December 13, 2025
×

Warning

JUser: :_load: Unable to load user with ID: 810

                หกเดือนผ่านไปกับ ดีแทค แอคเซอเลอเรท batch5 ที่คัดเลือกจากแผนงานกว่า 500 แผนงาน สู่ 12 ทีมที่ได้รับการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการ พร้อมเงินทุนทีมละ 500,000-1,500,000 บาท และการสนับสนุนเชิงพาณิชย์จากดีแทค ผ่าน Boot Camp ติวเข้มการเป็นสตาร์ทอัพจากวิทยากรทั่วโลก มาสู่วัน เดโม เดย์ ที่ให้แต่ละรายนำเสนอแผนงานกับนักลงทุนบนเวทีเพื่อระดมทุนและชิง 3 รางวัลใหญ่ และรางวัลพิเศษจากพันธมิตร

                เดโมเดย์ ปี 5 นี้เป็น 1 ใน 4 งานสำคัญของเหล่า VC ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มองหาสตาร์ทอัพ ที่จะลงทุนด้วย โดยมี VC ชั้นนำจากทั่วโลกมาร่วมงาน และเป็นโอกาสที่สตาร์ตอัพจะได้รับเงินทุนและรางวัลจากการนำเสนอแผนงานกับ VC เพื่อระดมเงินทุนในระดับ Series A และ Seed Funding สตาร์ตอัพได้โชว์การพิชชิ่ง บนเวทีที่ยิ่งใหญ่ โดยประกาศผลทีมที่ได้รับรางวัล ดังนี้

  1. ทีม Tourkrubได้รับรางวัล Telenor Digital Winner Asia สิงคโปร์
  2. ทีม Seeksterได้รับรางวัล Web Summit 2017 กรุงลิสบอน โปรตุเกส ซึ่งเป็นงาน tech conference ที่มีผู้เข้าร่วมงานมากที่สุดในโลก กว่า 30,000 คน
  3. ทีม Indie Dishได้รับรางวัล Google Developer LaunchPad ที่ได้รับการสนับสนุนจากกูเกิล เพื่อเข้าร่วมศูนย์บ่มเพาะพิเศษ ที่สิงคโปร์

                และเซอร์ไพร์สรางวัลพิเศษเพิ่มเติมอีก 2 รางวัลจากพันธมิตร LINE ประเทศไทย และบริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)

  1. ทีม Ricultได้รับรางวัล TechCrunch Disrupt ที่เมืองซานฟรานซิสโก จากบริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เป็นโอกาสในการไปออกบูธพบนักลงทุน และ business partner ตลอดระยะเวลา 3 วัน ที่งาน TechCrunch Disrupt จัดโดยสื่อด้าน tech & startup ที่มีผู้ติดตามมากเป็นอันดับต้นๆของโลก เป็นงานใหญ่ประจำปีของ tech crunch ที่รวมนักลงทุนระดับแนวหน้าของซิลิคอน วัลเล่ย์ มาที่งานนี้ รางวัลนี้เป็นความร่วมมือกันครั้งแรกระหว่างเมืองไทยประกันชีวิต TechCrunch's และดีแทค แอคเซอเลอเรท
  2. รางวัล Line@ Startup Pack จาก LINE API มอบรางวัลนี้ให้กับ 12 ทีมซึ่งได้รับเลือกให้เป็นสตาร์ทอัพกลุ่มแรก ที่ได้เชื่อมต่อ API กับ Line

รายชื่อ 12 ทีมที่เข้าโครงการ ดีแทค แอคเซอเลอเรท  batch5 ประกอบด้วย 1.Cookly 2.Creden 3.Drivemate 4.Globish 5.Indie Dish 6.Ricult 7.ScoutOut 8.Seekster 9.Senseino 10.Shiftspace 11.Tixget 12.Tourkrub

            อภินันท์ เกลียวปฏินนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร เปิดเผยว่า จากผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ประกอบไปด้วย ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) (บล.ภัทร) และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ภัทร จำกัด (บลจ.ภัทร) ในครึ่งปีแรกที่ผ่านมา สามารถดำเนินงานได้ตามแผนธุรกิจที่วางไว้

           ธุรกิจสินเชื่อ Credit House) ที่สินเชื่อรวมของธนาคารขยายตัวได้ดี (ครึ่งปีแรกโต 4.1% จากเป้าทั้งปีที่ตั้งไว้ 5%) เป็นผลจากการเติบโตของสินเชื่อบรรษัทที่เกิดจากการผสานความร่วมมือของสายสินเชื่อบรรษัทกับสายงานวานิชธนกิจของ บล.ภัทร ตลอดจนการทำงานอย่างเข้มข้นของเครือข่ายสาขาและสายงานช่องทางการตลาดและพัฒนาฐานลูกค้า เพื่อรุกตลาดสินเชื่อรายย่อย ผ่านผลิตภัณฑ์สินเชื่อบุคคล สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อ KK SME รถคูณ 3

           ทางด้านธุรกิจตลาดทุน โดยเฉพาะในส่วนของ Private Bank ภายใต้ธุรกิจไพรเวทเวลธ์สำหรับผู้ลงทุนไทยมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีสินทรัพย์ภายใต้การให้คำแนะนำ (Asset under Advice: AuA) อยู่ที่ 403,000 ล้านบาท (ไม่รวมเงินฝาก) โดยมียอดเงินลงทุนใหม่กว่า 22,000 ล้านบาท และล่าสุด บล.ภัทร ได้เปิดบริการใหม่ คือ Global Investment Service (GIS) ซึ่งเป็นการให้บริการลงทุนต่างประเทศสำหรับกลุ่มลูกค้าที่มีความมั่งคั่งสูง เพื่อเพิ่มโอกาสการลงทุนด้วยผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ไร้ข้อจำกัดด้านพรมแดน

           โดยแผนครึ่งปีหลัง 2560 ของ KKP อภินันท์แบ่งเป็น 3 ส่วนใหญ่ประกอบด้วย

           ด้านสินเชื่อ จะพยายามกระจายสินเชื่อเพิ่มขึ้น ทั้งสินเชื่อองค์กร สินเชื่อเช่าซื้อ โดยจะมีช่องทางที่หลากหลายในการให้บริการ เช่นเทเลเซลล์ ออนไลน์ ไดเร็กมาร์เก็ต โดยในช่องทางออนไลน์ยังรอเรื่องกฎหมายเพื่อทำให้ครอบคลุมครบวงจรต่อไป

           ด้าน Private Banking บริหารการเงินให้กับลูกค้า เป็นรายได้ที่สม่ำเสมอ ซึ่งยังมีช่องทางเติบโตได้อีก จากอัตราดอกเบี้ยที่ยังต่ำ ลูกค้าเงินฝากในประเทศมีความรู้ความเข้าใจในการลงทุนเพิ่มมากขึ้น โดย KKP จะพยายามทำบริการให้ได้มาตรฐานเทียบเท่ากับสากล พัฒนาผลิตภัฑณ์ใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น

           ด้าน Wholesale Investment Banking  ในส่วนของวานิชะนกิจจะสามารถเริ่มให้บริการอย่างครบวงจร สามารถรองรับการทำธุรกรรมสำคัญๆ ได้ครบทุกมิติมากขึ้น โดยจะต้องต่อยอดด้วยการเพิ่มการรับรู้ของลูกค้า ในส่วนธุรกิจนายหน้า มองไปที่กลุ่มลูกค้าสถาบันซึ่งเป็นอีกกลุ่มที่สามารถสร้างรายได้ได้ดี โดยจะต้องรักษามาตรฐานของงานวิจัย และผู้ปฏิบัติงาน เพื่อให้เกิดการลงทุนอย่างต่อเนื่อง

           อภินันท์สรุปว่า แผนงานครึ่งปีหลังของKKP เป็นการทำงานต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก แต่มีการปรับเปลี่ยนตามความเปลี่ยนแปลงของโลก ด้วยการทำระบบและกระบวนการให้ทันสมัย โดย KKP อยู่ระหว่างการปรับปรุงระบบคอร์แบงก์กิ้งซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2561

     ตลาดน้ำดื่ม4,000 ล้านลิตร มีมูลค่า 43,000 ล้าน  ในช่วงครึ่งปีแรกเป็นเครื่องดื่มที่เติบโตมากที่สุดในกลุ่มนอนแอลกอฮอล์ ประมาณว่าทั้งปี ตลาดจะมีอัตราเติบโต 10-12% จากพฤติกรรมผู้บริโภคใส่ใจสุขภาพยิ่งขึ้น และการทำตลาดในเชิงรุก

     ธิติพร ธรรมาภิมุขกุล ผู้อำนวยการกลุ่มการตลาดธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น  ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายน้ำดื่มตราสิงห์ เปิดเผย ภาพรวมธุรกิจน้ำดื่มตราสิงห์ในช่วงครึ่งปีแรก (ม.ค.-มิ.ย.) มีอัตราการเติบโตตามเป้าหมาย โดยในช่วงซัมเมอร์ยอดขายมีอัตราเติบโต 12%  จากการเปิดตัวแคมเปญ “A PART OF YOU น้ำดื่มสิงห์เท่านั้นที่เราเลือก” ด้วยการดึงตัวแทนของกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันเข้ามาเป็นอินฟูลเอ็นเซอร์ 5 คน ได้แก่ “วี วิโอเล็ต วอเทียร์”  นักร้องนักแสดง  “ย้ง ทรงยศ สุขมากอนันต์” นักเขียนบท ผู้กำกับภาพยนต์ “เบเบ้ ธันย์ชนก ฤทธินาคา” อาจารย์ นักแสดงและเน็ตไอดอล รวมทั้ง 2 หนุ่มแห่งวงเซาท์ไซด์” (Southside) “ทูพี(2P) พิทวัส พฤกษกิจ” และ “ดีเจต๊อบ(DJ Tob) ณภัทร เหล่าพลายนาค แรปเปอร์ที่มาแรงและดังสุดแห่งยุค มาร่วมสื่อสาร บอกเล่าเรื่องราว แรงบันดาลใจ ส่งผลให้แบรนด์เข้าถึงคนรุ่นใหม่ได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นฐานลูกค้าในตลาดน้ำดื่มบรรจุขวด  ขณะเดียวกันบริษัทได้เพิ่มการผลิตน้ำดื่ม 1 สายการผลิต ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ส่งผลให้มีกำลังผลิตเพิ่ม 20% จากปัจจุบันมี 8 โรงงาน ที่ครอบคลุมทุกภูมิภาค อาทิ จ.เชียงใหม่  จ.พระนครศรีอยุธยา จ.ขอนแก่น จ.มหาสารคาม และ จ.สุราษฎร์ธานี รองรับกับช่วงซัมเมอร์ซึ่งตลาดน้ำดื่มเติบโต 50% 

     บริษัทได้ต่อยอดจากการใช้ influencer ด้วยการทำกิจกรรมทางการตลาดต่างๆ และฉลาก ลิมิเต็ด เอดิชั่น ที่มีรูป influencer ออกจำหน่ายเอาใจแฟนคลับ ซึ่งได้รับเสียงตอบรับที่ดีมาก รวมทั้งการให้ความสำคัญกับการสื่อสารผ่านทางดิจิทัลมีเดีย สร้างการรับรู้ถึงคุณค่าที่ได้รับจากการดื่มน้ำบรรจุขวด ด้วย Concept "A Part of You" น้ำดื่มสิงห์ยังตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และความต้องการของคนรุ่นใหม่ด้วยโร้ดโชว์ การทำฉลากพิเศษ Tailor Made ด้วยการนำรูปของผู้บริโภคลงบนฉลากน้ำดื่มสิงห์ ที่จะมีเพียงขวดเดียวในโลกสำหรับคุณเท่านั้น ล้วนเป็นปัจจัยให้น้ำดื่มสิงห์ครองส่วนแบ่งได้ 23% ในช่วงครึ่งปีแรก ตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดน้ำดื่มบรรจุขวดครองตลาดอย่างยาวนานมาร่วม 25 ปี ประกอบกับความแข็งแกร่งทางด้านการจัดจำหน่ายของกลุ่มบุญรอดฯ ที่กระจายสินค้าได้ครอบคลุมทุกช่องทาง ประกอบกับการมีบรรจุภัณฑ์สินค้าที่มีความหลากหลาย สอดรับกับไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้าทั้งอยู่ในบ้านและใช้ชีวิตนอกบ้าน  

     ด้วยการรุกตลาดนี้ น้ำดื่มสิงห์มั่นใจว่าครองส่วนแบ่งเพิ่มจาก 23% เป็น 25% และรายได้เติบโต 16%

    ความคับข้องใจของผู้ประกอบการโดยเฉพาะขนาดกลางและเล็กกับการทำธุรกรรมกับธนาคาร คือค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่ายธนาคาร การต้องไปสาขาเพื่อทำธุรกรรม ทำให้เสียเวลาและเสียโอกาสทางธุรกิจ

    ธนาคารทหารไทย จำกัด หรือ ทีเอ็มบี จึงเปิดตัวบัญชี“ทีเอ็มบี เอสเอ็มอี วัน แบงก์” (TMB SME One Bank) รูปแบบใหม่ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการข้างต้น

     รัชกร ชยาภิรัต หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารธุรกรรมทางการเงินภายในประเทศ ทีเอ็มบี หรือ ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) มองว่า ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมีอำนาจต่อรองไม่มาก จึงไม่สามารถใช้บริการบางอย่างของสถาบันการเงินได้เต็มที่ และเมื่อดูระบบนิเวศทางด้านการเงินในประเทศไทย ที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ใช้โทรศัพท์สมาร์ทโฟน และมี National E-Payment มารองรับ ธนาคารจึงได้พัฒนา “ทีเอ็มบี เอสเอ็มอี วัน แบงก์” บัญชีเพื่อธุรกิจ ที่จบปัญหาด้านค่าธรรมเนียม ซึ่งเป็นเหมือน ‘ต้นทุนที่ไม่จำเป็น’ ที่ผู้ประกอบการมองข้ามหรือเคยชิน แต่ก็มีความต้องการที่กำจัดค่าธรรมเนียมเหล่านี้  ด้วยการมอบประโยชน์ให้ลูกค้า สามารถ โอน-รับ-จ่าย ข้ามธนาคาร ข้ามเขต ได้ทันที ฟรีค่าธรรมเนียม ทุกรายการแบบไม่จำกัดจำนวนครั้ง โดยไม่ต้องคงเงินขั้นต่ำในบัญชี เมื่อทำธุรกรรมด้วยช่องทางดิจิทัล คือ TMB Business Touch โมบายแอปพลิเคชันสำหรับเอสเอ็มอี ซึ่งช่วยให้ลูกค้าสามารถทำธุรกรรมได้ทุกที่ ทุกเวลา

    บัญชีเพื่อธุรกิจ ทีเอ็มบี เอสเอ็มอี วัน แบงก์ ยังตอบโจทย์ความต้องการในธุรกิจของลูกค้าเอสเอ็มอี ในด้านการจ่าย เช่น การโอนหรือถอนเงินผ่านเครื่อง ATM ฟรีไม่จำกัดจำนวนครั้ง ได้ทุกธนาคาร การจ่ายเงินเดือนพนักงานได้ทุกธนาคารได้ฟรี รวมไปถึงการจ่ายบิลต่างๆ นอกจากนี้ ในด้านรายรับ ลูกค้ายังได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมจากการเรียกเก็บเช็คข้ามเขต ข้ามธนาคาร ไม่มีค่าธรรมเนียม และซื้อสมุดเช็ค 1 เล่ม แถม 1 เล่ม ไม่จำกัดจำนวน ทั้งหมดนี้ สามารถช่วยให้ลูกค้าสามารถประหยัดต้นทุนในการทำธุรกรรมได้อย่างมาก

     รัชกรให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า บัญชีเพื่อธุรกิจ ทีเอ็มบี เอสเอ็มอี วัน แบงก์ มุ่งเจาะกลุ่มลูกค้าเอสเอ็มอี ที่มีความคุ้นเคยกับการทำธุรกรรมในระบบดิจิทัล โดยธนาคารตั้งเป้าเพิ่ม 100,000 บัญชีภายในสิ้นปีนี้ และหากลูกค้าใช้บัญชี ทีเอ็มบี เอสเอ็มอี วัน แบงก์ อย่างสม่ำเสมอ จะทำให้ธนาคารมีข้อมูลเกี่ยวกับการทำธุรกรรมของลูกค้า  และสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ และบริการที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าด้านอื่นๆ ได้อย่างเช่น ผลิตภัณฑ์ด้านสินเชื่อ

     ทั้งนี้ผู้ที่สมัครใช้บริการ บัญชีเพื่อธุรกิจ ทีเอ็มบี เอสเอ็มอี วัน แบงก์ จะมีค่าธรรมเนียมเอทีเอ็มปีละ 500 บาท โดยธนาคารมีโปรโมชั่นหากสมัครพร้อมเพย์ธนาคารจะคืนค่าธรรมเนียมนี้ให้

     เป็นเกมการแย่งชิงการทำธุรกรรมกับธนาคารที่จัดการกับ pain point ของลูกค้าอย่างน่าสนใจ

 

แม้จะมีความเห็นว่าเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศไทยยังไม่กระเตื้องสักเท่าไร แต่สำหรับตลาดสินค้าหรูหรายังคงมีการเติบโต ตัวอย่างจาก บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด โดย ศุภวุฒิ จิรมนัสนาคร กรรมการผู้จัดการ ให้ข้อมูลว่าตลาดรถยนต์หรูยังคงไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจมากนัก ยังคงมีผลประกอบการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยยอดสินเชื่อรถยนต์ใน 6 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่กว่า 33,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโต 7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว อีกทั้งยังมีสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดมาก และมีการให้สินเชื่อรถยนต์เมอร์เซดส-เบนซ์ มากกว่า 45% ของยอดขาย ซึ่งความสำเร็จดังกล่าวเป็นผลมาจากการการให้บริการแบบครบวงจร (one-stop financial service solution) และการบริการทางการเงินที่หลากหลาย รวมถึง ‘mySTAR Special’ บริการทางเงินเฉพาะลูกค้าเมอร์เซดส-เบนซ์ ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนมากกว่า 20% ของสินเชื่อรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ และโปรแกรมการประกันภัย ‘MB Protection’ ที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงสุดถึง 71%  เติบโต 8%  เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และให้การคุ้มครองลูกค้าเกือบ 20,000 รายในปัจจุบัน

แนวโน้มความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปส่งผลให้บริษัทแม่คือ เดมเลอร์ ไฟแนนเชียล เซอร์วิสเซส (Daimler Financial Services) ซึ่งได้ประกาศวิสัยทัศน์จะเป็นผู้นำด้านบริการทางการเงินที่มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยมีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ด้วยบริการดิจิทัลเต็มรูปแบบ และผู้นำด้านการให้บริการด้านการเดินทางที่หลากหลาย โดยนำเทคโนโลยีการเดินทางมาปรับใช้เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น เช่น “car2go” ผู้นำในตลาดการบริการการเช่ารถยนต์ระยะสั้นในเขตเมืองผ่านแอพลิเคชั่นบนมือถือ “mytaxi” แอพลิเคชั่นเรียกใช้บริการรถแท็กซี่อันดับหนึ่งในทวีปยุโรป “moovel” แอพลิเคชั่นแรกที่ให้บริการด้านการเดินทางเต็มรูปแบบ รวมถึงการจองตั๋วรถไฟทั่วประเทศเยอรมนีและสหรัฐอเมริกา และ “FlixBus” บริการรถโดยสารเพื่อเดินทางระหว่างเมืองในทวีปยุโรป  นอกจากนั้น ลูกค้าจะมีทางเลือกที่จะใช้บริการทางเงินหรือเช่ารถยนต์ที่ตรงตามความต้องการเฉพาะของลูกค้าแต่ละราย  “AutoGravity” เป็นแอพลิเคชั่นให้บริการเลือกรถยนต์และบริการทางการเงินที่ลูกค้าสามารถกำหนดเอง และ “Mercedes pay” ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อต้นปีนี้ เป็นแอพลิเคชั่นสำหรับชำระค่าบริการผ่านสมาร์ทโฟน

ศุภวุฒิชี้ว่าบริการเหล่านี้มีโอกาสจะเข้ามาให้บริการในประเทศในเร็วๆ นี้ โดยกระแสการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีการให้บริการค่อนข้างเป็นไปอย่างรวดเร็ว และสอดคล้องกับกลยุทธ์หลัก 4 กลยุทธ์ของบริษัทที่จะใช้ในช่วงครึ่งปีหลังนี้

โดยไมเคิล บราวน์ กรรมการบริหารฝ่ายขายและการตลาด ให้ข้อมูลว่า เมอร์เซเดส-เบนซ์ ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) เน้น 4 กลยุทธ์หลัก ประกอบด้วย การสร้างความตื่นเต้นและการมีส่วนร่วมของลูกค้า” ที่ยังคงให้ความสำคัญกับลูกค้าปัจจุบันให้คงอยู่กับครอบครัวเมอร์เซเดส-เบนซ์ตลอดไป เป็นหุ้นส่วนระยะยาวกับลูกค้าในด้านการเงิน ผ่านสิทธิพิเศษต่างๆ ที่ลูกค้าจะได้รับ รวมถึงข่าวสารต่างๆ เช่นแคมเปญ โปรโมชั่นใหม่ๆ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมการตลาดเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์กับทั้งดีลเลอร์และลูกค้าอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี อาทิ กิจกรรม “The Art of Leather Workshop”, “The Soulful of Flowers Workshop”, “The Cooking for Fun Workshop”, “The Movie Exclusive” และล่าสุดคือ “The Beauty Workshop with Guerlain” ที่จัดไปเมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เป็นต้น

 “การเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจหลักของบริษัทฯ” ทางบริษัทฯ ยังคงเน้นการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าตลอดระยะเวลาสินเชื่อ รวมถึงการรักษาฐานลูกค้าเก่าด้วยสิทธิพิเศษต่างๆ รวมไปถึงการนำเสนอแผนประกันภัย Mercedes-Benz Protection ที่ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดีดังจะเห็นได้จากในปีที่แล้วที่มีลูกค้าใช้บริการเป็นจำนวน 7 ใน 10 ของลูกค้าเมอร์เซเดส-เบนซ์ทั้งหมด นอกจากนั้นบริษัทฯ ยังมองเห็นศักยภาพของตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ในประเทศไทยที่มีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นอีกมากในอนาคต ปีนี้จึงได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนบริษัท เดมเลอร์ คอมเมอร์เชียล วีฮีเคิลส์ (ประเทศไทย) จํากัด โดยได้จัดตั้งฟูโซ่ ลีสซิ่ง เพื่อดูแลในเรื่องการให้บริการด้านการเงินอย่างครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นการให้สินเชื่อสำหรับลูกค้า การให้สินเชื่อสำหรับผู้จำหน่ายในการสต๊อกรถ และการสร้างโชว์รูม

การขยายช่องทางการให้บริการแบบดิจิทัล” ให้กับทั้งดีลเลอร์และลูกค้าทางช่องทางออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น “Dealer Touchpoint (DTP)” ที่ช่วยให้ดีลเลอร์สามารถทำธุรกิจได้ทุกที่ทุกเวลา “myBUSINESS” เพื่อให้ดีลเลอร์สามารถดูผลประกอบการของตนเองผ่านมือถือ และ “Customer Online Service (COS)” ระบบที่ลูกค้าสามารถดูประวัติการชำระค่างวด พิมพ์ใบเสร็จรับเงิน การติดต่อกับทาง เมอร์เซเดส-เบนซ์ ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) ได้ด้วยตนเอง รวมถึงการเพิ่มการให้บริการใหม่ๆ เช่น Digital Welcome message การแนะนำการใช้งานแบบวีดีทัศน์ การคำนวณยอดปิดสินเชื่อก่อนกำหนด และ การบัตรชำระค่างวดแบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยในปัจจุบันมีลูกค้าเมอร์เซเดส-เบนซ์ ลีสซิ่งมากกว่า 30% ที่ลงทะเบียนใช้งานระบบบริการข้อมูลลูกค้าออนไลน์ดังกล่าว

และ  การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการบริการใหม่ให้แก่ลูกค้า” ปีนี้มุ่งเน้นที่โปรแกรมทางการเงิน mySTAR ในการไฟแนนซ์รถเมอร์เซเดส-เบนซ์ ด้วยเงินชำระครั้งแรกที่ยืดหยุ่น ค่างวดที่ต่ำกว่าโปรแกรมเช่าซื้อถึง 30% และทางเลือกที่ลูกค้าเป็นคนกำหนดได้เองตอนสิ้นสุดสัญญา  ไม่ว่าจะเป็นการคืนรถและออกคันใหม่ (Return & Renew) หรือการจ่ายชำระค่าบอลลูนเต็มจำนวนเพื่อเป็นเจ้าของรถ (Retain) หรือ เลือกที่จะผ่อนชำระก้อนบอลลูนต่อไปอีก 1-4 ปี (Refinance) และล่าสุดทางบริษัทฯ ได้ออกผลิตภัณฑ์ mySTAR ในรูปแบบใหม่ซึ่งรวมประกันภัยชั้นหนึ่งไว้ด้วยกัน นอกจากนี้ทางบริษัทฯ จะให้ความสำคัญในการให้ลูกค้าเลือกข้อเสนอในการคืนรถเพื่อรองรับการเติบโตของตลาดรถยนต์มือสอง และกระตุ้นตลาดสินเชื่อรถยนต์ผ่านการที่ลูกค้าเลือกซื้อรถยนต์คันใหม่อีกด้วย

 

                AIS The StartUp”  จับมือ สถานเอกอัครราชฑูตสหราชอาณาจักร และไรส์ ศูนย์เร่งสปีดนวัตกรรมองค์กรและสตาร์ทอัพ จัดอีเว้นท์เอาใจสตาร์ทอัพไทย ด้วยการเชิญวิทยากรระดับนานาชาติ Tony Hughes, Co-founder & Director, Focus Innovation and UK GEP Dealmaker บินตรงจากประเทศอังกฤษ มาร่วมแชร์ความรู้และประสบการณ์ในหัวข้อ “How Thai Tech Startups can expand into the UK Market” ณ  AIS D.C. ที่ดิเอ็มโพเรียม ชั้น 5

                Tony หนึ่งในทีมที่ปรึกษาโครงการ Global Entrepreneur Program (GEP) ที่รัฐบาลอังกฤษมุ่งเน้นในการส่งเสริมผู้ประกอบการสตาร์ทอัพจากทั่วทุกมุมโลก ในการขยายเครือข่ายสู่ตลาดที่ใหญ่ขึ้นในระดับสากล พร้อมสร้างโอกาสในการเข้าไปตั้งธุรกิจในประเทศอังกฤษได้  

                นอกจากนี้ ยังมีศิษย์เก่าของโครงการ GEP งอย่างเป้-นัตวิไล อุทุมพฤกษ์พร,CEO of Trik ที่มาร่วมพูดคุยในหัวข้อ “Business Journey” บอกเล่าประสบการณ์ เรื่องราว วิธีการรวมถึงอุปสรรคต่างๆ ของทำธุรกิจไทยในต่างแดน และประโยชน์ที่ได้รับจากการก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ Startup Ecosystem ในระดับสากล ผ่านโปรแกรมบ่มเพาะจากโครงการ GEP

 

 

 

เข้าสู่ช่วงครึ่งปีหลังของปี 2560 กันแล้ว หลายคนยังกังวลใจกับภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทย ว่าจะไปในทิศทางใดกันแน่ นักวิชาการเศรษฐศาสตร์จากรั้วท่าพระจันทน์ ผศ.ดร.เฉลิมพงษ์ คงเจริญ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) มองว่า ปัจจัยหลักที่มีผลกระทบต่อทิศทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2560 ยังคงเป็นภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า การกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลและค่าเงินบาท โดยที่เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่สำคัญไม่ว่าจะเป็นจีน สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรปมีอัตราการเจริญเติบโตที่สูงกว่าในปีที่ผ่านมา ในขณะเดียวกันการคาดการณ์ล่าสุดปรับตัวดีขึ้น

ทั้งนี้อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังของปี 2560 คาดว่าจะกระเตื้องขึ้นกว่าในครึ่งปีแรก อัตราการเจริญเติบโตทั้งปี น่าจะอยู่ในระดับ 3.58 เปอร์เซ็นต์ มากกว่าปีที่ผ่านมาเล็กน้อย โดยเชื่อว่าการลงทุนภาครัฐเป็นกลไกสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันการท่องเที่ยวน่าจะเป็นกลจักรสำคัญอีกตัวหนึ่งที่กระตุ้นเศรษฐกิจ  จำนวนนักท่องเที่ยวยังคงอยู่ในระดับสูงในปีนี้ ซึ่งคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งปีจะมีประมาณ 34.5 ล้านคน อัตราเงินเฟ้อทั่วไปยังอยู่ในระดับต่ำ คาดการณ์ไว้ที่ 0.7 เปอร์เซ็นต์ หากค่าเงินบาทไม่แข็งค่าจนเกินไป

ตารางที่ 1: พยากรณ์เศรษฐกิจปี 2560

 

2559

2560 (best case)

2560 (worst case)

การบริโภคภาคเอกชน

3.06

3.82

3.68

การบริโภคภาครัฐ

1.98

1.14

0.77

การลงทุน

2.79

5.25

4.75

การลงทุนภาคเอกชน

0.36

3.20

3.06

การลงทุนภาคเอกชน - ก่อสร้าง

1.16

0.41

0.41

การลงทุนภาคเอกชน - เครื่องจักร

0.17

3.94

3.76

การลงทุนภาครัฐ

9.90

11.31

9.81

การส่งออก

2.04

5.22

5.22

การส่งออกสินค้า

-0.03

4.70

4.70

การส่งออกบริการ

9.25

6.63

6.63

การนำเข้า

-1.32

6.21

6.09

GDP

3.25

3.58

3.41

หมายเหตุ อัตราการเจริญเติบโตคำนวณจากข้อมูล ณ ราคาคงที่, ข้อมูลปี 2559 เป็นข้อมูลจริงจาก สศช. ข้อมูลปี 2560 ใช้ข้อมูลจริงสำหรับไตรมาส 1 ในขณะที่ไตรมาสที่เหลือเป็นการพยากรณ์โดยผศ.ดร.เฉลิมพงษ์

ผศ.ดร.เฉลิมพงษ์ ให้ข้อมูลต่อว่า การลงทุนภาคเอกชนจะกระเตื้องขึ้นและเติบโตทั้งปีน่าจะอยู่ที่ระดับ 3.2 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากการเพิ่มการลงทุนในด้านเครื่องจักร ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องจากการขยายตัวด้านการส่งออก ส่วนต้นทุนจากอัตราดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยนยังค่อนข้างต่ำ ในขณะที่การส่งออกจะเติบโตประมาณ 5.2 เปอร์เซ็นต์ เพิ่มขึ้นกว่าในปีที่ผ่านมาเนื่องจากการฟื้นตัวขึ้นของประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและยุโรป และการเติบโตต่อเนื่องจากภาคการท่องเที่ยว การบริโภคภาคเอกชนปรับเพิ่มขึ้น 3.7 – 3.8 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากรายได้ที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่แรงกดดันด้านเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำ

หากการบริโภคและการลงทุนภาครัฐไม่เป็นไปตามที่รัฐบาลวางแผนไว้ ซึ่งตัวเลขในไตรมาสหนึ่งที่ผ่านมาการเจริญเติบโตของการบริโภคและการลงทุนภาครัฐค่อนข้างต่ำ อาจจะส่งผลในอัตราการเจริญเติบโตลดลงไปที่ระดับ 3.4 เปอร์เซ็นต์ ปัจจัยอีกประการที่ต้องเฝ้าระวังคือทิศทางของอัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งค่าขึ้น หากอัตราแลกเปลี่ยนแข็งค่าขึ้นไปแตะระดับ 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในช่วงครึ่งปีหลังอาจจะทำให้อัตราการเจริญเติบโตต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้  

หากพิจารณาการผลิตรายสาขาเศรษฐกิจจะพบว่า สาขาหัตถอุตสาหกรรมยังคงมีปัญหาอัตราการเติบโตอยู่ในระดับต่ำ มีอัตราการเติบโตเพียงประมาณร้อยละ 1 เนื่องจากความเชื่อมั่นของผู้ผลิตยังอยู่ในระดับปานกลางและดัชนีด้านการบริโภคของภาคครัวเรือนยังเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย ส่วนภาคก่อสร้างก็มีการชะลอตัวในไตรมาสที่ 1 และหากพิจารณาทั้งปีอัตราการเจริญเติบโตจะอยู่ประมาณ 4.2 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งต่ำเมื่อเทียบกับการเจริญเติบโตในปีที่ผ่าน นอกจากนี้ภาคโรงแรมกับภัตตาคารก็มีสัญญาณที่เติบโตช้ากว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวเติบโตในอัตราที่มิได้สูงเช่นปีที่ผ่านๆมา ส่วนภาคเกษตรในปีนี้คาดการณ์ว่าจะมีอัตราการเติบโตที่สูงหลังจากประสบปัญหาในปีที่ผ่านมา  

ตารางที่ 2: พยากรณ์เศรษฐกิจปี 2560 รายสาขาเศรษฐกิจ

 

2559

2560 ไตรมาส 1

2560 ทั้งปี

เกษตร

0.39

7.90

7.00

เหมืองแร่

3.88

1.35

1.38

หัตถอุตสาหกรรม

1.46

1.32

1.08

การไฟฟ้าฯ

4.25

2.07

-1.00

ก่อสร้าง

8.15

2.76

4.24

การค้าส่ง ค้าปลีก

5.06

5.91

5.53

โรงแรมและภัตตาคาร

10.23

4.68

6.76

การขนส่ง

5.57

5.75

6.25

สถาบันการเงิน

6.17

4.43

3.84

อสังหาริมทรัพย์

1.85

3.31

4.83

การบริการสาธารณะ

0.76

0.34

1.19

การบริการอื่นๆ

3.42

2.86

2.59

GDP

3.36

3.58

3.58

หมายเหตุ อัตราการเจริญเติบโตคำนวณจากข้อมูล ณ ราคาคงที่, ข้อมูลปี 2559 เป็นข้อมูลจริงจาก สศช. ข้อมูลปี 2560 ใช้ข้อมูลจริงสำหรับไตรมาส 1 ในขณะที่ไตรมาสที่เหลือเป็นการพยากรณ์โดยผศ.ดร.เฉลิมพงษ์

 

ข้อมูลจากงานเสวนา  “จับตาเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลัง กระเตื้องหรือซึมยาว”  ที่จัดโดยคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.)  เมื่อเร็วๆ นี้ ณ ห้อง 101 ชั้น 1 คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

 

Page 5 of 5
X

Right Click

No right click