

ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี มอบสิทธิพิเศษดูหนังสุดคุ้มทุกวัน เพื่อเอาใจคอหนัง เพียงซื้อบัตรชมภาพยนตร์ผ่านบัตรเครดิต ttb บัตรเครดิต ttb Global House และบัตรเครดิต ttb Disney 1 ที่นั่ง รับฟรี 1 ที่นั่ง (สำหรับที่นั่งปกติ) จำกัด 2 สิทธิ์ / หมายเลขบัตร / เดือน ณ โรงภาพยนตร์ในเครือ Major Cineplex ทุกสาขา โดยสิทธิพิเศษนี้สำหรับการซื้อบัตรผ่านช่องทางเครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติ Express Ticket เท่านั้น ตั้งแต่วันนี้ – 31 ธันวาคม 2568 ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมของโปรโมชัน ได้ที่ https://www.ttbbank.com/th/promotion/detail/major-apr25
ทีทีบีส่งเสริมให้ลูกค้าบัตรเครดิตใช้จ่ายเท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี เพื่อชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นทั้งในวันนี้ และอนาคต
เคยสงสัยหรือไม่? ทำไมคนเราจัดการเรื่องเงินไม่เหมือนกัน บางคนชอบออมทุกบาท ส่วนอีกคนรูดบัตรแบบไม่คิด นั่นเป็นเพราะแต่ละคนมีนิสัยการใช้เงินที่แตกต่างกันไปตามไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต ความเชื่อและทัศนคติ ซึ่งถ้าเข้าใจสไตล์ของตัวเองเราก็จะบริหารเงินได้ง่ายขึ้นเยอะ อย่างเรื่องสำคัญ เช่น การตัดสินใจสมัครบัตรเครดิตให้ตอบโจทย์ความต้องการของเราได้ดีที่สุด วันนี้ ไม่ได้ fintips by ttb #เรื่องเงินที่รู้จริงแบบเพื่อนที่รู้ใจ จะพาไปรู้จักนิสัยการใช้เงินของตัวเองผ่าน Money Language
รู้จักตัวตนผ่าน Money Language
Money Language คือ นิสัยการใช้เงินที่แตกต่างกันตามไลฟ์สไตล์การใช้จ่ายของแต่ละคน มารู้จักตัวตนผ่าน 5 นิสัยการใช้เงินเพื่อบริหารสุขภาพทางการเงินที่ตรงกับความเป็นตัวเองได้อย่างยั่งยืน เช่น
· เก็บออมและคุมงบการใช้จ่าย
· ตัดสินใจเรื่องเงินทองได้อย่างเข้าใจตัวเอง
· มีเป้าหมายทางการเงินที่ชัดเจนกับความเป็นจริง
· รู้ทันการใช้เงินของตัวเอง เลี่ยงปัญหาทางการเงินในอนาคต
· สร้างนิสัยการใช้จ่ายที่ดีให้กับตัวเอง
5 นิสัยการใช้เงินแต่ละแบบ ต่างกันอย่างไร?
The spend-o-holic
“Spend-o-holic” นักช้อปตัวยง รักการช้อปปิ้งเป็นชีวิตจิตใจ ไม่คิดเยอะ พร้อมใช้เงินซื้อทุกสิ่ง เพราะการช้อปปิ้ง คือ ความสุขหลักทางใจ ซึ่งทำให้ออมเงินเก็บไว้ได้ยาก จนอาจส่งผลต่อสุขภาพทางการเงิน และเกิดวิกฤตจากการใช้เงินเกินตัว ดังนั้น สิ่งที่มนุษย์ Spend-o-holic ควรทำเมื่อมีบัตรเครดิตอยู่ในมือคือการรักษาสุขภาพทางการเงินให้อยู่ในระดับที่ดีต่อใจผ่านวิธีตั้งค่าการใช้งานบัตรเครดิตแบบรู้ทันตัวเอง เช่น
· มีลิมิตการใช้งานบัตรเครดิตต่อวันและต่อครั้งให้อยู่ในระดับที่มั่นใจว่าตัวเองสามารถชำระคืนได้เต็มจำนวนและตรงเวลา
· ติดตามยอดการใช้จ่ายสม่ำเสมอเพื่อเตือนใจตัวเองไม่ให้ใช้เกินลิมิต · ควบคุมวงเงินการใช้บัตรเครดิตด้วยบัตรเครดิต ttb ผ่านแอป ttb touch ซึ่งเป็นผู้ช่วยนักช้อปให้ยั้งใจก่อนใช้อีกแรง
The Entertainer
“Entertainer” ยอดนักเอ็นเทอร์เทน เพราะชีวิตคือการเอ็นจอยกับประสบการณ์ใหม่ ๆ นิสัยใช้เงินของมนุษย์นักสร้างสีสันจึงมักจะให้คุณค่ากับการใช้จ่ายเพื่อให้ใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ ชอบค้นหาและทดลองกิจกรรมใหม่ ๆ ให้ชีวิตมีสีสัน เนื่องจากเชื่อว่าความทรงจำที่น่าประทับใจคือสิ่งมีค่าในชีวิต ซึ่งสิ่งที่นักเอ็นเทอร์เทนควรทำเมื่อมีบัตรเครดิตอยู่ในมือคือการตั้งงบประมาณเพื่อหลีกเลี่ยงการตามใจตัวเองเกินไปจะได้ไม่มีเรื่องเงินมาให้เครียดในภายหลัง เช่น
· การจัดลำดับความสำคัญเพื่อหาสมดุลในการใช้จ่าย
· แบ่งค่าใช้จ่ายเรื่องที่จำเป็น และค่าใช้จ่ายเพื่อความเอ็นเทอร์เทนออกจากกัน
· มีเป้าหมายระยะสั้นและระยะยาวให้ตัวเอง
· การวางแผนการใช้จ่ายล่วงหน้าหากเป็นรายจ่ายใหญ่ ๆ
· มีเงินสำรองฉุกเฉิน · ใช้สิทธิประโยชน์จากบัตรเครดิตแบบสะสมคะแนนเพื่อแลกเปลี่ยนคะแนนสะสมที่มีเป็นสิทธิประโยชน์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์
The Worrywart
“Worrywart” จอมกังวลตัวตึง นึกถึงเรื่องเงินเมื่อไหร่ เป็นต้องรู้สึกกังวลสุดขั้ว ทำให้กลายเป็นคนเคร่งครัดและเข้มงวดในเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ กับตัวเองตลอดเวลา จนไม่กล้าต่อยอดสร้างโอกาสใหม่ ๆ หลีกเลี่ยงการใช้เงินในทุกวิถีทาง โดยสิ่งที่มนุษย์ Worrywart ควรทำคือการหาสมดุลให้ตัวเอง เพราะแม้ความกังวลจะช่วยให้มีสติยั้งคิดและระแวดระวัง แต่สิ่งสำคัญไม่แพ้กันคือการอยู่กับความเป็นจริงเพื่อลดทอนความเคร่งเครียดในจิตใจและใช้ชีวิตได้อย่างอิสระมากขึ้น ประโยชน์ที่มนุษย์จอมกังวลจะได้รับจากการมีบัตรเครดิตคือ การเพิ่มเครื่องมือทางการเงินที่ยืดหยุ่นมากขึ้น เช่น
· สามารถช่วยติดตามการใช้จ่าย เห็นประวัติการใช้เงินของตัวเองที่ตรงความจริง
· สร้างเครดิตทางการเงิน มีหลักฐานความน่าเชื่อถือทางการเงินของตัวเอง เมื่อถึงคราวต้องขอสินเชื่อในอนาคตก็มีวินัยของตัวเองเป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจน
· เป็นผู้ช่วยในยามจำเป็น เพราะบัตรเครดิตมีระยะเวลาปลอดดอกเบี้ย เช่น บัตรเครดิต ttb ที่สามารถใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตได้ปลอดดอกเบี้ยเป็นระยะเวลา 50 วัน นับจากวันแรกของรอบบัญชีไปจนถึงวันกำหนดชำระเงินหากชำระเต็มจำนวนตามวันครบกำหนด หากมีเหตุจำเป็นต้องใช้จ่ายเร่งด่วนก็พึ่งพาได้โดยจะไม่ถูกคิดดอกเบี้ยสำหรับ 50 วันนั้นเพียงชำระคืนแบบเต็มจำนวนและตรงเวลา
The Super Saver
“Super Saver” ตัวจริงเรื่องเก็บออม รักความคุ้มค่า มองหาทุกหนทางเพื่อเพิ่มโอกาสประหยัดรายจ่าย มีจุดหมายในการเก็บเงินเพื่อสร้างความมั่นคงให้ตัวเองอย่างแน่วแน่และสม่ำเสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าสถานะทางการเงินจะมั่นคงในระยะยาว ซึ่งสิ่งที่มนุษย์ Super Saver ควรทำคือการวางแผนเรื่องลงทุนให้สอดคล้องกับเป้าหมายทางการเงิน เพื่อต่อยอดด้วยการลงทุนระยะยาว จะช่วยขยายกำไรให้งอกเงยเพิ่มขึ้น แต่ต้องไม่ลืมเรื่องความยืดหยุ่นและการให้รางวัลตัวเองเป็นครั้งคราวเพื่อเป็นกำลังใจให้ตัวเอง ซึ่งบัตรเครดิตประเภทเครดิตเงินคืนจะตอบโจทย์เรื่องความคุ้มค่ามากกว่าเงินสด เช่น บัตรเครดิตเงินคืน บัตรเครดิตสำหรับนักออมเงินเน้นความคุ้มค่า รับเงินคืนทุกการใช้จ่าย 1% เข้าบัญชีเงินฝาก ทีทีบี โนฟิกซ์ สูงสุด 2,000 บาทต่อบัญชีบัตร ต่อรอบบัญชี ทุกร้านค้าตามเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด ไม่ต้องรอโปร ฟรีค่าธรรมเนียมทั้งแรกเข้าและรายปี
The Happy Medium
“Happy Medium” มนุษย์ตรงกลาง บาลานซ์ความต่างหาสมดุลระหว่างโจทย์ทางการเงินและความสุขในชีวิตได้อย่างลงตัว มีแผนสำรองไว้ล่วงหน้า พร้อมสนุกกับชีวิตและมีความรับผิดชอบต่อตัวเองไปพร้อมกัน ทั้งยังรอบคอบกับการใช้จ่ายและการเก็บออม โดยสิ่งที่มนุษย์ Happy Medium ควรทำเพื่อรักษาความแฮปปี้ในจิตใจให้ยั่งยืนนั้น คือ การตั้งเป้าหมายทั้งระยะสั้นและระยะยาวเพื่อหาสมดุลให้ตัวเองอยู่เสมอ พร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงทุกเมื่อ เช่น มีเครื่องมือทางการเงินอย่างบัตรเครดิตที่สามารถเพิ่มความยืดหยุ่นให้ไลฟ์สไตล์ได้มากขึ้น มีทางเลือกในการจ่ายเงิน เพราะได้รับสิทธิประโยชน์จากคะแนนสะสมหรือเครดิตเงินคืนที่ตอบโจทย์ความหลากหลาย จัดการรายจ่ายได้อย่างยืดหยุ่นทั้งยังสร้างความน่าเชื่อถือทางการเงินไปพร้อมกัน
รีบสำรวจเลย! เพราะการรู้จักนิสัยการใช้เงินของตัวเองผ่าน Money Language และเลือกบัตรเครดิตที่ตอบโจทย์กับนิสัยการใช้จ่าย นอกจากจะทำให้ใช้บัตรเครดิตได้อย่างคุ้มค่าและได้สิทธิประโยชน์กลับคืนมามากที่สุดแล้ว ยังช่วยให้เราใช้เงินได้อย่างมีความสุขและฉลาดขึ้น ยิ่งถ้าเราเข้าใจนิสัยการใช้เงินของคนใกล้ตัว ก็จะช่วยลดปัญหาทะเลาะกันเรื่องเงินได้ด้วย
ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี ร่วมกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ชวนผู้ถือบัตรเครดิต ทีทีบี บัตรเครดิต ทีทีบี โกลบอลเฮ้าส์ และบัตรเครดิต ทีทีบี ดิสนีย์ ทั้งบัตรหลักและบัตรเสริม ร่วมประสบการณ์แห่งการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมด้านอาหาร พร้อมดูแลสุขภาพ ผ่านแคมเปญ “กินครบ จบทุกความอร่อย สุขภาพดี วิถีภาคกลาง” มอบสิทธิพิเศษส่วนลด 50% เมื่อซื้อ E-voucher สำหรับรับประทานอาหาร ผ่านช่องทาง Line Official @flavorofthaifood และชำระผ่านบัตรเครดิต ทีทีบี โดย E-voucher มูลค่า 50 บาท สามารถใช้แทนเงินสดมูลค่า 100 บาท เพื่อรับประทานอาหารใน 30 ร้านอาหารชั้นนำจาก 17 จังหวัดภาคกลางที่ร่วมรายการ ไม่จำกัดจำนวนสิทธิ์การใช้ E-voucher ต่อครั้ง สามารถซื้อได้สูงสุด 20 สิทธิ์ / หมายเลขสมาชิกโครงการ / วัน ตั้งแต่วันนี้ - 31 กรกฎาคม 2568 หรือจนกว่าสิทธิ์จะหมด
รายละเอียดโครงการเพิ่มเติม หรือร้านอาหารที่เข้าร่วมแคมเปญ สามารถดูได้ที่ Facebook: Flavor of Thai Food.Health.Wellness และ LINE Official: @flavorofthaifood หรือศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบัตรเครดิต ทีทีบี ได้ที่ https://www.ttbbank.com/th/promotion/detail/flavorofthaifood-apr25
**ทีทีบีส่งเสริมให้ลูกค้าบัตรเครดิตใช้จ่ายเท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี เพื่อชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นทั้งในวันนี้ และอนาคต
ในระยะที่ผ่านมาธุรกิจร้านอาหารมีการเติบโตที่มั่นคง เมื่อพิจารณาผ่านมิติของรายได้จากคุณลักษณะสินค้าของธุรกิจที่เป็นสินค้าจำเป็นและมีความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อรายได้ที่ต่ำ นอกจากนี้ ด้วยคุณลักษณะเฉพาะตัวของธุรกิจร้านอาหารเป็นกิจการที่เกี่ยวข้องกับสินค้าบริโภคขั้นสุดท้าย (Final Product) ที่สามารถส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไปยังผู้บริโภคได้ง่ายกว่ากลุ่มอุตสาหกรรมอื่นโดยเปรียบเทียบ ส่งผลให้ในภาวะที่ต้นทุนเพิ่มขึ้นธุรกิจร้านอาหารยังรักษาโมเมนตัมการเติบโตได้ รวมถึงในปี 2567 ที่แม้ปัญหาเรื่องต้นทุนอาจคลี่คลายแต่ด้วยลักษณะสินค้าบริโภคขั้นสุดท้าย ราคามีความหนืดในการปรับราคาลง (Price Rigidity) ส่งผลให้ระดับราคาขายไม่ปรับตัวตามทำให้ตลาดธุรกิจร้านอาหารยังโตต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ที่มูลค่า 5.82 แสนล้านบาท และคาดว่าโมเมนตัมการเติบโตยังไม่มีปัจจัยลบ โดยในช่วงปี 2568 คาดว่ามูลค่าตลาดธุรกิจร้านอาหารขยับแตะ 6.12 แสนล้านบาท ขยายตัวต่อเนื่อง เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน
แต่อย่างไรก็ตาม เหรียญมักมี 2 ด้าน มูลค่าธุรกิจร้านอาหารที่โตอาจไม่ใช่ภาพที่สวยงามสำหรับผู้ประกอบการ จากสภาวะการแข่งขันที่รุนแรงจนอาจถึงขีดสุดที่ผู้ประกอบการหลายรายดำเนินธุรกิจแบบเชิงรุก ทั้งสร้างกระแสและตามกระแส อันหนุนให้การแข่งขันทวีความรุนแรงและสร้างแรงบีบคั้นให้การแข่งขันทางธุรกิจในอุตสาหกรรมเข้าสู่ยุคใหม่
ปัญหาพื้นฐานที่ธุรกิจร้านอาหารต้องเผชิญในแบบที่อุปทานเพิ่มอย่างไม่มีข้อจำกัด และอุปสงค์ถูกจำกัดจากปัจจัยพื้นฐาน โดยมุมมองของคนทั่วไปอาจเชื่อว่าธุรกิจร้านอาหารสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แต่จากคุณลักษณะที่มีความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อรายได้ที่ต่ำ (Low Income Elasticity of Demand) ส่งผลให้แม้ช่วงเศรษฐกิจตกต่ำธุรกิจอาจได้รับผลกระทบน้อยกว่าอุตสาหกรรมอื่น และเมื่อพิจารณาทางฝั่งอุปทาน พบว่า ธุรกิจร้านอาหารเป็นธุรกิจที่มีความสามารถในการส่งผ่านราคาที่สูง ส่งผลให้ในช่วงที่ประสบปัญหาด้านต้นทุน ผู้ประกอบการสามารถส่งผ่านต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นผ่านการขึ้นราคาสินค้า แต่เนื่องจากราคาวัตถุดิบเป็นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ที่ราคาสามารถปรับลดลงได้ ในขณะที่ราคาขายกลับมีความหนืดในการปรับราคาลง ส่งผลต่อพื้นที่กำไรที่มากขึ้นที่อาจดึงดูดให้มีผู้ประกอบการรายใหม่สนใจเข้ามาประกอบธุรกิจ กอปรกับธุรกิจร้านอาหารซึ่งเป็นกิจการที่ไม่มีข้อจำกัดในการเข้ามาของผู้ประกอบการรายใหม่ (No Barrier to Entry) ส่งผลให้มีผู้ประกอบการหน้าใหม่ทยอยเข้ามาแข่งขันมากขึ้น สะท้อนผ่านจำนวนผู้ประกอบการที่เพิ่มขึ้นจาก 3.33 แสนรายในปี 2562 เป็น 4.05 แสนรายในปี 2567
อย่างไรก็ดีในขณะที่ฝั่งอุปทานมีทิศทางเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อุปสงค์กลับเผชิญข้อจำกัดในการขยายตัวโดยเฉพาะในเชิงของบริบทข้อจำกัดทางกายภาพที่ไม่ว่าจะมีรายได้มากขึ้นบนวิถีวัฒนธรรม หรือความเคยชิน ผู้คนก็ยังบริโภคจำนวนใกล้เคียงเดิม รวมถึงข้อจำกัดที่อาหารแต่ละประเภทสามารถทดแทนกันได้ โดยเฉพาะในความจำเป็นแต่ละมื้อ ส่งผลให้การเพิ่มขึ้นของผู้ประกอบการร้านอาหารไม่ว่าจะเป็นอาหารประเภทใดก็มีโอกาสที่จะเป็นสินค้าทดแทนกับร้านอาหารอื่นได้เช่นเดียวกัน
บทบาทธุรกิจรายใหญ่ที่หายไปในตลาด Premium ส่งผลต่อการกระจายรายได้ที่ต่างไปจากเดิม
ปัจจุบันมีการประยุกต์ทฤษฎีการตลาด หรือเศรษฐศาสตร์เข้ามาใช้ในธุรกิจร้านอาหารมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการรายเล็กและรายกลางที่สามารถจับกลยุทธ์ Premium Mass & Niche Market ได้คล่องตัวกว่ารายใหญ่ เนื่องจากสามารถเน้นกลุ่มเป้าหมายให้เหมาะสมกับรูปแบบอาหารของตนเองได้มากกว่า ในขณะที่กลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ที่ในอดีตถูกจัดอยู่ในกลุ่ม Premium ด้วยภาพลักษณ์ที่ตั้งอยู่ตามห้างสรรพสินค้า แต่เมื่อกระแสของเทคโนโลยีเริ่มเข้ามา ทำให้การสั่งอาหารผ่านแพลตฟอร์มเดลิเวอรี ส่งผลให้ธุรกิจร้านอาหารสามารถขยายพื้นที่บริการได้มากขึ้นกว่าเดิมโดยไม่จำกัดเฉพาะหน้าร้าน แม้ร้านอาหารจะตั้งอยู่นอกพื้นที่การค้าก็สามารถส่งผ่านเอกลักษณ์ของตนเองผ่านสื่อประชาสัมพันธ์ออนไลน์ และด้วยการเน้นกลุ่มเป้าหมายส่งผลให้ร้านอาหารขนาดเล็กและขนาดกลางบางส่วนสามารถใช้กลยุทธ์ในการตั้งราคาตามความเต็มใจจ่ายที่ถูกผลักดันให้สูงขึ้นผ่านการกระแสโซเชียลในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การรีวิวผ่านอินฟลูเอนเซอร์ การสร้างสตอรีของร้าน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ช่วยยกระดับความเต็มใจจ่ายที่ทำให้ราคาสูงขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ
ในขณะที่กลยุทธ์ในการตั้งราคาของกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ตามความเต็มใจจ่ายของผู้ซื้อ อาจทำได้ไม่ง่ายนักทั้งกลุ่มเป้าหมายที่ใหญ่เกินกว่าการทำเป็น Segment และรวมถึงการรีวิวผ่านอินฟูลเอนเซอร์ การสร้างสตอรีของกิจการร้านอาหาร ทำได้ยากจากปัญหาความไม่สมมาตรในการสร้างเรื่องราว (Narrative Asymmetry) จากหลายเหตุผล เช่น 1) ความคุ้นชินในภาพลักษณ์ (Brand Familiarity) การที่แบรนด์มีภาพลักษณ์และจุดยืนอยู่แล้ว การเพิ่มเติมเรื่องราวใหม่อาจขัดกับการรับรู้เดิมของผู้บริโภค 2) ความเป็นไปได้ในการถูกตรวจสอบ (Scrutiny) จากการอยู่ในจุดที่มีคนรู้จักแล้ว การสร้างเรื่องราวใหม่อาจทำให้ถูกตรวจสอบได้มากขึ้นและง่ายขึ้น และ 3) ความเสี่ยงของการได้รับผลกระทบของภาพลักษณ์ (Reputation Risk) จากต้นทุนความน่าเชื่อถือของกิจการอาจไม่คุ้มค่ากับความเสี่ยงในการสร้างเรื่องราวที่อาจกระทบกับภาพลักษณ์ ด้วยเหตุดังกล่าวส่งผลให้ธุรกิจร้านอาหารในปัจจุบันมีการแข่งขันสูงโดยเฉพาะในมิติของการตลาดที่ส่งผลให้ Segment ที่เคยได้เป็นพื้นที่ของผู้ประกอบการกลุ่มเดิม ถูกปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นพื้นที่ของผู้ประกอบการกลุ่มใหม่ อาทิ ธุรกิจร้านอาหารรายใหญ่ที่รายได้เมื่อเทียบกับปี 2562 พบว่าเติบโตเฉลี่ยเพียง 4.0% โดยในปี 2567 กลุ่มผู้ประกอบการรายกลางและรายเล็กมีรายได้เพิ่มขึ้นถึง 7.0% และ 7.5% ตามลำดับ
จากธุรกิจแบบ Traditional Location-Based Advantage สู่ Democratizing Food Delivery
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีส่งผลต่อรูปแบบการดำเนินธุรกิจ หรือ Digital Disruption แบ่งออกเป็น 6 ระยะ ประกอบด้วย
1) Digitization หรือ ธุรกรรมเข้าสู่รูปแบบดิจิทัล
2) Deception หรือ ภาวะก่อนเปลี่ยนแปลง
3) Disruption หรือ ภาวะเปลี่ยนแปลง
4) Dematerialization หรือ การควบรวมกับสิ่งใหม่
5) Demonetization หรือ การหายไปของบางสิ่ง และ
6) Democratization หรือ ภาวะเปลี่ยนแปลงขั้นสมบูรณ์
ซึ่งจากสถานการณ์โควิด-19 ธุรกิจร้านอาหารประสบข้อจำกัดในการให้บริการจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดและประชาชนถูกจำกัดการเดินทาง เทคโนโลยีจึงเข้ามามีบทบาทเพื่อเป็นข้อต่อให้กิจกรรมทางธุรกิจของร้านอาหารยังไปต่อได้ผ่านแพลตฟอร์มเดลิเวอรี ส่งผลให้ธุรกิจร้านอาหารเข้าสู่ระยะที่ 1 หรือ การทำธุรกรรมเปลี่ยนจากช่องทางหน้าร้านเข้าสู่ช่องทางแพลตฟอร์มเดลิเวอรีในรูปแบบดิจิทัล (Digitization) และเริ่มมีการปรับตัวของผู้บริโภคที่หันมาใช้รูปแบบการสั่งอาหารผ่านช่องทางออนไลน์จนส่งผลให้ธุรกิจร้านอาหารอาจเป็นธุรกิจแรก ๆ ที่มีวิวัฒนาการจาก Digital Disruption เข้าสู่ระดับสูงสุดคือ Democratization หรือภาวะการใช้งานกลายไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้คนไปแล้ว
ดังนั้น การที่แพลตฟอร์มเดลิเวอรีเข้ามามีบทบาทในระดับที่ผู้บริโภคใช้จนกลายเป็นเรื่องปกติวิสัย และขอบเขตการให้บริการมีความทับซ้อนกันสูงมากส่งผลให้แต่เดิมธุรกิจร้านอาหารมักได้เปรียบในเรื่องทำเลที่ตั้ง กลับถูกผู้ประกอบการต่างพื้นที่เข้ามารับอุปสงค์ได้ผ่านระบบการให้บริการของแพลตฟอร์มเดลิเวอรี นอกจากนี้ ผู้ประกอบการหลายรายก็ลดขนาดพื้นที่หน้าร้านและเน้นให้บริการในรูปแบบเดลิเวอรีแทน หรืออาจเป็นผู้ประกอบการรายที่ไม่ใช่ร้านอาหาร ที่เริ่มเข้ามาจับตลาดผ่านระบบ Cloud Kitchen มากขึ้น และด้วยบน Democratizing Food Delivery ทั้งร้านอาหารที่มีอยู่รวมถึงการขยายตัวในรูปแบบของ Cloud Kitchen ที่มีต้นทุนในการตั้งหรือประกอบธุรกิจต่ำกว่าก็สามารถเข้ามาแย่งพื้นที่อุปสงค์ของเจ้าของทำเลเดิมได้อย่างไม่มีข้อจำกัดเช่นในอดีต
ttb analytics มองธุรกิจร้านอาหารกำลังเข้าสู่ Next Era ที่การแข่งขันจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
จากภาวะการแข่งขันที่รุนแรงของธุรกิจร้านอาหารไม่ว่าจะมาจากในรูปแบบของความไม่สมมาตรที่อุปสงค์มีข้อจำกัดการขยายตัวในขณะที่อุปทานสามารถเพิ่มได้ตลอดเวลาจากการไม่มีอุปสรรคในการเข้ามาประกอบธุรกิจ ดังนั้น บทบาทของผู้ประกอบการแต่ละกลุ่มที่มีความได้เปรียบในการทำตลาดจึงแตกต่างไปจากเดิม โดยผู้ประกอบการรายใหญ่ในอดีตเน้นจับตลาดกลุ่มบน แต่ด้วยการสร้างสตอรีที่ทำได้ง่ายกว่าสำหรับผู้ประกอบการรายกลางและรายเล็กเพื่อเพิ่มความเต็มใจจ่ายอันส่งผลต่อราคาที่เพิ่มขึ้นและสามารถเข้าไปรองรับอุปสงค์ของลูกค้ากลุ่มบนในตลาด Niche หรือ กลุ่มกลางบน เช่น Premium Mass ได้ง่าย ในขณะที่รายใหญ่ขยับตัวได้ยากกว่าจากขนาดของกิจการและข้อจำกัดในการสร้างสตอรีจากปัจจัยที่กล่าวไปข้างต้น อาจส่งผลให้เกิดข้อจำกัดในการจับตลาดพรีเมียมได้
ทั้งนี้ กลุ่มธุรกิจรายใหญ่บางรายเริ่มปรับกลยุทธ์เข้ามาจับกลุ่ม Mass จากการปรับเมนูที่ง่ายต่อการรับประทาน และทานคนเดียวได้ให้กลายเป็นมื้อทางเลือกหนึ่งในชีวิตประจำวัน (Everyday Integration Strategy) และอาศัย
แพลตฟอร์มเดลิเวอรีที่กลายเป็นวิถีชีวิตปกติ ส่งมื้ออาหารที่ได้รับการพัฒนาให้กลายเป็นมื้อทางเลือกประจำวันให้กับผู้บริโภค ส่งผลให้แม้กลุ่มธุรกิจร้านอาหารรายใหญ่จะเสียพื้นที่ตลาดบนให้กับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก แต่กลับได้พื้นที่ในกลุ่มของตลาด Mass ที่เป็นพื้นที่ในการประกอบธุรกิจของรายย่อย
นอกจากนี้สถานการณ์การแข่งขันในยุคปัจจุบัน ธุรกิจร้านอาหารรายใหม่เริ่มมีความนิยมดำเนินกลยุทธ์เปิดกิจการโดยเน้นสร้างกระแสหรืออิงตามกระแส เน้นรูปแบบการลงทุนระยะสั้นที่สามารถสร้างกำไรให้กับผู้ประกอบการในระยะหนึ่ง และพร้อมปิดตัวเมื่อกระแสดังกล่าวเริ่มเสื่อมความนิยมเพื่อไปสร้างกระแสหรืออิงตามกระแสใหม่ ๆ ซึ่งการประกอบธุรกิจแบบนี้ก็นับเป็นปัจจัยรบกวนกับร้านอาหารในทำเลใกล้เคียงเนื่องจากช่วงเวลาที่มีกระแสจะเกิดสิ่งที่เรียกว่าการบริโภคตามกัน (Herding Behavior) เนื่องจากผู้คนมักกลัวการตกกระแส ส่งผลให้ร้านอาหารเหล่านั้นเข้ามาแย่งอุปสงค์จากร้านอาหารเดิมในพื้นที่ได้ และแม้กระแสจะเบาบางลง ก็จะมีผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาสร้างกระแสเพื่อแย่งชิงพื้นที่ให้บริการเป็นวัฎจักรอย่างไม่สิ้นสุด