กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) กระทรวงอุตสาหกรรม ผนึกกำลัง บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ผ่าน DIPROM CONNECTION ร่วมผลักดันบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) “การพัฒนาศักยภาพและสร้างโอกาส
ทางการตลาดเพื่อยกระดับขีดความสามารถวิสาหกิจไทยอย่างยั่งยืน” เพื่อเสริมแกร่งชุมชน-วิสาหกิจไทย ยกระดับสินค้าและบริการให้มีคุณภาพ สนับสนุนสิทธิประโยชน์ส่วนลดพิเศษในการขนและขายสินค้าชุมชนไทยผ่านระบบออนไลน์ และออฟไลน์ ณ ที่ทำไปรษณีย์ไทยและเครือข่ายพันธมิตรทั่วประเทศกว่า 50,000 แห่ง นอกจากนี้ ยังมีการสนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียนลดขยะในสถานประกอบการ หวังยกระดับขีดความสามารถวิสาหกิจไทยอย่างยั่งยืน คาดว่าจะสามารถสร้างโอกาสทางการตลาดผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ ได้กว่า 200 ล้านบาท
นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า รัฐบาลเร่งยกระดับการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมเพื่อให้มีศักยภาพในการแข่งขัน เตรียมความพร้อมรับมือกับรูปแบบเศรษฐกิจแห่งอนาคต ดังนั้น เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมเดินหน้าได้อย่างเต็มความสามารถจึงจำเป็นต้องยกระดับเศรษฐกิจฐานราก เพื่อให้สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน ลดความเหลื่อมล้ำ และเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้จากต้นทุนที่มีในท้องที่ต่าง ๆ ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม ได้มอบหมายให้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม ขับเคลื่อนการเสริมศักยภาพและพัฒนาชุมชน วิสาหกิจชุมชน โดยความร่วมมือกับบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่จะมาช่วยเพิ่มศักยภาพในด้านโลจิสติกส์ และการจัดจำหน่ายได้มากขึ้น
นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เปิดเผยว่า หนึ่งในภารกิจที่สำคัญของกระทรวงฯ คือการส่งเสริมให้ภาครัฐ-เอกชน และทุกภาคส่วนเข้าถึงระบบต่าง ๆ ที่เป็นดิจิทัลซึ่งจะนำไปสู่เป้าหมาย Digital Economy โมเดลที่จะขับเคลื่อนประเทศไทยให้เติบโตอย่างรวดเร็ว และเป็นกลไกเพิ่มผลิตภาพทั้งในภาคการผลิต การค้า การบริการ รวมถึงโอกาสใหม่ ๆ ที่จำเป็นสำหรับการแข่งขัน อย่างไรก็ตามความร่วมมือระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และกระทรวงอุตสาหกรรมในครั้งนี้ ถือเป็นอีกกลไกที่สำคัญที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพให้กับผู้ประกอบการในทุกระดับ โดยเฉพาะกลุ่มวิสาหกิจชุมชน วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมให้เข้าถึงและใช้ประโยชน์โซลูชันทางดิจิทัลได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยได้มอบหมายให้บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ดึงทรัพยากรต่าง ๆ ที่มีความโดดเด่น ตั้งแต่ในด้านการขนส่ง ที่มีทั้งความรวดเร็ว แม่นยำ ปลอดภัย เครือข่ายที่ทำการไปรษณีย์ - บุรุษไปรษณีย์ที่ครอบคลุม ระบบคลังสินค้า และช่องทางจำหน่ายสินค้าทั้งออฟไลน์ ออนไลน์ขยายโอกาสและรองรับความต้องการต่าง ๆ ให้กับผู้ประกอบการพร้อมผลักดันให้ใช้ประโยชน์จากไปรษณีย์ไทยเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจ และเสริมความเป็น Digital SMEs ให้มากขึ้น
นายภาสกร ชัยรัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม มีทิศทางการทำงานที่สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของโลก ตามนโยบาย “RESHAPE THE FUTURE : โลกเปลี่ยน อุตสาหกรรมปรับ พร้อมรับอนาคต” ภายใต้แนวคิด “ชุมชนเปลี่ยน” ผ่านการบูรณาการเครือข่ายความร่วมมือ (DIPROM CONNECTION) กับบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เพื่อพัฒนาศักยภาพและสร้างโอกาสทางการตลาดในการยกระดับขีดความสามารถวิสาหกิจไทยให้มีความยั่งยืน ผ่านการเสริมสร้างองค์ความรู้ในด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ กระบวนการผลิต มาตรฐาน และออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้ทันสมัยสอดรับกับเทรนด์โลก รวมถึงมีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในการจัดเก็บสินค้า และระบบคลังสินค้า ตลอดจนได้มอบสิทธิประโยชน์อัตราพิเศษในการขนส่งสินค้าจากผู้ผลิตไปยังผู้รับปลายทางอย่างมีคุณภาพ พร้อมขยายช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์บนเว็บไซต์ ThailandpostMart และออฟไลน์ ณ ที่ทำการไปรษณีย์และเครือข่ายพันธมิตรกว่า 50,000 แห่งทั่วประเทศ นอกจากนี้ ยังมีการส่งเสริมความร่วมมือในการบริหารจัดการวัสดุเหลือใช้ อาทิ กล่อง ซอง ขวดน้ำ ถุงพลาสติก และขยะอิเล็กทรอนิกส์ โดยได้เตรียมจุดรับวัสดุเหลือใช้เหล่านี้ให้แก่สถานประกอบการ ภายใต้โครงการ Green Hub เพื่อลดขยะในสถานประกอบการ สนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียนตามหลักการ Circular Economy และขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้สามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ ความร่วมมือที่เกิดขึ้นระหว่างสองหน่วยงานจะช่วยสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน และส่งเสริมการเติบโตของผู้ประกอบการ SMEs และวิสาหกิจชุมชนได้อย่างยั่งยืน ซึ่งคาดว่าจะสามารถสร้างโอกาสทางการตลาดผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ ได้กว่า 200 ล้านบาท
ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กล่าวว่า ไปรษณีย์ไทย ในฐานะหน่วยงานสื่อสารและขนส่งของชาติพร้อมสนับสนุนการเติบโตของผู้ประกอบการไทยในการช่วยขน และช่วยขายสินค้าผ่านเครือข่ายไปรษณีย์ พร้อมทั้งมีบริการอำนวยความสะดวกในการจัดการด้านโลจิสติกส์และคลังสินค้าช่วย “เก็บ แพ็ค ส่ง” รองรับการขยายตัวของธุรกิจ e-Commerce ในส่วนของลูกค้ากลุ่มธุรกิจ B2B และ B2C ที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการสามารถจัดการธุรกิจได้อย่างมืออาชีพ นอกจากนี้ไปรษณีย์ไทยยังพร้อมช่วยผลักดันสินค้าเหล่านี้ให้ถึงมือผู้บริโภคทั่วประเทศผ่านเครือข่ายไปรษณีย์กว่า 50,000 แห่งครอบคลุมทั่วประเทศ เว็บไซต์ ThailandPostMart ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม e-Marketplace ของไปรษณีย์ไทยที่รวบรวมสินค้าตัวท็อปทั่วไทยกว่า 20,000 รายการ จากผู้ประกอบการกว่า 6,000 ราย และยังมีช่องทางจำหน่ายสินค้าออฟไลน์ผ่านร้านค้า ThailandPostMart 17 สาขาในพื้นที่เศรษฐกิจ ได้แก่ ไปรษณีย์กลาง เคาน์เตอร์ไปรษณีย์สาขา MBK ไปรษณีย์จังหวัดอุดรธานี อุบลราชธานี นครราชสีมา บุรีรัมย์ ขอนแก่น หนองคาย เชียงใหม่ พิษณุโลก ราชบุรี กระบี่ ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี สงขลา ปัตตานี และไปรษณีย์จอมสุรางค์ ซึ่งในปีที่ผ่านมาสามารถสร้างรายได้ถึงกว่า 200 ล้านบาท อีกทั้งไปรษณีย์ไทยยังมีแผนในการให้บริการขนส่งสินค้าเข้าคลัง Amazon เพื่อขยายโอกาส ขยายช่องทางให้กับผู้ประกอบไทย ได้ส่งสินค้าไปขายยังต่างประเทศได้อีกด้วย
LINE SHOPPING ผู้นำแพลตฟอร์ม Social Commerce อันดับหนึ่งของเมืองไทย
บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ร่วมกับ ทรู ดิจิทัล พาร์ค จำกัด เชิญชวนคนรุ่นใหม่มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนนวัตกรรม เสริมสร้างศักยภาพและผลักดันประสิทธิภาพแวดวงธุรกิจขนส่ง ในการแข่งขันการทำธุรกิจสู่โลกอนาคต และการให้บริการแก่ประชาชนที่เหนือกว่า ภายใต้โจทย์ “เราจะส่งมอบคุณค่าที่เหนือกว่าความต้องการ และความคาดหวังของลูกค้าได้อย่างไร?” (HOW MIGHT WE GO ABOVE AND BEYOND CUSTOMERS’ EXPECTATION) พร้อมรับเงินทุนสนับสนุนและเงินรางวัลมูลค่ารวมกว่า 400,000 บาท และสิทธิ์ประโยชน์เพื่อต่อยอดแนวคิดทางธุรกิจอีกมากมาย
ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กล่าวว่า “บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด และ บริษัท ทรู ดิจิทัล พาร์ค จำกัด มีความตั้งใจที่จะจัดโครงการนี้ขึ้นมาเพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรม เสริมสร้างศักยภาพ และผลักดันประสิทธิภาพแวดวงธุรกิจขนส่ง ในการแข่งขันการทำธุรกิจสู่โลกอนาคต และการให้บริการแก่ประชาชนที่เหนือกว่า ภายใต้โจทย์ “เราจะส่งมอบคุณค่าที่เหนือกว่าความต้องการ และความคาดหวังของลูกค้าได้อย่างไร?” (HOW MIGHT WE GO ABOVE AND BEYOND CUSTOMERS’ EXPECTATION) ซึ่งเราได้เล็งเห็นถึงสถานการณ์โลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและการแข่งขันของธุรกิจโลจิสติกส์อย่างเข้มข้น บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด จึงอยากเชิญชวนคนรุ่นใหม่ มาร่วมระดมสมอง เพื่อร่วมต่อยอดความคิด ยกระดับ และร่วมเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนา “ธุรกิจขนส่ง” ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากการมีบทบาทสำคัญในการส่งสินค้าให้ถึงที่หมาย กับโครงการนำร่องเพื่อตอบสนองความต้องการและความคาดหวังของผู้บริโภค โดยใช้ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมที่สามารถนำไปต่อยอดการพัฒนาธุรกิจใหม่ (New S-Curve) โดยเราเปิดรับทุกไอเดีย ไม่ว่าจะเป็นนวัตกรรมด้านกระบวนการทำงาน หรือนวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์และบริการ โดยไอเดียของทีมที่เข้าร่วมโครงการจะเป็นจุดเริ่มต้นสู่การบ่มเพาะและต่อยอดเป็นธุรกิจใหม่ในโลกอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด อีกทั้งยังเป็นการช่วยสร้างประสบการณ์และส่งเสริมศักยภาพของผู้ที่เข้าร่วมโครงการให้แข็งแกร่งในสนามประลองฝีมือ Business Ideas Challenge กับเหล่าสตาร์ทอัพชั้นนำระดับประเทศ และนอกจากนี้โครงการดังกล่าวเป็นโครงการที่สอดรับกับทิศทางหรือเป้าหมายของการทำนวัตกรรมของบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด คือ “มุ่งสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ยกระดับการดำเนินงานและการให้บริการอย่างก้าวกระโดด ให้กับ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ควบคู่กับการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับสังคมและเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน” โดยเราได้ดำเนินงานด้านนวัตกรรมตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบัน โดยในปีนี้ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด มีนโยบายการบริหารจัดการนวัตกรรมโดยมุ่งเน้นไปยังการใช้ Digital Technology เป็นพื้นฐานและเพื่อตอบสนองยุทธศาสตร์ชาติของภาครัฐ ภายใต้นโยบาย Digital Economy ที่จะยกระดับและขับเคลื่อนเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล บนแผนแม่บทการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ตามยุทธศาสตร์ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และยุทธศาสตร์ของบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด อีกด้วย”
โครงการบ่มเพาะนวัตกรรมสู่ความเป็นเลิศ (Thailand Post: Journey to Startup Sandbox 2022) เป็นหนึ่งในแผนงานภายใต้แผนส่งเสริมและขับเคลื่อนการวิจัย พัฒนาและนวัตกรรม ประจำปี 2565 ของ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ซึ่งมีแนวทางการดำเนินงานแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่
ระยะที่ 1. Leadership Program: Problem Statement defined workshop เป็นการจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการให้แก่คณะกรรมการ ปณท และผู้บริหารระดับสูง เพื่อให้ได้โจทย์ในการทำนวัตกรรมในปีนี้
ระยะที่ 2. Intensive Innovation Challenge Program เป็นการจัดกิจกรรมแข่งขันนวัตกรรมภายในองค์กร
ระยะที่ 3. Startup Sandbox Program เป็นการจัดกิจกรรมบ่มเพาะสตาร์ทอัพ
อนึ่งโครงการบ่มเพาะนวัตกรรมสู่ความเป็นเลิศ (Thailand Post: Journey to Startup Sandbox 2022) ภายใต้โจทย์ “เราจะส่งมอบคุณค่าที่เหนือกว่าความต้องการและความคาดหวังของลูกค้าได้อย่างไร?” (HOW MIGHT WE GO ABOVE AND BEYOND CUSTOMERS’ EXPECTATION) ได้ดำเนินการมาถึงระยะที่ 3 ของแผนงานภายใต้แผนส่งเสริมและขับเคลื่อนการวิจัย พัฒนาและนวัตกรรม ประจำปี 2565 ของบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ภายใต้โครงการบ่มเพาะนวัตกรรมสู่ความเป็นเลิศ (Thailand Post: Journey to Startup Sandbox 2022) แล้ว โดยเป็นโครงการที่เปิดรับสมัครคนรุ่นใหม่มาร่วมแข่งขัน ประชันไอเดีย เพื่อโชว์วิสัยทัศน์และแนวคิดการทำธุรกิจ เพื่อยกระดับนวัตกรรมสู่ธุรกิจขนส่งแห่งอนาคต ในรูปแบบของ Business Ideas Challenge เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรม เสริมสร้างศักยภาพและผลักดันประสิทธิภาพของแวดวงธุรกิจขนส่ง ในการแข่งขันการทำธุรกิจสู่โลกอนาคต และการให้บริการแก่ประชาชนที่เหนือกว่า
โดยทีมที่ได้สิทธิ์ผ่านเข้ารอบ 3 ทีมสุดท้าย จะได้รับสิทธิ์เข้าร่วม Journey to Startup Sandbox เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 8 กรกฎาคม - 7 ตุลาคม 2565 พร้อมรับรางวัลเงินทุนสนับสนุนทีมละ 100,000 บาท เพื่อนำไปใช้ในการต่อยอดและพัฒนาธุรกิจ พร้อมทั้งได้รับสิทธิ์ในการใช้พื้นที่ Co-Working Space ที่ ทรู ดิจิทัล พาร์ค ที่ทำงานที่มีระบบนิเวศที่สมบูรณ์แบบสำหรับสตาร์ทอัพแห่งแรกในไทยที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บนพื้นฐานบรรยากาศการทำงานที่สอดรับกับไอเดียของคนรุ่นใหม่ที่เอื้อต่อการสร้างสรรค์นวัตกรรม เป็นระยะเวลา 3 เดือน มูลค่ากว่า 70,000 บาท อีกด้วย
ผู้ที่สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมหรือศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมของ “โครงการบ่มเพาะนวัตกรรมสู่ความเป็นเลิศ (Thailand Post: Journey to Startup Sandbox 2022) ภายใต้โจทย์ “เราจะส่งมอบคุณค่าที่เหนือกว่าความต้องการและความคาดหวังของลูกค้าได้อย่างไร?” (HOW MIGHT WE GO ABOVE AND BEYOND CUSTOMERS’ EXPECTATION) ผ่านช่องทางออนไลน์ได้ที่ https://forms.gle/fG4zw7qoYWweSEa7A หรือ Scan QR Code บนสื่อประชาสัมพันธ์ของโครงการฯ สามารถสมัครได้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 17 มิถุนายน 2565
บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด หนุนเกษตรกรรายย่อยจากภาคอีสาน ผลักดันสินค้าเกษตรคุณภาพดีประจำจังหวัดกาฬสินธุ์
มาสเตอร์การ์ด จับมือกับ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด และ 2C2P พลัส ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของผู้ให้บริการชําระเงินทั่วโลก 2C2P เปิดตัว บัตร Thailand Post Prepaid Card แบบ Business Card บัตรที่มาเพิ่มความพิเศษให้เฉพาะผู้ประกอบการร้านค้าออนไลน์ที่ใช้บริการเก็บเงินปลายทาง Cash-On-Delivery (COD) สามารถใช้จ่ายได้คุ้มค่า ตรงความต้องการ ครอบคลุมการทำธุรกิจ e-Commerce ได้อย่างครบวงจร ไม่ว่าจะซื้อสินค้าจากไปรษณีย์ไทย ชำระค่าส่ง หรือแม้แต่ชอปออนไลน์ก็สามารถทำได้ทุกที่ที่มีสัญลักษณ์ MasterCard รวมทั้งสิทธิประโยชน์ต่างๆ มากมายที่มอบให้ผู้ถือบัตร ไม่ว่าจะ โปรโมชันรับส่วนลดร้านค้า ร้านอาหาร โรงแรมชั้นนำต่างๆ รวมทั้ง Cash Back รับเงินคืน หรือรับ e-Voucher รวมทั้งสิทธิพิเศษอื่นๆ จากทั้งไปรษณีย์ไทยและมาสเตอร์การ์ดอีกมากมาย
นับเป็นครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำหรับบัตร Thailand Post Prepaid Card แบบ Business Card บัตรพรีเพดเชิงพานิชย์ ที่จะเข้ามาเป็นส่วนช่วยให้ธุรกิจ e-Commerce มีความคล่องตัวและความยืดหยุ่นมากขึ้น มาพร้อมความพรีเมียมและการใช้งานที่ง่ายเพียงเปิดบัตรพร้อมผูกกับบัญชีของแอปพลิเคชัน Wallet@POST ที่ไปรษณีย์ไทยได้พัฒนาร่วมกับ 2C2P พลัส สำหรับให้ร้านค้าออนไลน์ที่ใช้ COD ใช้ในการรับเงิน โอนเงินออกไปยังบัญชีธนาคาร จากยอดเงินที่อยู่ใน Wallet เมื่อลูกค้าชําระเงินค่าสินค้าหรือสิ่งของที่ฝากส่งด้วยบริการเก็บเงินปลายทาง COD เข้ามาก็สามารถใช้จ่ายได้ทุกที่ทั่วทุกมุมโลกเลยทีเดียว
ความพิเศษของบัตร Thailand Post Prepaid Card แบบ Business ไม่ได้มีเพียงเท่านั้น บัตรนี้ถูกออกแบบมาเพื่อมอบบริการพิเศษมากมายให้แก่ธุรกิจ SMEs ขนาดเล็ก ทั้งการรับส่วนลดในการซื้อเครื่องมือเพื่อบริหารร้านค้า โปรแกรมบัญชีผ่านระบบคลาวด์ การจัดการใบแจ้งหนี้แบบอิเล็กทรอนิกส์ เสริมความทันสมัย ต่อยอดให้การทำธุรกิจเติบโตได้อีกขั้น ทั้งนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือการหันมาใช้ระบบดิจิทัลทั้งสำหรับการรับและจ่ายเงินจะช่วยเพิ่มความโปร่งใสของรายได้ให้แก่ธุรกิจของ SMEs ส่งผลให้ความน่าเชื่อถือทางเครดิตของธุรกิจต่อสถาบันการเงินเพิ่มขึ้น เปิดโอกาสให้ธุรกิจได้เข้าถึงแหล่งเงินทุนจากสถาบันการเงินได้สะดวกยิ่งกว่า
ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กล่าวว่า “ไปรษณีย์ไทย พัฒนาการให้บริการอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา เราปรับตัวเพื่อตอบสนองผู้ใช้บริการทุกกลุ่มเป้าหมาย สนับสนุนและพัฒนาให้เกิดบริการในรูปแบบที่สอดคล้องกับยุคนิวนอร์มอล การทำงานร่วมกับ 2C2P พลัส และมาสเตอร์การ์ดในการเปิดตัวบัตรพรีเพดสำหรับธุรกิจ e-Commerce ในครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งความร่วมมือที่สำคัญในการพัฒนาบริการ เนื่องจากบัตร Thailand Post Prepaid Card แบบ Business นี้เป็นบัตรพรีเพดเชิงพาณิชย์ใบแรกของไทยและยังเป็นใบแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย ซึ่งได้จัดทำขึ้นพิเศษเพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าหลักของไปรษณีย์ไทยโดยเฉพาะ นั่นคือกลุ่มลูกค้า e-Commerce ที่ใช้บริการเก็บเงินปลายทาง COD ให้สามารถสัมผัสการใช้จ่ายได้แบบไร้รอยต่อ ไม่ว่าจะชำระเงินค่าสินค้าค่าฝากส่งของจากไปรษณีย์ไทย และยังสามารถใช้ชำระสินค้าอุปโภค บริโภคต่างๆ ทั้งรูปแบบออฟไลน์และออนไลน์ได้ทุกที่ที่มีสัญลักษณ์ MasterCard อีกด้วย มีบัตรเดียว ทั้งสะดวก รวดเร็ว และยังมีสิทธิประโยชน์ที่ร่วมกับพันธมิตรทั้งไทยและต่างประเทศอีกมากมาย”
ด้าน นายปิยชาติ รัตน์ประสาทพร กรรมการบริหาร บริษัท ทูซีทูพี พลัส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “แม้ว่าผู้บริโภคชาวไทยจะเริ่มใช้จ่ายแบบดิจิทัลมากขึ้นในการซื้อของออนไลน์ แต่ยังมีอีกหลายคนที่เลือกใช้บริการเก็บเงินปลายทาง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการทำธุรกรรมของผู้ประกอบการ เป้าหมายของเราในการทำงานร่วมกับไปรษณีย์ไทยคือร่วมมือกับระบบการชำระเงินที่มีความชำนาญในการส่งผ่านเงินเพื่อช่วยเหลือธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการได้รับเงินอย่างรวดเร็ว ด้วยความร่วมมือกับมาสเตอร์การ์ด เราสามารถมอบความสะดวก ปลอดภัยและรวดเร็วในการทำธุรกิจผู้ประกอบการออนไลน์ในประเทศไทยโดยการผูกรายได้ของพวกเขาเข้ากับบัตรที่สามารถนำไปใช้ทำธุรกรรมที่หลากหลายได้ ทำให้ธุรกิจขนาดเล็กมีความแข็งแกร่งในการดำเนินงานมากขึ้น และสามารถเข้าถึงบริการของธนาคารได้มากขึ้น”
“การแพร่ระบาดของโควิดทำให้พฤติกรรมในการทำธุรกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป ส่งผลให้ตลาดและธุรกิจต่างๆ เปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัลอย่างแท้จริง ความเปลี่ยนแปลงนี้ได้กระตุ้นให้ทั้งธุรกิจและประเทศต่างๆ เห็นความจำเป็นเร่งด่วนในการพัฒนาสู่ระบบดิจิทัลเพื่อลดผลกระทบทางเศรษฐกิจในกรณีที่อาจเกิดวิกฤติขึ้นอีกในอนาคต ควบคู่กับการผลักดันให้เกิดการพัฒนาที่ครอบคลุมทุกส่วนในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล ด้วยความร่วมมือกับบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด และ 2C2P พลัส มาสเตอร์การ์ดรู้สึกตื่นเต้นที่ได้ร่วมเปิดตัว Thailand Post Prepaid Card รูปแบบใหม่ Business Card เพื่อเป็นสมาร์ทโซลูชันที่ช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ หลายจุดให้กับธุรกิจรายย่อยของไทย ทั้งยังช่วยให้ธุรกิจเหล่านี้ปรับตัวเพื่อรับมือกับโลกหลังโควิดอีกด้วย นอกจากนี้ บัตรพรีเพดนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามระดับโลกที่มาสเตอร์การ์ดมีตลอดมาเพื่อสนับสนุนการเข้าถึงบริการทางการเงิน โดยตั้งใจที่จะนำประชากร 1 พันล้านคน และธุรกิจขนาดเล็ก 50 ล้านรายเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจดิจิทัลภายในปี 2025” ไอลีน ชูว ผู้จัดการประจำประเทศไทยและเมียนมาร์ มาสเตอร์การ์ด กล่าวปิดท้าย
การร่วมมือครั้งนี้เกิดจากการคาดการณ์ว่าธุรกิจอีคอมเมิร์ซจะเติบโตในปี 2020 เนื่องจากผู้บริโภคหันมาพึ่งพาการซื้อของออนไลน์มากขึ้นจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยคาดว่า ตลาด e-Commerce จะเติบโตสูงถึง 35% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้การชำระเงินแบบดิจิทัลได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของคนไทยไปแล้ว โดยข้อมูลจาก Mastercard Safety & Security Index 2020 ระบุว่า “ผู้บริโภคชาวไทยมักใช้บัตรเครดิตในการชำระเงินสำหรับการซื้อสินค้าออนไลน์ในประเทศแม้ว่าการชำระเงินปลายทางจะยังคงเป็นรูปแบบการชำระเงินที่ใช้บ่อยที่สุด”
สำหรับผู้ประกอบธุรกิจ e-Commerce ที่สนใจสมัครบัตร Thailand Post Prepaid Card แบบ Business Card สามารถสมัครได้แล้ววันนี้ที่แอปพลิเคชัน Wallet@POST หรือ สอบถามเพิ่มเติมโทร THP Contact Center 1545