

· บ้านปู ปลื้มยอดเด็กสมัคร “ค่ายเพาเวอร์กรีน” ปีที่ 20 แตะ 500+ คน สะท้อน “คนรุ่นใหม่” มีใจรักษ์สิ่งแวดล้อม – พร้อมมาร่วมสร้างความเปลี่ยนแปลง
บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล สานต่อความมุ่งมั่นในการเสริมสร้างศักยภาพให้คนรุ่นใหม่ด้วยการนำเอาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมไปประยุกต์ใช้ในการดูแลรักษาและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ผ่านโครงการ “ค่ายเยาวชนวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมเพาเวอร์กรีน” (Power Green Camp) ครั้งที่ 20 ภายใต้แนวคิด “ดีค้าบ – The Decarb Mission” ลดคาร์บอน ให้โลกคูลล์ เน้นสร้างความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการลดและหลีกเลี่ยงการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Decarbonization) ในชีวิตประจำวันและในสังคมที่อาศัยอยู่ โดยกิจกรรมจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 เมษายน – 4 พฤษภาคม 2568
นอกจากกิจกรรมค่ายเพาเวอร์กรีนปีที่ 20 จะอัดแน่นไปด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติสุดเข้มข้นแล้ว ยังมีกิจกรรมพิเศษในวาระเฉลิมฉลองค่ายวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมที่ยาวนานที่สุดในประเทศด้วยกิจกรรม “ดีค้าบ เฟสติวัล” (Decarb Festival) โดยเปิดพื้นที่ให้เยาวชนเพาเวอร์กรีนตั้งแต่รุ่นที่ 1 ถึงรุ่นปัจจุบันมาร่วมแสดงพลังผ่านกิจกรรมต่างๆ ได้แก่ โครงงานวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม การจัดเวิร์คชอป เวทีทอล์ค รวมทั้งโซนกิจกรรมสุดครีเอทีฟมากมายที่ขมวดรวมสาระและความบันเทิงตลอด 2 วัน ระหว่างวันที่ 2-3 พฤษภาคมนี้ที่อุทยาน 100 ปี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
![]()
นายรัฐพล สุคันธี ผู้อำนวยการสายอาวุโส - สื่อสารองค์กร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “กว่า 2 ทศวรรษแห่งความร่วมมือระหว่างบ้านปู และคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล เราไม่ได้พัฒนาแค่รูปแบบกิจกรรมการเรียนรู้ภายในค่ายให้เข้มข้นแต่เพียงเท่านั้น เราสร้างมุ่งพัฒนาศักยภาพและสร้างเครือข่ายผู้นำเยาวชนที่กล้าคิด กล้าทำ และกล้าสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับสิ่งแวดล้อม เยาวชนไม่ได้เป็นเพียงแค่ ‘ผู้เรียน’ แต่คือ ‘ผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง’ เราเชื่อว่าเยาวชนที่ผ่านค่ายเพาเวอร์กรีนไปจะเป็นฟันเฟืองสำคัญของการขับเคลื่อนสังคมสู่ความยั่งยืน”
ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ค่ายเพาเวอร์กรีนได้บ่มเพาะเยาวชนกว่า 1,185 คน ในการสร้างการตระหนักรู้ เรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมและก้าวขึ้นมาเป็นพลังสำคัญในการดูแลและช่วยแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ ในปีนี้ ค่ายเพาเวอร์กรีนได้รับความสนใจจากนักเรียนระดับมัธยมปลายทั่วประเทศกว่า 515 คน จาก 304 โรงเรียน ถือเป็นสัญญาณที่สะท้อนว่า เยาวชนไทยจำนวนมาก ‘ตื่นรู้’ และพร้อมจะเข้ามามีบทบาท เพื่ออนาคตของโลกใบนี้” นายรัฐพล กล่าวเสริม
![]()
ด้าน รศ. ดร.นพพล อรุณรัตน์ รองคณบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะประธานโครงการค่ายเพาเวอร์กรีน ครั้งที่ 20 กล่าวว่า “การศึกษาก็ไม่ควรหยุดอยู่แค่ห้องเรียน ค่ายเพาเวอร์กรีนจึงให้ความสำคัญกับการออกแบบค่ายฯ ให้เป็น ‘ห้องเรียนแห่งอนาคต’ ที่ไม่ใช่แค่เรียนทฤษฎี แต่ต้องลงมือแก้ปัญหาจริง เข้าใจบทบาทของธรรมชาติ และใช้วิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือในการเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้น เราต้องการให้เยาวชนเข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนในการดูแลและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม หากเราให้อาวุธทางความคิด ทักษะที่จำเป็น และประสบการณ์ที่เข้มข้น พวกเขาจะเติบโตเป็นกำลังสำคัญในการดูแลประเทศและโลกต่อไป”
สำหรับปีนี้ทางโครงการฯ ปักหมุดกิจกรรมภาคสนามที่จังหวัดนครราชสีมาเพราะเป็นพื้นที่ที่เยาวชนสามารถเรียนรู้ความสำคัญของป่าไม้ในฐานะแหล่งดูดซับคาร์บอนในหลากหลายบริบท ทั้งในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ป่าชุมชน พื้นที่เกษตรชุมชน รวมถึงการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ โดยเยาวชนทั้ง 50 คนมีภารกิจวางแปลงสำรวจการกักเก็บคาร์บอนในพื้นที่ป่าไม้ เพื่อศึกษาโครงสร้างสังคมพืช และฝึกฝนการประยุกต์ใช้นวัตกรรมไปวิเคราะห์ ดูแล และแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม ด้วยอากาศยานไร้คนขับ (Unmanned Aerial Vehicle - UAV) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในหลากหลายด้าน เช่น การเฝ้าระวังป่าไม้และสัตว์ป่า การตรวจวัดมลภาวะ การติดตามการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และฟื้นฟูพื้นที่ป่า ไม่เพียงเท่านั้น เยาวชนยังได้เรียนรู้การจัดการท่องเที่ยวแบบชุมชนที่ “บ้านท่ามะปรางค์ – บ้านคลองเพล” ซึ่งใช้โมเดล “Local Low Carbon” และร่วมฝึกการทำเกษตรอินทรีย์แบบลดคาร์บอน สะท้อนให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงระดับโลกเริ่มต้นได้จากชุมชนเล็กๆ
“บ้านปูยังคงเดินหน้าเสริมศักยภาพ สร้างพลังแห่งอนาคต (Embracing Potential, Energizing People) ผ่านการเสริมศักยภาพ ‘คนรุ่นใหม่’ เพื่อสร้าง ‘พลังในการลงมือทำ’ เพราะเราเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า เยาวชนที่สำเร็จการศึกษาจาก ‘ค่ายเพาเวอร์กรีน’ ห้องเรียนวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมนอกตำราแห่งนี้จะกลายเป็นกำลังสำคัญในการดูแลฟื้นฟูโลกใบนี้ ผ่านการนำองค์ความรู้วิทยาศาสตร์-เทคโนโลยี ตลอดจนประสบการณ์ที่ได้รับไปต่อยอดเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก ตลอดจนสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับคนรุ่นถัดไป” นายรัฐพล กล่าวทิ้งท้าย
ติดตามความเคลื่อนไหวของโครงการ “ค่ายเยาวชนวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม” (Power Green Camp) ปีที่ 20 เพิ่มเติมได้ที่เฟซบุ๊กเพจ https://www.facebook.com/powergreencamp
ท่ามกลางความท้าทายในการเลือกเส้นทางอาชีพของเยาวชนไทยในยุคดิจิทัล โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์จัดงาน "ราตรีศรีตรัง" โดยศิษย์เก่าเพื่อเปิดโลกทัศน์และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความสำเร็จในหลากหลายวิชาชีพ พร้อมให้คำแนะนำแก่รุ่นน้องในการวางแผนอนาคต งานนี้รวบรวมศิษย์เก่าที่ประสบความสำเร็จในหลากหลายสาขา อาทิ แพทยศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ข้อมูล และอุตสาหกรรมความงามที่กำลังเติบโตสูง
แนวโน้มอาชีพที่เติบโตและเป็นที่ต้องการของตลาด
นางสาวพิริยา "ครูพัชร" ยังรอต ครูแนะแนวของโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ เปิดเผยถึงสาขาอาชีพที่กำลังได้รับความนิยมในปัจจุบันว่า ประกอบด้วยวิทยาศาสตร์สุขภาพ (Health Science), วิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Science) และ AI, วิศวกรรมศาสตร์ (Engineering), บริหารธุรกิจ (Business Management) ออนไลน์และธุรกิจยุคใหม่ รวมถึงการเงินการลงทุน (Finance & Investment) พร้อมกล่าวว่า “ในการเลือกเส้นทางอาชีพของนักเรียนในปัจจุบันควรมองให้ลึกไปกว่ากระแสของตลาดเพียง ด้วยการสำรวจความสนใจ ความถนัด และความสามารถของตนเอง เพราะอาชีพที่มาแรงอาจไม่ใช่คำตอบสำหรับทุกคน กุญแจสำคัญของความสำเร็จคือการไม่หยุดเรียนรู้และพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ”
ทุกอาชีพมีโอกาสประสบความสำเร็จ หากเริ่มต้นจากความชอบและมุ่งพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ไม่ได้สอนเพียงแค่ 'เรียนไปทำไม' แต่เน้นที่ 'เรียนเพื่อทำอะไร' โดยมุ่งสร้างนักเรียนที่มีเป้าหมายชัดเจน ผ่านแกนหลักสามประการ ได้แก่ การเข้าถึงความรู้ การเรียนรู้ด้วยตัวเอง คิดวิเคราะห์ และต่อยอดองค์ความรู้ การทำงานร่วมกับผู้อื่น ฝึกทักษะการทำงานเป็นทีมและการบริหารจัดการคน ความสามารถในการครองใจคนยังคงเป็นทักษะสำคัญ และการเรียนรู้ด้วยตัวเองไม่มีสิ้นสุด สร้างโอกาสจากทุกสถานการณ์และมองเห็นอนาคต การมีเป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยให้นักเรียนวางแผนชีวิตได้อย่างมีทิศทางและมั่นใจในการก้าวสู่อนาคต ทั้งหมดล้วนเป็นซอฟท์สกีล ที่เป็นบันไดก้าวสู่ความสำเร็จในทุกสายอาชีพ
![]()
หมอกล้า เผยเคล็ดลับพิชิตความสำเร็จในสายงานแข่งขันสูง
นายแพทย์ชเนษฎ์ "หมอกล้า" ศรีสุโข ผู้ก่อตั้ง มาลิคลินิก สีลมซอย 3 ศิษย์เก่าที่ประสบความสำเร็จในสายอาชีพเปิดเผยว่า "แม้จะไม่ได้เลือกสิ่งที่รัก แต่จงรักในสิ่งที่เลือก เพราะความสำเร็จขึ้นอยู่กับการนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์และตอบโจทย์ผู้คน เมื่อเราสร้างคุณค่าและช่วยเหลือผู้อื่นก่อนผลลัพธ์ที่ดี รวมถึงความสำเร็จย่อมจะตามมา" หมอกล้าเลือกเส้นทางการแพทย์และสร้างธุรกิจในอุตสาหกรรมความงามที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยปัจจัยจากเทรนด์ดูแลสุขภาพของคนรุ่นใหม่และสังคมผู้สูงอายุที่ต้องการคงความอ่อนเยาว์ อาชีพแพทย์ความงาม จึงเป็นที่ต้องการของตลาด ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการเติบโตของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและความงาม
“การมีความรักในอาชีพเป็นสิ่งสำคัญ จะนำมาซึ่งทักษะสำคัญเช่น ความอดทน ความพยายาม และการเรียนรู้อย่างลึกซึ้ง การมองอุปสรรคเป็นโอกาสในการพัฒนาตนเองและธุรกิจ และการสร้างเครือข่ายช่วยให้สามารถต่อยอด แลกเปลี่ยนความรู้ และขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ เมื่อรวมกับการมีแบบอย่างที่ดีจะนำพาไปสู่ความสำเร็จในอาชีพ ทุกอาชีพแม้ไม่ใช่อาชีพดาวรุ่งก็สามารถประสบความสำเร็จได้ หากเรามองประโยชน์ที่สามารถสร้างให้กับผู้อื่นก่อน การทำงานด้วยความจริงใจจะนำมาซึ่งผลตอบแทนและความสำเร็จในที่สุด” หมอกล้ากล่าวย้ำ
![]()
ด้านนายบรรพต "อิก" ธนาเพิ่มสุข ศิษย์เก่ามหิดลวิทยานุสรณ์ และอินฟลูเอนเซอร์ด้านการลงทุนและเจ้าของช่อง "ถามอีก กับอิก" ผู้พลิกโฉมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์สู่โลกการเงินและการลงทุน กล่าวว่า "แม้จะมี AI หรือเทคโนโลยีล้ำสมัยแค่ไหน มนุษย์ยังคงต้องการคำแนะนำจากมนุษย์ด้วยกัน เพราะเรื่องเงินเป็นเรื่องของความไว้วางใจ ซึ่งเทคโนโลยีไม่สามารถทดแทนได้"อาชีพที่ปรึกษาทางการเงินมาแรงและเป็นหนึ่งในอาชีพที่ตลาดมีความต้องการสูง เนื่องจากคนไทยและองค์กรต่าง ๆ ให้ความสำคัญกับการบริหารการเงินมากขึ้น ทั้งจากภาวะเงินเฟ้อ ค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น และโครงสร้างครอบครัวที่เปลี่ยนไป ทำให้คนไทยต้องวางแผนการเงิน โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ คนทำงาน และผู้สูงวัยที่ต้องการวางแผนเกษียณ เส้นทางอาชีพของที่ปรึกษาทางการเงิน นับเป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับคนรุ่นใหม่ที่มองหางานที่มีอิสระและผลตอบแทนสูง งาน "ราตรีศรีตรัง" ไม่ได้เป็นเพียงแค่การพบปะของศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันเท่านั้น แต่เป็นพื้นที่สำคัญในการส่งต่อแรงบันดาลใจและแนวทางจากรุ่นพี่สู่รุ่นน้องเพื่อเตรียมความพร้อมให้เยาวชนไทยก้าวสู่อาชีพที่มั่นคงและเติบโตได้ในยุคที่โลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับกลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย (Dow) จัดทำ “แพลตฟอร์ม EF ปี 2567: ร่วมด้วยช่วยกันสร้างทักษะสมอง EF เด็กไทย (Platform EF: Building Brains EF Together)” ซึ่งเป็นช่องทางการเผยแพร่และแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และเสริมสร้างความเข้าใจในการพัฒนาเด็กด้วยทักษะสมองอีเอฟ (Executive Functions) โดยมุ่งเน้นให้ครู นักวิชาการสาธารณสุข ผู้ปกครอง และผู้สนใจทั่วไปมีโอกาสเข้าถึงสื่อการเรียนรู้และการเสวนาจากนักวิขาการผู้ทรงคุณวุฒิของไทย ที่สามารถนำไปปรับใช้ในการเลี้ยงดูบุตรหลานให้เติบโตเป็น ‘คนดี’ และ ‘คนเก่ง’ ขยายผลการพัฒนาพลเมืองคุณภาพที่พร้อมจะขับเคลื่อนประเทศชาติในอนาคต
ทักษะสมองอีเอฟ (Executive Functions) เป็นการทำงานของสมองส่วนหน้าที่ส่งผลเกี่ยวกับความจำ การเรียนรู้ การทำงาน (Working Memory) การควบคุมตนเอง ยับยั้งชั่งใจ (Inhibitory Control) ความยืดหยุ่น และปรับตัวแก้ปัญหาได้เอง (Cognitive Flexibility) พัฒนาได้ดีที่สุดในช่วงปฐมวัยตั้งแต่แรกเกิดถึง 6 ขวบ หากได้รับการส่งเสริมและพัฒนาอย่างเหมาะสมจากครอบครัว จะทำให้เด็กเติบโตขึ้นเป็น ‘คนดี’ และ ‘คนเก่ง’ ของสังคม มีภูมิต้านทานชีวิต และป้องกันปัญหาสังคมเชิงรุก อาทิ ยาเสพติด ติดเกม ท้องก่อนวัยอันควร ปัญหาความรุนแรงต่างๆ เป็นต้น

รศ. นพ. อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า “สถาบันมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์นวัตกรรมและความร่วมมือในการพัฒนาและคุ้มครองเด็ก เยาวชน และครอบครัว เพื่อนำไปสู่สังคมที่เป็นธรรมและยั่งยืน ผ่านการใช้ประโยชน์จากการวิจัยวิชาการ รวมทั้งสร้างพื้นที่แห่งการเรียนรู้ สุขภาพ และปลอดภัยที่เหมาะสมกับเด็ก นอกจากนี้ยังมีการเผยแพร่องค์ความรู้ในวงกว้างและขับเคลื่อนองค์ความรู้สู่สังคมทั้งในภาครัฐและเอกชน เพื่อส่งเสริมการวางนโยบายการพัฒนาเยาวชนให้เติบโตด้วย EF ซึ่งเป็นทักษะที่ช่วยให้เด็กมีการควบคุมอารมณ์ ความคิด และการกระทำที่เป็นไปตามเป้าหมาย และมุ่งสู่พฤติกรรมที่เป็นประโยชน์ เกิดความเข้าใจและการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อเด็กและสังคมในอนาคต”

นางภรณี กองอมรภิญโญ ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย กล่าวว่า “Dow เป็นบริษัทวิทยาศาสตร์ที่มีความเชื่อมั่นในการพัฒนาทักษะสมองของเยาวชนให้เป็นคนดีและคนเก่ง ซึ่งจะนำไปสู่การป้องกันปัญหาสังคมและส่งเสริมการสร้างสรรค์นวัตกรรมของคนไทยในอนาคต เราจึงดำเนินโครงการ ดาว-อีเอฟ พัฒนาเยาวชนสู่ความสำเร็จ เพื่อพัฒนาสมองส่วนหน้าของเยาวชนไทยมาตลอด 9 ปี โดยเริ่มต้นที่จังหวัดระยอง ตั้งแต่ปี 2559 และขยายผลสำเร็จสู่กรุงเทพมหานครในปีที่ผ่านมา เราจึงมีความยินดีที่ได้ร่วมสนับสนุนร่วมกับสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล ในการจัดทำแพลตฟอร์มการเรียนรู้ EF แบบออนไลน์ เพื่อเปิดโอกาสและขยายองค์ความรู้ในการอบรมเลี้ยงดูบุตรหลานให้เป็นคนดีและคนเก่งตามแนวทาง EF ให้กับผู้ปกครองและคุณครูทั่วประเทศที่สนใจ ซึ่งจะช่วยสร้างเยาวชนที่มีคุณภาพเพื่อการพัฒนาประเทศไทยต่อไป”
แพลตฟอร์ม EF ปี 2567 ร่วมด้วยช่วยกันสร้างทักษะสมอง EF เด็กไทย จะมีกิจกรรมและการอบรมฟรีจากนักวิขาการผู้ทรงคุณวุฒิทั้งในรูปแบบ online และ on-site เดือนละ 1 ครั้ง รวม 12 หัวข้อ โดยเน้นไปที่การพัฒนาทักษะ EF สำหรับเด็กปฐมวัย ซึ่งคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมอย่างน้อย 1,000 คนต่อครั้ง หรือตลอดปีไม่น้อยกว่า 12,000 คนทั่วประเทศ ท่านที่สนใจสามารถสมัครเรียนฟรีผ่านระบบสมาชิกเครือข่ายของสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัวได้ หรือดูงานเสวนาย้อนหลังได้ที่ https://nicfd-member.mahidol.ac.th/course/detail/275 หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่กลุ่ม Line “แพลตฟอร์ม EF”
สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับกลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย (Dow) จัดทำ “แพลตฟอร์ม EF ปี 2567: ร่วมด้วยช่วยกันสร้างทักษะสมอง EF เด็กไทย (Platform EF: Building Brains EF Together)” ซึ่งเป็นช่องทางการเผยแพร่และแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และเสริมสร้างความเข้าใจในการพัฒนาเด็กด้วยทักษะสมองอีเอฟ (Executive Functions) โดยมุ่งเน้นให้ครู นักวิชาการสาธารณสุข ผู้ปกครอง และผู้สนใจทั่วไปมีโอกาสเข้าถึงสื่อการเรียนรู้และการเสวนาจากนักวิขาการผู้ทรงคุณวุฒิของไทย
ทักษะสมองอีเอฟ (Executive Functions) เป็นการทำงานของสมองส่วนหน้าที่ส่งผลเกี่ยวกับความจำ การเรียนรู้ การทำงาน (Working Memory) การควบคุมตนเอง ยับยั้งชั่งใจ (Inhibitory Control) ความยืดหยุ่น และปรับตัวแก้ปัญหาได้เอง (Cognitive Flexibility) พัฒนาได้ดีที่สุดในช่วงปฐมวัยตั้งแต่แรกเกิดถึง 6 ขวบ หากได้รับการส่งเสริมและพัฒนาอย่างเหมาะสมจากครอบครัว จะทำให้เด็กเติบโตขึ้นเป็น ‘คนดี’ และ ‘คนเก่ง’ ของสังคม มีภูมิต้านทานชีวิต และป้องกันปัญหาสังคมเชิงรุก อาทิ ยาเสพติด ติดเกม ท้องก่อนวัยอันควร ปัญหาความรุนแรงต่างๆ เป็นต้น
รศ. นพ. อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า “สถาบันมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์นวัตกรรมและความร่วมมือในการพัฒนาและคุ้มครองเด็ก เยาวชน และครอบครัว เพื่อนำไปสู่สังคมที่เป็นธรรมและยั่งยืน ผ่านการใช้ประโยชน์จากการวิจัยวิชาการ รวมทั้งสร้างพื้นที่แห่งการเรียนรู้ สุขภาพ และปลอดภัยที่เหมาะสมกับเด็ก นอกจากนี้ยังมีการเผยแพร่องค์ความรู้ในวงกว้างและขับเคลื่อนองค์ความรู้สู่สังคมทั้งในภาครัฐและเอกชน เพื่อส่งเสริมการวางนโยบายการพัฒนาเยาวชนให้เติบโตด้วย EF ซึ่งเป็นทักษะที่ช่วยให้เด็กมีการควบคุมอารมณ์ ความคิด และการกระทำที่เป็นไปตามเป้าหมาย และมุ่งสู่พฤติกรรมที่เป็นประโยชน์ เกิดความเข้าใจและการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อเด็กและสังคมในอนาคต”
![]()
นางภรณี กองอมรภิญโญ ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย กล่าวว่า “Dow เป็นบริษัทวิทยาศาสตร์ที่มีความเชื่อมั่นในการพัฒนาทักษะสมองของเยาวชนให้เป็นคนดีและคนเก่ง ซึ่งจะนำไปสู่การป้องกันปัญหาสังคมและส่งเสริมการสร้างสรรค์นวัตกรรมของคนไทยในอนาคต เราจึงดำเนินโครงการ ดาว-อีเอฟ พัฒนาเยาวชนสู่ความสำเร็จ เพื่อพัฒนาสมองส่วนหน้าของเยาวชนไทยมาตลอด 9 ปี โดยเริ่มต้นที่จังหวัดระยอง ตั้งแต่ปี 2559 และขยายผลสำเร็จสู่กรุงเทพมหานครในปีที่ผ่านมา เราจึงมีความยินดีที่ได้ร่วมสนับสนุนร่วมกับสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล ในการจัดทำแพลตฟอร์มการเรียนรู้ EF แบบออนไลน์ เพื่อเปิดโอกาสและขยายองค์ความรู้ในการอบรมเลี้ยงดูบุตรหลานให้เป็นคนดีและคนเก่งตามแนวทาง EF ให้กับผู้ปกครองและคุณครูทั่วประเทศที่สนใจ ซึ่งจะช่วยสร้างเยาวชนที่มีคุณภาพเพื่อการพัฒนาประเทศไทยต่อไป”
แพลตฟอร์ม EF ปี 2567 ร่วมด้วยช่วยกันสร้างทักษะสมอง EF เด็กไทย จะมีกิจกรรมและการอบรมฟรีจากนักวิขาการผู้ทรงคุณวุฒิทั้งในรูปแบบ online และ on-site เดือนละ 1 ครั้ง รวม 12 หัวข้อ โดยเน้นไปที่การพัฒนาทักษะ EF สำหรับเด็กปฐมวัย ซึ่งคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมอย่างน้อย 1,000 คนต่อครั้ง หรือตลอดปีไม่น้อยกว่า 12,000 คนทั่วประเทศ ท่านที่สนใจสามารถสมัครเรียนฟรีผ่านระบบสมาชิกเครือข่ายของสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัวได้ หรือดูงานเสวนาย้อนหลังได้ที่ https://nicfd-member.mahidol.ac.th/course/detail/275 หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่กลุ่ม Line “แพลตฟอร์ม EF”
นายรังสรรค์ เพ็งพันธ์ (ที่ 3 จากซ้าย) รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานธรณีศาสตร์และการสำรวจ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. และ ผศ.ดร.ธัชวีร์ ลีละวัฒน์ (ที่ 4 จากซ้าย) รองอธิการบดีฝ่ายสารสนเทศและวิทยาเขตกาญจนบุรี มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ ภายใต้โครงการ PTTEP Subsurface University Energy Connect เพื่อพัฒนางานวิจัยทางวิชาการด้านธรณีศาสตร์ วิศวกรรมปิโตรเลียม สร้างบุคลากรด้านการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม รวมถึงการหาแหล่งกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาเทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บคาร์บอน หรือ CCS (Carbon Capture and Storage) เพื่อช่วยขับเคลื่อนประเทศไทย สู่เป้าหมายสังคมคาร์บอนต่ำ พิธีลงนามจัดขึ้น ณ มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตกาญจนบุรี
ภายใต้โครงการ PTTEP Subsurface University Energy Connect ปตท.สผ. ได้ลงนามความร่วมมือกับหลายสถาบันการศึกษา เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยมีเป้าหมายจะขยายความร่วมมือดังกล่าวไปยังมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ต่อไป