มีกำไรภายหลังการปรับปรุง 802 ล้านบาท พร้อม EBITDA เพิ่มขึ้น 5 ไตรมาสติดต่อกัน

ประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะเผชิญกับความท้าทายในระยะยาว เนื่องด้วยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากปัญหาช่องว่างทางทักษะ ความล้าหลังในการนำเทคโนโลยีมาใช้ และผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผู้นำองค์กรที่มีกลยุทธ์จากภาคอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น โทรคมนาคมและเทคโนโลยี จึงควรมีบทบาทสำคัญในการร่วมยกระดับขีดความสามารถและเร่งผลักดันให้ประเทศเติบโตไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว โดยทรู เตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายนี้ด้วยการสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นระบบทั้งในด้านการศึกษา การส่งเสริมนวัตกรรมดิจิทัล และการจัดการกับปัญหาสภาพภูมิอากาศ ดังที่นายมนัสส์ มานะวุฒิเวช ประธานคณะผู้บริหาร บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้ร่วมแบ่งปันวิสัยทัศน์และมุมมอง ในบทความพิเศษ “Thought Leadership” จัดทำโดยสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

การบ่มเพาะทักษะแห่งอนาคต

ประเทศไทยต้องเร่งลงทุนด้านคน เพื่อยกระดับทักษะและเพิ่มผลผลิตของแรงงานในระยะยาว การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในอนาคตจำเป็นต้องพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญที่มีความสามารถด้านเทคโนโลยี อย่างปัญญาประดิษฐ์ หุ่นยนต์และเครื่องจักรอัตโนมัติ หรือนาโนและไบโอเทค ทักษะเหล่านี้มีความสำคัญทั้งในมิติเศรษฐกิจและสังคม เนื่องจากจะเป็นตัวขับเคลื่อนให้เกิดการพัฒนาโซลูชันเพื่อยกระดับความสามารถของประเทศไทยในการปรับตัวและรับมือกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ท่ามกลางการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย ขณะที่ประชากรวัยทำงานลดลง

ทรู ได้นำความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีมาสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้แก่สังคมไทย ผ่านการจัดฝึกอบรมทักษะดิจิทัลสำหรับทั้งคนวัยทำงานและนักเรียนนักศึกษา โดย ทรู ดิจิทัล อะคาเดมี ได้จัดการฝึกอบรมทักษะธุรกิจดิจิทัลให้แก่ผู้ที่มีศักยภาพสูง (talent)​ จำนวนกว่า 30,000 คน ในด้านต่างๆ เช่น ความปลอดภัยทางไซเบอร์ การวิเคราะห์ข้อมูล และการตลาดออนไลน์ ขณะเดียวกัน โครงการทรูปลูกปัญญา สามารถเข้าถึงนักเรียนจำนวนกว่า 34 ล้านคนทั่วประเทศ โดย trueplookpanya.com คลังความรู้คู่คุณธรรม ยังเป็นเว็บไซต์ด้านการศึกษาอันดับหนึ่งของไทยมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2562

แม้ที่ผ่านมา ทรูจะให้การสนับสนุนด้านการศึกษาแก่เยาวชนในรูปแบบออนไลน์อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ แต่ความพยายามดังกล่าวไม่อาจทดแทนความมุ่งมั่นที่ต้องการสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นระบบ อันเป็นวาระจำเป็นเร่งด่วนสำหรับการศึกษาไทย ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยข้อมูลสถานศึกษาสู่สาธารณะอย่างโปร่งใส การพัฒนาผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน การสร้างวัฒนธรรมแห่งการมีส่วนร่วม การเตรียมความพร้อมด้านดิจิทัล ตลอดจนการส่งเสริมให้เด็กเป็นศูนย์กลาง เสริมสร้างคุณธรรมและความมั่นใจ

ด้วยเหตุนี้เอง ทรู จึงเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี (CONNEXT ED) ภายใต้ความร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการ รวมทั้งพันธมิตรภาครัฐและเอกชนในปี 2563 ซึ่งสร้างผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรม จากโรงเรียนจำนวน 5,000 แห่งที่เข้าร่วมโครงการนั้น กว่า 72% สามารถบรรลุเกณฑ์การประเมินคุณภาพในระดับดีถึงดีเลิศ ซึ่งเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยให้โรงเรียนสามารถบรรลุเกณฑ์การประเมินดังกล่าว โดยนอกเหนือจากการส่งมอบคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กจำนวน 6,000 เครื่องให้แก่โรงเรียนภายใต้การดูแลของมูลนิธิฯ แล้ว มูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี ยังได้ฝึกอบรมผู้นําด้านเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา หรือ ICT talent จำนวนกว่า 5,000 คน เพื่อเดินหน้าปฏิบัติภารกิจในการถ่ายทอดองค์ความรู้ สนับสนุนให้ผู้บริหาร ครู และนักเรียนในโรงเรียนคอนเน็กซ์อีดี นำสื่อและอุปกรณ์ไอซีทีมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ยิ่งไปกว่านั้น โรงเรียนกว่า 1,300 แห่งทั่วประเทศยังได้รับการติดตั้งอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงอีกด้วย

เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่ามูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี จะสามารถทำหน้าที่ในการสร้างการเปลี่ยนแปลงอันจำเป็นและเร่งด่วนเพื่อพลิกโฉมระบบการศึกษาไทย แรงสนับสนุนจากพันธมิตรในเครือข่ายและความร่วมมือจากภาครัฐ จะเป็นหัวใจสำคัญในการต่อยอดขยายผลความสำเร็จ และช่วยเร่งสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในระดับประเทศได้

การรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

หากเราประสบความสำเร็จในการบ่มเพาะและสร้างคนรุ่นใหม่ที่มีทักษะในการคิดวิเคราะห์ได้เร็ว สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ กล้าคิดกล้าทำ ความท้าทายต่อไป คือการปลูกฝังให้พวกเขาได้ดูแลและส่งต่อโลกที่น่าอยู่ให้กับคนรุ่นถัดไป เกือบ 1 ใน 3 ของแรงงานไทยนั้นประกอบอาชีพในภาคการเกษตร แต่ด้วยอุณหภูมิโลกที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องและสภาพอากาศแบบสุดขั้วกำลังเป็นภัยคุกคามต่อระบบนิเวศซึ่งจำเป็นต่อการดำรงชีพของมนุษย์ ส่งผลให้ประเทศไทยกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเสี่ยงกับการเผชิญการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากที่สุด

จุดมุ่งหมายของทรูนั้น คือการนำศักยภาพเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยให้สังคมไทยสามารถรับมือกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ผลวิจัยของ GSMA Intelligence ชี้ว่าการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตมือถือ (mobile connectivity)​ จะสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในภาคธุรกิจการขนส่ง พลังงาน การก่อสร้าง และการผลิตลงกว่า 40% ได้ภายในปี 2573 และด้วยเครือข่าย 4G ของทรู ที่ครอบคลุมประชากรไทย 99% ในขณะที่ 5G ครอบคลุมมากกว่า 90% ทำให้โครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีของทรู ทำให้เกิดการพัฒนายานยนต์อัจฉริยะ เมืองอัจฉริยะ และโรงงานอัจฉริยะ อันจะนำไปสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงทั่วประเทศ

นอกเหนือจากศักยภาพของการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตมือถือที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแล้ว ทรู ยังเดินหน้าพัฒนาโซลูชันที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ IoT เพื่อลดการใช้พลังงาน โดยที่ผ่านมา เราสามารถลดการใช้พลังงานทั้งในการดำเนินธุรกิจและในอุตสาหกรรมค้าปลีกได้สูงสุดถึง 15% ในขณะที่ภาคการเกษตร ยังช่วยลดความจำเป็นในการพึ่งพาสารเคมีกำจัดศัตรูพืช การใช้ยาปฏิชีวนะ และปุ๋ยลงอีกด้วย

ความพยายามทั้งหมดดังกล่าวนี้ สามารถลดการใช้พลังงานอย่างมีนัยยะสำคัญ แต่ก็ยังไม่เพียงพอให้เราบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ภายในปี 2573 และยังมีอีกหลายสิ่งที่ยังคงต้องดำเนินการเพื่อให้ บรรลุภารกิจ อันเป็นเหตุผลที่ทำให้ทรูเดินหน้าผลักดันให้เกิดโครงข่ายที่ใช้พลังงานสะอาดในประเทศ โดยยังส่งเสริมให้คู่ค้ากำหนดเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามหลักการ Science Based Targets initiative (SBTi) พร้อมให้การฝึกอบรมเกี่ยวกับกระบวนการและประโยชน์จากการรับมือและบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งนี้ ในฐานะหนึ่งในองค์กรสมาชิกผู้ก่อตั้งสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (Global Compact Network Thailand) ทรู มีส่วนร่วมในการผลักดันให้ผู้นำองค์กรและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชน กำหนดแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

การลงทุนด้านนวัตกรรม

นอกเหนือจากประเด็นด้านการศึกษาและสิ่งแวดล้อมแล้ว อีกหนึ่งความท้าทายของประเทศไทย คือความจำเป็นในการ “ยกระดับขีดความสามารถการผลิตเพื่อรองรับการเติบโตที่ฟื้นตัว” (อ้างอิงจากธนาคารโลก) การผนึกศักยภาพของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) IoT และ 5G จะนำไปสู่โอกาสในการพัฒนาสิ่งใหม่ๆ อีกมากมาย แต่เราจำเป็นต้องเร่งยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันด้านเทคโนโลยีของประเทศ ทั้งในฐานะผู้บริโภคและผู้ผลิต

แน่นอนว่าการจะบรรลุเป้าหมายนี้ได้ต้องอาศัยเงินลงทุนมหาศาล คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนของประเทศไทยได้ตั้งเป้าดึงดูดเงินลงทุนให้ได้ 2 ล้านล้านบาทภายในปี 2573 จากภาคอุตสาหกรรมต่างๆ อาทิ ยานยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ และเทคโนโลยีสีเขียว อย่างไรก็ดี แม้ประเทศไทย จะสามารถบรรลุเป้าหมายนี้ได้สำเร็จ และการที่บริษัทเทคโนโลยีและผู้ผลิตระดับโลกจะเข้ามาตั้งฐานการผลิตในประเทศไทย ก็ไม่ได้เป็นเครื่องรับรองว่าในที่สุดแล้ว เราจะประสบความสำเร็จในการสร้างบริษัทเทคโนโลยีสัญชาติไทยเสมอไป

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทรูมุ่งมั่นเข้ามามีบทบาทสำคัญในการร่วมพัฒนาบริษัทเทคโนโลยีสัญชาติไทย ซึ่งเป็นทั้งผู้นำบริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีที่เปี่ยมด้วยวิสัยทัศน์ และผู้ขับเคลื่อนให้ระบบนิเวศด้านนวัตกรรมของประเทศไทยนั้นทำงานอย่างสอดประสานกัน นวัตกรรมของทรู ได้รับการจดทะเบียนสิทธิบัตรถึง 120 ฉบับ และเรามีความร่วมมือกับมหาวิทยาลัย 50 แห่งในการสนับสนุนงานวิจัยในด้านต่างๆ นอกจากนี้ เรายังได้ก่อตั้งทรู ดิจิทัล พาร์ค ศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ขนาด 230,000 ตารางเมตร ซึ่งเป็นแหล่งรวมผู้ประกอบการสัญชาติไทย บริษัทเทคโนโลยีระดับโลก นักลงทุน โครงการส่งเสริมธุรกิจสตาร์ทอัพ และหน่วยงานภาครัฐต่างๆ ไว้ด้วยกัน

ปัจจุบัน มีสตาร์ทอัพเกือบ 3,000 รายที่อยู่ในระบบนิเวศของเรา และโปรแกรมบ่มเพาะสตาร์ทอัพ ทรู อินคิวบ์ สามารถระดมเงินทุนกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อเป็นกองทุนสนับสนุนสตาร์ทอัพไทย (Venture Capital Funds) อย่างไรก็ดี เราเล็งเห็นว่ายังคงต้องมีการลงทุนอีกมา และเรามีแผนที่จะสร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์เพื่อเปิดตัวกองทุนสนับสนุนสตาร์ทอัพมูลค่าอย่างน้อย 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเราหวังว่าสิ่งนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้องค์กรชั้นนำในอุตสาหกรรมต่างๆ หันมาร่วมมือกับเรา หรือก่อตั้งกองทุนของตนเองขึ้น เพื่อเร่งสร้างการเติบโตด้านดิจิทัลของประเทศไทยอย่างก้าวกระโดด

แม้ว่าประเทศไทยจะเผชิญกับโจทย์ท้าทายในด้านการศึกษา การรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการเปลี่ยนผ่านสู่ภาคเศรษฐกิจดิจิทัล แต่ผมยังเชื่อมั่นว่าเราจะสามารถก้าวข้ามความท้าทายนี้ไปได้ ด้วยการผนึกกำลังกันระหว่างภาครัฐ ภาคประชาสังคม และพันธมิตรภาคเอกชน เมื่อเราร่วมมือกัน เราจะสามารถสร้างสรรค์โซลูชันนวัตกรรมเพื่ออนาคตที่ปลอดภัย แข็งแกร่ง และยั่งยืนยิ่งขึ้น และทรู คอร์ปอเรชั่น มีเจตนารมณ์แรงกล้าที่จะขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้

 

ปัจจุบัน นายมนัสส์ มานะวุฒิเวช ดำรงตำแหน่ง ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น ซึ่งเป็นบริษัทโทรคมนาคมเทคโนโลยีชั้นนำของประเทศไทย นายมนัสส์เป็นผู้มากประสบการณ์ในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม และมีความมุ่งมั่นในการนำศักยภาพการเชื่อมต่อมาสร้างประโยชน์สูงสุด เพื่อผลักดันให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนในสังคมไทย

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของบทความตอนพิเศษที่จัดทำขึ้นโดยสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเชิญผู้นำทางความคิดและผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชาต่างๆ จากทั่วโลก มาร่วมแบ่งปันวิสัยทัศน์มุมมองเกี่ยวกับการพลิกโฉมระบบที่ตนเองมีส่วนเกี่ยวข้อง อ่านเพิ่มเติมได้ คลิกที่นี่

ทรู คอร์ปอเรชั่น ผู้นำบริษัทโทรคมนาคม - เทคโนโลยี ร่วมกับ กสทช. สนับสนุนนโยบายภาครัฐ ออกโปรเสริมพิเศษแบบเติมเงิน! สำหรับผู้พิการหรือผู้ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ แบ่งออกเป็น 2 แพ็กหลักตามการใช้งาน ดังนี้ 1. แพ็กเกจเน็ต - ความเร็วสูงสุด 10GB เมื่อใช้ครบตามปริมาณเน็ตที่กำหนด หลังจากนั้นใช้งานต่อเนื่องที่ความเร็ว 128Kbps ราคา 66 บาท (รวมภาษีแล้ว) ใช้ได้นาน 30 วัน (โปรเสริมนี้จะต่ออายุอัตโนมัติ หรือจนกว่าจะยกเลิก) 2. แพ็กเกจเน็ตและโทร - ความเร็วสูงสุด 8GB เมื่อใช้ครบตามปริมาณเน็ตที่กำหนด หลังจากนั้นใช้งานต่อเนื่องที่ความเร็ว 128Kbps โทรฟรีทุกเครือข่าย 100 นาที (ส่วนเกินคิดตามโปรโมชั่นหลัก) ราคา 66 บาท (รวมภาษีแล้ว) ใช้ได้นาน 30 วัน (โปรเสริมนี้จะต่ออายุอัตโนมัติ หรือจนกว่าจะยกเลิก)

ลูกค้าทรู ดีแทค สนใจสมัครโปรเสริมพิเศษ ได้ง่ายๆเพียงโชว์บัตรผู้พิการหรือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้ที่ ทรูช้อป หรือดีแทคช้อปทุกสาขา ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 มิ.ย.67

ในโลกเทคโนโลยีที่กำลังพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง Women in Tech เป็นอีกหนึ่งหัวข้อสำคัญ ซึ่งที่ผ่านมา ผู้หญิงมีส่วนร่วมในวงการเทคโนโลยีมากขึ้น รวมถึงการขึ้นสู่ตำแหน่งระดับสูงที่มีอำนาจในการตัดสินใจ อย่างไรก็ตาม บทบาทของผู้หญิงสายเทคสำหรับบางองค์กรก็ยังไม่มากเท่าที่ควร

แต่นั่นไม่ใช่ที่ “ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป” (True Digital Group: TDG) หน่วยธุรกิจซึ่งรับผิดชอบพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัล ภายใต้ทรู คอร์ปอเรชั่น ที่มีคนเก่งหลายคนรวมทั้ง ภรรททิยา โตธนะเกษม ร่วมนับหนึ่งตั้งแต่วันแรก และวันนี้ เธอยังคงทำหน้าที่เป็น “มันสมอง” ให้ TDG ในตำแหน่งหัวหน้าฝ่าย Digital Growth Strategy

ค้นหาสิ่งที่ชอบ

ภรรททิยาเกิดและเติบโตในสภาพแวดล้อมแบบข้ามวัฒนธรรม (Cross Culture) ในช่วงวัยเด็ก เธอได้รับทุน ASEAN Scholarship ของรัฐบาลสิงคโปร์ให้ศึกษาในระดับมัธยมศึกษาต้นที่โรงเรียนชั้นนำของสิงคโปร์ ระบบการศึกษาที่นั่นมีการแข่งขันสูงแต่เธอก็ผ่านมาได้ด้วยความพยายาม หลังจากนั้น ภรรททิยามีโอกาสไปศึกษาต่อมัธยมตอนปลายเป็นเวลาสั้นๆ ที่เมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย

แต่ด้วยเล็งเห็นถึงความสำคัญของครอบครัว เพื่อที่จะได้กลับมาใช้เวลากับครอบครัวและน้องสาวที่ตอนนั้นยังเล็ก ภรรททิยาจึงตัดสินใจกลับมาศึกษาระดับปริญญาตรีในประเทศไทย ในหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต (BBA) ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งขณะนั้น เธอมีอายุเพียง 16 ปี การเลือกเรียนในสายบริหารธุรกิจนี้ ภรรททิยามีคุณพ่อคุณแม่ ศ.ดร.วรภัทร-กิตติยา โตธนะเกษม นักบริหารเลื่องชื่อของไทย เป็นแรงบันดาลใจ

ภายหลังสำเร็จการศึกษาจากรั้วจามจุรีด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่งในวัยเพียง 20 ปี ภรรททิยาสมัครและได้รับคัดเลือกทุนการศึกษาระดับปริญญาโทจากสถาบันการเงินแห่งหนึ่ง และได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่นั่นเป็นเวลาประมาณ 1 ปีกว่า แต่นั่นกลับกลายเป็นจุดเปลี่ยนหนึ่งของชีวิต เพราะทำให้รู้ตัวว่าไม่ค่อยอินกับธุรกิจธนาคารเท่าใดนัก หลังจากได้คิดไตร่ตรองแล้วเธอจึงตัดสินใจสละสิทธิทุนการศึกษา เพื่อให้โอกาสตนเองได้ไปค้นพบประสบการณ์ด้านอื่น

ถึงแม้ภรรททิยายังไม่มีชั่วโมงทำงานที่มากพอ แต่ก็ได้ทดลองสมัครเข้าเรียนมหาวิทยาลัยต่างๆ ในสหรัฐอเมริกา และได้รับการคัดเลือกเข้าหลักสูตรปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจ (MBA) ที่ Harvard Business School

ภายในคลาสที่มีผู้เรียนราว 900 คนจากทั่วทุกมุมโลก วิธีการเรียนการสอนที่เน้นการอภิปราย และถกเถียงในชั้นเรียนแบบที่ต้องแย่งกันยกมือพูด เพราะถ้าไม่พูดก็อาจจะสอบตกวิชานั้น กลายเป็นความท้าทายสำคัญสำหรับภรรททิยา ที่มีวัยวุฒิเด็กที่สุดและประสบการณ์ทำงานน้อยที่สุดในห้อง ในช่วงแรก เธอไม่กล้าพูด แต่ก็พยายามปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ จนมีส่วนร่วมในการอภิปรายในชั้นเรียนได้ ทำให้ได้เรียนรู้โลกธุรกิจของจริง จากทั้งอาจารย์และเพื่อนร่วมห้อง ที่อาจหาไม่ได้จากตำรา

 

จุดเริ่มต้นนักกลยุทธ์หญิงสายเทค

ช่วงที่เธอเรียนนั้น เป็นยุคที่บริษัทเทคโนโลยีกำลังเริ่มบูม บวกกับความชอบที่เธอมีต่อ gadgets อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ตั้งแต่วัยเยาว์ เป็นจุดที่ทำให้เธอเริ่มรู้ตัวว่าสนใจในวงการนี้ ระหว่างเรียนปีสองที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่สัญชาติเกาหลีใต้อย่าง Samsung ได้ไปสัมภาษณ์ที่มหาวิทยาลัยต่างๆ ในยุโรปและอเมริกาเพื่อรับพนักงานใหม่ ในรุ่นนั้น Samsung รับ MBA graduates เกือบ 40 คน เป็นฝรั่งเกือบทั้งหมด ส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย มีผู้หญิงเพียง 6 คน ภรรททิยาเป็นผู้หญิงเอเชียเพียงคนเดียวและเด็กที่สุด นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการได้เข้าสู่วงการเทคโนโลยีในตำแหน่ง Global Strategist (Internal Consultant) แผนก Global Strategy Group ของบริษัท Samsung Electronics

ที่ Samsung ได้ปลดล็อกให้เธอได้ใช้ศักยภาพอย่างเต็มความสามารถ ด้วยบทบาทหน้าที่ของ In-House Think Tank ประจำอยู่ที่กรุงโซล เกาหลีใต้ ต้องเดินทางอยู่บ่อยครั้ง ทำงานร่วมกับ C-suite ของ Samsung ในประเทศต่างๆ เช่น อินเดีย รัสเซีย อังกฤษ ออสเตรเลีย เพื่อแก้ไขปัญหาทางธุรกิจในหลายด้าน เช่น การบริหารทรัพยากรบุคคล การตลาด การพัฒนาธุรกิจ เป็นต้น ซึ่งเธอถือว่าเป็นประสบการณ์อันล้ำค่า เปิดให้เห็นโลกกว้างของเทคโนโลยี วิธีการคิดเชิงกลยุทธ์ และฝึกให้เข้าใจและตีโจทย์ธุรกิจของลูกค้าในเวลาสั้นๆ การทำงานแบบเกาหลีเองก็มีความท้าทาย เนื่องด้วยสภาพแวดล้อมในที่ทำงานเป็นผู้ชายโดยส่วนใหญ่ ทั้งในระดับผู้จัดการ และ C-suite สื่อสารด้วยภาษาเกาหลีเป็นหลัก

ในปี 2558 ภรรททิยาได้รับการติดต่อจาก Apple Inc  เพื่อให้ดูแลธุรกิจ App Store ของตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นทีมใหม่ที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นและเธอเป็นคนไทยคนแรกของทีม ในตำแหน่ง App Store Business Manager ประจำที่สิงคโปร์ ในเวลานั้น ระบบนิเวศน์ของโมบายแอปพลิเคชันในไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเริ่มบูม เป็นยุคก่อตัวของแอปฯ ยูนิคอร์นต่างๆ เช่น Grab, Garena งานที่ Apple ทำให้ได้เข้าใจโมเดลธุรกิจของแอปฯ และได้พบกับ startups มากมาย ทั้งนักพัฒนาแอปฯ และเกมขนาดเล็กแบบทำคนเดียว ไปจนถึงบริษัทขนาดใหญ่ ที่สำคัญได้เห็นการทำงานของบริษัทระดับโลกอย่าง Apple ซึ่งให้ความใส่ใจลูกค้าในระดับที่เรียกว่า Customer Obsession มีวิธีคิดแบบ Outside-In ทุกอย่างทุกดีไซน์ล้วนแต่ถูกคิดอย่างละเอียด ทดสอบซ้ำแล้วซ้ำเล่านับร้อยนับพันครั้ง เพื่อประสบการณ์ที่ดีของลูกค้า

ผ่านไปหลายปี ภรรททิยาตระหนักว่า เธอใช้ชีวิตในต่างแดนถึง 1 ใน 3 ของชีวิตเลยทีเดียว และน่าจะถึงเวลา “กลับบ้าน” เสียทีเพื่อให้เวลากับสิ่งที่เธอให้ความสำคัญมาโดยตลอด นั่นคือครอบครัวและการได้ดูแลคุณพ่อคุณแม่มากขึ้น

ขณะนั้น เป็นช่วงเดียวกับที่ทรู กำลังก่อร่างสร้าง TDG เพื่อต่อยอด-สร้างมูลค่าเพิ่มจากบริการโทรคมนาคม ในปี 2560 เป็นยุคที่ดิจิทัลกำลังบูมสุดขีด TDG ถูกสร้างขึ้นโดยมีวิสัยทัศน์แห่งการเป็น Digital Enabler เป็น North Star เปลี่ยนจาก traditional telco สู่ digital services ดึงดูดคนเก่งที่มีเป้าหมายเดียวกัน ซึ่งภรรททิยาก็เป็นหนึ่งในนั้น

จากวันนั้นถึงวันนี้ เป็นระยะเวลาราว 7 ปีที่ภรรททิยาได้มีโอกาสทำงาน ในหลายหน้าที่ใน TDG ไม่ว่าจะเป็น Strategy, Investments, Digital Transformation จนปัจจุบันได้รับความไว้วางใจทำหน้าที่ Head of Digital Growth Strategy เพื่อสร้างอิมแพคให้กับผู้บริโภค พาร์ทเนอร์ และสังคม ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า

 

ผู้หญิงในสายงานเทค

ภรรททิยา ให้มุมมองถึงประเด็น Women in Tech ว่า ประเทศไทยมีพัฒนาการด้านการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้หญิงในภาคเทคโนโลยีมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เราเห็นผู้หญิงเป็นนักพัฒนาแอปฯ มากขึ้น เป็น data scientist มากขึ้น แต่เมื่อพิจารณาในแง่ของผู้นำหญิง (Female Leadership) อาจมีสัดส่วนที่น้อยอยู่ อย่างเมื่อเร็วๆ นี้ที่ได้มีโอกาสไปแบ่งปันประสบการณ์ความรู้ที่ Tech Forum แห่งหนึ่ง จากวิทยากรกว่า 10 คน มีผู้หญิงที่ขึ้นพูดเพียง 2 คนเท่านั้น ซึ่งนี่อาจสะท้อนถึงการเติบโตในหน้าที่การงานของผู้หญิงในระดับบริหาร

จากการสำรวจของ Tech Talent Charter ในปี 2566 ระบุว่า 1 ใน 3 ของผู้หญิงที่ทำงานสายเทค มีแผนที่จะออกจากงาน เพราะเผชิญกับภาวะหมดไฟจากการทำหน้าที่ทั้งแม่และพนักงาน ซึ่งสาเหตุคงเป็นเพราะข้อจำกัดในเรื่องการบริหารการทำงานไปพร้อมๆกับการมีครอบครัว

เธอยกตัวอย่างสิ่งที่เธอเห็นจากบริษัทเทคหลายแห่ง ที่มีแนวทางสนับสนุนผู้หญิงให้สามารถสร้างสมดุลชีวิตทั้งหน้าที่การงานและชีวิตครอบครัว โดยไม่ต้อง “เสียสละ” ความก้าวหน้าในอาชีพเพื่อความเป็นแม่ เช่น สนับสนุนเงินทุนให้ผู้หญิงฝากไข่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการวางแผนครอบครัว หรือสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ เช่น ห้องให้นมบุตร ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือแห่งการสร้างความเท่าเทียม

 

ชีวิตคือการส่งต่อ

จากโอกาสชีวิตที่ได้รับมา ภรรททิยา เห็นความสำคัญของการส่งต่อประสบการณ์ให้กับผู้อื่น ล่าสุด เธอกำลังทำหน้าที่ Mentor แบ่งปันความรู้ ให้คำปรึกษาแก่น้องๆ นิสิตจุฬาฯ เช่นเดียวกับที่เคยได้ทำให้น้องๆ วัยมัธยมตอนช่วงทำงานอยู่ที่สิงคโปร์ ภรรททิยาเห็นว่าเด็กไทยมีศักยภาพที่จะไปโลดแล่นในระดับภูมิภาคหรือแม้กระทั่งระดับโลก พวกเขามีไอเดียที่ดี แต่อาจต้องการคนรับฟังและชี้แนะเพื่อช่วยให้เขาเดินทางไปสู่เป้าหมาย

นอกจากการส่งต่อ “ความรู้” แล้ว ภรรททิยา มองว่า “ความสุข” ก็ส่งต่อได้ด้วย ยามว่างเธอชอบร่วมกิจกรรมเพื่อสังคม เช่น การเล่นดนตรี ร้องเพลงให้กับผู้สูงอายุและผู้ต้องขังในเรือนจำ

ทีมบรรณาธิการถามคำถามสุดท้ายว่า ภรรททิยาได้รับโอกาสดีๆหลายอย่าง อยากจะฝากอะไรกับผู้ที่อาจไม่ได้รับโอกาสเช่นนี้ ภรรททิยาตอบว่า มนุษย์เลือกเกิดไม่ได้ และควบคุมปัจจัยภายนอกไม่ได้ เช่น สังคมแวดล้อม ความเหลื่อมล้ำ แต่สิ่งที่เราทุกคนจัดการได้คือ ตัวเราเอง ซึ่งต้องใช้ความพยายาม ความมุ่งมั่นพัฒนาตัวเองอย่างสม่ำเสมอ ทำในสิ่งที่เราถนัดและชอบ ก็จะทำให้เรามีโอกาสเปล่งประกายในแบบของเรา ส่วนคนที่โชคดีเกิดมาได้รับโอกาสมากกว่าผู้อื่น การแบ่งปันและเกื้อกูลกัน ก็จะช่วยให้สังคมนี้น่าอยู่ยิ่งขึ้น

 บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำอันดับ 1 ของไทย และอันดับ 1 ของโลกด้านความยั่งยืนด้วยคะแนน DJSI 2023 สูงสุดในกลุ่มอุตสาหกรรมโทรคมนาคมเป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ครั้งใหม่ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไปจำนวน 5 ชุด อายุหุ้นกู้ตั้งแต่ 1 ปี 3 เดือน ถึง 10 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ระหว่าง [2.95 -4.50]% ต่อปี ด้วยอันดับความน่าเชื่อถือที่ยังคงระดับ “A+” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) จากทริสเรทติ้ง สะท้อนความแข็งแกร่งของบริษัททรู คอร์ปอเรชั่นทั้งด้านโทรคมนาคมและด้านเทคโนโลยีดิจิทัล คาดเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 23 - 24 และวันที่ 27 พฤษภาคม 2567 โดยมีธนาคารกรุงเทพ กสิกรไทย ไทยพาณิชย์ ซีไอเอ็มบี ยูโอบี และบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ในครั้งนี้ รวมถึงการขายผ่านแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet โดยมีธนาคารกรุงศรีอยุธยา เป็นนายทะเบียนหุ้นกู้และผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้

นางสาวยุภา ลีวงศ์เจริญ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า “การดำเนินงานของทรู คอร์ปอเรชั่น ในปี 2566 ภายหลังการควบรวมเป็นบริษัทใหม่นับว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี รายได้เติบโตต่อเนื่องและความสามารถในการทำกำไรดีขึ้น โดย EBITDA เติบโตขึ้นติดต่อกัน 4 ไตรมาส ในขณะที่สามารถรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวม (Synergy) ได้สูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ สำหรับทิศทางการดำเนินงานในปี 2567 นี้ บริษัทมุ่งเน้นการเติบโตและการสร้างผลกำไรอย่างยั่งยืน อีกทั้งเรายังเป็นบริษัทไทยที่ได้คะแนนดัชนีความยั่งยืน DJSI สูงสุดอันดับหนึ่ง ในกลุ่มอุตสาหกรรมโทรคมนาคมโลกต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสร้างธุรกิจให้เติบโตควบคู่กับการส่งเสริมความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG)

ในปีนี้คาดว่ารายได้จากการให้บริการจะเติบโตประมาณ 3-4% สอดคล้องกับประมาณการณ์การเติบโตของ GDP ประเทศไทยและการฟื้นตัวด้านการท่องเที่ยว รวมถึงแนวโน้มรายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้บริการ (ARPU) ที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและรายได้จากกลุ่มลูกค้าองค์กร (B2B) ที่สูงขึ้น นอกจากนี้ บริษัทคาดการณ์ว่า EBITDA จะเติบโตขึ้น 9-11% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวม (Synergy) การควบคุมต้นทุนการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง และด้วยความสำเร็จที่พิสูจน์แล้วผ่านผลการดำเนินงานปี 2566 ที่ผ่านมา บริษัทเชื่อมั่นว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายในปีนี้ได้ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพและการสร้างวัฒนธรรมและแนวทางการทำงานที่เป็นหนึ่งเดียว”

ทั้งนี้ ในไตรมาส 4 ปี 2566 ทรู คอร์ปอเรชั่น มียอดผู้ใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่เพิ่มขึ้น 5 แสนเลขหมายหรือคิดเป็น 1% จากไตรมาสก่อน ทำให้มียอดรวมผู้ใช้งานเป็น 51.9 ล้านเลขหมาย ณ สิ้นปี 2566 นอกจากนี้ บริษัทยังเป็นผู้ให้บริการเครือข่าย 5G ที่ครอบคลุมมากที่สุดในประเทศ โดยครอบคลุมประชากร 90% ทั่วประเทศพร้อมด้วยฐานผู้ใช้บริการ 5G ที่มากสุดถึง 10.5 ล้านราย โดยเพิ่มขึ้น 12% จากไตรมาสที่ผ่านมา พร้อมทั้งทรูยังได้ครองแชมป์ประสิทธิภาพอินเทอร์เน็ตมือถือที่ดีที่สุดในประเทศไทย 8 ปีซ้อน ตั้งแต่ปี 2559-2566 จากสถาบันทดสอบคุณภาพระดับโลกอย่าง nPerf ประเทศฝรั่งเศส นอกจากนี้ บริษัทยังได้วางเป้าเพิ่มรายได้และยกระดับบริการ 5G โดยคาดการณ์ว่าจะมีผู้ใช้บริการ 5G มากกว่า 16 ล้านรายในปีนี้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ต่อลูกค้า หรือ ARPU

บริษัทและหุ้นกู้ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ “A+” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2567 ซึ่งตอกย้ำสถานะผู้นำทางการตลาด (market position) ในตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่และอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ เสริมทัพด้วยโครงข่ายที่ครอบคลุมทั่วประเทศพร้อมด้วยชุดคลื่นความถี่ที่ครอบคลุม และชื่อแบรนด์ที่ผู้บริโภคคุ้นเคย อีกทั้งปัจจัยบวกจากประโยชน์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการควบรวม (Synergies) รวมถึงประสิทธิภาพในการดำเนินงานของบริษัทที่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นในอนาคต

หุ้นกู้ครั้งนี้จะเสนอขายแก่ผู้ลงทุนทั่วไป (Public Offering) โดยมีอายุหุ้นกู้ระหว่าง 1 ปี 3 เดือน ถึง 10 ปี เพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุนทุกระดับ นักลงทุนที่ชอบลงทุนระยะสั้นยังคงสามารถเลือกลงทุนในรุ่น 1 ปี 3 เดือน 2 ปี 6 เดือน หรือ 3 ปี 3 เดือน นักลงทุนที่ชอบลงทุนระยะกลางก็อาจเลือกลงทุนในรุ่น 5 ปี 3 เดือน หรือนักลงทุนท่านใดที่ชอบลงทุนระยะยาวและต้องการดอกเบี้ยเพื่อนำไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวันก็อาจเลือกจะลงทุนในรุ่น 10 ปี เพราะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลหรือ Yield Curve ที่ปรับตัวลดลงหลังจากที่ธนาคารกลางประเทศหลักๆ เช่น ธนาคารกลางสหรัฐฯ ธนาคารกลางยุโรป และธนาคารกลางอังกฤษ เริ่มส่งสัญญาณหยุดการขึ้นอัตราดอกเบี้ย และบางประเทศเริ่มมีการพูดถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปี 2567 หลังจากเงินเฟ้อเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวลง ทำให้การลงทุนในหุ้นกู้เป็นทางเลือกที่น่าสนใจในช่วงที่ธนาคารกลางประเทศต่างๆ ยังไม่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย โดยเฉพาะบริษัทที่มีอันดับความน่าเชื่อถือสูงๆ และ TRUE ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ โดยมีอันดับความน่าเชื่อถือระดับ “A+” ทั้งยังเป็นบริษัทที่ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG) ด้วย

วัตถุประสงค์ในการออกหุ้นกู้ครั้งนี้เพื่อนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ไปใช้ในการชำระคืนหนี้คงค้าง และ/หรือ เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนรองรับการเติบโตของบริษัท โดยเป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ คาดว่าจะเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 23 - 24 และวันที่ 27 พฤษภาคม 2567 มูลค่าจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป เสนอขายจำนวน 5 ชุด ดังนี้

1. หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 1 ปี 3 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ [2.95 - 3.00]% ต่อปี

2. หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 2 ปี 6 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ [3.45 - 3.55]% ต่อปี

3. หุ้นกู้ชุดที่ 3 อายุ 3 ปี 3 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ [3.70 – 3.85]% ต่อปี

4. หุ้นกู้ชุดที่ 4 อายุ 5 ปี 3 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ [4.00 – 4.20]% ต่อปี

5. หุ้นกู้ชุดที่ 5 อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [4.30 – 4.50 ]% ต่อปี ซึ่งเฉพาะรุ่นอายุ 10 ปี ผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนวันครบกำหนดได้ตั้งแต่หุ้นกู้ครบปีที่ 5

ทั้งนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือชี้ชวนซึ่งยังไม่มีผลบังคับใช้ เนื่องจากอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงาน ก.ล.ต. ผู้ลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือชี้ชวนที่ www.sec.or.th หรือ สอบถามรายละเอียดที่ผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ทั้ง 6 แห่ง ได้แก่

• ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา (ยกเว้นสาขาไมโคร) หรือ โทร. 1333 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน Bualuang mBanking

• ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา โทร. 02 888 8888 กด 819 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน https://www.kasikornbank.com/kmyinvest (ยกเว้นบุคคลสัญชาติต่างด้าว และนิติบุคคล สามารถจองซื้อผ่านสำนักงานใหญ่และสาขา) และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)

• ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 777 6784 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอป SCB EASY และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

• ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 626 7777 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน แอป CIMB Thai Digital Banking

• ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 285 1555

• บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด โทร. 02 680 4004

 

สำหรับผู้สนใจจองซื้อหุ้นกู้ผ่านแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet สามารถศึกษาเพิ่มเติมถึงรายละเอียด ขั้นตอน และวิธีการสมัคร TrueMoney Wallet Application และวิธีการจองซื้อ ได้ที่เว็บไซต์ www.truemoney.com หรือติดต่อขอคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ของ บริษัท ทรู มันนี่ จำกัด โทร. 1240 กด 6

Page 1 of 13
X

Right Click

No right click