar-Cost Averaging เป็นหนึ่งในวิธีที่สามารถทำให้พอร์ตการลงทุนสามารถเติบโตขึ้นได้อย่างแข็งแกร่ง หากนักลงทุนมองว่าเหรียญที่ตนเองต้องการลงทุนมีศักยภาพมากพอที่จะเติบโตขึ้นได้ในอนาคต การทยอยซื้อเก็บเป็นประจำก็ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีเพื่อสร้างความมั่งคั่งและความมั่นคงในระยะยาว  

ในขณะที่คุณจิรภัทร โบสุวรรณ เจ้าของเพจ Fun Manager มองว่า สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นสินทรัพย์ที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และเมื่อมีสถาบันการเงินขนาดใหญ่ร่วมลงเล่นในตลาดจากการอนุมัติ Spot Bitcoin ETFs และ Spot Ethereum ETFs ยิ่งทำให้ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นอย่างยั่งยืน ซึ่งตัวเลขที่เหมาะสมสำหรับการถือครองสินทรัพย์ดิจิทัล ที่จัดเป็นสินทรัพย์ความเสี่ยงสูง คือ จำนวน 3-5% ของพอร์ตโฟลิโอ  

อย่างไรก็ตาม การบริหารจัดการการเงินที่ดี และการศึกษาเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับนักลงทุนในการบริหารจัดการความเสี่ยงให้เหมาะสมกับตนเองมากที่สุด  

ฟีเจอร์ใหม่บน Binance TH

ภายในงาน นาย นิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ จำกัด ยังได้ทำการเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับเหล่านักลงทุนที่ใช้งานแพลตฟอร์ม ไบแนนซ์ ทีเอช บาย กัลฟ์ ไบแนนซ์ (Binance TH by Gulf Binance) ถึง 4 ฟีเจอร์ด้วยกัน ประกอบด้วยฟีเจอร์ Easy Buy/Sell ที่จะมาช่วยให้นักลงทุนชาวไทยสามารถซื้อเหรียญได้ง่ายภายใน 4 ขั้นตอน ซึ่งมาพร้อมแคมเปญพิเศษ ค่าธรรมเนียม 0% ฟีเจอร์ Small Convert ที่จะทำให้นักลงทุนสามารถเปลี่ยนเศษเหรียญต่างๆ เป็นเหรียญ BNB ได้อย่างง่ายดาย ฟีเจอร์ Graph with Transaction History ที่ทำให้นักลงทุนทราบราคาการซื้อขายสินทรัพย์ของตนเองได้ทันทีผ่านหน้ากราฟการซื้อขาย และฟีเจอร์ KYC Foreigner ที่ช่วยมอบการเข้าถึงทางการเงินและการลงทุนให้กับนักลงทุนชาวต่างชาติในประเทศไทย ให้สามารถใช้งานแพลตฟอร์ม Binance TH by Gulf Binance ได้อย่างมีประสิทธิภาพ  

ทั้งนี้ กัลฟ์ ไบแนนซ์ จะยังคงสานต่อความมุ่งมั่นด้านการเสริมสร้างคริปโตคอมมูนิตี้ที่แข็งแกร่ง โดยการมอบโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาด้านสินทรัพย์ดิจิทัลและการลงทุน ผ่านเซสชั่นมอบความรู้ในงาน Binance TH Super Meetup ตลอดจนโครงการริเริ่มด้านการศึกษาอย่าง Binance Academy  เพื่อส่งเสริมให้เกิดการยอมรับการใช้งานสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทยต่อไป

Investic หนึ่งในผู้ให้บริการด้านการลงทุนด้วย Quant ที่ใช้หลักคณิตศาสตร์และสถิติ ชูโรงใช้ General AI เสริมแกร่งข้อมูลด้านการลงทุนในให้นักลงทุนไทย ด้วยเทคโนโลยีขั้นกว่าของปัญญาประดิษฐ์พร้อมติดอาวุธนักลงทุนไทย เปิดโลกการลงทุนให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ง่ายและล้ำลึกกว่าเดิม มุ่งเป็น AI Application ด้านการลงทุนเบอร์หนึ่งของไทยทั้งในตลาด ทอง หุ้น และสินทรัพย์ดิจิทัล

ในโลกของการลงทุนวันนี้เทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทที่ทำให้การเข้าถึงข้อมูลด้านการลงทุนมีความหลากหลาย รวดเร็ว และกระชับมากขึ้น Investic ในฐานะผู้นำด้านการลงทุนที่มุ่งใช้ General AI เกิดจากการความตั้งใจในการผสมผสานระหว่างคำว่า Investment (การลงทุน) กับ Data Analytics (การวิเคราะห์ข้อมูล) ซึ่งทั้งสองส่วน ถือเป็นสิ่งสำคัญในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อการลงทุน ภายใต้การนำทัพของ “วิธาน มีนาภินันท์” ผู้ก่อตั้ง Investic ที่มีความเชี่ยวชาญด้าน Quant และ AI ที่มุ่งนำประสบการณ์ด้านการลงทุนมาผสานกับความแข็งแกร่งของทีมงานทั้งด้าน Quant และ AI เพื่อพัฒนาโซลูชันที่ง่ายต่อการใช้งาน เพิ่มโอกาสการทำกำไรและลดความเสี่ยงให้นักลงทุนรายย่อย ด้วยข้อมูลในระดับเดียวกับนักลงทุนรายใหญ่และสถาบัน รวมถึงนักลงทุนต่างชาติ

 

นายวิธาน มีนาภินันท์ ผู้ก่อตั้ง Investic เปิดเผยว่า "ปัจจุบัน Artificial Intelligence (AI) หรือปัญญาประดิษฐ์ ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป ด้วยความสามารถในการคิดวิเคราะห์ วางแผน และตัดสินใจได้จากการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ ทำให้การใช้ AI ในการลงทุนช่วยให้นักลงทุนสามารถลงทุนได้ง่ายขึ้นจากประสิทธิภาพในหลายๆ ด้าน เช่น การวิเคราะห์ผลกระทบของปัจจัยตลาด การคัดเลือกสินทรัพย์ และการให้น้ำหนักการลงทุน โดยเฉพาะ General AI ที่กำลังพัฒนาอย่างก้าวกระโดด สามารถสร้าง Framework การลงทุนที่แม่นยำขึ้น ลดความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสในการทำกำไร

Investic มุ่งเป็น AI Application ด้านการลงทุนเบอร์หนึ่งของไทย แพลตฟอร์มของเราจะทำให้นักลงทุนรายย่อยมีแผนการเทรดที่มีประสิทธิภาพ เข้าถึงคอมมูนิตี้นักลงทุน ลดเวลาในการศึกษา และใช้เป็นเครื่องมือช่วยในการลงทุน ทำให้ไม่เสียเปรียบรายใหญ่และสถาบันการเงิน ด้วยการนำ General AI มาช่วยหาข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล ไปจนถึงการตัดสินใจ ที่สำคัญยังสามารถประยุกต์ใช้ตามหน้างานได้เพราะไม่เป็นสูตรตายตัว"

นอกจากนี้ Investic ยังได้ผสานความเป็น Tech Company และ Investment Company มาเป็นโซลูชันที่ง่ายต่อการเข้าถึงของเทรดเดอร์รายย่อย แต่ได้คุณภาพระดับเดียวกับสถาบันใช้ โดยมีทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญด้านการลงทุนและเข้าใจกลยุทธ์การลงทุนเชิง Quant และ AI ทำให้สามารถสร้าง AI ที่มีความแม่นยำและมีกระบวนการวิเคราะห์เพื่อลงทุนแบบมืออาชีพได้

นายวิธาน กล่าวทิ้งท้ายว่า “ในโลกของการลงทุน ข้อมูลคือสิ่งสำคัญ คนที่มีข้อมูลมากกว่าจะได้เปรียบในการแข่งขัน ซึ่งปัจจุบันการเข้าถึงข้อมูลที่มีคุณภาพไม่ได้ยากอย่างที่คิด แต่สิ่งสำคัญคือการวิเคราะห์และใช้ข้อมูลเหล่านั้นอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเราได้จัดตั้ง Investic Academy เพื่อถ่ายทอดความรู้ด้าน Quant Programming และการใช้ AI ด้านการลงทุนให้กับนักลงทุนไทย ทำให้สามารถเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกและใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

นายณัฐพศิน เชฎฐ์อุดมลาภ (ที่ 2 จากขวา) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ นางบุษกร กอดำรงค์ (ขวาสุด) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารทางการเงิน บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด (WEH) พร้อมด้วย นายชัยพัชร์ นาคมณฑนาคุ้ม (กลาง) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม นายจิตวิสุทธิ์ พู่มนตรี (ที่ 2 จากซ้าย) ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายธุรกิจหลักทรัพย์ตราสารหนี้ และ นายเฉลิมพล เทพกมล (ซ้ายสุด) ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายธุรกิจหลักทรัพย์ตราสารหนี้ บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) ร่วมนำเสนอข้อมูลเสนอขายหุ้นกู้ของบริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด ครั้งที่ 1/2567 โดยครบกำหนดไถ่ถอนปี 2569 อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 6.75 ต่อปี ชำระดอกเบี้ยทุก 3 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้แก่ผู้แนะนำการลงทุน และ นักลงทุนที่สนใจ ณ สำนักงานบริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) เมื่อเร็วๆนี้

Page 1 of 3
X

Right Click

No right click