ปัจจุบันปัญหาขยะถือเป็นสิ่งที่ทั่วโลกต้องเผชิญ เนื่องจากส่งผลต่อระบบนิเวศ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งผู้คนอย่างมาก ซึ่งในส่วนของประเทศไทย มีรายงานสถานการณ์มลพิษประจำปี 2559 โดยกรมควบคุมมลพิษ ระบุว่า มีปริมาณขยะมูลฝอยทั่วประเทศถึง 27.04 ล้านตัน หรือคิดเป็น 74,073 ตันต่อวัน แต่ได้รับการกำจัดอย่างถูกวิธีเพียง 9.59 ล้านตันเท่านั้น ที่เหลือเป็นการเผาและนำไปเทกองรวม ซึ่งทำให้เกิดผลกระทบตามมาอย่างมหาศาล
ดังนั้น เพื่อเป็นการหาทางออกให้กับการจัดการปัญหาขยะของประเทศ ในงาน “SD Symposium 2018 (Sustainable Development Symposium 2018)” ภายใต้แนวคิด “Circular Economy: The future we create” เอสซีจีจึงได้จัดเสวนาในหัวข้อ “Circular Waste Value Chain” โดยมีตัวแทนจากภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้องร่วมพูดคุยหาแนวทางแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ได้แก่ “ธนา ยันตรโกวิท” รองอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น (สถ.) กระทรวงมหาดไทย, “สุวรรณา จุ่งรุ่งเรือง” รองปลัดกรุงเทพมหานคร, “สินชัย เทียนศิริ” ผู้อำนวยการสถาบันการจัดการบรรจุภัณฑ์และรีไซเคิลเพื่อสิ่งแวดล้อม (TIPMSE) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, “ศักดิ์ชัย ปฏิภาณปรีชาวุฒิ” Vice President - Polyolefins and Vinyl Business ธุรกิจเคมิคอลส์ เอสซีจี และ “เพชร มโนปวิตร” องค์กรสหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติ (IUCN)
ชู 3Rs ต้นทางการจัดการขยะ สร้างพฤติกรรมใหม่ให้ประชาชน
“ธนา” กล่าวว่า แม้จะมีการออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการขยะหลายฉบับ และเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน ทั้งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย แต่ไม่ได้มีใครเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรงในการเก็บขยะ ดังนั้น สถ. จึงเป็นหน่วยงานหลัก เนื่องจากมีองค์กรปกครองส่วนถิ่น (อปท.) อยู่กว่า 7,851 แห่ง ซึ่งมีศักยภาพแตกต่างกันไป แต่กว่าร้อยละ 70 ของ อปท. มีรายได้น้อยและไม่ได้รับเงินอุดหนุนที่เพียงพอ
“จากการสำรวจพบว่า อปท. กว่า 3,000 แห่ง ไม่มีรถเก็บขยะและมีสถานที่กำจัดขยะที่ไม่ถูกต้องอีกกว่า 2,810 กอง ซึ่งหลังจากรัฐบาลประกาศปัญหาขยะเป็นวาระแห่งชาติ โดยมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยรับผิดชอบ จึงมีการวางแผนจัดการขยะแบบองค์รวม ทั้งขยะเก่าที่มีอยู่หรือขยะใหม่ที่จะเกิดขึ้น และการใช้มาตรการทางกฎหมายให้ครอบคลุม รวมถึงการสร้างจิตสำนึกให้ประชาชน”
“ปัญหาขยะที่เกิดขึ้น วงจรสำคัญคือต้นทางที่เป็นผู้บริโภค ซึ่งที่ผ่านมา สถ. ได้รณรงค์ “ใช้น้อย ใช้ซ้ำ ใช้ใหม่” ที่แปลงมาจาก 3Rs โดยให้ อปท. และชุมชน เชื่อมโยงชาวบ้านให้เกิดการคัดแยกขยะ และมีกิจกรรมต่างๆ ทั้งตลาดนัดขยะและผ้าป่าขยะ ทำให้เกิดกลไกการจัดการตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางเพื่อการรีไซเคิล อีกทั้ง สถ. ยังจัดทำโครงการ “From Bin to Bag” หรือการเปลี่ยนจากถังขยะมาเป็นถุงขยะ เพื่อให้มีการคัดแยกขยะก่อนทิ้ง ตลอดจนโครงการ “Fast track to zero waste” เพื่อสร้างชุมชนต้นแบบในการจัดการขยะให้เป็นศูนย์ ด้วยการคัดแยกและกำหนดวันจัดเก็บขยะ”
“อย่างไรก็ตาม การจะทำให้เกิดผลเป็นรูปธรรมนั้น ทุกหน่วยงานต้องร่วมมือกันอย่างเป็นระบบและมีแนวทางที่ชัดเจน โดยเฉพาะการสร้างจิตสำนึกในการคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง เพื่อให้ปัญหาปลายทางที่เป็นการกำจัดขยะหมดไป ทั้งยังจะทำให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนที่สมบูรณ์ได้อีกทางด้วย”
ด้าน “สุวรรณา” กล่าวเสริมว่า การจะทำให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนโดยเฉพาะการจัดการของเสียเพื่อนำกลับมาใช้เป็นวัตถุดิบอีกครั้งนั้น แนวทาง 3Rs ถือว่าสำคัญ เนื่องจากเป็นการรักษาต้นทุนทางธรรมชาติ การจัดการทรัพยากรอย่างเป็นระบบ รวมถึงการใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน โดยเฉพาะผู้ผลิตที่ต้องใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติให้น้อยที่สุดและทำให้นำกลับมาใช้ใหม่ได้ ขณะที่ผู้บริโภคก็ต้องเลือกใช้สินค้าและบริการที่ให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้
“การจัดการขยะของ กทม. เน้นดำเนินการอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะการลดการฝังกลบให้เหลือน้อยที่สุดและให้เป็นแนวทางสุดท้าย เนื่องจากเราพยายามลดขยะที่ต้นกำเนิด ไม่ว่าจะเป็นการนำเศษอาหารและพืชผักผลไม้ไปทำปุ๋ย การส่งเสริมการคัดแยกขยะด้วยหลัก 3Rs ให้ครอบคลุม และการสื่อสารทำความเข้าใจกับประชาชนอย่างต่อเนื่อง ทำให้ลดปริมาณขยะไปได้อย่างมาก”
“แม้ว่าการจัดการขยะของ กทม. จะมีหลายชุมชนประสบความสำเร็จ แต่โมเดลเหล่านั้นกลับไม่ได้ขยายออกไปเพราะไม่ได้รับความร่วมมือจากประชาชน ดังนั้น ทุกฝ่ายจึงต้องร่วมกันส่งเสริมให้คนตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว ที่สำคัญภาครัฐต้องมีแนวทางดำเนินงานที่ชัดเจน ตลอดจนการกำกับดูแลและบังคับใช้กฎหมาย เพื่อเชื่อมโยงให้การจัดการขยะเกิดผลเป็นรูปธรรม ซึ่ง กทม. จะร่วมทำงานอย่างบูรณาการ เพื่อสร้างโมเดลต้นแบบการจัดการขยะที่ต่อเนื่องระดับชาติต่อไป”
สร้างศูนย์กลางรับซื้อบรรจุภัณฑ์เก่าและใช้นวัตกรรมการผลิตที่มีประสิทธิภาพ
ขณะที่ “สินชัย” มองว่า การจัดการบรรจุภัณฑ์ไม่ว่าจะเป็นกระดาษ แก้ว พลาสติก หรือโลหะ ต้องเกิดขึ้นตั้งแต่ต้นทาง และส่งต่อให้สามารถนำกลับไปใช้ใหม่ได้ ซึ่งที่ผ่านมาการดำเนินงานของ TIPMSE เป็นความร่วมมือของภาคอุตสาหกรรมทั้งผู้ผลิต ผู้จำหน่าย ผู้บริโภค ผู้แยกขยะ/รับซื้อของเก่า และโรงงานรีไซเคิล ในการสนับสนุน สร้างความรู้ความเข้าใจ และเชื่อมโยงให้เกิดวงจร CLP (Closed Loop Packaging) เพื่อให้การกำจัดขยะไม่ได้เป็นเพียงการทำลาย แต่เป็นการจัดการปัญหาที่ได้ผลตอบแทน
“การจะทำให้ CLP เกิดขึ้นจริงนั้น ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันขับเคลื่อนด้วยโมเดลทางธุรกิจ ซึ่งอาจเป็นกิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise - SE) ที่ให้ผู้สูงอายุเข้ามาร่วมดำเนินงาน โดยต้องมีศูนย์กลางรับบรรจุภัณฑ์หรือของที่ไม่ใช้แล้ว และต้องมีการเก็บข้อมูลปริมาณขยะทุกประเภทก่อน เพื่อหาความคุ้มทุนและแนวทางการขนส่ง จากนั้นควรหาพันธมิตรมาร่วมดำเนินการ โดยเฉพาะภาคเอกชนและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งได้เริ่มทดลองในลพบุรีและนนทบุรีไปแล้ว”
“วิธีการนี้เป็นอีกทางหนึ่งที่จะทำให้เกิดการแก้ปัญหาขยะได้อย่างยั่งยืน ที่สำคัญคือต้องมีพันธมิตรหลายภาคส่วนมาร่วมกัน โดยเปลี่ยนความคิดจาก “ภาระ” ให้เป็น “ภารกิจ” สร้างความตระหนักให้ประชาชน ด้วยการสร้างแรงจูงใจในการจัดการขยะ ซึ่งจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปพร้อมกัน”
สอดคล้องกับ “ศักดิ์ชัย” ที่มองว่า เศษบรรจุภัณฑ์หรือพลาสติกมีคุณค่าทางเศษฐกิจอย่างมาก แต่ส่วนใหญ่มักไม่มีการคัดแยกอย่างถูกต้อง ทำให้เกิดการปนเปื้อนในรูปแบบต่างๆ ดังนั้น โมเดลศูนย์กลางการรับซื้อขยะแบบซาเล้งจึงควรเกิดขึ้น เพื่อให้สามารถนำพลาสติกเหล่านั้นกลับมาใช้ใหม่ได้
“พลาสติกอยู่ในบรรจุภัณฑ์เกือบทุกส่วนและยังจำเป็นต่อชีวิตประจำวันของคน แต่เราควรลดการใช้พลาสติกประเภทใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง (Single-Use Plastic) ที่ก่อให้เกิดขยะจำนวนมาก ซึ่งที่ผ่านมา เอสซีจีในฐานะผู้ผลิตก็ตระหนักถึงปัญหานี้ จึงได้พยายามคิดค้น วิจัย และพัฒนาเทคโนโลยีร่วมกับหลายหน่วยงานในการนำพลาสติกกลับไปรีไซเคิลให้ได้มากที่สุด เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์สูงสุด”
“ไม่เพียงเท่านี้ ในการผลิตสินค้าพลาสติกของเอสซีจี ยังได้คิดค้นนวัตกรรมเพื่อให้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ มีความแข็งแรงทนทาน มีความบางแต่เหนียว สามารถทดแทนวัสดุธรรมชาติ ทั้งยังสามารถรีไซเคิลได้ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแนวทางในการลดปัญหาขยะจากต้นกำเนิด แต่สิ่งสำคัญคือทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันอย่างบูรณาการ โดยเฉพาะผู้บริโภคที่ต้องตระหนักและเปลี่ยนพฤติกรรมด้วย”
แนะใช้มาตรการเศรษฐศาสตร์รวมต้นทุนค่าจัดการสิ่งแวดล้อม
ขณะที่ “เพชร” กล่าวว่า แนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียนสอดคล้องกับการจัดการปัญหาขยะ แต่จะทำอย่างไรให้ขยะลดลง เกิดการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ และไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งปัจจุบันทั่วโลกมีขยะพลาสติกกว่า 8,000 ล้านตัน แต่สามารถนำมารีไซเคิลหรือใช้ใหม่ได้ไม่ถึง 10% ทำให้มีตกค้างในธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจำนวนมาก โดยเฉพาะในท้องทะเล จากการจัดการขยะที่ไม่มีประสิทธิภาพ เน้นเทกองจนไหลลงทะเล ทำให้สัตว์ทะเลกว่า 700 ชนิดและปะการังได้รับผลกระทบ
“ขณะที่องค์การอนามัยโลกระบุว่า ปัจจุบันร่างกายมนุษย์มีไมโครพลาสติก (Micro Plastic) ที่เกิดจากการแตกตัวของพลาสติกในเสื้อผ้า ใยสังเคราะห์ ยางรถยนต์ หรือพลาสติกอื่นๆ ทำให้ปนเปื้อนในน้ำประปา รวมถึงเกลือสมุทร เบียร์ และน้ำดื่มบรรจุขวดเป็นจำนวนมาก อีกทั้งองค์การสหประชาชาติได้ประกาศให้ปัญหาพลาสติกเป็นวาระของโลก เนื่องจากส่งผลต่อสุขภาพ สังคม และสิ่งแวดล้อม ทั้งยังทำให้สูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างน้อยปีละกว่า 13,000 ล้านเหรียญสหรัฐ”
“ดังนั้น การใช้พลาสติกโดยเฉพาะการใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้งจึงต้องมีการลดหรือเลิกใช้ ซึ่งจะต้องมีเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมเข้ามาจัดการ และภาคส่วนต่างๆ ต้องร่วมมือกัน โดยเฉพาะผู้ผลิตต้องมีส่วนรับผิดชอบ และประชาชนทุกคนต้องเปลี่ยนพฤติกรรม ซึ่งอาจจะนำมาตรการทางเศรษฐศาสตร์เข้ามาช่วย โดยเฉพาะการรวมต้นทุนการจัดการสิ่งแวดล้อมไปในผลิตภัณฑ์ เพื่อให้เกิดการลดละตั้งแต่ต้นทาง และจะเป็นโอกาสให้ภาคเอกชน ภาคอุตสาหกรรมได้คิดค้นนวัตกรรมและออกแบบวัสดุใหม่ๆ ในอีกทางหนึ่งด้วย”
การจัดการขยะจึงไม่ใช่หน้าที่ของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเท่านั้น แต่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันอย่างบูรณาการ โดยเฉพาะการจัดการที่ต้นทางและสร้างจิตสำนึกให้ผู้บริโภค เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและมีจิตสาธารณะร่วมกันในการจัดการปัญหาอย่างยั่งยืน ซึ่งจะทำให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนที่สมบูรณ์ได้ต่อไป
การทำงานในยุคปัจจุบันที่มีคนรุ่นใหม่เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กร ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าคนรุ่นใหม่นั้นมีทัศนคติ และค่านิยมในการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งจะเห็นได้ว่าคนรุ่นใหม่มักมองหาความก้าวหน้า ความท้าทาย และค่าตอบแทนที่ได้รับเป็นสำคัญ อีกทั้งความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่ทำให้คนรุ่นใหม่ มีทางเลือกในการทำงาน และช่องทางการหารายได้มากขึ้น ทำให้คนรุ่นใหม่นิยมมองหางานอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากการทำงานประจำอยู่ในองค์กร ซึ่งที่กล่าวมานั้นเป็นเหตุผลที่ทำให้หลายองค์กรในปัจจุบันต้องปรับวิธีการบริหารพนักงาน รวมถึงหันมาให้ความสำคัญกับการสร้างความผูกพัน และรักษาพนักงานให้รู้สึกอยากทำงานกับองค์กรยาวนานขึ้น เพื่อให้องค์กรสามารถขับเคลื่อนต่อไปได้นั่นเอง
ด้วยเหตุนี้ นางสาวแสงเดือน ตั้งธรรมสถิตย์ ผู้ร่วมก่อตั้งและหัวหน้าผู้บริหารด้านปฏิบัติการ เว็บไซต์ จ๊อบไทยดอทคอม (JobThai.com) ในฐานะผู้นำด้านเว็บไซต์หางาน สมัครงาน อันดับ 1 ของประเทศไทย ที่มีผู้ลงทะเบียนฝากประวัติกว่า 1.4 ล้านคน และมีจำนวนงานจากบริษัทชั้นนำกว่า 90,000 อัตรา ได้แนะนำวิธีการสร้างความผูกพัน และรักษาพนักงานให้อยู่กับองค์กร ทั้งในแง่ของวิธีการทำงานและสภาพแวดล้อมต่างๆ ซึ่งองค์กรสามารถนำไปปรับใช้เพื่อรักษาพนักงานและช่วยลดอัตราการลาออกของพนักงานได้ โดยพบว่ามีวิธีที่น่าสนใจ ดังนี้
จากข้อมูลข้างต้นถือเป็นส่วนหนึ่งของแนวทางที่จะช่วยป้องกันและลดอัตราการลาออกของพนักงานที่องค์กรสามารถนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมได้ และสำหรับองค์กรที่ต้องการรับคนเข้าทำงาน สามารถเลือกใช้วิธีการสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้โดดเด่น ด้วยการเผยให้เห็นว่าองค์กรของคุณเป็นแบบไหน มีวัฒนธรรมองค์กรหรือวิสัยทัศน์อย่างไร ผ่านรูปแบบที่น่าสนใจ เช่น ภาพถ่าย วิดีโอ ซึ่งสามารถทำได้ตั้งแต่ในขั้นการลงประกาศงาน จะช่วยให้คนหางานมองเห็นองค์กรได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ตลอดจนการจัดสรรสวัสดิการใหม่ ๆ ที่สามารถตอบสนองไลฟ์สไตล์คนทำงาน ที่นอกเหนือไปจากสิ่งที่องค์กรทั่วไปมี เพื่อเป็นการดึงดูดให้คนทำงานอยากมาทำงานร่วมกับองค์กรมากขึ้น นางสาวแสงเดือน กล่าวทิ้งท้าย
อย่างไรก็ตาม เว็บไซต์จ๊อบไทยดอทคอม (JobThai.com) ยังมีบทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์ต่อคนทำงานอีกมากมาย โดยผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.jobthai.com
FLOYD อวดผลงานงวดครึ่งปีแรกของปี 2561 ออกมาสวย มีกำไรสุทธิ 30.14 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่า 141% โกยรายได้จากการให้บริการ 185.34 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 50.09% จากการทยอยรับรู้รายได้งานคอนโดฯ และงานห้างสรรพสินค้าอย่างต่อเนื่อง “ทศพร จิตตวีระ” ประเมินแนวโน้มผลงานปี 2561 ฟื้นตัว เชื่อแนวโน้มผลงานครึ่งปีหลังเติบโตดีกว่าในช่วงครึ่งปีแรก เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจและการเมืองในประเทศมีทิศทางที่ดีขึ้น สนับสนุนรายได้เติบโต 10-15% ตามเป้าหมาย จากการเร่งลงทุนงานโครงการภาครัฐ โดยเฉพาะรถไฟฟ้าสีต่างๆ ทำให้ภาคเอกชนมีความมั่นใจในการลงทุน เผยบริษัทอยู่ระหว่างรอผลการประมูลงานภาคเอกชน 2-3 โครงการ มูลค่าราว 100-200 ล้านบาท จากปัจจุบันมีงานในมืออยู่ราว 450 ล้านบาท
นายทศพร จิตตวีระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟลอยด์ จำกัด (มหาชน) หรือ FLOYD ผู้ให้บริการรับเหมาติดตั้งงานระบบไฟฟ้า งานวิศวกรรมระบบสาธารณูปโภค และเครื่องกลแบบครบวงจร เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทฯในงวดครึ่งปีแรกของปี 2561 (1 ม.ค.- 30 มิ.ย.61) บริษัทฯ มีรายได้จากการให้บริการ 185.34 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61.86 ล้านบาท คิดเป็น 50.09% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 123.48 ล้านบาท โดยรายได้จากการให้บริการของบริษัทฯมาจากการรับรู้รายได้งานอาคารสูง งานแนวราบซึ่งเป็นงานห้างสรรพสินค้า และงานปรับปรุงงานเพิ่มอื่นๆ ทำให้บริษัทฯทยอยรับรู้รายได้จากการให้บริการได้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีกำไรสุทธิ 30.14 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่าครึ่งปีแรกของปีที่ผ่านมา 17.66 ล้านบาท คิดเป็น 141.50%
“ผลงานในงวด 6 เดือนแรกของปีนี้ออกเป็นที่น่าประทับใจ ทั้งรายได้และกำไร โดยกำไรสุทธิโตมากถึง 141.50% เช่นเดียวกับรายได้ที่เพิ่มขึ้นกว่า 50.09% จากภาพรวมศรษฐกิจ และการลงทุนในประเทศกลับมาฟื้นตัวต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ FLOYD ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้รับเหมาติดตั้งงานวางระบบครบวงจร
ที่ได้รับการยอมรับทั้งในเรื่องคุณภาพงานและการบริการที่รวดเร็ว ด้วยทีมงานวิศวกรที่มีประสบการณ์และเชี่ยวชาญในธุรกิจ ทำให้กำไรขั้นต้นของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 57.81 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 29.01 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นถึง 99.28%” นายทศพร กล่าว
ทั้งนี้ กลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจที่จะเพิ่มลูกค้าใหม่ๆเข้ามาในช่วงครึ่งปีหลังและในอนาคต บริษัทฯเน้นมองหาลูกค้าที่มีความมั่นคงทางการเงินและเป็นที่รู้จัก และเป็นลักษณะงานที่มีโอกาสทำซ้ำ ซึ่ง FLOYD มีความชำนาญ รวมทั้งการรุกตลาดด้านโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ขณะที่แนวโน้มผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะเติบโตดีกว่าในช่วงครึ่งปีแรก เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจและการเมืองในประเทศมีทิศทางที่ดีขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการเอกชนมีความมั่นใจในการลงทุน ซึ่งจะทำให้ช่วงที่เหลือของปีนี้มีงานประมูลโครงการใหม่ๆเพิ่มมากขึ้น ทั้งงานโครงการโครงสร้างพื้นฐาน อาคารที่พักอาศัย และห้างสรรพสินค้า เป็นต้น โดย FLOYD มีความพร้อมที่จะเข้าประมูลงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อสะสมงานในมือ (Backlog) เข้ามาเพิ่มเติมจากปัจจุบันที่มีอยู่ประมาณ 450 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ในช่วงที่เหลือของปีนี้
สำหรับการเข้าประมูลงานใหม่ๆ ในปีนี้ ในกลุ่มลูกค้าเก่ายังคงมีอย่างต่อเนื่อง ส่วนในกลุ่มลูกค้าใหม่ขณะนี้อยู่ระหว่างรอผลการประมูล ปัจจุบันมี 2-3 โครงการ ซึ่งเป็นงานเกี่ยวกับอาคารที่พักอาศัยและห้างสรรพสินค้าใหม่ มูลค่ารวมประมาณ 100-200 ล้านบาท ผลการประมูลคาดว่าจะทยอยทราบผลในช่วงที่เหลือของปีนี้ทั้งหมด
“ภาพรวมผลประกอบการทั้งปี 2561 มองว่าทิศทางอุตสาหกรรมในภาคเอกชนยังทรงตัวและยังไม่น่าเป็นห่วง แม้จะยังเติบโตไม่หวือหวามาก แต่คาดว่าจะฟื้นหลังจากมีการเลือกตั้งเสร็จสมบูรณ์ โดยแนวโน้มรายได้ของบริษัทฯ ปีนี้ยังเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้เติบโตราว 10-15% เมื่อเทียบกับปีก่อน อย่างไรก็ตาม บริษัทฯมีนโยบายหลักที่จะใช้การบริหารงานให้มีประสิทธิภาพ โดยการจัดทำข้อมูลในระบบคลาวด์มาช่วยในด้านต่างๆ การติดตามปัญหาหน้างาน เพื่อลดการสูญเสียทั้งเวลาและต้นทุน และเป็นการเก็บข้อมูลค่าใช้จ่าย เพื่อนำไปพัฒนาโครงการใหม่” นายทศพร กล่าว
ทางด้านความคืบหน้าแผนการก่อสร้างสำนักงานและศูนย์อบรมพนักงาน มูลค่าการลงทุนราว 80 ล้านบาท ตามแผนการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการยื่นขอใบอนุญาตก่อสร้างกับหน่วยงานราชการ โดยคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในปี 2562 ซึ่งจะใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างประมาณ 1 ปี ทั้งนี้ หากอาคารดังกล่าวแล้วเสร็จและสามารถฝึกพนักงานจนถึงระดับชำนาญและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน ทำให้บริษัทฯสามารถรับงานได้มากขึ้น
เมอร์ค บริษัทชั้นนำด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจากประเทศเยอรมนี จัดฉลองครบรอบ 350 ปีทั่วโลก พร้อมประกาศเดินหน้านำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่อนาคต ภายใต้ธีมหลัก “Always Curious”
นายคริส ซิสเนรอส กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมอร์ค จำกัด (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า “ปี 2561 เป็นปีที่เมอร์คมีอายุครบรอบ 350 ปี นับเป็นสิ่งที่น่าทึ่งมากที่ “เมอร์ค” กลายเป็นบริษัทวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสัญชาติเยอรมันที่เก่าแก่ที่สุดในโลก จากการวางรากฐานด้านวิทยาศาสตร์ของนายเฟรดริก จาคอบ เมอร์ค มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2211 และได้พัฒนาผลงานด้านการวิจัยและพัฒนาที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติมากมายจากรุ่นสู่รุ่นมาจนถึงปัจจุบันนี้ เมอร์คมีสำนักงานตั้งอยู่ใน 66 ประเทศทั่วโลก รวมทั้งสาขาในประเทศไทย โดยมีธุรกิจหลักเกี่ยวกับยาและสุขภาพ วิทยาศาสตร์เพื่อสิ่งมีชีวิต และวัสดุและเทคโนโลยีเพื่อประสิทธิภาพ โดยเมอร์คมียอดขายเติบโตในไตรมาสแรกของปี 2561 จำนวน 3.7 พันล้านยูโร โดยกลุ่มธุรกิจด้านยาและสุขภาพ และวิทยาศาสตร์เพื่อสิ่งมีชีวิต มีอัตราเติบโตขึ้น 3.5% ทั่วโลก ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย จึงนับได้ว่า เป็นบริษัทด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มีเรื่องราวความสำเร็จที่น่าทึ่ง และยังเป็นการเติบโตที่มั่นคง แข็งแกร่ง มาอย่างยาวนานอีกด้วย”
สำหรับประเทศไทย เมอร์ค ได้เข้ามาร่วมลงทุนในไทยยาวนานถึง 27 ปี ในฐานะกิจการร่วมการค้าระหว่างบริษัท เมอร์ค เคจีเอเอ และบริษัท บี กริม (ประเทศไทย) จำกัด โดยดำเนินธุรกิจแบบ B2B ดังเช่นเมอร์คทั่วโลก โดยธุรกิจหลักของประเทศไทยที่มีอัตราเติบโตสูง ได้แก่ กลุ่มยาและสุขภาพ ซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางสำหรับผลิตภัณฑ์ด้านชีวเวชภัณฑ์สำหรับการแพทย์ที่ครอบคลุมการรักษาตั้งแต่โรคที่มาจากความผิดปกติของระบบประสาท เนื้องอกหรือมะเร็ง ภาวะมีบุตรยาก โรคหัวใจและหลอดเลือด และยาทั่วไปที่จ่ายโดยแพทย์เท่านั้น รวมไปถึงกลุ่มเวชภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่สามารถซื้อผลิตภัณฑ์ยาของเมอร์คได้จากร้านขายยาที่มีเภสัชกรเป็นผู้ให้การแนะนำ เป็นต้น นอกจากนี้ กลุ่มธุรกิจที่ได้รับการตอบรับดีจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ได้แก่ กลุ่มวิทยาศาสตร์เพื่อสิ่งมีชีวิต ซึ่งเมอร์คมีความเชี่ยวชาญ และความพร้อมในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งสามารถส่งเสริมอุตสาหกรรมที่ครอบคลุมทั้งวงการแพทย์ อาหารและยา วิทยาศาสตร์ และวิจัยพัฒนา ได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ ในการร่วมฉลองครบรอบ 350 ปีของเมอร์คนั้น “เมอร์ค ประเทศไทย” ได้ร่วมดำเนินงาน และเข้าร่วมกิจกรรมตาม proof print ของเมอร์คภายใต้ธีมเดียวกันทั่วโลก "Always Curious” ซึ่งจะมีการจัดกิจกรรมที่มุ่งเน้นการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อก้าวเข้าสู่อนาคตดิจิทัลต่างๆ มากมาย อาทิ การจัดงาน “Curious2018 – Future Insight” ที่เมืองดาร์มสตัดท์ ประเทศเยอรมนี ที่รวบรวมนักวิทยาศาสตร์ระดับโลกกว่า 35 คน มาร่วมอภิปรายเกี่ยวกับอนาคตของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และการจัดกิจกรรม “Technology Days” ในงานฉลอง 350 ปีในโซนเอเชีย ที่ประเทศจีน เพื่อยกระดับโครงการนวัตกรรมและการวิจัยของเมอร์ค รวมถึงการประกาศจับมือกับอาลีบาบา เฮลท์ (Alibaba Health) เพื่อให้ผู้ป่วยชาวจีนและครอบครัวได้เข้าถึงบริการด้านสุขภาพได้ง่ายขึ้นผ่านการใช้แอพพลิเคชั่นออนไลน์ เป็นต้น
“ผมมองว่า เมอร์คมีความตั้งใจหลายอย่างที่จะมอบให้กับโลกนี้ด้วย Proof Point ที่ทำให้เรามายืนได้ในจุดนี้ เรามีการปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจให้โฟกัสในธุรกิจยาที่สั่งโดยแพทย์มากขึ้น รวมถึงการจัดโครงการ 350 Good Deeds ที่รวบรวมกิจกรรม CSR จากเมอร์คทั่วโลกให้ครบ 350 โครงการตลอดทั้งปีนี้ ตลอดจนการรีแบรนด์ดิ้งเมอร์คทั่วโลกให้มีรูปลักษณ์ทันสมัย สนุกสนาน และมีชีวิตชีวา มาตั้งแต่ปลายปี 2558 ซึ่งทำให้วิทยาศาสตร์ไม่ใช่สิ่งที่เข้าถึงยาก และน่าเบื่ออีกต่อไป แต่เป็นวิทยาศาสตร์ที่สนุกและน่าเรียนรู้ ท้าทายความสงสัยใคร่รู้ ที่ทำให้เมอร์ค ช่วยพัฒนาวงการวิทยาศาสตร์มาได้ยาวนานถึง 350 ปี และความอยากรู้อยากเห็นนี้เองที่เป็นแรงผลักดันและกระตุ้นให้องค์กร และบุคลากรของเมอร์คได้ใช้ความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของเราเพื่อช่วยพัฒนาให้เกิดความก้าวหน้า และอำนวยความสะดวกให้สังคมโลกในด้านต่างๆ ได้ต่อไปในอนาคต" นายคริส กล่าวทิ้งท้าย
บริษัท โซนี่ ไทย จำกัด ตอกย้ำความเป็นผู้บุกเบิกด้านเทคโนโลยี ภูมิใจนำเสนอสุดยอดสมาร์ทโฟนแฟล็กชิปแห่งปีที่มาพร้อมเทคโนโลยีกล้องถ่ายภาพที่ดีที่สุดสู่เมืองไทย กับ “Xperia XZ2 Premium” ด้วยคุณสมบัติเซ็นเซอร์กล้องความไวแสงสูงสุดของโลกที่ ISO 12800 สำหรับการบันทึกวีดีโอ และ ISO 51200 สำหรับภาพนิ่ง ช่วยให้คุณเก็บภาพและถ่ายวีดีโอในที่แสงน้อยได้ยอดเยี่ยมเหมือนการใช้กล้องโปร พร้อมหน้าจอแสดงผลที่สว่างคมชัดในขณะบันทึกภาพ ซึ่งประสิทธิภาพขั้นสุดยอดนี้เกิดจากเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดกล้องคู่ Motion Eye™ Dual Camera การประมวลผลแบบรวมภาพเซ็นเซอร์ AUBE™ Fusion image signal processor ทำให้กล้อง สามารถจับภาพได้ละเอียด คมชัด และสว่างสดใสกว่าที่มองเห็นด้วยตาเปล่า
Xperia XZ2 Premium ยังสามารถบันทึกและเล่นไฟล์วีดีโอระดับ 4K HDR ได้เหมือนกล้องโปร ให้คุณเก็บช่วงเวลาประทับใจได้คมชัดสดใสในทุกรายละเอียด พร้อมการแสดงสีสันที่โดดเด่นสวยงามสมจริงราวกับเหตุการณ์นั้นกำลังเกิดขึ้นตรงหน้าคุณ ถือว่าเป็นสมาร์ทโฟนเพียงรุ่นเดียวที่มอบประสิทธิภาพการใช้งานกล้องระดับมืออาชีพ และนำเสนอประสบการณ์ความบันเทิงระดับพรีเมียม ซึ่งขับเคลื่อนด้วยหน่วยประมวลผลรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง Qualcomm® Snapdragon™ 845 การันตีความลื่นไหลในการทำงานทุกฟังก์ชั่น
มร. ซาโตชิ เมกาตะ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายขายผลิตภัณฑ์โซนี่โมบายล์ บริษัท โซนี่ ไทย จำกัด กล่าวว่า “เรามุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีกล้องถ่ายภาพของ XZ2 Premium นี้ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการถ่ายภาพและวีดีโอในทุกสภาวะตามแนวคิด ‘Camera to the Extreme’ ของเรา ซึ่งเราสามารถกล่าวได้ว่า Xperia XZ2 Premium คือสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของโลกที่ใช้กล้องระบบ Motion Eye™ Dual Camera ที่ผสานการทำงานร่วมกับเทคโนโลยีหน่วยประมวลผลแบบรวมภาพ AUBE™ ซึ่งมอบประสิทธิภาพการบันทึกภาพระดับพรีเมียมที่คมชัดในทุกรายละเอียดอย่างไร้ที่ติ”
ขีดสุดแห่งเทคโนโลยีกล้องถ่ายภาพ
XZ2 Premium เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของโลกที่ใช้กล้องระบบ Motion Eye™ Dual Camera ซึ่งประกอบด้วยเซ็นเซอร์ภาพขาว-ดำ และเซ็นเซอร์ภาพสี โดยหน่วยประมวลผล AUBE™ Fusion image signal processor จะทำหน้าที่รวมภาพของทั้งสองเซ็นเซอร์เข้าพร้อมกัน ทำให้สามารถบันทึกวีดีโอได้ด้วยความไวแสงสูงสุดที่ ISO12800 และถ่ายภาพนิ่งได้ที่ ISO51200 มอบภาพที่สวยงามคมชัดและมีจุดรบกวน (Noise) น้อยมาก ซึ่งในอดีต คุณภาพระดับนี้จะพบได้ในกล้องโปรที่สามารถเปลี่ยนเลนส์ได้เท่านั้น
เทคโนโลยีกล้อง Motion Eye™ Dual Camera ยังทำให้คุณสามารถใส่เอฟเฟกต์เพิ่มความสวยงามได้ โดยเฉพาะ Bokeh เพื่อให้วัตถุในภาพคมชัดโดดเด่นละลายฉากหลัง หรือเลือกถ่ายภาพให้แลดูมีความคลาสสิกในรูปแบบโมโนโครมคุณภาพสูง ซึ่งมีการไล่ระดับความเข้มของเฉดสีขาว-ดำอย่างต่อเนื่อง ด้วยหน้าจอแสดงผลที่สว่างคมชัด ทำให้คุณสามารถเล็งถ่ายภาพได้อย่างแม่นยำไม่พลาดในทุกองค์ประกอบ
ไม่เพียงเท่านี้ Motion Eye™ Dual Camera ยังนำเสนอฟีเจอร์ระดับมืออาชีพมากมาย ทั้งการถ่ายวีดีโอ 4K HDR เพื่อให้คุณเก็บทุกรายละเอียดของเหตุการณ์พร้อมสีสันที่สวยงามสมจริง ทั้งยังสามารถถ่ายวีดีโอแบบซูเปอร์สโลวโมชั่น 960 เฟรมต่อวินาทีในความละเอียดระดับ HD หรือ Full HD เพื่อสร้างสรรค์มุมมองเชิงศิลปะในเหตุการณ์ให้แตกต่างจากที่ตาเห็นด้วยเซ็นเซอร์รับภาพประสิทธิภาพสูงของโซนี่ อีกทั้ง XZ2 Premium ยังมีกล้องหน้าชั้นเลิศความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อมเซ็นเซอร์ไวแสงขนาด 1/3.06” และแฟลชให้คุณสนุกกับการเซลฟี่ในทุกสภาพแสงและสวยงามทุกช็อต
ดื่มด่ำอย่างเต็มอรรถรสกับจอแสดงผลระดับ 4K HDR
XZ2 Premium มอบจอแสดงผลที่ดีเยี่ยมที่สุดของตลาดสมาร์ทโฟนในเวลานี้ หน้าจอมีความละเอียด 4K HDR ขนาด 5.8 นิ้วรุ่นใหม่ ซึ่งมีขนาดใหญ่ขึ้น 11% และสว่างขึ้น 30% เมื่อเปรียบเทียบกับจอ 4K HDR รุ่นก่อน เพื่อให้คุณสามารถดื่มด่ำและเพลิดเพลินกับความบันเทิงอย่างเต็มเปี่ยม ทั้งภาพยนตร์หรือคอนเทนท์ ระดับ 4K HDR มอบความคมชัดและสีสันที่สวยล้ำเหนือจินตนาการ และสำหรับคอนเทนท์ที่มีความละเอียดไม่ถึงระดับ 4K HDR โซนี่ได้นำเทคโนโลยี X-Reality™ for mobile ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเดียวกับที่ใช้ในโทรทัศน์ BRAVIA® TV มาปรับปรุงคุณภาพไฟล์วีดีโอหรือYoutubeให้มีคุณภาพสวยงามใกล้เคียงกับไฟล์ High Dynamic Range (HDR) ทำให้คุณสามารถรับชมคอนเทนท์ต่าง ๆ ได้อย่างเต็มอรรถรสมากยิ่งขึ้น
นอกจากคุณภาพของภาพและเสียงที่สวยงามคุณภาพสูง คุณยังจะ รู้สึก สมจริงยิ่งกว่าเคยด้วยเทคโนโลยี Dynamic Vibration System รุ่นใหม่ ซึ่งจะทำการวิเคราะห์สัญญาณเสียงและสั่นที่ตัวเครื่อง ทำให้คุณสนุกไปกับภาพยนตร์ เกม หรือคลิปวีดีโอ ราวกับเหตุการณ์นั้นกำลังเกิดขึ้นจริงในมือคุณ พร้อมลำโพงสเตอริโอคู่หน้า S-Force Front Surround รองรับไฟล์ High-Resolution Audio มาพร้อมฟีเจอร์ DSEE HX มอบเสียงที่ทรงพลังให้คุณได้รับประสบการณ์ความกระหึ่มและมีมิติมากขึ้น รวมทั้งรองรับการเข้ารหัส LDAC
ดีไซน์ใหม่สวยล้ำอย่างมีเอกลักษณ์
ดีไซน์หรูใหม่ล่าสุด วัสดุใช้เป็นกระจกแบบ 3D Glass ที่มีความโค้งรับกระชับกับมือและมีความทนทานยอดเยี่ยมด้วยการใช้กระจก Corning® Gorilla® Glass 5 ทั้งด้านหน้าและหลังผสมผสานกับโลหะอย่างลงตัว มาพร้อมมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่นระดับ IP65/IP68 นำเสนอสีดำเงางาม (Chrome Black) สะท้อนถึงความหรูหราร่วมสมัยในทุกมุมมอง
ประสิทธิภาพการทำงานขั้นสุดยอด
ด้วยขุมพลังซีพียูที่ดีที่สุดในปัจจุบันของ Qualcomm® Snapdragon™ 845 พร้อมชิปโมเดม X20 LTE มอบความเร็วขั้นสุดยอดในการเชื่อมต่อสัญญาณอินเตอร์เน็ตที่รวดเร็วดุจสายฟ้า (สูงสุด 1.2 Gbps) และทำงานด้วยโมเด็ม Gigabit LTE รุ่น 2 ซึ่งพัฒนาใหม่ มาพร้อมหน่วยความจำ (RAM) สูงถึง 6GB เพื่อให้คุณใช้งานสมาร์ทโฟนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
Xperia XZ2 Premium ให้คุณใช้งานเต็มวันด้วยแบตเตอรี่ขนาด 3540 mAh พร้อมโหมดควบคุมการใช้พลังงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ Smart Stamina และ STAMINA รวมถึงเทคโนโลยีการถนอมแบตเตอรี่ในขณะชาร์จ Battery Care และ Qnovo Adaptive Charging ที่ช่วยยืดอายุแบตเตอรี่ให้ยาวนานยิ่งขึ้น นอกจากนี้ รองรับการชาร์จไร้สายตามมาตรฐาน QI (รุ่น WCH20) และเครื่องชาร์จรุ่นอื่น ๆ ที่รองรับมาตรฐาน Qi
กำหนดการวางจำหน่าย
Xperia XZ2 Premium จะเปิดจองตั้งแต่วันที่ 10 - 19 สิงหาคม 2561 และวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยวันที่ 29 สิงหาคม 2561 เป็นต้นไป ในราคา 27,990 บาท นำเสนอในโทนสีดำ (Chrome Black) เท่านั้น
หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อศูนย์บริการลูกค้าโซนี่ โทรศัพท์ 0-2715-6100 หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.sony.co.th
หมายเหตุ: โซนี่สโตร์ มี 6 สาขาได้แก่ พารากอน เอ็มโพเรียม เดอะมอลล์บางกะปี เดอะมอลล์บางแค และเดอะมอลล์งามวงศ์วาน
มัลดีฟส์ เป็นอีกจุดหมายปลายทางในฝันของคนไทย ที่ครอบครัว คู่รัก และแก๊งค์เพื่อน สามารถท่องเที่ยวและดื่มด่ำไปกับธรรมชาติอันงดงามของน้ำทะเลสีฟ้าใสรอบเกาะ รวมถึงดำน้ำท่ามกลางสัตว์น้ำและปะการังมากมาย
เมื่อเร็วๆ นี้ GoPro ได้จัดแคมเปญประกวดคลิปวีดีโอ “#MyGoProMoment” โดยมีผู้เข้าร่วมส่งวีดีโอกว่า 250 คลิป และผู้ชนะ 5 คน ได้ร่วมเดินทางไปยัง คลับเมด คานิ มัลดีฟส์เพื่อร่วมเก็บภาพจากมุมมองใหม่ๆ ผ่านกล้อง GoPro งานนี้ GoPro ได้รวบรวม 4 เคล็ดลับจากผู้ชนะการแข่งขัน ในการเก็บภาพสุดคูลสำหรับวันหยุดพักผ่อนบนชายหาดผ่านกล้อง GoPro
การถ่ายภาพวิวใต้น้ำและบนน้ำในรูปเดียวกันให้ออกมาสวยนั้น เทคนิคสำคัญคือต้องเลือกวิวใต้น้ำที่สวย ดูเส้นน้ำที่พาดผ่านรูป และดูวิวเหนือน้ำที่ชัดเจน ลองถ่ายท่าทางขณะกำลังเคลื่อนไหวเพื่อเพิ่มชิวิตชีวาให้กับรูปถ่าย ที่สำคัญ ต้องเลือกวันที่มีอากาศแจ่มใส และมีแดด แต่อย่าถ่ายเข้าหาดวงอาทิตย์โดยตรง ลองหันหลังให้ดวงอาทิตย์จะช่วยให้ภาพสว่างและสีสดชัดเจนขึ้น
ด้วยความสามารถในการกันน้ำลึกสูงสุดถึง 10 เมตร ไม่ว่าจะเป็น GoPro HERO6, HERO5 Black, หรือ HERO ก็ทำให้คุณสามารถถ่ายภาพที่เห็นทั้งวิวใต้น้ำและบนน้ำในภาพเดียวกันได้ โดยใช้โดมที่เป็นพอร์ทอะครีลิกสำหรับใส่กล้อง GoPro เพื่อให้ได้เส้นน้ำตัดผ่านหน้าเลนส์แบ่งชั้นใต้น้ำและเหนือน้ำที่สวยงาม
หากคลื่นแรง ลองตั้งค่ากล้อง GoPro ของคุณให้เป็นโหมด Time-Lapse Photo ตั้งค่าไว้ที่ .5 วินาที เพื่อให้กล้อง GoPro ของคุณจับภาพทุกๆ ครึ่งวินาทีให้คุณได้แน่ใจว่าคุณจะได้ภาพที่มีเส้นน้ำที่พริ้วไหวชัดเจน เมื่อ GoPro จมอยู่ใต้น้ำครึ่งนึง อาจทำให้คุณมองจอภาพได้ไม่ถนัด ลองสามารถจับคู่กล้อง GoPro กับ App บนโทรศัพท์มือถือของคุณเพื่อให้สามารถมองเห็นมุมของการถ่ายภาพได้ง่ายและชัดเจนยิ่งขึ้น
เทคนิคสำคัญคือ ลองใช้อุปกรณ์เสริมของ GoPro อย่าง 3-Way ที่สามารถใช้งานได้ 3 วิธีหลักคือ เป็นตัวยึดกล้อง แขนยืดต่อขยาย และขาตั้งกล้อง ช่วยให้คุณสามารถจับภาพปฎิกิริยาธรรมชาติของสัตว์ที่คุณพบเวลาคุณไปเที่ยวทะเลได้ในระยะใกล้ โดยไม่ทำให้สัตว์ตื่นกลัว
ในหลายๆ ครั้ง สัตว์อาจจะเคลื่อนไหวไปมาอย่างรวดเร็วโดยคาดการณ์ไม่ได้ แต่คุณเองก็คงไม่อยากที่จะพลาดช็อตเจ๋งๆ ดังนั้นเราแนะนำให้ลองตั้งกล้องของคุณให้อยู่ในโหมด Time Lapse เพื่อให้แน่ใจว่าคุณมีภาพจำนวนหนึ่งไว้เลือก หากสัตว์เหล่านั้นขยับตัว นอกจากนี้คุณยังสามารถใช้ภาพ Time Lapse เพื่อสร้าง Gif ของเหล่าสัตว์ที่คุณพบได้อีกด้วย
แม้ว่ามุมถ่ายภาพ Front view ธรรมดาๆ สามารถสร้างภาพถ่ายสวยๆ ได้ แต่อย่ากลัวที่จะลองสร้างสรรค์มุมมองใหม่ๆ ด้วยการเปลี่ยนมุมกล้อง เพื่อเปลี่ยนความรู้สึกที่ถูกถ่ายทอดผ่านรูปถ่าย อาจจะลองวาง GoPro ของคุณลงในหลุมทรายเล็กๆ แล้ววางกล้อง GoPro ลงไป เพียงเท่านี้ก็จะได้สนุกกับ Fisheye Effect แบบง่ายๆ ได้แล้ว หรือยึดกล้องเข้ากับลำตัวด้วยอุปกรณ์เสริมอย่าง Chesty เพื่อมุมมองที่ไม่เหมือนใคร
หากคุณเดินทางไปกับเด็กๆ ลองจับลูกๆ ของคุณขึ้นในอากาศแล้วให้ใครซักคนถ่ายภาพ หรือจะยึดกล้อง GoPro ของคุณเข้ากับ Head Strap เพื่อให้ได้มุมมองภาพแบบในรูป
GoPro HERO6 และอุปกรณ์เสริมทั้งหมดสามารถต่างๆ สามารถซื้อได้ผ่านทางตัวแทนจำหน่าย GoPro อย่างเป็นทางการที่ www.mentagram.com/home/dealers-gopro
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) ขอนำเสนอรายการโครงการที่อยู่อาศัยที่ขายดีในรอบ 6 เดือนแรกของปี 2561 ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยที่ขายได้ช้า และขายได้น้อยมาก ทำให้การลงทุนพัฒนาหรือลงทุนซื้ออาจมีปัญหาได้ ในทีนี้ได้จัดอันดับไว้ 20 รายการ ดังนี้:
อันดับที่ 1 ได้แก่ บ้านเดี่ยว ที่มีระดับราคา 2.001-3.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 2.990 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล E1: หทัยราษฎร์ มีจำนวน 33 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 99 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้เพียง 3 หน่วย ยังเหลืออีก 30 หน่วย หรือเหลืออีก 91% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้แค่ 0.1% ต่อเดือน
อันดับที่ 2 ได้แก่ ที่ดินจัดสรร ที่มีระดับราคา 0.500-1.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 0.770 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล E1: หทัยราษฎร์ มีจำนวน 35 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 27 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้เพียง 3 หน่วย ยังเหลืออีก 32 หน่วย หรือเหลืออีก 91% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้แค่ 0.1% ต่อเดือน
อันดับที่ 3 ได้แก่ บ้านเดี่ยว ที่มีระดับราคา >20.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 39.000 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล A4: รังสิต คลอง 1-7 มีจำนวน 26 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 1014 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้เพียง 3 หน่วย ยังเหลืออีก 23 หน่วย หรือเหลืออีก 88% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้แค่ 0.2% ต่อเดือน
อันดับที่ 4 ได้แก่ บ้านเดี่ยว ที่มีระดับราคา 5.001-10.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 7.541 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล D2: สะพานใหม่ มีจำนวน 130 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 980 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายไม่ได้ ยังเหลืออีก 130 หน่วย หรือเหลืออีก 100% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้แค่ 0.3% ต่อเดือน
อันดับที่ 5 ได้แก่ ตึกแถว ที่มีระดับราคา 5.001-10.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 5.590 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล D1: สายไหม มีจำนวน 170 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 950 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้เพียง 5 หน่วย ยังเหลืออีก 165 หน่วย หรือเหลืออีก 97% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้แค่ 0.3% ต่อเดือน
อันดับที่ 6 ได้แก่ ตึกแถว ที่มีระดับราคา 2.001-3.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 2.990 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล K3: มหาชัย เศรษฐกิจ มีจำนวน 115 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 344 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้เพียง 7 หน่วย ยังเหลืออีก 108 หน่วย หรือเหลืออีก 94% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้แค่ 0.4% ต่อเดือน
อันดับที่ 7 ได้แก่ บ้านเดี่ยว ที่มีระดับราคา 5.001-10.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 9.000 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล H7: บางปู มีจำนวน 67 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 603 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้เพียง 8 หน่วย ยังเหลืออีก 59 หน่วย หรือเหลืออีก 88% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้แค่ 0.4% ต่อเดือน
อันดับที่ 8 ได้แก่ บ้านเดี่ยว ที่มีระดับราคา 5.001-10.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 7.000 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล A5: รังสิต คลอง 7-16 มีจำนวน 86 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 602 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้เพียง 2 หน่วย ยังเหลืออีก 84 หน่วย หรือเหลืออีก 98% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้แค่ 0.4% ต่อเดือน
อันดับที่ 9 ได้แก่ บ้านเดี่ยว ที่มีระดับราคา 5.001-10.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 8.120 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล D3: บางบัว มีจำนวน 35 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 284 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้เพียง 1 หน่วย ยังเหลืออีก 34 หน่วย หรือเหลืออีก 97% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้แค่ 0.5% ต่อเดือน
อันดับที่ 10 ได้แก่ ตึกแถว ที่มีระดับราคา 2.001-3.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 2.734 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล A2: บางขัน คลองหลวง มีจำนวน 60 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 164 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้เพียง 4 หน่วย ยังเหลืออีก 56 หน่วย หรือเหลืออีก 93% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้แค่ 0.5% ต่อเดือน
อันดับที่ 11 ได้แก่ ที่ดินจัดสรร ที่มีระดับราคา 2.001-3.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 2.888 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล H8: บางนา ตราด กม.10-30 มีจำนวน 504 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 1456 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้เพียง 6 หน่วย ยังเหลืออีก 498 หน่วย หรือเหลืออีก 99% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้แค่ 0.5% ต่อเดือน
อันดับที่ 12 ได้แก่ ทาวน์เฮาส์ ที่มีระดับราคา 3.001-5.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 3.329 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล N2: วงแหวนรอบนอก-คลองมหาสวัสดิ์ มีจำนวน 53 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 176 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้เพียง 4 หน่วย ยังเหลืออีก 49 หน่วย หรือเหลืออีก 92% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้แค่ 0.5% ต่อเดือน
อันดับที่ 13 ได้แก่ บ้านแฝด ที่มีระดับราคา 5.001-10.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 6.440 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล N4: บางบัวทอง มีจำนวน 33 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 213 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายไม่ได้ ยังเหลืออีก 33 หน่วย หรือเหลืออีก 100% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้แค่ 0.6% ต่อเดือน
อันดับที่ 14 ได้แก่ ที่ดินจัดสรร ที่มีระดับราคา >20.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 25.000 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล A4: รังสิต คลอง 1-7 มีจำนวน 34 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 850 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้เพียง 3 หน่วย ยังเหลืออีก 31 หน่วย หรือเหลืออีก 91% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้แค่ 0.6% ต่อเดือน
อันดับที่ 15 ได้แก่ ที่ดินจัดสรร ที่มีระดับราคา 5.001-10.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 5.292 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล M1: ตลิ่งชัน มีจำนวน 30 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 159 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้เพียง 6 หน่วย ยังเหลืออีก 24 หน่วย หรือเหลืออีก 80% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้แค่ 0.6% ต่อเดือน
อันดับที่ 16 ได้แก่ ที่ดินจัดสรร ที่มีระดับราคา 1.001-2.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 1.500 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล H8: บางนา ตราด กม.10-30 มีจำนวน 44 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 66 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้เพียง 3 หน่วย ยังเหลืออีก 41 หน่วย หรือเหลืออีก 93% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้แค่ 0.6% ต่อเดือน
อันดับที่ 17 ได้แก่ ทาวน์เฮาส์ ที่มีระดับราคา 1.001-2.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 1.604 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล E1: หทัยราษฎร์ มีจำนวน 253 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 406 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้เพียง 15 หน่วย ยังเหลืออีก 238 หน่วย หรือเหลืออีก 94% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้แค่ 0.6% ต่อเดือน
อันดับที่ 18 ได้แก่ ห้องชุด ที่มีระดับราคา 1.001-2.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 1.970 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล B4: ชินเขต ท่าทราย มีจำนวน 463 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 912 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้เพียง 16 หน่วย ยังเหลืออีก 447 หน่วย หรือเหลืออีก 97% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้แค่ 0.7% ต่อเดือน
อันดับที่ 19 ได้แก่ บ้านแฝด ที่มีระดับราคา 3.001-5.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 3.490 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล A5: รังสิต คลอง 7-16 มีจำนวน 211 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 736 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้เพียง 7 หน่วย ยังเหลืออีก 204 หน่วย หรือเหลืออีก 97% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้แค่ 0.7% ต่อเดือน
อันดับที่ 20 ได้แก่ บ้านเดี่ยว ที่มีระดับราคา >20.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 42.091 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล K1: พระรามที่ 2 กม.1-10 มีจำนวน 143 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 6019 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้เพียง 4 หน่วย ยังเหลืออีก 139 หน่วย หรือเหลืออีก 97% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้แค่ 0.7% ต่อเดือน
อย่างไรก็ตามบางโครงการในทำเล ประเภทบ้านและระดับดังกล่าว ก็อาจขายดีสวนกระแส ทั้งนี้เพราะมีการบริหารจัดการที่ดี ก็เป็นได้เช่นกัน ต้องศึกษาในรายละเอียดด้วย
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) ขอนำเสนอรายการโครงการที่อยู่อาศัยที่ขายดีในรอบ 6 เดือนแรกของปี 2561 ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยที่น่าจะพัฒนา มีอนาคต และผู้ซื้อให้การต้อนรับมากเป็นพิเศษ
อันดับที่ 1 ได้แก่ ห้องชุด ที่มีระดับราคา 1.001-2.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 1.567 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล G5: ลาดกระบัง มีจำนวน 41 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 64 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้แล้ว 27 หน่วย ยังเหลืออีก 14 หน่วย หรือเหลืออีก 34% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้ถึง 76.3% ต่อเดือน
อันดับที่ 2 ได้แก่ ทาวน์เฮาส์ ที่มีระดับราคา 2.001-3.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 2.990 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล G2: พัฒนาการ มีจำนวน 30 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 90 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้แล้ว 27 หน่วย ยังเหลืออีกเพียง 3 หน่วย หรือเหลืออีก 10% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้ถึง 72.1% ต่อเดือน
อันดับที่ 3 ได้แก่ ห้องชุด ที่มีระดับราคา 2.001-3.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 2.529 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล F1: วิภาวดี-รัชดา มีจำนวน 625 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 1581 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้แล้ว 516 หน่วย ยังเหลืออีก 109 หน่วย หรือเหลืออีก 17% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้ถึง 68.1% ต่อเดือน
อันดับที่ 4 ได้แก่ บ้านเดี่ยว ที่มีระดับราคา 10.001-20.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 12.900 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล D1: สายไหม มีจำนวน 176 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 2270 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้แล้ว 17 หน่วย ยังเหลืออีก 159 หน่วย หรือเหลืออีก 90% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้ถึง 68.0% ต่อเดือน
อันดับที่ 5 ได้แก่ ห้องชุด ที่มีระดับราคา 1.001-2.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 1.693 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล D6: นวมินทร์ มีจำนวน 23 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 39 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้แล้ว 8 หน่วย ยังเหลืออีก 15 หน่วย หรือเหลืออีก 65% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้ถึง 52.1% ต่อเดือน
อันดับที่ 6 ได้แก่ ห้องชุด ที่มีระดับราคา 1.001-2.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 1.550 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล A2: บางขัน คลองหลวง มีจำนวน 952 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 1476 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้แล้ว 521 หน่วย ยังเหลืออีก 431 หน่วย หรือเหลืออีก 45% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้ถึง 49.9% ต่อเดือน
อันดับที่ 7 ได้แก่ บ้านแฝด ที่มีระดับราคา 5.001-10.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 5.276 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล K6: วงแหวนรอบนอก-เพชรเกษม มีจำนวน 275 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 1451 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้แล้ว 167 หน่วย ยังเหลืออีก 108 หน่วย หรือเหลืออีก 39% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้ถึง 49.4% ต่อเดือน
อันดับที่ 8 ได้แก่ บ้านแฝด ที่มีระดับราคา 3.001-5.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 4.900 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล K1: พระรามที่ 2 กม.1-10 มีจำนวน 28 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 137 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้แล้ว 26 หน่วย ยังเหลืออีกเพียง 2 หน่วย หรือเหลืออีก 7% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้ถึง 46.4% ต่อเดือน
อันดับที่ 9 ได้แก่ ทาวน์เฮาส์ ที่มีระดับราคา 1.001-2.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 1.794 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล E1: หทัยราษฎร์ มีจำนวน 23 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 41 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้แล้ว 7 หน่วย ยังเหลืออีก 16 หน่วย หรือเหลืออีก 70% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้ถึง 43.7% ต่อเดือน
อันดับที่ 10 ได้แก่ ห้องชุด ที่มีระดับราคา 1.001-2.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 1.690 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล B3: แจ้งวัฒนะ มีจำนวน 1,655 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 2798 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้แล้ว 770 หน่วย ยังเหลืออีก 885 หน่วย หรือเหลืออีก 53% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้ถึง 43.7% ต่อเดือน
อันดับที่ 11 ได้แก่ ห้องชุด ที่มีระดับราคา 3.001-5.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 4.014 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล I1: พหลโยธิน มีจำนวน 1,166 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 4680 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้แล้ว 510 หน่วย ยังเหลืออีก 656 หน่วย หรือเหลืออีก 56% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้ถึง 43.2% ต่อเดือน
อันดับที่ 12 ได้แก่ ห้องชุด ที่มีระดับราคา 3.001-5.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 3.553 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล B3: แจ้งวัฒนะ มีจำนวน 145 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 515 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้แล้ว 66 หน่วย ยังเหลืออีก 79 หน่วย หรือเหลืออีก 54% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้ถึง 42.2% ต่อเดือน
อันดับที่ 13 ได้แก่ ห้องชุด ที่มีระดับราคา 1.001-2.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 1.460 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล E6: เจ้าคุณทหาร มีจำนวน 72 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 105 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้แล้ว 41 หน่วย ยังเหลืออีก 31 หน่วย หรือเหลืออีก 43% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้ถึง 41.3% ต่อเดือน
อันดับที่ 14 ได้แก่ ห้องชุด ที่มีระดับราคา 1.001-2.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 1.576 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล G1: รามคำแหง มีจำนวน 36 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 57 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้แล้ว 8 หน่วย ยังเหลืออีก 28 หน่วย หรือเหลืออีก 78% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้ถึง 36.7% ต่อเดือน
อันดับที่ 15 ได้แก่ ห้องชุด ที่มีระดับราคา 2.001-3.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 2.523 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล F5: รัชดา-ลาดพร้าว มีจำนวน 2,010 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 5070 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้แล้ว 1323 หน่วย ยังเหลืออีก 687 หน่วย หรือเหลืออีก 34% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้ถึง 35.4% ต่อเดือน
อันดับที่ 16 ได้แก่ ห้องชุด ที่มีระดับราคา 5.001-10.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 6.778 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล I1: พหลโยธิน มีจำนวน 2,107 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 14281 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้แล้ว 1209 หน่วย ยังเหลืออีก 898 หน่วย หรือเหลืออีก 43% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้ถึง 35.0% ต่อเดือน
อันดับที่ 17 ได้แก่ ห้องชุด ที่มีระดับราคา 1.001-2.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 1.486 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล F6: เทพลีลา-มหาดไทย มีจำนวน 96 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 143 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้แล้ว 40 หน่วย ยังเหลืออีก 56 หน่วย หรือเหลืออีก 58% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้ถึง 32.9% ต่อเดือน
อันดับที่ 18 ได้แก่ ห้องชุด ที่มีระดับราคา 1.001-2.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 1.826 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล L3: บางพลัด มีจำนวน 378 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 690 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้แล้ว 183 หน่วย ยังเหลืออีก 195 หน่วย หรือเหลืออีก 52% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้ถึง 32.9% ต่อเดือน
อันดับที่ 19 ได้แก่ ห้องชุด ที่มีระดับราคา 3.001-5.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 3.709 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล F1: วิภาวดี-รัชดา มีจำนวน 1,218 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 4518 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้แล้ว 554 หน่วย ยังเหลืออีก 664 หน่วย หรือเหลืออีก 55% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้ถึง 32.7% ต่อเดือน
อันดับที่ 20 ได้แก่ ห้องชุด ที่มีระดับราคา 1.001-2.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 1.696 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล C2: ติวานนท์ มีจำนวน 139 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 236 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้แล้ว 59 หน่วย ยังเหลืออีก 80 หน่วย หรือเหลืออีก 58% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้ถึง 31.5% ต่อเดือน
อย่างไรก็ตามก็พึงระวัง หากแห่กันไปพัฒนาแบบเดียวกันก็อาจ "พากันลงเหว" ได้
ซัมซุงเปิดตัว “ซัมซุง กาแลคซี่ โน้ต 9” (Samsung Galaxy Note 9) สมาร์ทโฟนระดับพรีเมี่ยมในตระกูล “กาแลคซี่ โน้ต” ที่มาพร้อมกับนวัตกรรมที่ดีที่สุดของซัมซุง ซึ่งจะมาสานต่อตำนานแห่งความสำเร็จด้วยประสิทธิภาพในการใช้งานที่เป็นที่สุด และ S Pen ใหม่ที่สามารถเชื่อมต่อกับตัวเครื่องได้เป็นครั้งแรก รวมถึงกล้องถ่ายรูปเหนืออัจฉริยะที่จะเก็บทุกภาพแห่งความประทับใจได้อย่างไร้ที่ติ
ดีเจ โกห์ ประธานธุรกิจโทรคมนาคม บริษัท ซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ กล่าวว่า “กาแลคซี่ โน้ต คือตัวแทนของเทคโนโลยีระดับพรีเมี่ยมและนวัตกรรมที่สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการสมาร์ทโฟนเสมอมา โดยในครั้งนี้เราได้พัฒนาขีดจำกัดในด้านการใช้งาน ประสิทธิภาพอันทรงพลัง และความฉลาดของซอฟต์แวร์ เพื่อมอบสมาร์โฟนที่ผู้ใช้งานมองหาตลอดมา ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น ผู้ใช้กาแลคซี่ โน้ต คือแฟนอันเหนียวแน่นของซัมซุง และคาดหวังสิ่งที่ดีที่สุดจากซัมซุงเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานทั่วไปหรือการใช้งานเพื่อความบันเทิง เรามั่นใจว่า กาแลคซี่ โน้ต 9 คือคำตอบเดียวที่จะตอบสนองทุกความต้องการได้อย่างแน่นอน”
ประสิทธิภาพทรงพลัง ตอบโจทย์ผู้ใช้สมาร์ทโฟน
ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัญหาหลักของผู้ใช้งานสมาร์ทโฟน มีอยู่ 3 ประการ ได้แก่ เรื่องของแบตเตอรี่หมดเร็ว ความจุข้อมูลไม่พอต่อการใช้งาน และเครื่องค้างในจังหวะที่เร่งรีบ ซึ่ง กาแลคซี่ โน้ต 9 จะสามารถตอบโจทย์เหล่านี้ได้ทุกประการ
วิวัฒนาการขั้นสุดของ S Pen ปากกาอัจฉริยะ
S Pen ถือเป็นดีเอ็นเอของ “กาแลคซี่ โน้ต” เพราะนอกจาก S Pen จะเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ใช้งานสามารถสร้างสรรค์ผลงานของตัวเองได้อย่างอิสระแล้ว ยังเป็นสิ่งที่ซัมซุงพัฒนาขึ้นมาเพื่อฉีกกฎเกณฑ์และลบภาพจำเดิมๆ ของสมาร์ทโฟนขึ้นไปอย่างสิ้นเชิง จากเมื่อก่อนที่เคยเป็นเพียงอุปกรณ์ในการขีดเขียนหรือวาดรูปทั่วไป โดย S Pen เจเนอเรชั่นล่าสุดนี้ จะมาพร้อมกับความสามารถที่มากขึ้นและการควบคุมอันยอดเยี่ยมเพียงแค่คลิก
ด้วยความสามารถในการเชื่อมต่อกับบลูทูธแบบ Bluetooth Low-Energy (BLE) ทำให้ S Pen สามารถสั่งการเสมือนรีโมทคอนโทรล โดยการกดปุ่ม S Pen เพื่อถ่ายรูปเซลฟี่ หรือรูปหมู่ กดเปลี่ยนสไลด์พรีเซนเทชั่น กดบันทึกเสียง กดหยุดหรือเล่นวีดีโอ และอื่นๆ อีกมากมาย ด้วยเพียงปลายนิ้วของผู้ใช้งาน นอกเหนือจากนี้ จะเปิดโอกาสให้เหล่านักพัฒนาแอพพลิเคชั่นออกแบบการใช้งานในรูปแบบต่างๆ ผ่านการเชื่อมต่อแบบ BLE ภายในปีนี้อีกด้วย
เก็บภาพสวยระดับมืออาชีพด้วยกล้องอัจฉริยะ
กาแลคซี่ โน้ต 9 ถูกพัฒนาขึ้นมาพร้อมกับเทคโนโลยีของกล้องถ่ายภาพที่ทำให้ภาพถ่ายออกมาราวกับมืออาชีพได้อย่างง่ายดาย
ครบทุกการใช้งาน เต็มทุกความบันเทิง
หน้าจอ Infinity Display ถือเป็นจุดสูงสุดของด้านการออกแบบของซัมซุง โดยเฉพาะหน้าจอของ กาแลคซี่ โน้ต 9 ที่ไร้กรอบ และมีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ ในตระกูลกาแลคซี่ โน้ต ด้วยหน้าจอ Infinity Display แบบ Super AMOLED ขนาด 6.4 นิ้ว ที่จะมาเติมเต็มอรรถรสในการรับชมได้อย่างเต็มที่ รวมถึงลำโพงสเตอริโอที่พัฒนาโดย AKG ด้วยเทคโนโลยี Dolby Atmos® ที่จะช่วยเปิดประสบการณ์ขณะรับชมวิดีโอ ด้วยภาพและเสียงในระดับมัลติมีเดีย ได้อย่างสมจริง นอกจากนี้ ยูทูบ ยังได้แนะนำว่า กาแลคซี่ โน้ต 9 เป็นอุปกรณ์ที่รับชมเนื้อหาต่างๆ บนยูทูบได้สมบูรณ์แบบที่สุดอีกด้วย
โดยกาแลคซี่ โน้ต 9 ยังมอบประสบการณ์การใช้งานแบบพีซีให้กับผู้ใช้งานได้ด้วย Samsung DeX ซึ่งผู้ใช้งานสามารถนำเสนอ พรีเซนเทชั่น ปรับแต่งรูปภาพ หรือรับชมรายการโปรดผ่านสมาร์ทโฟน เพียงแค่ติดตั้ง HDMI adapter เข้ากับ Samsung DeX ผู้ใช้งานก็สามารถใช้งาน กาแลคซี่ โน้ต 9 บนหน้าจอขนาดใหญ่ได้ทันที อีกทั้งยังใช้ปากกา S Pen เขียนโน้ตไปพร้อมๆ กับดูวีดีโอ หรือใช้ กาแลคซี่ โน้ต 9 เป็น trackpad กดคลิกขวา ลากและปล่อย รวมถึงใช้งานอื่นๆ บนหน้าจอได้อย่างสะดวกสบาย
ล้ำหน้าด้วยเทคโนโลยีที่ดีที่สุดจากกาแลคซี่
กาแลคซี่ โน้ต 9 มาพร้อมกับเทคโนโลยีที่ดีที่สุดในตระกูลกาแลคซี่ อีกหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นการชาร์จไฟด่วนแบบไร้สาย คุณสมบัติป้องกันน้ำและฝุ่นมาตรฐาน IP68 รวมถึงบริการอื่นๆ จากซัมซุง เช่น Samsung Health และ Samsung Pay และ มาตรฐานการป้องกันและการรักษาความปลอดภัยด้วยระบบ Knox รวมถึงการรักษาความปลอดภัยด้วยไบโอเมททริค เช่น ระบบสแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Scanner), ระบบสแกนม่านตา (Iris Scanner) และระบบจดจำใบหน้า (Facial Recognition) ที่จะทำให้ผู้ใช้งานสามารถเก็บข้อมูลสำคัญได้อย่างปลอดภัย
อีกทั้ง ยังได้ขยายขอบเขตแห่งความเป็นไปได้ให้กว้างมากยิ่งขึ้น ด้วยการเป็นศูนย์รวมของอุปกรณ์และบริการต่างๆ ของซัมซุงทุกรูปแบบ อาทิ SmartThings ในการควบคุมอุปกรณ์ทุกชนิดที่เชื่อมต่อ หรือจะเป็นการจัดการต่างๆ ด้วย Bixby ที่เปรียบเสมือนผู้ช่วยอัจฉริยะส่วนตัว โดยการเปิดตัว กาแลคซี่ โน้ต 9 ในครั้งนี้ ซัมซุงยังทำให้การฟังเพลงเป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่งขึ้นด้วยการจับมือเป็นพาร์ทเนอร์กับ Spotify ในระยะยาว ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึง ซิงค์ และส่งเพลงไปมาระหว่าง กาแลคซี่ โน้ต 9 กาแลคซี่ วอทช์ และ สมาร์ท ทีวี ได้อย่างสะดวก
ซัมซุง กาแลคซี่ โน้ต 9 มีวางจำหน่าย 3 ได้แก่ สีโอเชี่ยนบลู (Ocean Blue) ที่มาพร้อมกับ S Pen สีเหลือง สีเมทัลลิก คอปเปอร์ (Metallic Copper) และสีมิดไนท์ แบล็ค (Midnight Black) ในราคา 33,900 บาท
สมาคมการตลาดแถลงวิสัยทัศน์สำคัญ ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ในฐานะแพลตฟอร์มเพื่อสร้าง รวบรวม และกระจายองค์ความรู้ ส่งเสริมขีดความสามารถทางการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยให้ประสบความสำเร็จบนเวทีการค้าทั้งในระดับประเทศและในระดับโลก พร้อมกระตุ้นผู้ประกอบการไทยให้มุ่งสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยหัวใจนักการตลาด
สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย นำโดย นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ นายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย แถลงข่าววิสัยทัศน์และพันธกิจ พร้อมแนะนำทีมคณะกรรมการอำนวยการชุดใหม่ ที่จะมาร่วมเป็นฟันเฟืองสำคัญในการสร้างแพลตฟอร์มแห่งการเรียนรู้ เพื่อนำผู้ประกอบการไทยก้าวไปสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืนด้วยหัวใจนักการตลาดร่วมกัน
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ กล่าวว่า “ในช่วง 2 - 3 ปีที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาแห่งความท้าทาย ที่ภาคเอกชนและประชาชนชาวไทยได้ร่วมฟันฝ่าก้าวข้ามวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจไปด้วยกัน ในปี 2561 นี้ นับเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นตัว ด้วยสภาวะเศรษฐกิจโลกกำลังปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงในประเทศไทยเองก็เริ่มเห็นสัญญาณเชิงบวก ทั้งในด้านเศรษฐกิจ ที่คาดว่าจะสามารถขยายตัวได้ร้อยละ 4.2 – 4.7 จากการลงทุนของภาครัฐและเอกชน และในด้านรูปแบบทางธุรกิจ ที่เริ่มมองเห็นโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ เกิดขึ้นอย่างมากมายจากเทคโนโลยีแห่งการเชื่อมต่อ (Connectivity)
ในยุคนี้ เป็นยุคที่บริษัทและองค์กรต่างๆ ไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก ไม่สามารถยืนอยู่ได้โดยลำพัง ต้องอาศัยความร่วมมือซึ่งกันและกัน (Collaboration) อีกทั้ง นิยามของการตลาดและบทบาทของนักการตลาดก็เปลี่ยนไปมาก จากที่เคยมองทุกอย่างแยกส่วนกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ สินค้า ราคา โปรโมชั่น จุดขาย หรือ การสื่อสาร โฆษณา ประชาสัมพันธ์ แต่ในยุคนี้ ทุกอย่างถูกหลอมรวมเป็นเรื่องเดียวกัน เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน โดยมี ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centric) ที่ต้องเน้นความสะดวก สบาย และเข้าถึงได้โดยง่าย หรือ (Convenient)
เทคโนโลยีแห่งการเชื่อมต่อ (Connectivity) ได้เปลี่ยนโฉมหน้าโลกธุรกิจไปจากเดิมที่เราเคยรู้จัก นักการตลาดกลายเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการสร้าง ประสบการณ์ไร้รอยต่อ (Seamless Experience) ระหว่างโลก On-line และโลก Off-line
ในโลกยุคใหม่ ความเข้าใจผู้บริโภคนั้นสำคัญเป็นอย่างมากต่อความสำเร็จของแบรนด์ หัวใจของการเป็นนักการตลาด จึงไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเป็นนักการตลาดตามวิชาชีพอีกต่อไป หากแต่เป็นบทบาทของทุกๆ คนในองค์กร ที่ต้องลุกขึ้นมาปรับหรือเปลี่ยนตัวเอง โดยใช้การตลาดเป็นตัวนำ พร้อมเรียนรู้และฝึกตนให้มีคุณสมบัติ 5 ประการ ของนักการตลาดในโลกปัจจุบัน คือ ช่างสงสัย (Curious) ช่างสังเกตุ (Observant) มองมุมใหม่ (Innovative) พร้อมปรับตัว (Adaptive) และ มีความรับผิดชอบ (Responsive)”
เมื่อการตลาดมีบทบาทสำคัญในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับทุกๆธุรกิจ สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทยจึงได้กำหนด วิสัยทัศน์ใหม่ คือ การใช้ความเยี่ยมยอดทางการตลาด มาเป็นพลังขับเคลื่อนขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (Marketing Excellence as a ‘Competitive Force’ of the Nation) ที่จะถูกขับเคลื่อนด้วย 4 พันธกิจหลัก คือ
ทั้งนี้ การจะบรรลุวัตถุประสงค์ในการสร้าง A Leading Marketing Body ซึ่งประกอบด้วย Head, Hand, Heart และ Hope สำหรับประเทศไทยได้นั้น ต้องอาศัยการทำงานร่วมกันทุกภาคส่วน ทั้งภาคเอกชน ภาคการศึกษา และ ภาครัฐ เพื่อสกัดองค์ความรู้ใหม่ๆ ด้านการตลาดร่วมกัน และใช้แพลตฟอร์มดิจิตอลมาเป็นเครื่องมือช่วยพัฒนาผู้ประกอบการไทย เพิ่มการเข้าถึง และกระจายความรู้ต่างๆ ให้กว้างขวางมากขึ้น และร่วมกันก้าวสู่ความเป็นเลิศทางการตลาดของประเทศไทยอย่างยั่งยืน” นายอรรถพลฯ กล่าวทิ้งท้าย
จากนั้น คุณบังอร สุวรรณมงคล กรรมการฝ่ายวิชาการและข้อมูลตลาด สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย ได้ขึ้นแชร์ข้อมูล MAT’s Insight: “เทรนด์การตลาดแห่งอนาคต” กล่าวถึง 7 เทรนด์ผู้บริโภคที่นักการตลาดต้องจับตามอง เพื่อเป็นการ Kick off สังคมแห่งการแบ่งปันความรู้ทางการตลาด
ในโลกแห่งการตลาดยุคใหม่ ถึงแม้จะท้าทายแต่ก็นับเป็นโอกาสในการขยายและเติบโต การแข่งขันในทุกธุรกิจก็จะมีความเข้มข้นขึ้นอยู่เสมอ สิ่งที่นักการตลาดต้องใส่ใจไม่ใช่แค่ทำธุรกิจของตนเองให้เต็มที่ หรือเพียงการแข่งขันกับคู่แข่งเท่านั้น แต่ต้องรับมือกับสิ่งที่กำลังเป็นไป เข้าใจหัวใจผู้บริโภค และเรียนรู้สิ่งใหม่ๆอย่างไม่หยุดนิ่ง