

ธนาคารทหารไทยจำกัด(มหาชน) หรือ ทีเอ็มบี โดยปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบี เปิดเผยแผนงานธุรกิจของธนาคารในปีนี้ว่า ทีเอ็มบีจะเดินหน้าเพื่อ Make THE Difference อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ลูกค้าทุกกลุ่ม “ได้มากกว่า” (Get MORE with TMB) และบรรลุเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ นิยมใช้บริการของทีเอ็มบีเป็นธนาคารหลัก (Main Bank) อย่างเป็นประจำ มีความชื่นชอบในบริการของทีเอ็มบีจนต้องบอกต่อ โดยตั้งเป้าหมายขึ้นชั้นเป็นธนาคารที่ลูกค้าชื่นชอบและบอกต่อมากที่สุดในประเทศไทย (The Most Advocated Bank in Thailand) ภายในปี 2565
ทีเอ็มบีจะดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อตอกย้ำการเป็นธนาคารที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ตรงจุด (Need Based) ง่ายและสะดวก (Simple & Easy) ให้ลูกค้าได้มากกว่า (Get MORE with TMB) เมื่อมาใช้บริการทีเอ็มบีเป็นธนาคารหลักเป็นประจำ ซึ่งลูกค้าจะได้รับ สิทธิประโยชน์ที่มากกว่า (More Benefits), มีเวลาใช้ชีวิตมากขึ้นสำหรับเรื่องอื่นที่สำคัญ (More Time) และ มีโอกาสที่ดีเพิ่มขึ้น (More Possibilities)
และเพื่อผลักดันให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ทีเอ็มบีจะพัฒนาและส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งพัฒนาช่องทางธนาคารและมอบประสบการณ์ที่ไร้รอยต่อเพื่อให้ลูกค้าทำธุรกรรมได้ง่ายใช้งานได้จริง และนอกจากนี้ได้ดำเนินการปรับโครงสร้างองค์กรในหลายส่วนเพื่อลดความซับซ้อนให้เป็นองค์กรแบบราบ (Flat Organization) มีระดับชั้นการบังคับบัญชาสั้นลงเหลือเพียง 5 ชั้น พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน และพัฒนาทรัพยากรบุคคลเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ทีเอ็มบีมีความคล่องตัวฉับไวในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการให้ทันต่อความต้องการของลูกค้า รวมทั้งการบริหารจัดการข้อมูล Big Data และนำข้อมูลที่มีอยู่มากมายให้สามารถนำมาใช้อย่างเป็นระบบและวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) เพื่อให้เข้าใจถึงความต้องการของลูกค้า ซึ่งจะทำให้สามารถส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการที่ตรงใจลูกค้าอย่างแท้จริงได้อย่างต่อเนื่องต่อไป
สำหรับผลิตภัณฑ์ที่จะช่วยสนองความต้องการลูกค้าTMB ในกลุ่มต่างๆ ประกอบด้วย
|
|
More Benefit |
More Time |
More Possibilities |
ลูกค้าธุรกิจ |
TMB Supply Chain Financing Solutions
|
TMB QR for Business พร้อมเพย์ โมบายล์แอปพลิเคชัน TMB Business TOUCH Internet Banking |
ที่ปรึกษาและคู่คิดทางธุรกิจ |
ลูกค้าเอสเอ็มอี |
TMB SME WOW |
TMB Business TOUCH TMB SME One Bank |
TMB SME Advisory โครงการ Lean Supply Chain by TMB |
ลูกค้ารายย่อย |
TMB All Free TMB TOUCH Mobile App TMB No Fixed TMB WOW |
TMB TOUCH Mobile App |
TMB Advisory |
ประมาณ 70 ปีที่ผ่านมา ปริมาณการใช้พลาสติกของมนุษย์ก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง พลาสติกเข้ามามีบทบาทเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของผู้คนในแทบทุกด้านของชีวิต
อิศราดร หะริณสุต CEO และผู้ร่วมก่อตั้ง บ.โอมิเซะ จำกัด ผู้ให้บริการระบบรับชำระเงินออนไลน์ และเป็นผู้ออก ICO ที่ฮือฮาเมื่อปีที่ผ่านมา ในชื่อ Omise Go (OMG) ให้ความเห็นว่า ปีที่ผ่านมามีการพูดถึง Cryptocurrency กันในวงกว้าง และคิดว่าปีนี้ตลาดน่าจะมีการพัฒนาเพิ่มขึ้น รัฐบาลหลายแห่งเริ่มสนใจทำให้เรื่องนี้ถูกกฎหมาย มีตลาดแลกเปลี่ยนที่ได้รับการรับรอง ขณะที่ในประเทศไทยหน่วยงานกำกับดูแลก็ให้ความสนใจติดตามเรื่องนี้อย่างค่อนข้างใกล้ชิด เพราะโลกของ Cryptocurrency มีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วมาก
ในส่วนของโอมิเซะ ที่มีจุดเริ่มต้นจากการจะรุกเข้าธุรกิจอีคอมเมิร์ซ แต่เมื่อเห็นความต้องการด้านระบบชำระเงิน เพราะการทำอีคอมเมิร์ซ ปัจจัยที่สำคัญปัจจัยหนึ่งคือการชำระเงินของลูกค้า หากมีขั้นตอนที่มากมายก็มีโอกาสที่ลูกค้าจะเปลี่ยนใจไม่ซื้อสินค้าได้ กลายเป็นที่มาของการทำธุรกิจเพย์เมนต์เกตเวย์ของโอมิเซะ และพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง
“แต่เนื่องจากปัจจุบันนี้มูลค่า (Value) ที่อยู่บนโลกอินเทอร์เน็ตไม่ใช่แค่เงินอย่างเดียว อาจจะเป็นคะแนนสะสม ไอเท็มในเกม ไมล์สะสม มีเยอะแยะไปหมด แต่มีข้อจำกัดคือมูลค่าต่างๆ ใช้ได้ในแพลตฟอร์มของตัวเองเท่านั้น จะมีวิธีอย่างไรในการที่จะทำให้สามารถนำมาใช้ในโลกแห่งความเป็นจริงได้ หรือใช้ข้ามกันได้ เป็นที่มาที่เราไปโยงกับบล็อกเชนแล็ปที่เราตั้งขึ้นมาเมื่อปี 2015 เราไม่ได้หยุดแค่การทำเพย์เมนต์เกตเวย์ แต่เรามองว่าในอนาคตเราสามารถมีอะไรที่ดีขึ้นได้”
ตัว Omise Go ที่มีการ ICO ไปเมื่อปีที่แล้ว เป็นผลพวงของความต้องการพัฒนาระบบบันทึกบัญชีให้มีความปลอดภัยมากขึ้น โดยอาศัยเทคโนโลยีบล็อกเชน และจะมาช่วยแลกมูลค่าที่มีอยู่มากมายในโลกดิจิทัลสามารถข้ามกันไปมาได้
“Omise Go เหมือนเรากำลังสร้างอินเทอร์เน็ตของ payment ที่ใครก็สามารถมาใช้ได้ เป้าหมายคือการให้ผู้ประกอบการต่างๆ สามารถมี Interoperability การแลกมูลค่าข้ามกัน เป้าหมายแรกที่เราตั้งไว้คือผู้ประกอบการที่เป็นกระเป๋าวอลเล็ต ส่วนใหญ่จะส่งเงินได้แค่ในเครือข่ายของตัวเองไม่สามารถส่งไปที่อื่นได้ เราสร้างเน็ตเวิร์กให้วอลเล็ตต่างๆ สามารถส่งมูลค่าข้ามกันได้”
อิศราดรเล่าแผนงานที่วางไว้ว่า ในไตรมาสแรกคาดว่าตัวเน็ตเวิร์กที่เป็นแบบ Limited Mode จะแล้วเสร็จและภายใน 8-12 เดือน Decentralized Exchange Network (DEX) ก็จะเปิดตัวเป็นเครือข่ายสาธารณะ “ความเร็วเป็นเรื่องสำคัญ เราก็จะเป็นบริษัทแรกในโลกที่จะไปถึงสปีดนี้ได้ คือไม่มีใครเคยทำมาก่อน เป็นสิ่งที่ท้าทายมาก ต้องมีการวิจัยเยอะ และเราได้รับความช่วยเหลือค่อนข้างเยอะจากชุมชนทั้ง Ethereum Community เอง หรือ Vitalik Buterin, Joseph Poon ที่เป็นท็อปในวงการ ทำให้ตัวโปรเจกต์ Omise Go ได้รับเสียงตอบรับดีมาก เกินที่เราตั้งไว้”
ในฐานะผู้ประกอบการที่ออก ICO และได้รับความสนใจอย่างมาก อิศราดรเล่าถึงเรื่องนี้ว่า “ตอนที่เราระดมทุน เรากำหนดไว้ที่ 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ภายในเดือนเดียวหรือเดือนครึ่ง มูลค่ารวมเกิน 1 พันล้านเหรียญ ก็ทำให้เห็นได้ชัดว่าโปรเจกต์ที่เราทำ คนให้ความหวังมาก เราจึงมีหน้าที่รับผิดชอบ ในการส่งมอบสิ่งที่เราได้สัญญากับผู้คน และเราเชื่ออย่างยิ่งว่า สิ่งที่เรากำลังทำอยู่จะเปลี่ยนฉากอุตสาหกรรมทางการเงินทั่วโลกได้”
การเงินโลกจะเปลี่ยนไป
สิ่งที่โอมิเซะตั้งใจจะพลิกวงการการเงินโลก คือการลดตัวกลางทางการเงินลงไป เพื่อให้คนทุกชนชั้นสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้โดยง่าย พลิกการจับจ่ายด้วยเงินสดสู่สังคมไร้เงินสดอย่างแท้จริงด้วยเครือข่าย Omise Go ที่กำลังพัฒนาอยู่
“เนื่องจากบล็อกเชนมี Smart Contract การมี Smart Contract สามารถที่จะเอาตัวกลางออกไปได้ เพราะโดย Smart Contract โกงกันไม่ได้อยู่แล้ว ต้องทำตามเงื่อนไขอะไรบางอย่างถึงจะมีผล สิ่งที่เรากำลังทำคือ เราสามารถลดตัวกลางลงไปได้มากเลย ต่อไปในอนาคตการทำธุรกรรม บางเรื่องธนาคารอาจจะไม่มีบทบาทแล้ว หรือธนาคารอาจจะผันตัวเองมาเป็นดิจิทัลแบงก์ได้อย่างเต็มตัว เงินสดอาจจะหายไปเลย
“จริงๆ แล้วบางทีคนเราลืมไปว่า เงินที่เรามีถูกสมมติขึ้นมา เวลาเราเอาเงินไปธนาคารก็เป็นตัวเลข ธนบัตรที่เราถือเป็นแค่ตัวแทน เงินไทยเอาไปใช้ประเทศอื่นก็ไม่ได้มีค่าอะไร จริงๆ แล้วทุกอย่างถูก Tokenize เป็น Digital Form อยู่แล้ว แทนที่จะต้องพิมพ์แบงก์ออกมา ก็อยู่ในโทรศัพท์ อยู่ในฟอร์มอะไรก็ได้ และเงินสดก็มีต้นทุนเยอะ (เช่นค่าขนส่ง ค่ารักษาความปลอดภัย) และบิ๊กเดต้าก็มองไม่เห็น ระบบแบบนี้สามารถสร้างความโปร่งใสได้ โดยเฉพาะในบล็อกเชน รู้ที่มาที่ไปหมดเลย ทุกคนสามารถตรวจสอบได้”
เขาบอกต่อว่า การจะทำเช่นนี้ยังต้องมีหน่วยงานกำกับดูแลคอยควบคุม เพราะโอมิเซะก็ไม่อยากจะเป็นช่องทางให้กับธุรกิจผิดกฎหมาย ดังนั้นบริษัทจึงสนับสนุนการพิสูจน์ตัวตนโดยกำลังผลักดันการพิสูจน์ตัวตนในรูปแบบดิจิทัลเช่นเดียวกับที่รัฐบาลกำลังทำอยู่ โดยจะมีการนำนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามา เช่น ไบโอเมทริก ระบบจดจำใบหน้า การสแกนนิ้ว นำมาใช้ร่วมกันเพื่อความมั่นใจ โดย Omise Go ในฐานะเน็ตเวิร์กเพื่อส่งมอบมูลค่าต่างๆ จะเป็นเสมือนอินเทอร์เน็ตของเพย์เมนต์
อิศราดรมองต่อว่าในประเทศไทยที่ยังมีข้อจำกัดด้านการเข้าถึงบริการทางการเงินของคนในบางกลุ่มอยู่ เทคโนโลยีนี้จะสามารถช่วยให้ทุกคนเข้าถึงได้
“คนปัจจุบันที่บ้านอาจจะไม่มีทีวีไม่มีอะไร แต่มีมือถือแน่นอน เราอยากจะทำให้คนสามารถเข้าถึงการให้บริการทางการเงินโดยไม่ต้องไปธนาคารหรือตัวแทน อยู่บ้านก็สามารถเปิดบัญชีได้ เงินที่ไปเข้าอาจจะต้องมีตัวแทน แต่พอเข้าแล้วก็ไปอยู่ในนั้น Tokenize ไปเลย จะใช้บัตร จะใช้มือถือ คิวอาร์โค้ด ใช้ Face Recognition ไปตัวแทนสแกนหน้า อาจจะใช้โทรศัพท์ธรรมดา ไปจ่ายแล้วมีเอสเอ็มเอสวิ่งมา นี่คือสิ่งที่โอมิเซะมองอยากให้เกิดขึ้น เรามองว่ามูลค่าต่างๆ สามารถเดินทางไปไหนก็ได้ ลองคิดดูต่อไป ไปเที่ยวญี่ปุ่นไม่ต้องเอาเงินไทยไปซื้อเงินเยนแล้ว ไปแล้วใช้แอป คือสิ่งที่เราอยากทำให้เกิดขึ้น”
อีกข้อดีที่อิศราดรมองคือ เมื่อการจับจ่ายเป็นดิจิทัล จะทำให้เราสามารถเห็นข้อมูลจำนวนมาก ที่การใช้เงินสดอาจไม่เห็น ขณะเดียวกับก็ช่วยลดการหลอกลวงทางการเงิน การจี้ปล้น และเป็นช่องทางที่จะช่วยกระจายการลงทุนไปยังกลุ่มรากหญ้าได้ “สิ่งที่เราทำกันอยู่คือการต้องการคืนอำนาจให้กับทุกคน จะเป็นคนไหนก็ได้ในสังคม”
ทำความเข้าใจ ICO
อิศราดรให้ความเห็นเกี่ยวกับการทำ ICO (Initial Coin Offering) ที่ Omise Go ทำไปเมื่อเดือนมิถุนายนปีที่ผ่านมาว่า หลายองค์กรอาจจะมองว่าเป็นช่องทางในการะดมทุนแทนที่จะไประดมทุนตามปกติที่ต้องเสียหุ้นไป ซึ่งนั่นเป็นเพียงบางส่วนของ ICO
“เพราะการทำ ICO ก็ต้องเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เราจะนำเสนอ และเกี่ยวข้องกับบล็อกเชนด้วย ซึ่งมีหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกันอยู่ บางคนผมก็งงว่าโปรเจกต์แบบนี้ทำ ICO คือเขาคิดว่าการทำ ICO คือ Easy Money แต่จริงๆ ไม่ใช่ การทำ ICO คือการที่คนจะมาเชื่อถือเราได้มีหลายปัจจัยมากๆ ทั้งความน่าสนใจของโปรเจกต์ ความเป็นไปได้ของโปรเจกต์ ความมั่นคงของโปรเจกต์ ทีมที่จะมาทำ และเทคโนโลยีนี้บอกเลยว่า คนในโลกมีที่เป็นมืออาชีพไม่กี่คน ไม่ใช่สิ่งที่ใครนึกอยากจะทำก็ทำได้ คือปัจจุบันใช้คำว่าบล็อกเชนพร่ำเพรื่อเกินไป กลายเป็นว่า บางธุรกิจไม่จำเป็นต้องมีบล็อกเชนก็ได้ แต่พอบอกแล้วดูดี หรือสิ่งที่เขาพยายาม จะปรับใช้จริงๆ แล้วอาจจะไม่สามารถทำได้ก็ได้ คือผมบอกได้ว่าโปรเจกต์ ICO ส่วนใหญ่ก็เป็น Proof of Concept โพรดักส์จริงๆ ยังไม่มี ซึ่งก็เป็นช่องทางให้มิจฉาชีพออกมา มีการทำ ICO แบบหลอกเงินคน ทำให้คนทำ ICO จริงๆ มีโปรเจกต์จริงๆ ก็ลำบาก
ฉะนั้น ก็คล้ายๆ เวลามี IPO ต้องอ่านเอกสารดีๆ ลักษณะเดียวกัน การจะลงทุนในตลาดนี้ก็ต้องหาความรู้พอสมควร ไม่ใช่ว่าพอบอก ICO นี่ได้เงินคืนแน่ๆ
โอมิเซะก็มีกลุ่มที่เราปรึกษาหารือ ว่าจะทำอย่างไรให้คอมมูนิตี้ของเราเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น และพยายามปกป้องคอมมูนิตี้จากคนที่คิดไม่ดี ทำให้เราเสียภาพพจน์ เราทำงานร่วมกับ Ethereum Foundation ค่อนข้างใกล้ชิด เพื่อปกป้องชุมชนหรือมีอะไรให้ชุมชน เพราะบล็อกเชน เราไม่สามารถยืนกระต่ายขาเดียวทำ ต้องมีเพื่อน บล็อกเชน หรือ Decentralized ยิ่งเราให้มากเรายิ่งได้มาก ถ้าเราคิดจะรวบคนเดียวไม่โต จะแตกต่างจากโลกธุรกิจที่ผ่านมา”
ว่าด้วยความเป็นผู้นำ
อิศราดรอธิบายวิธีการรักษาความเป็นผู้นำของบริษัทที่ตนเองและเพื่อนผู้ก่อตั้งโอมิเซะ (จุน ฮาเซกาวา) ชอบคือความท้าทายทำในสิ่งที่คนอื่นคิดว่าเป็นไปไม่ได้ ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ เมื่อเผชิญกับปัญหาต่างๆ การที่ไม่หยุดเรียนรู้ การรับฟังมุมมองจากคนในหลากหลายแวดวง การมีทีมที่เข้มแข็ง มีวัฒนธรรมและเป้าหมายในการทำงานแบบเดียวกัน มีความเชื่อในเป้าหมายของบริษัท
“ปัจจุบันเราเชื่อว่า ปลาที่เร็วกว่า กินปลาช้า ไม่ใช่ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ถ้าเราไม่พยายามสร้างนวัตกรรม หรือทำอะไรที่บ้าๆ ที่คนอื่นไม่คิดว่าจะทำได้ ถ้าเราชะล่าใจไปว่าฉันเจ๋งกว่าคนอื่น แล้วหยุดอยู่ที่เดิม เวลาเราวางแผน เราไม่ได้มองแค่ 1-2-3 step เราคิดไป step 20 เลยครับ ว่าจากตรงนี้จะพาเราไปถึง step 20 อย่างไรบ้าง นี่คือวิธีที่เราวางมาตลอด ระหว่างทางที่เราวางแผนไว้อาจจะเปลี่ยนไปก็ได้ แต่เราพร้อมไหมที่จะเปลี่ยน บางทีเดี๋ยวก็เจออะไร คนที่ออฟฟิศนี้จะตกใจบ่อย อะไรวะ เมื่ออาทิตย์ที่แล้วยังคุยอย่างนี้อยู่เลย แต่ไม่ใช่เราเปลี่ยนเป้า แต่วิธีในการไปหาระหว่างทางเราอาจเปลี่ยนได้ตลอด เป็นสิ่งที่ทำให้เราเติบโตมาอย่างก้าวกระโดด นอกจากนั้น เรายังมีผู้ใหญ่ และคนในวงการให้การสนับสนุน ต้องบอกเลย ถ้าไม่มีคนให้การสนับสนุน วีซี และ คอนเนกชันต่างๆ เราก็คงไม่มาถึงจุดนี้”
หากจะหาผู้รู้ในวงการ Cryptocurrency ปรมินทร์ อินโสม ผู้ก่อตั้งและร่วมพัฒนา Z Coin ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง บ.สตางค์ คอร์ปอเรชัน จำกัด และ TDAX เว็บซื้อขาย Cryptocurrency จัดว่าเป็นหนึ่งในคนไทยที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับระบบนิเวศของเงินตราดิจิทัลนี้ทั้งในฐานะผู้สร้างเหรียญกระดานซื้อขายแลกเปลี่ยนรวมถึงกระเป๋าสตางค์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อใช้จ่ายเงินอิเล็กทรอนิกส์
ปรมินทร์มองสถานการณ์ Crypto-currency ในช่วงปีที่ผ่านมาว่า การเกิดขึ้นของบิทคอยน์ฟิวเจอร์สส่งผลต่อความคิดของคนทั่วไปที่มีกับ Cryptocurrency “อย่างน้อยคนที่เป็นนักลงทุน ณ ปัจจุบัน จะละเลยเรื่องคริปโตไม่ได้ จะมาร่วมหรือดูห่างๆ ต่อไปก็ได้ ไม่ใช่สิ่งที่พูดว่าเป็นทิวลิป (Tulip Mania) เรียบร้อยแล้ว คนต้องศึกษามากขึ้น เข้าใจตัวเทคโนโลยีมากขึ้น นั่นหมายความว่าจะมีนักลงทุนหน้าใหม่ ทั้งมีประสบการณ์เทรดในตลาดอื่นๆ มาอยู่แล้วเข้ามาซื้อขายในตลาดนี้มากขึ้น ปีนี้น่าจะเห็นนักลงทุนเข้ามาในตลาดคริปโตมากขึ้น ICO ของคนไทยจะมากขึ้น เพราะมันเป็นช่องทางหนึ่งในการระดมทุนที่ไม่เสียหุ้น นั่นหมายความว่าบริษัทอาจจะได้เงินไปพัฒนาโปรแกรมหรือพัฒนาระบบของเขาด้วยเงินที่ถือว่าเยอะในระดับหนึ่ง”
อีกส่วนหนึ่งปรากฏการณ์นี้ทำให้เห็นโอกาสที่ TDAX จะสามารถเปิดตลาดบิทคอยน์ฟิวเจอร์สในประเทศไทยเพราะนั่นหมายความว่า เมื่อในต่างประเทศสามารถขึ้นมาและนักลงทุนไทยก็สามารถเข้าไปเลือกลงทุนได้ ทำให้เขาเห็นโอกาสที่ TDAX จะเปิดบิทคอยน์ฟิวเจอร์สในประเทศไทยก็มีเช่นกัน รวมถึงโอกาสของเหรียญอื่นๆ ด้วยเช่นกัน
“ในทางเทคนิคเราสามารถทำทุกเหรียญให้เป็นฟิวเจอร์ แม้กระทั่ง ICO ที่กำลังจะขึ้น ณ ปัจจุบัน ก็สามารถทำได้ด้วย แต่ประเด็นคือจะมีคนตอบรับในส่วนนี้หรือเปล่า ตอนนี้พวกผมกำลังตรวจสอบกันอยู่”
อีกเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อวงการนี้คือ การที่รัฐบาลเกาหลีใต้เข้ามาควบคุมการซื้อขาย Cryptocurrency เพิ่มขึ้น เนื่องจากมองว่าเป็นแหล่งที่สามารถใช้หลบเลี่ยงภาษี เหรียญสกุลเงินที่เน้นเรื่องความเป็นส่วนตัวเช่นเดียวกับ Z coin จึงถูกเพ่งเล็งเป็นพิเศษ “ทำให้โอกาสที่ Z coin จะสามารถเข้าไปในตลาดเกาหลีใต้ลดลง แต่ไม่ใช่ตัดโอกาส 100 เปอร์เซ็นต์ ต้องดูกันอีกยาว แต่เขาไม่มีนโยบายที่จะปิดกระดานซื้อขาย”
จากมาตรการของภาครัฐเกาหลีใต้ส่งผลให้กระบวนการทำ KYC ที่เข้มงวดมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อวงการ Crypto-currency ทั่วโลก เพราะภายหลังจากที่รัฐบาลจีนมีมาตรการควบคุมเหรียญสกุลเงินต่างๆ ทำให้นักลงทุนย้ายไปที่เกาหลีใต้และญี่ปุ่นจำนวนมาก
ปรมินทร์เห็นผลที่จะตามมาคือ Exchange ที่อยู่ในต่างประเทศจะขยายตัวออกไปนอกประเทศเพิ่มขึ้น เพื่อลดความเสี่ยง และนั่นหมายความว่าในอนาคตอันใกล้ ก็อาจจะเข้ามาในประเทศไทย โดยสามารถเลือกเป็นพาร์ตเนอร์กับตลาดที่มีอยู่แล้วหรือเปิดแข่งกันโดยตรงเลยก็ทำได้ เรื่องนี้ก็อาจส่งผลกระทบต่อ TDAX ที่เขาทำอยู่
“หมายความว่าตลาดตรงนี้จะเริ่มมีคู่แข่งเพิ่มขึ้นแล้ว แต่ว่าไม่ใช่แค่ในประเทศไทย เป็น Exchange ที่ค่อนข้างจะมั่นคงแล้วในต่างประเทศมาเปิดในไทยมากขึ้น จีนที่เราเข้าใจว่าจีนแบนไป ก็จะพยายามเข้ามาเปิด เกาหลีที่ได้รับผลกระทบจากรัฐบาลก็จะพยายามมาเปิด ญี่ปุ่นที่ตลาดค่อนข้างจะโตแล้ว ก็ต้องการมาเปิดในไทยเหมือนกัน กลายเป็นว่า ณ ปัจจุบัน ทุกเจ้าสนใจประเทศไทย แต่ประเด็นคือประเทศไทย ตลาดยังไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้น เราอาจจะเห็นว่า ปีนี้อาจจะมีตลาดเกิดขึ้น 5-6 แห่ง และคงมีการแข่งขันที่ค่อนข้างดุเดือด”
TDAX ที่ปรมินทร์ดูแลอยู่ก็มีแผนจะขยายตัวไปต่างประเทศเช่นกัน โดยเขาบอกว่า จะใช้วิธีไปร่วมกับพาร์ตเนอร์ในต่างประเทศ เพื่อเปิดตลาดเพิ่มเช่นกัน โดยมองประเทศในกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นเป้าหมาย
ปรมินทร์อธิบายว่า “เราก็ต้องรุกไปเหมือนกัน และรวมออเดอร์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดด้วยกัน วอลุ่มการเทรดก็จะเยอะขึ้น ถ้าเราแชร์สภาพคล่องกันแล้วราคาจะใกล้เคียงกัน นั่นเป็นทิศทางที่จะไปในปีนี้”
ในส่วนของกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์เขาบอกว่ายังไม่เห็นคู่แข่งในประเทศที่ชัดเจน เพราะตลาดประเทศไทยยังเล็ก ยังอยู่ในช่วงที่ต้องสร้างการรับรู้และสร้างการใช้จ่ายจริง ทั้งการชักชวนร้านค้าและผู้ใช้งานให้หันมาใช้เงินดิจิทัลผ่านกระเป๋าสตางค์อิเล็กทรอนิกส์ หากจะระดมทรัพยากรใส่ลงไปเพื่อสร้างตลาดอาจจะยังไม่คุ้มค่านัก การเตรียมพร้อมรอรับการเติบโตของตลาดจึงเป็นวิธีที่ Satang เลือกใช้
ความท้าทายที่รออยู่
ในฐานะของใหม่บนโลกใบนี้ Crypto-currency จึงยังมีความท้าทายรอคอยอยู่ ในเรื่องความเข้าใจและข้อโจมตีต่างๆ ที่ได้รับปรมินทร์มีมุมมองว่า “ปัจจุบันโลกเปลี่ยนไปเรื่อยๆ พื้นฐานมุมมองที่เขามีไม่ใช่ว่าผิด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าถูก 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะโลกไม่ได้มีด้านเดียว ผมมองว่าเป็นสิ่งที่ท้าทาย และสามารถพิสูจน์ได้ว่า สุดท้ายจะเป็นตามที่เขาว่าหรือเป็นตามที่เราคิด”
“ผมมองว่า ถ้าสั้นๆ ง่ายๆ คือ ณ ตอนนี้เรามองจากจุดที่เราอยู่และพยายามหาสิ่งที่ยึดโยงกับบิทคอยน์ แล้วพยายามเอาแนวคิดที่เราคุ้นเคยมาจับ และไม่มีตามแนวคิดนั้น แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่มีสิ่งที่จะมาเชื่อมโยงถ้าเรามองจาก 100 ปีข้างหน้ากลับมา ถ้าบิทคอยน์ประสบความสำเร็จแล้วอีก 100 ปีข้างหน้าเรามองกลับมาก็จะมีอะไรยึดโยงแล้ว เราจะสามารถเชื่อมจุดระหว่างกันได้ แต่ ณ ตอนนี้เรายังเชื่อมไม่ได้ ซึ่งคนที่อยู่ตอนนี้ไม่สามารถเชื่อมได้ ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่สามารถเชื่อมได้ในอนาคต ในส่วนนี้จะพัฒนาไปเรื่อยๆ ถึงจุดหนึ่ง น่าจะเป็นทฤษฎีที่ทุกคนยอมรับได้ แต่เราก็ต้องยอมรับว่าทฤษฎีอาจจะมีผิดอยู่ ยังไม่ได้เป็นกฎ”
ส่วนการมองว่า Cryptocurrency เป็นฟองสบู่ ปรมินทร์ก็ให้มุมมองว่า “เหมือนเรากำลังพูดถึง ฟองสบู่ด็อทคอม แต่อเมซอนก็ยังรอดมาได้ ถ้าเรามองว่าเป็นฟองสบู่แล้วเราไม่เข้าไปในตลาดเลยก็หมายความว่าเรากำลังพลาดโอกาสอะไรไป แต่แน่นอน ถ้ามองในมุมมองความเสี่ยงก็สูง แต่ถ้าเราเข้าไปแล้วเราซื้อหุ้นอเมซอนได้ ในความเสี่ยงก็มีโอกาสอยู่ ณ ปัจจุบัน Cryptocurrency ทั้งตลาด มีฟองสบู่ไหม ผมต้องยอมรับว่ามีจริง ในส่วนของ ICO จะเป็นตัวหลักเลย แต่ถ้ามองในมุมผมคือ ตัวนี้เป็นฟองสบู่แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้คนรู้จัก Cryptocurrency มากขึ้น แต่ก่อนไม่เคยมีคนรู้จัก Ethereum ไม่รู้จัก Smart Contract แต่ปัจจุบันทุกคนอยากลง ICO ทำให้ทุกคนรู้จัก Ethereum รู้จัก Smart Contract ทำให้ทุกคนเห็นว่า บล็อกเชนทำอะไรได้บ้างจาก ICO ที่เกิดขึ้น ทำให้กลายเป็นว่าต่อให้มันเป็นฟองสบู่ก็ตาม มันกำลังขับเคลื่อนความรับรู้ให้กับคน ให้รู้จักเทคโนโลยีนี้มากขึ้น”
ICO จึงเป็นทั้งโอกาสและความเสี่ยงที่วงการจะต้องจับตามอง ทั้งเรื่องการเป็นช่องให้เกิดภาวะฟองสบู่ในตลาดและการเป็นโอกาสให้กับคนทั่วไปได้ศึกษาเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังเหรียญเหล่านั้น
ปรมินทร์ให้คำแนะนำว่า Cryptocurrency “เป็นเทคโนโลยีที่เราเข้าไปเรียนรู้ได้ แต่ด้วยปริมาณเงินที่เรารับความเสี่ยงประเภทนี้ได้ ไม่ควรเป็นเงินที่กู้มาจากธนาคารแล้วเอามาลง เงินที่ผมมองว่าเป็นส่วนที่ทำให้เราเรียนรู้กับเทคโนโลยีไปได้”
เขามองว่าอีกสัก 5-6 ปี คนในสังคมจะมีความเข้าใจเรื่องนี้เพิ่มขึ้น รู้ว่าเทคโนโลยีต่างๆ นำไปใช้งานได้อย่างไร แม้ภาครัฐจะมีมาตรการออกมาห้าม เทคโนโลยีเหล่านี้ก็จะไปเติบโตในประเทศที่ไม่ห้ามได้
เมื่อถามว่าในการทำงานของเขามีปัญหาอะไรที่รอการแก้อยู่ เขาเริ่มด้วยเรื่องบุคลากร เพราะตามแผนงานที่วางไว้ทั้งการขยาย TDAX ไปต่างประเทศ การพัฒนาเหรียญ Z coin ให้มีความเข้มแข็ง สามารถรองรับการเกิดขึ้นใหม่ของเหรียญใหม่ๆ ที่อาจจะมาเป็นคู่แข่งได้ จำเป็นต้องใช้คนเข้ามาทำงานเหล่านี้
เขาบอกว่าการพัฒนาบุคลากรด้านนี้ของประเทศไทยยังไม่เพียงพอ กำลังคน (ในประเทศ) ไม่เพียงพอ ต้องไปหาจากต่างประเทศ หรืออาจจะตั้งบริษัทที่ต่างประเทศเป็น outsource
อีกเรื่องที่เขาให้ความสนใจคือกฎเกณฑ์ของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องยังไม่มีความชัดเจน “นั่นคือเราทำงานอยู่บนความเสี่ยง ถ้าเปิด exchange ไปแล้ววันดีคืนดีบอกว่าต้องปิดหมด นั่นคือทำไปเยอะแล้ว ถ้าจะแบนก็แบนแต่ทีแรกจะได้ไม่ต้องทำ จะให้เปิดก็บอกตั้งแต่ทีแรกจะได้ทุ่มเต็มที่ เรื่องกฎเกณฑ์ก็เป็นความเสี่ยงที่เราเอามาใส่ไว้ในลิสต์ด้วย”
ว่าด้วยความเป็นผู้นำ
ปรมินทร์มองว่าการจะรักษาความเป็นผู้นำในวงการ Cryptocurrency ได้จะต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญคือ “หนึ่ง ทางด้านเทคนิคเราต้องแม่นก่อน คือจะทำให้เรารู้ว่าอันไหนควรให้ความสนใจอันไหนที่ควรผ่านไม่ไปตามกระแส และความปลอดภัย ทำแบบไหนปลอดภัย แบบไหนไม่ปลอดภัย เป็นเรื่องเทคนิคล้วนๆ ต่อมาคือเรื่องโอเปอเรชัน ทำอย่างไรให้ลูกค้า มาใช้งานแล้วพอใจ อยู่กับเราต่อไป หลังจากที่เขามั่นใจในเทคนิคแล้ว ตรงนี้เป็นความท้าทายที่ค่อนข้างหนัก โอเปอเรชันในที่นี้ก็รวมไปถึงเรื่องภาษีด้วย เพราะยังไม่มีความแน่นอน พวกผมก็พยายามเซฟตัวเองเหมือนกัน คือทั้งโอเปอเรชันและเทคนิคเป็นสองส่วนรวมกัน จะเป็นผู้นำต้องรักษา 2 เรื่องนี้ให้ได้ ซึ่งผมเห็นคนที่ล้มเหลวเรื่องเทคนิคก็เยอะแต่บริหารได้เพราะเขาบริหารอย่างอื่นมาก่อน สุดท้ายก็ไปไม่ได้ แต่ถ้าโอเปอเรชันติดก็ไปไม่ได้อยู่ดี”
ทิ้งท้ายด้วยมุมมองของคนรุ่นใหม่อย่างปรมินทร์กับผู้นำในสังคมไทยที่เขามอง เขาบอกว่า “อย่างน้อยต้องเปิดใจรับ เปิดใจศึกษาเทคโนโลยีใหม่ๆ ไม่ยึดติดกับความสำเร็จเดิมๆ พร้อมจะอยู่ในสถานะที่เป็นคนไม่รู้อะไรเลยแล้วฟังจากหลายๆ ด้าน และสุดท้ายคือเขาต้องมีความคิดเป็นของตัวเองด้วยหลังจากที่ได้ฟังมามากแล้ว”
ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการบดี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) มองปรากฏการณ์ที่ส่งผลต่อการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาบุคลากรของประเทศไทยให้พร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงบนโลกใบนี้ว่า
จากการที่อัตราการเกิดของประเทศไทยต่ำลงส่งผลถึงมหาวิทยาลัย เห็นได้ชัดเจนจากจำนวนผู้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยหลายแห่งลดลง ขณะเดียวกันการเติบโตของโรงเรียนนานาชาติก็สะท้อนให้เห็นค่านิยมของผู้ปกครองไทยที่ตัดสินใจส่งบุตรหลานเข้าเรียนหลักสูตรนานาชาติ ลดความไว้วางใจกับระบบการศึกษาของไทยลง และอีกกระแสหนึ่งที่เกิดขึ้นมา คือการเรียนการสอนออนไลน์แบบไร้พรมแดนที่มีให้เห็นชัดเจนเพิ่มมากขึ้น จนส่งผลต่อความคิดเห็นของคนต่อการคงอยู่ของสถาบันการศึกษาที่เคยมีมา
จากความท้าทายทั้ง 3 ด้านข้างต้น ศ.ดร.สุชัชวีร์ มองว่าการเปลี่ยนแปลงด้านประชากรส่งผลรุนแรงมากต่อมหาวิทยาลัยโดยเฉพาะมหาวิทยาลัยเอกชนและผลกระทบนี้จะส่งผลต่อเนื่องไปทั้งวงการต่อไป โดยหนทางแก้ไขที่เขามองในฐานะที่สวมหมวกประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทยอีกตำแหน่งหนึ่ง คือ การเน้นคุณภาพ
“หลักสูตรที่ไม่มีคนเรียนก็จะต้องปิดหรือปรับปรุงใหม่เพื่อดึงดูดคน มหาวิทยาลัยจะเน้นปริมาณไม่ได้แล้ว ต้องเน้นคุณภาพจริงๆ สองลูกค้า ต้องลูกค้าต่างประเทศแล้ว เดี๋ยวนี้ก็มีคนจีนมาเรียน CLMV แอฟริกา หรือต่างประเทศที่สนใจประเทศไทย เขาสนใจไทยเพราะราคาถูกและมหาวิทยาลัยชั้นนำของเขาจำกัด”
ในเรื่องความนิยมหลักสูตรนานาชาติก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนหลักสูตรโดยจะต้องเร่งจัดทำโดยเร็ว ให้ตอบรับกับกระแสความต้องการที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการปรับกฎระเบียบให้สอดคล้องกับกระแสการเรียนออนไลน์ที่กำลังแรงขึ้น เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเข้าถึงบทเรียนดีๆ ทั่วโลกได้ โดยได้รับปริญญาจากการเรียนนั้น
“ยังไม่มีออนไลน์ที่ให้ปริญญา ออนไลน์ควรให้ปริญญาได้ด้วย คนไทยให้คุณค่ากับปริญญา ดังนั้น ถ้าจะดึงดูดให้ออนไลน์ ก็ต้องให้ปริญญาเขา 3 เรื่องนี้ ในเมื่อครูที่เก่งที่สุดในโลกอยู่ที่ MIT อยู่ที่คาร์เนกี้ เมลลอน อยู่ที่ฮาเวิร์ด ทำไมจะเรียนกับเขาไม่ได้ อินเทอร์เน็ตเราก็เร็วแล้ว แต่พอเรียนกับเขากลับบอกว่าไม่ให้หน่วยกิต แล้วใครจะเรียน เพราะสุดท้ายคนก็เลือกปริญญา”
ในส่วนของ สจล. การรับมือกับความท้าทายทั้ง 3 ประการมีการเตรียมการไว้ โดยในด้านคุณภาพเป็นนโยบายที่จะมุ่งเน้นคุณภาพด้านการศึกษา หลักสูตรจะต้องอ้างอิงกับมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของโลก อาจารย์ต้องจบจากต่างประเทศหรือหากจบในประเทศก็ต้องผ่านการสอบภาษาอังกฤษ และต้องมีผลงานวิจัยเป็นที่ประจักษ์ มีการประเมินการเรียนการสอนทุกปี
ด้านความเป็นนานาชาติ ก็มีนโยบายที่จะให้ สจล. มีหลักสูตรนานาชาติมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ภายในเวลา 2 ปี และบางคณะเช่นวิศวกรรมศาสตร์ จะต้องเป็นนานาชาติ 100 เปอร์เซ็นต์ เพื่อเพิ่มความสามารถในการผลิตบัณฑิตที่แข่งขันได้ในตลาดโลก
ด้านการเรียนรู้ออนไลน์ สจล.ร่วมมือกับหัวเหว่ยพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์เน็ตเวิร์กที่หัวเหว่ยบอกว่าดีที่สุดในโลก และมีการตั้งคณะกรรมการดิจิทัลยูนิเวอร์ซิตี้ใน สจล. เพื่อทำการเรียนการสอนออนไลน์ Open Courseware ที่เปิดกว้างให้ทุกคนสามารถเข้ามาเรียนรู้ และอยู่ระหว่างการหารือกับสำนักงานการอุดมศึกษา (สกอ.) เรื่องการให้ปริญญาจากการเรียนออนไลน์
ทั้งหมดนี้สอดคล้องกับเป้าหมายของ สจล. ที่วางไว้ว่า จะเป็นมหาวิทยาลัยที่เข้มแข็งทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สามารถนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปต่อยอด เพื่อยกระดับประเทศไทย ตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0
ศ.ดร.สุชัชวีร์กล่าวถึงกลยุทธ์ของ สจล.ว่า “ที่เอาแพทย์กับวิศวะมาเย็บติดกัน เป็นแพทย์วิจัย แพทย์นวัตกรรมเพื่อสร้างองค์ความรู้และพึ่งพาตนเองได้ เอามาต่อยอด เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีทางด้านดนตรีไปไกลมาก สจล.ก็เปิด วิทยาลัยวิศวกรรมสังคีต เรียนวิศวกรรมดนตรี เด็กที่รักดนตรีแต่เก่งคณิตศาสตร์ก็มาเรียนได้ ทางด้านการบิน นักบินขาดแคลน ทางสจล. ก็เปิดวิทยาลัยอุตสาหกรรมการบินนานาชาติ หรือ IAAI ผลิตนักบินที่มีความรู้ทางด้านวิศวกรรมอากาศยานและการซ่อมบำรุง เอาจุดแข็งขยาย และสุดท้ายคือ ร่วมมือกับคนที่เก่งที่สุดในโลก เราอยากจะสู้กับสิงคโปร์ คิดเองเออเองไม่ได้ ต้องเอาคนที่เก่งกว่าสิงคโปร์มาร่วมกับเรา เอาคนที่ 1 ของโลกมาช่วย นี่คือกลยุทธ์”
กลยุทธ์ที่ สจล. วางไว้ ไม่สามารถทำสำเร็จได้โดยง่าย ดังนั้นวิธีการในการไปให้ถึงเป้าหมาย ศ.ดร.สุชัชวีร์ จึงใช้วิธีการเชื่อมโยงกับเครือข่ายสถาบันการศึกษาระดับโลก เพื่อผลักดันคุณภาพมาตรฐานการศึกษาและงานวิจัยของ สจล. ให้ก้าวสู่ระดับโลกดังที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้
อธิการบดี สจล. ยกตัวอย่างการทำงานวิจัยว่า “เราต้องการทำให้เป็นระดับโลกให้ได้ ส่วนใหญ่เป็นงานวิจัยตีพิมพ์ในประเทศ งานวิจัยที่เป็นการประชุมวิชาการ แต่มีระดับวารสารวิชาการระดับโลกยังไม่มากเท่าที่ควร เราจะเน้นคุณภาพ แล้วจะทำได้อย่างไร ก็คบกับคนที่เก่งที่สุดในโลก ทำงานร่วมกัน ก็เข้าได้ ทำคนเดียวก็เข้าไม่ได้ เพราะเขาไม่รู้ว่านี่คือใคร อาจารย์คนนี้คือใคร เอาคนที่เก่งที่สุดมาช่วยเทรนคนของเรา ร่วมงานวิจัยกับเขา อย่างนี้ได้ ไม่ใช่แค่งานวิจัยหลักสูตรเขาทันสมัยกว่าเรามากเป็นสิบปี ไปคิดเองเออเองไม่ได้ เพราะโลกหักศอกแล้ว หากอยู่เฉยๆ ก็สูญพันธุ์ไปเลย”
ทั้งหมดนั้นเพื่อสร้างผู้นำไทย ที่ ศ.ดร.สุชัชวีร์ ให้นิยามผู้นำสำหรับประเทศไทยว่า ต้องมีทักษะด้านภาษา มีความเข้าใจในเทคโนโลยีต่างๆ และรู้จักการให้
“ผู้นำไทยยุคนี้ต้องเป็นอย่างนี้ อยู่บนเวทีต้องฉะฉาน อาจจะสำเนียงไม่เท่าเขาแต่ฉะฉาน สอง เข้าใจเทคโนโลยี พูดเรื่องบิ๊กเดต้ารู้เรื่อง พูดเรื่องเศรษฐกิจยุคใหม่เป็นอย่างไร พูดได้ พูดเรื่องโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ได้ คือคนที่เป็นนักเรียนที่เรียนดีจะดูดซับเรื่องพวกนี้ได้ง่าย และสุดท้ายคือรู้จักการให้ ไม่ทิ้งคนไว้เบื้องหลัง สร้างความเท่าเทียม ความเป็นธรรม ถ้าสร้างไปได้ปีหนึ่งเป็นหมื่นเป็นแสนคน คิดดูประเทศไทยเปลี่ยนแน่นอน”
ประเด็นหนึ่งในการพูดคุยกับ ศ.ดร.สุชัชวีร์คือการถ่ายทอดและการ-คิดค้นเทคโนโลยี ศ.ดร.สุชัชวีร์มองว่า มหาวิทยาลัยคือจุดที่ดีที่สุดในการรับการถ่ายทอดเทคโนโลยี ไม่ใช่ภาคเอกชน “คนที่จะดูดซับเทคโนโลยีได้ทุกที่ (ประเทศ) คือมหาวิทยาลัย ไปให้เอกชน เขาก็ต้องปั๊มเอาเงินก่อน มหาวิทยาลัย อาจารย์ต้องตีพิมพ์ ถ้าไม่เรียนรู้ก็ไม่ได้ผลงานไม่ได้เป็นศาสตราจารย์ มีแรงจูงใจโดยธรรมชาติของความเป็นมหาวิทยาลัย และเด็กต้องไปดูดซับ ถ้าไม่ดูดซับก็เขียนปริญญานิพนธ์ไม่ได้ แต่รัฐไม่เคยเข้าใจ จนวันนี้ที่จะเริ่มดีขึ้น คนที่ดูดซับได้ดีสุดคือมหาวิทยาลัยเพราะถูกบังคับโดยธรรมชาติ และมีผลประโยชน์โดยธรรมชาติ ญี่ปุ่นจีนทำอย่างนี้ทั้งนั้น”
ขณะเดียวกันการจะกระตุ้นให้คนไทยที่มีความสามารถมากมายเป็นที่ยอมรับในแล็ปทั่วโลก ผลิตผลงานวิจัยที่สามารถนำมาใช้ได้จริงได้ ความเชื่อ เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ต้องเร่งสร้าง
“ต้องเริ่มด้วยความเชื่อก่อนว่าเราทำได้ คนไทยกับรัฐไม่เชื่อว่าคนไทยทำได้ ซื้อวันนี้ถูกกว่าของดีกว่าทำเองอยู่แล้ว ตอนผมเด็กๆ อายุ 4 ขวบผมไปซื้อถ่านไฟฉายมา 3 ก้อนเอาหนังสือพิมพ์พันเอายางรัดแล้วไปซื้อหลอดไฟมาติด ทำไฟฉายเอง มันน่าเกลียดมาก พ่อผมบอกว่าไงรู้ไหม เอ้เก่งจังเลย ลูกทำได้อย่างไร เก่งมาก แล้วพ่อผมเอาไปใช้ ก็ตลกมาก มันห่วยมาก ไฟฉายนั้นสร้างศาสตราจารย์ที่อายุน้อยที่สุดในเมืองไทย สร้างคนที่เข้าเอ็มไอทีได้ ผมทำบัดกรีไฟจะไหม้บ้านหลายรอบ ทำเสียงนกเสียงกาไปติดไว้ตามโอ่งพอน้ำเต็มแล้วมันร้อง แล้วพ่อจะเปิดเข้าไปทีมีเสียงอะไรอย่างนี้ พ่อผมไม่เคยรำคาญ ผมเลยมาเป็นศาสตราจารย์ เพราะพ่อผมเชื่อ พ่อผมคือรัฐ ไฟฉายทุเรศไหม แถมแพงกว่าที่พ่อจะไปซื้อ ใช้งานก็ห่วย”
ภาครัฐจึงต้องให้ความเชื่อถือกับ ผลงานของนักวิทยาศาสตร์นักประดิษฐ์ของไทยเพื่อเป็นแรงจูงใจให้เกิดการสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่อง และพัฒนากลายเป็นผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีของประเทศไทยเอง
“อันแรกมันห่วย มันแพงอยู่แล้ว แต่ทำให้เกิดสิ่งต่อไป ทุกคนผ่านอย่างนี้มาหมด ญี่ปุ่น เกาหลี จีน แต่รัฐต้องเป็นผู้ซื้อ เป็นผู้รองรับก่อน ยกตัวอย่างเครื่องมือแพทย์ ผมไปทำรากฟันเทียมมา 100,000 บาท มี 3 ชิ้น ทำที่เยอรมนีกับสวิส คนแก่เมืองไทยเป็นล้านคนต้องใช้รากฟันเทียมหลายล้านซี่ ทำเองซี่แรกก็ห่วย ซี่ที่ล้านจะสมบูรณ์แบบไหม แต่ไม่ถึงซี่ที่ล้านเสียที เพราะรัฐไม่ยอมซื้อ ซี่ที่ร้อยที่พันก็บอกว่าไม่เอาแล้ว เหมือนคุณเลี้ยงลูก ต้องปั้นเขา เชื่อว่าเขาทำได้ คนไทยฉลาดอยู่แล้ว มีพรสวรรค์แต่คุณเป็นพ่อแม่ คุณปล่อยให้เขาไปทำเองไม่ได้”
ศ.ดร.สุชัชวีร์มองปัจจัยที่ทำให้ สจล. รักษาความเป็นผู้นำด้านการศึกษาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีว่า ประกอบด้วย ความกล้าคิด กล้าเปลี่ยนแปลง กล้าทดลองทำสิ่งใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์การสร้างผู้นำ “กล้าใช้คนจากต่างประเทศ กล้าให้ราคาแพงๆ กล้าให้เด็กรุ่นใหม่ มาเป็นผู้บริหาร ให้เด็กใหม่เป็นผู้เจรจา กล้าให้ทุนไปทำอะไรต่างๆ”
สิ่งที่สังคมจะเห็นได้จากผลผลิตของ สจล. คือทักษะของบัณฑิตที่ผลิตออกไป มีความสามารถด้านภาษา มีความเป็นผู้นำ มีแนวคิดใหม่ๆ มีหลักสูตรใหม่ๆ ที่ตอบรับความต้องการของประเทศ เพราะนักศึกษาได้เห็นตัวอย่างจากในสถาบัน “นักศึกษาที่นี่ เห็นอะไรใหม่ๆ ขึ้นมา ได้เห็นอธิการพูด ที่นี่นักศึกษาใหม่ทุกคนอธิการต้องบรรยาย วิชา I love KMITL เขาเห็นอธิการพูดแบบนี้ ดุดัน กล้าเปลี่ยนแปลง ก็อยากเป็นแบบพี่เอ้ ชัดเจน”
ศ.ดร.สุชัชวีร์ มองว่า สำหรับวงการการศึกษาของประเทศไทย การได้เริ่มลงมือทำ จัดได้ว่าเป็นการบรรลุเป้าหมายไปขั้นหนึ่งแล้ว การได้เริ่มเปลี่ยนแปลง เริ่มลงมือทำจึงเป็นความสำเร็จขั้นต้นสำหรับวงการศึกษาไทยที่จะเห็นได้ชัดเจน
คำว่า ‘เซ็กซี่’ เมื่อนำมาใช้กับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อาจจะฟังแล้วไม่คุ้นหู แต่เมื่อฟังคำอธิบายของ รศ.เกศินี วิฑูรชาติ อธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(มธ.) ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการเมื่อต้นปี 2561 ที่ผ่านมา ก็ทำให้เห็นสิ่งที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้กำลังจะเดินหน้าไปตามแนวคิดของผู้นำหญิงท่านนี้
เพราะเซ็กซี่ตามความหมายของ รศ.เกศินี แปลได้ว่า “ที่กระตุ้นความสนใจ น่าตื่นเต้น หรือน่าสนใจ” เป็นการจัดการการศึกษาที่ต้องติดตามในช่วงเวลาที่วงการการศึกษาไทยกำลังเผชิญกับความท้าทาย ทั้งเรื่องเทคโนโลยีดิจิทัลที่แทรกซึมเข้าไปอยู่ในวงการต่างๆ มีความชัดเจนจนทุกภาคส่วนต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับดิจิทัลเทคโนโลยีเหล่านี้ รวมถึงวงการศึกษาในฐานะแหล่งผลิตบุคลากรเข้าสู่สังคมด้วย
การที่วงการศึกษาแคบลง ในความหมายนี้คือ นักศึกษาให้ความสำคัญ และมีการแลกเปลี่ยนไปศึกษาดูงานและฝึกงานในรูปแบบต่างๆ ในต่างประเทศอย่างหลากหลายมากขึ้น และอีกเรื่องคือพฤติกรรมของคนในแต่ละเจเนอเรชันที่มีความต้องการแตกต่างกันไป คนรุ่นใหม่มีแนวคิดในการเรียนและการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ที่ประชากรวัยเรียนลดลง ขณะที่ผู้สูงอายุมีจำนวนเพิ่มขึ้น
พื้นฐานที่เปลี่ยนแปลงไปเหล่านี้คือโจทย์ที่วงการศึกษาต้องปรับตัวเพื่อรับมือ
อธิการบดี มธ. มองว่า เทคโนโลยีดิจิทัลคือความท้าทายในการผลิตบัณฑิตที่มีความรู้เท่าทันเทคโนโลยี สามารถผลิตหรือใช้งานเทคโนโลยีต่างๆ ได้ มีพื้นความรู้ที่หลากหลาย เพื่อให้สามารถอยู่ได้ในโลกแห่งความเป็นจริง
“นอกจากความรู้พื้นฐาน Digital Literacy แล้วคนในศตวรรษที่ 21 ต้องมีความสามารถคิด วิเคราะห์ แก้ปัญหา และมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ก็จะเป็นพื้นฐานที่จะช่วยเขาไม่ว่าอยู่อาชีพอะไรก็สามารถทำงานได้ เป็นนักคิดนักเขียน นักกำกับ นักการตลาดที่ไม่เหมือนใคร ก็เป็นเรื่องที่สำคัญ เรื่องความเป็นผู้ประกอบการ อาจารย์มองว่าทุกคนต้องมี Entrepreneurial Spirit มีจิตวิญญาณความคิดของความเป็นผู้ประกอบการไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ประกอบการเองหรือไม่ก็ตาม เป็นลูกจ้างเขาก็ต้องมีจิตวิญญาณนี้ จะทำให้คนเขาอยากได้เรา เพราะคนที่มีคือคนที่ทำอะไร มีการวางแผน สู้งาน กล้าตัดสินใจ กล้าเสี่ยงในสถานการณ์ต่างๆ ที่วิเคราะห์แล้ว ก็เลยเสนอหลักสูตรว่า เราจะมีไมเนอร์ทางด้านความเป็นผู้ประกอบการให้เด็กทุกคนที่เข้ามาเรียนธรรมศาสตร์ได้มีโอกาสเลือกเรียนวิชาความเป็นผู้ประกอบการ”
ในส่วนของหลักสูตรที่จะช่วยสร้างพื้นฐานความรู้ที่หลากหลาย อธิการบดี มธ. เล่าว่ามีการออกแบบหลักสูตรให้นักศึกษาสามารถเลือกเรียนข้ามคณะได้ เช่นเปิดโอกาสให้เรียนเป็น 2 วิชาเอก หรือ 1 วิชาเอก 2 วิชาโท เพื่อให้บัณฑิตสามารถเลือกความหลากหลายได้ด้วยตัวเอง รวมทั้งวิชาของแต่ละคณะจะมีการ บูรณาการกันมากขึ้น ในบางวิชามีการเชิญผู้ประกอบการมาร่วมออกแบบหลักสูตรร่วมกับทางมหาวิทยาลัย เพื่อผลิตบุคลากรที่มีความสามารถออกไปทำงานได้จริง มีพื้นฐานการคิดวิเคราะห์ ปลูกฝังทักษะในการคิด วิเคราะห์และค้นคว้า ซึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญสำหรับคนยุคนี้ ปรับรูปแบบการเรียนการสอนจากการบรรยายเป็นหลักสู่การเรียนแบบ Active Learning ที่ผู้เรียนจะได้มีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นอภิปรายและปฏิบัติในห้องเรียนเพิ่มขึ้น
รศ.เกศินีชี้ว่า การปรับรูปแบบการเรียนรู้ ก็เพื่อรองรับคนเก่งยุคใหม่ที่มีช่องทางในการเรียนรู้ด้วยตัวเองอยู่มากมาย แต่การเรียนรู้ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จะทำให้ผู้เรียนได้เรียนและฝึกฝนทักษะต่างๆ ไปพร้อมกัน ด้วยการจัดระบบการเรียนการสอน มีหลักสูตรที่แลกเปลี่ยนไปศึกษาในต่างประเทศ มีการบูรณาการรายวิชาต่างๆ การเรียนการสอนที่สอดแทรกความสนุกสนาน การให้ข้อมูลว่าสิ่งที่เรียนอยู่นั้นสามารถนำไปใช้งานได้อย่างไรในชีวิตประจำวัน ประกอบกับค่านิยมของสังคมไทยเรื่องใบปริญญายังเป็นสิ่งที่พ่อแม่ผู้ปกครองส่วนใหญ่ให้ความสนใจ จะช่วยดึงดูดให้ผู้เรียนสนใจวิชาที่เรียนในมหาวิทยาลัย
“ด้านหนึ่งต้องทำให้เขาเข้าใจ อีกด้านก็ต้องทำให้วิธีการเรียนการสอนสนุก แล้วเด็กน้อยลงเรายิ่งต้องหาทางทำให้เขาอยู่กับเรา แต่ก่อนเราคิดว่าเป็นหน้าที่เขาที่ต้องมาเรียน เดี๋ยวนี้คิดว่าเป็นหน้าที่เรา ที่ทำให้เขาอยากมาเรียน เพราะเขามีช่องทางเรียนเยอะแยะ แต่ทำอย่างไรให้เขาอยากมาเรียนกับเรา อยากพัฒนาตัวเองไปในทิศทางที่เราคิดว่าดีกับเขา คือเด็กอย่างไรก็มีความคิดเป็นเด็ก ยังมองไม่รอบด้าน เราต้องช่วยเขา”
สิ่งที่มธ.กำลังพยายามสร้าง คือ การเรียนการสอนที่อิงกับความเป็นจริง สร้างพื้นฐานให้กับนักศึกษาสามารถนำองค์ความรู้ไปใช้ประโยชน์ในทางปฏิบัติได้ รู้ถึงจุดอ่อนและจุดแข็งของตัวเอง โดยมีการตั้ง ศูนย์ทดสอบสมรรถนะ Thammasat Competency Test Center เพื่อประเมินนักศึกษาตั้งแต่เข้าเรียนปีแรกจนจบการศึกษา
ในด้านการเรียนการสอนจะเน้นการให้ผู้เรียนได้ค้นคว้าหาความรู้ภายนอกเพิ่มขึ้น เพิ่มการพูดคุยอภิปรายในชั้นเรียน โดยอาจารย์จะทำหน้าที่ให้คำปรึกษาชี้ทาง และกดดันให้ผู้เรียนมีความมุ่งมั่นพัฒนาตัวเองไปตลอดที่เรียนในมหาวิทยาลัย
ปัจจุบัน มธ. มีการฝึกอบรมอาจารย์ทางด้าน Active Learning อย่างสม่ำเสมอ โดยอาจารย์รุ่นใหม่ทั้งหมดจะต้องเข้ารับการอบรม เพื่อสามารถเป็นแบบอย่างให้กับนักศึกษาในการเรียนการสอน ให้อาจารย์เป็นผู้กระตุ้นขับเคลื่อนนักศึกษา
อีกด้านหนึ่ง มธ. มีนโยบายสร้างโครงการช่วยเหลือชุมชน โดยให้ทุกคณะต้องเข้าไปช่วยเหลือชุมชนทั่วประเทศ เพื่อให้นักศึกษาและอาจารย์ได้เรียนรู้ความต้องการของชุมชน โดยร่วมมือกับภาคเอกชนที่จะเข้าไปช่วยเหลือชุมชนต่างๆ เป็นการเพิ่มพูนประสบการณ์ให้กับนักศึกษาและคณาจารย์ด้วยการได้สัมผัสกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในประเทศ เป็นส่วนเสริมการเรียนรู้และเพิ่มทักษะในการแก้ไขปัญหาต่างๆ เพื่อสร้างผู้นำ ดังที่ รศ.เกศินีกล่าวสรุปว่า “คนจะเป็นผู้นำต้องออกไปเรียนรู้ข้างนอก”
ขณะเดียวกัน มธ. มีการปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกให้ตอบรับความต้องการของคนรุ่นใหม่ เช่น มีการทำ Co-Working Space ที่หอสมุดป๋วย อึ๊งภากรณ์ ธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต และที่ชั้น 1 คณะพาณิชยศาสตร์ ธรรมศาสตร์ท่าพระจันทน์ โดยจะมีการเชิญคนที่น่าสนใจมาพูดคุยให้นักศึกษาฟังเป็นระยะ และมีเครื่องมือให้นักศึกษาสามารถทดลองทำสิ่งต่างๆ ได้ เป้าหมายคือให้นักศึกษามีพื้นที่สำหรับพบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็น สร้างความคิดและความร่วมมือระหว่างกันเพิ่มมากขึ้น
ความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้กำลังเกิดขึ้น และน่าจะเห็นได้ชัดเจนภายใน 2 ปีนี้ เพื่อสร้างคนที่มีคุณลักษณะ ตามวิสัยทัศน์ที่ต้องการจะสร้างผู้นำที่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีของสังคม ดังที่ รศ.เกศินีอธิบายว่า
“บัณฑิตธรรมศาสตร์ต้องมีคุณลักษณะที่เรียกว่า GREATS
G - Global Mindset รู้เรื่องในโลก ทันสังคม ไม่ใช่รู้แค่เรื่องในประเทศในบ้าน ต้องรู้ให้ทั่ว
R - Responsibility ต้องมีความ รับผิดชอบ คนที่ไม่มีความรับผิดชอบอย่างไรก็ไม่เจริญ รับผิดชอบต่อสังคม ต่อตัวเอง ต่อโลก
E - Eloquence คือการสื่อสารอย่างสร้างสรรค์และทรงพลัง ต้องรู้จักสื่อสาร เดี๋ยวนี้การสื่อสารสำคัญ ไม่ใช่พูดไม่รู้เรื่อง คนฟังเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ทำให้สื่อได้โน้มน้าวผู้คนได้ ไม่ทะเลาะกับคนอื่นด้วยวิธีการสื่อสาร เป็นหนึ่งใน 3 ทักษะของคนที่เป็นผู้นำ
A - Aesthetic Appreciation ต้องมีสุนทรียะ คนเราทำอะไรต้องมีสุนทรียะ เข้าใจความงาม คนเรียนธรรมศาสตร์สมัยก่อนต้องเรียนดนตรี ฟังดนตรี อาจารย์ให้ไปฟังคอนเสิร์ต คุณต้องรู้จักชื่นชมกับศิลปะ ผสมผสานสมองซีกซ้ายซีกขวา เข้าใจคนอื่นได้
T - Team Leader สามารถทำงานเป็นทีม ไม่เด่นคนเดียว เดี๋ยวนี้แทบทุกวิชาให้เด็กทำงานเป็นกลุ่มตลอด และมีการประเมินไปด้วย จะมาลอยตัวไม่ทำงานให้เพื่อนทำไม่ได้
S - Spirit of Thammasat คือให้มีจิตวิญญาณความเป็นธรรมศาสตร์ รับ ผิดชอบต่อสังคม ทำอะไรคิดถึงส่วนรวม ประชาธิปไตย เสรีภาพ ความเป็นธรรม”
อธิการบดี มธ. มองว่า ด้วยคุณลักษณะ GREAT ข้างต้น และการปลูกฝังแนวคิดการคิดถึงส่วนรวม จะช่วยสร้างผู้นำแห่งอนาคตให้กับสังคมไทย โดยการสร้างผู้นำจะต้อง “ปลูกฝังแต่เยาว์วัย มี Mindset ที่ดี มีความรับผิดชอบ ทำงานเป็นทีม มองประโยชน์ส่วนรวม คิดเรื่องประชาธิปไตย ความเป็นธรรม ใครๆ ก็อยากได้คนอย่างนี้ ถ้าใครไม่มีเรื่องเหล่านี้ภาพลักษณ์ก็ไม่ดี โอกาสที่ใครจะมาเลือกเป็นผู้นำคงจะยาก อีกอย่างการปลูกฝังคุณลักษณะที่ดีแบบนี้ ต้องปลูกฝังและพัฒนาไปเรื่อยๆ ให้งอกเงย”
ขณะเดียวกัน มธ. จะรักษาความเป็นผู้นำทางด้านการศึกษาได้ก็ด้วยการทำสิ่งต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้นให้เห็นเป็นรูปธรรม เมื่อบุคคลภายนอกได้สัมผัสกับผลผลิตของธรรมศาสตร์ไม่ว่าจะเป็นตัวบัณฑิต งานวิจัย รวมถึงได้ใช้งานบริการทางวิชาการด้านต่างๆ ก็จะบอกกันปากต่อปากจากประสบการณ์จริงที่ได้รับ ส่งผลต่อเนื่องถึงชื่อเสียงของสถาบัน
ทั้งหมดนั้นเพื่อสร้างธรรมศาสตร์ที่เซ็กซี่ดึงดูดทั้งผู้เรียน และรักษาความเป็นผู้นำด้านการศึกษา ดังที่รศ.เกศินีสรุปปิดท้ายว่า “สถาบันที่มีคุณภาพ ที่ใครๆ ก็อยากเข้ามาเรียน”
Thammasat Valley of Wellness เป็นหนึ่งในโครงการใหญ่ที่ธรรมศาสตร์ ศูนย์พัทยาซึ่ง รศ.เกศินีตั้งใจจะทำให้เห็นผล โดยจะเป็นการร่วมมือกันระหว่างคณะพาณิชยศาสตร์ แพทยศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ มีภาคเอกชนที่เข้ามาร่วมคือ ธ.กรุงเทพ ตามเป้าหมายที่วางไว้ไม่ใช่เป็นเพียงแค่จัดการเรียนการสอน แต่จะเป็นศูนย์ในการสร้างผู้ประกอบการ สร้างผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพด้านต่างๆ โดยจะมีห้องแล็บและ Co-Working Space และสวนพฤกษศาสตร์ด้านสมุนไพรที่ดีที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
โครงการนี้จะมามีส่วนช่วยให้ธรรมศาสตร์สามารถบรรลุเป้าหมายการสร้างสตาร์ตอัพปีละ 1,000 รายที่วางเอาไว้ โดยจะมีการคัดเลือกสตาร์ตอัพด้านสุขภาพจากทั่วโลกให้มาร่วมทำงานกันที่ธรรมศาสตร์ศูนย์พัทยา นอกจากนี้จะเป็นศูนย์ฝึกอบรมหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพ และจัดโปรแกรมดูแลสุขภาพสำหรับผู้สูงวัยในอนาคต
ศิริวรรณ คูอัมพร กรรมการผู้จัดการ บ.คอนติเนนทอล ไทร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เล่าถึงสถานการณ์ในวงการยางรถยนต์ โดยเฉพาะตลาดยางทดแทนว่า เป็นตลาดที่แข่งขันกันรุนแรงมาก เพราะมีผู้ผลิตที่สนใจเข้ามาใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตหลายราย ทั้งเพื่อจำหน่ายภายในประเทศและส่งออก
"ซัพพลายค่อนข้างล้นตลาดพอสมควร เพราะถึงจะส่งออกแต่เขาก็มีเป้าภายในประเทศด้วย ทุกบริษัทต้องมีเป้าเจริญเติบโตหมด ของแต่ละบริษัททุกคนตั้งเป้ากันตามความต้องการของแผนธุรกิจ แต่ในขณะที่ความเป็นจริง ความต้องการใช้ยางไม่ได้โตตามแผนธุรกิจที่แต่ละบริษัทตั้งไว้ มีเพิ่มผู้เล่นก็เข้ามาเยอะ ทุกค่ายต้องการเพิ่มแชร์ของแบรนด์ตัวเอง และความที่ตลาดประเทศไทยเป็นตลาดพรีเมียม หมายความว่าผู้ใช้มีความรู้เรื่องยางค่อนข้างลึกซึ้งมากกว่าตลาดอื่นๆ ผู้บริโภครู้ว่าตัวเองต้องการอะไร อย่างตอนนี้ก็จะมีเรื่องของความอ่อนไหวต่อวันที่ผลิต ดูสัปดาห์ที่ผลิต และอีกอย่างคือ ถ้าเรื่องยางรถยนต์ คนไทยชาตินิยมเหมือนกัน ผลิตในไทยอันดับหนึ่ง ผลิตในไทยเยี่ยมที่สุด”
คอนติเนนทอล แม้จะเป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงในระดับโลกมายาวนาน แต่สำหรับตลาดประเทศไทย จัดว่ายังเป็นน้องใหม่ที่เพิ่งเข้ามาทำตลาดไม่นานนัก ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงงานผลิตยางที่จังหวัดระยอง ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้ และสามารถผลิตยางเส้นแรกในประเทศไทยในต้นปี พ.ศ.2562 โดยมีเป้าหมายในการผลิตเพื่อส่งออกและอีกส่วนหนึ่งเพื่อตอบสนองตลาดในประเทศซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาที่มีในตลาดยางรถยนต์ประเทศไทยได้ในระดับหนึ่ง
ศิริวรรณมองการแข่งขันในตลาดยางทดแทนของประเทศไทย ว่ายังคงดุเดือด หลังจากปีที่ผ่านมา ช่วงต้นปีราคาวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตยางมีราคาสูงขึ้นส่งผลให้แต่ละค่ายต้องประกาศขึ้นราคาจำหน่าย แต่เนื่องจากสถานการณ์การแข่งขันที่รุนแรง ราคาที่ประกาศขึ้นส่วนใหญ่จึงถูกเปลี่ยนไปเป็นเครื่องมือทางการตลาดประเภทต่างๆ เพื่อรักษาส่วนแบ่งของตัวเองไว้ให้ได้ แม้ปัจจุบันราคาวัตถุดิบจะเริ่มกลับสู่ภาวะปกติแต่การแข่งขันก็ยังคงอยู่
ในฐานะบริษัทผู้ผลิตยางคุณภาพจากประเทศเยอรมนีที่ตั้งใจสร้างตลาดภายในประเทศไทย ปีนี้จึงเป็นจังหวะในการสร้างฐานการรับรู้เกี่ยวกับยางคอน-ติเนนทอลภายในประเทศให้เพิ่มมากขึ้น
ศิริวรรณเล่าว่า “เราก็คาดหวังจะโตแบบก้าวกระโดดในประเทศไทย ตอนนี้เราเริ่มวางแผนระยะไกลว่า ปีหน้า (2562)จะเริ่มโหมทำการตลาด ที่ยังไม่ทำปีนี้เพราะมองว่ายังเร็วเกินไป โรงงานเรายังไม่เสร็จ ถ้าโรงงานเราเสร็จก็จะเริ่มลงทุน เพราะการลงทุนด้านแบรนด์ต้องทำต่อเนื่อง คือทำแล้วหยุดไม่ได้”
การแข่งขันในตลาดยางทดแทนของประเทศไทย ในฐานะผู้จำหน่ายยางระดับพรีเมียม ศิริวรรณมองว่า ต้องใช้การตลาดมาสนับสนุน เพิ่อเจาะเข้าหาผู้บริโภค โดยพยายามที่จะรักษาสถานะราคาให้มีความเสถียรในตลาด เพราะไม่อยากจะใช้ราคาเป็นเครื่องมือในการแข่งขันในตลาดให้เสียโพสิชั่นของแบรนด์
“การทำ Price Positioning ต้องใช้เวลาพอสมควรและต้องใจแข็ง ไม่เอาราคาไปสู้” ศิริวรรณกล่าวและเล่าถึงตลาดยางต่อว่า
“ยางจวนจะเป็น FMCG (Fast-Moving Consumer Goods-สินค้าที่จำหน่ายเร็วและมีต้นทุนต่ำ) อยู่แล้ว ความสดใหม่ ความหลากหลาย มีให้เลือกจำนวนมาก อยู่ที่ใครจะเข้าไปครองใจผู้บริโภคได้เท่านั้น ยางรถยนต์ในตลาดก็เหมือนกับของบนชั้นในซูเปอร์มาร์เก็ต ผู้บริโภคจะเป็นคนเลือกเองเหมือนเวลาเราไปซื้อของ ยี่ห้อนี้เทียบกับยี่ห้อนี้ ราคาต่างกันเท่าไร การตัดสินใจของลูกค้าเริ่มมีความซับซ้อนมากขึ้น”
การสร้างความรับรู้ให้กับผู้บริโภคจึงเป็นอีกอาวุธหนึ่งที่คอนติเนนทอลเลือกใช้ ด้วยการไปเจรจากับดีลเลอร์ให้หันมาทำร้านคอนติเนนทอล อิมเมจ ช็อป ซึ่งเป็นร้านที่แต่งตามแนวคิดและเน้นขายยางของคอนติเนนทอล โดยตั้งเป้าเปิดตามหัวเมืองหลักให้ครบทั่วทุกภูมิภาค (ณ สิ้นเดือนมกราคม พ.ศ.2561 เริ่มเปิดดำเนินการไปแล้ว 2 แห่งที่นครราชสีมาและกรุงเทพ)
กรรมการผู้จัดการ คอนติเนนทอล ไทร์ส อธิบายว่า เพราะธรรมชาติของการขายยางรถยนต์ส่วนบุคคลกับรถบรรทุกมีความแตกต่างกัน สำหรับยางรถบรรทุกต้องขายที่เทคโนโลยี ความคุ้มทุน อายุการใช้งานที่ยาวนานเพราะเป็นเรื่องของการพาณิชย์ ขณะที่รถยนต์ส่วนตัว ความรู้สึกของผู้ใช้เป็นปัจจัยสำคัญ ความเงียบ ความนิ่ง เกาะถนน ระยะเบรกเป็นตัวอย่างของปัจจัยที่ผู้บริโภคเลือกใช้ยาง การเปิดคอนติเนนทอล อิมเมจ ช็อป ด้านหนึ่งจะได้ในเรื่องของการสร้างการรับรู้แบรนด์คอนติเนนทอล และอีกทางหนึ่งร้านเหล่านี้จะได้รับการสนับสนุนด้านการตลาดจากบริษัทฯ เป็นการช่วยกระตุ้นยอดขายยางคอนติเนนทอลอีกทางหนึ่งด้วย
ในส่วนของผลิตภัณฑ์ ปลายปีที่ผ่านมา คอนติเนนทอลออกผลิตภัณฑ์ใหม่มาหลายรุ่นเป็นการเปลี่ยนโฉมจากเจเนอเรชัน 5 สู่ เจเนอเรชัน 6 เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดได้ครบทุกเซกเมนต์
สิ่งที่คอนติเนนทอลนำเสนอให้กับ ผู้บริโภคคือ เทคโนโลยีจากประเทศเยอรมนีซึ่งได้รับการยอมรับจากทั่วโลกอยู่แล้วว่าเป็นประเทศที่มีเทคโนโลยีก้าวหน้าอันดับต้นๆ ของโลก “เราผลิตชิ้นส่วนรถยนต์เกือบทั้งคัน ในการทดสอบ การดีไซน์ สามารถออกแบบให้เอื้อกันได้ ล้อ ช่วงล่างต่างๆ ต่อเนื่องกันหมด รถจะเครื่องยนต์ดีขนาดไหน สุดท้ายก็ต้องมาพึ่งยางเพราะต้องวิ่งบนถนน ตัวเด่นๆ ของคอนติเนนทอล จะเป็นรุ่นสปอร์ตคอนแท็ก เราจะเรียกกันเองว่า ‘ยางเทพ’ แม้จะออกมาสักพักหนึ่งแล้ว แต่ไม่ว่าจะทดสอบที่สนามไหน ก็จะได้รางวัลมาตลอดเวลา คือในยางรถยนต์ไม่มียี่ห้อใดยี่ห้อหนึ่งมีจุดเด่นทุกด้าน แต่ของคอนติฯ เมื่อเทียบกับยี่ห้ออื่นเราจะอยู่ใกล้ๆ ท็อป พอรวมแล้วเป็นผู้นำเกือบทุกด้าน เพราะการดีไซน์ยาง จะเอาทุกอย่างเลยเป็นไปไม่ได้ ได้อย่างเสียอย่าง จะบอกว่าใครดีที่สุดไม่มี แต่ในองค์รวม สปอร์ตคอนแท็กถือว่าดีสุด”
และผลิตภัณฑ์ที่บริษัทนำมาจำหน่ายในปัจจุบันก็มีวิวัฒนาการทั้งด้านการออกแบบ การเก็บเสียง การรีดน้ำ ที่พัฒนาต่อมาจากยางสปอร์ตคอนแทก ศิริวรรณบอกว่า “เป็นอะไรที่คุ้มค่ามากๆ สำหรับเทคโนโลยีของยางเมื่อเทียบกับราคาเพราะว่า ณ ตอนนี้ แม้เราจะเป็นสินค้าพรีเมียม แต่คนก็ยังไม่รู้จักเรามาก ดังนั้นราคาที่เราตั้งจึงไม่ใช่ราคาที่สูงสมกับคุณสมบัติของยาง เพราะยังเป็นช่วงที่เริ่มทำการตลาด”
ศิริวรรณ เล่าถึงปรัชญาการทำงานของคอนติเนนทอล ว่ามีหลักการง่ายๆ คือมองในแง่ความเป็นมนุษย์ที่ทุกคนมีคุณค่าเท่าเทียมกันและอธิบายต่อว่า “Passion to Win เราต้องลุกขึ้นมาทุกวันมีความกระตือรือร้นที่จะทำงานให้ดีขึ้น Freedom to Act คือ เขาให้อิสระเราในการตัดสินใจหรือนำเสนอไอเดียค่อนข้างมาก For One Another คือ เราต้องไปด้วยกันเป็นทีมเวิร์ค Trust มีความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน”
เพราะผู้บริหารของคอนติเนนทอล มองว่า ยางเป็นธุรกิจของคน (Tyre is People Business) คนคือปัจจัยหลักในการตัดสินใจ ไม่ว่าจะเป็นคนขาย คนผลิต คนซื้อ ดังนั้นบริษัทจึงให้คุณค่ากับพนักงานค่อนข้างสูง เพื่อสร้างแรงขับเคลื่อนภายใต้กระบวนการทำงานที่มีอยู่
ในส่วนการเป็นผู้นำองค์กรศิริวรรณมองว่า การเป็นผู้นำต้องมีผู้ตาม โดยผู้ตามจะเป็นคนเลือกผู้นำ “เราต้องทำให้ผู้ตาม มาเลือกเราเป็นผู้นำ ดังนั้นสิ่งที่เราทำก็คือ ต้องทำตัวอย่างให้เห็น พยายามทำตัวอย่างให้ดีที่สุด เห็นเป้าหมายของบริษัทคืออะไร เรามีเป้าหมายเดียวกัน และทุกคนจะต้องซัพพอร์ตให้เราไปถึงเป้าหมายเดียวกันให้ได้ คือเราก็ต้องแสดงความจริงจังและจริงใจ ด้วย ต้องพิสูจน์ให้เห็น คือถ้าเขาเห็นเราเป็นตัวอย่างที่ดี เรามีความจริงจัง มีความจริงใจ เราก็จะมีคนตาม การที่เราเป็นผู้นำเราต้องเสียสละด้วย ต้องมีการให้อยู่ตลอดเวลา ต้องเห็นแก่ส่วนรวมมากกว่า ถ้าเขาเห็นเราทุ่มเท ไม่ได้เอาเปรียบ เอาประโยชน์จากการเป็นผู้บริหาร คนก็จะเกิดศรัทธา”
ดร.สุกิจ นิตินัย อธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ สถาบันที่มุ่งเน้นการผลิตบุคลกรด้านวิชาชีพป้อนตลาดแรงงานของประเทศ มองความท้าทายของการจัดการการศึกษาโดยเฉพาะในระดับอุดมศึกษายุคปัจจุบันว่า จำนวนนักศึกษาที่เข้าสู่มหาวิทยาลัยที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลกระทบต่อมหาวิทยาลัยทั้งของรัฐและเอกชน โดยสถาบันอุดมศึกษาเอกชนจะได้รับผลกระทบมากที่สุด บางแห่งต้องปิดหลักสูตรลงไป ขณะที่มหาวิทยาลัยของรัฐอาจจะต้องใช้เวลาระยะหนึ่งเพื่อปรับตัวตามกลไกที่มีอยู่
โครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนไปของประเทศไทย ทำให้เห็นว่า ผู้เรียนคือปัจจัยขับเคลื่อนการศึกษาในปัจจุบัน สิ่งที่สะท้อนให้เห็นคือหลักสูตรที่เปิดสอนในปัจจุบันบางหลักสูตรไม่ตรงตามความต้องการของผู้เรียน ซึ่งเป็นสิ่งที่สถาบันและคณาจารย์จะต้องนำไปพิจารณาว่าจะทำอย่างไรเพื่อสนองความต้องการของผู้เรียนรุ่นใหม่
“สมัยก่อนอาจจะพูดว่า อาจารย์อยากสอน มหาวิทยาลัยก็จะเปิดหลักสูตรตามที่อาจารย์อยากจะสอน สมัยก่อนทำได้เพราะนักศึกษามีจำนวนมาก สถาบันการศึกษามีจำนวนน้อย แต่ปัจจุบัน มหาวิทยาลัยมีมากขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งมหาวิทยาลัยเอกชน และจำนวนนักศึกษาลดลงเนื่องมาจากประชากรและนโยบายของรัฐบาลที่คุมกำเนิดเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ส่งผลกระทบถึงปัจจุบันที่จำนวนนักศึกษาที่จะเข้าสู่มหาวิทยาลัยลดลงไปอย่างเป็นนัยสำคัญ เราจะทำอย่างไร นักศึกษาเป็นคนเลือกสถานที่ที่จะเรียน เลือกวิชาที่เขาต้องการเรียน ความรู้ที่เขาต้องการรู้ มหาวิทยาลัยจะต้องปรับตัวตรงนี้จะทำอย่างไร”
ดร.สุกิจ มองในมุมของมหาวิทยาลัยราชมงคลว่า เป็นมหาวิทยาลัยด้านวิชาชีพซึ่งมีความแตกต่างจากมหาวิทยาลัยอื่นๆ จากตัวเลขการมีงานทำของบัณฑิตที่เรียนจบไปกว่า 85-90 เปอร์เซ็นต์ บ่งบอกได้ว่า กลุ่มมหาวิทยาลัยราชมงคลสามารถตอบสนองความต้องการของสถานประกอบการได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่อย่างไรก็ตามมีบางกลุ่มวิชาที่ได้รับผลกระทบเรื่องจำนวนนักศึกษาที่ลดลง เนื่องจากผู้เรียนให้ความสนใจในบางวิชาชีพลดลง
“เพราะเขาไม่รู้จัก ไม่เคยเห็นในสื่อ ในชีวิตประจำวัน วิชาชีพบางวิชาชีพเขาไม่รู้จัก เช่น วิชาชีพทางด้าน เทคโนโลยีเครื่องเรือน ชื่อเดิมคือ เคหะภัณฑ์ วิชาชีพนี้มีมาแต่แรก ซึ่งถ้าใช้คำว่าเคหะภัณฑ์กับนักศึกษาทุกวันนี้บอกได้เลยว่าไม่รู้จัก คืออะไร ไม่เลือกแน่นอน จนเราปรับเป็นเทคโนโลยีเครื่องเรือน เด็กรุ่นใหม่บางคนคำว่าเครื่องเรือนก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน บางคนคิดว่าเป็นหม้อหุงข้าว จาน ชาม ผมยังบอกไปว่า แล้วจะสื่ออย่างไร จริงๆ ก็คือเฟอร์นิเจอร์นั่นเอง พอบอกเฟอร์นิเจอร์เขาเข้าใจ เพราะทุกวันเขาต้องใช้อยู่แล้ว โต๊ะ เตียงตู้ เป็นสิ่งที่ผู้บริหารสถานศึกษาและอาจารย์ที่ดูแลต้องทำให้เขาเข้าใจว่าสิ่งที่จะเข้ามาเรียน วิชาชีพนี้มีอยู่ มหาวิทยาลัยของเรามี 52 หลักสูตร 52 วิชาชีพ เป็นวิชาชีพที่เขาต้องใช้ในชีวิตประจำวัน ที่เขาต้องเกี่ยวข้อง แต่เนื่องจากนักศึกษาไม่รู้ว่า วิชาชีพนี้เกี่ยวกับเขาตรงไหน ชื่ออาจจะไม่สื่อ เขาอาจจะไม่เห็น ตรงนี้ผมจึงมีนโยบายบอกไปยังผู้บริหารทุกหลักสูตรว่า ท่านจะต้องประชาสัมพันธ์ รวมถึงมหาวิทยาลัยจะช่วยด้วย ถ้าจำเป็นต้องเปลี่ยนชื่อให้เกิดความเข้าใจกับคนยุคใหม่ ท่านก็ต้องทำ มิฉะนั้นแล้วหลักสูตรของท่านก็จะต้องหายไป วิชาชีพไม่ได้หายไป เพียงแต่อาจจะเปลี่ยนรูปแบบ เปลี่ยนรูปแบบการพัฒนาการเรียนการสอนและพัฒนาวิชาชีพให้ตามทันเทคโนโลยีสมัยปัจจุบัน”
อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชมงคลกรุงเทพยกตัวอย่างการพัฒนาการเรียนการสอนในด้านหลักสูตร โดยยกเรื่องเฟอร์นิเจอร์ที่ปัจจุบันการใช้งานมีรูปแบบที่ปรับเปลี่ยนไป เช่นเครื่องเรือนไม่เพียงแต่มีประโยชน์ใช้งานตามหน้าที่เดิมหากยังต้องมาช่วยเสริมการใช้ชีวิตของผู้ที่ใช้งาน การที่เก้าอี้ตัวหนึ่งมีราคาตั้งแต่ 500 บาทถึง 50,000 บาท เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นความต้องการที่มีหลากหลายของมนุษย์ โต๊ะทำงานในยุคปัจจุบันก็ต้องปรับเปลี่ยนเป็นโต๊ะที่สามารถวางอุปกรณ์สนับสนุนเกี่ยวกับเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น
อีกตัวอย่างคือวิชาชีพการพิมพ์ ที่หลายคนมองว่า เป็นอาชีพที่ตายไปแล้วเพราะคนเลิกอ่านหนังสือในกระดาษ แต่ในความเป็นจริงแล้ว การพิมพ์ยังคงอยู่กับการใช้ชีวิตของมนุษย์ ตราบเท่าที่ยังมีการใช้สิ่งของที่จับต้องได้ การพิมพ์ยังอยู่กับบรรจุภัณฑ์กับสิ่งต่างๆ รอบตัว แสดงให้เห็นว่าวิชาชีพการพิมพ์ไม่ได้หายไปเพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบ
ที่มหาวิทยาลัยราชมงคลกรุงเทพจึงเร่งพัฒนาคณาจารย์ให้เข้าใจและพัฒนาความคิดด้านการพัฒนาวิชาชีพที่สอนให้เหมาะสมกับยุคสมัย ปรับเปลี่ยนไปตามเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป
“อย่าไปคิดว่าวิชาชีพของเราเปลี่ยนไม่ได้ สักวันหนึ่งจะช้าหรือเร็ว ท่านไม่รีบเปลี่ยนท่านถูกบังคับให้เปลี่ยนท่านจะต้องตามหลัง ท่านจะเปลี่ยนเป็นคนสุดท้ายหรือ นี่คือที่ราชมงคลกรุงเทพเราพยายาม ขณะนี้ก็เร่งพัฒนาอาจารย์ และพัฒนาผู้บริหารทุกระดับให้เข้าใจจุดนี้ว่ามหาวิทยาลัยจะพัฒนาและให้ความสนใจกับนักศึกษารุ่นใหม่ที่จะเข้ามา ว่าวิชาชีพไม่ได้ตายไปไหนเพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบ รวมถึงการจัดการเรียนการสอนที่ต้องเปลี่ยนแปลงให้ทันเทคโนโลยี” ดร.สุกิจกล่าว
อีกทางหนึ่งความต้องการของผู้เรียนที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย นักศึกษามีความสนใจทำงานอิสระมากขึ้น หลักสูตรจึงต้องช่วยส่งเสริมให้นักศึกษาสามารถเป็นผู้ประกอบการอิสระมากยิ่งขึ้น โดยมีรายวิชาที่เกี่ยวข้องในทุกหลักสูตร ซึ่งตรงกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการเสริมสร้างผู้ประกอบการอิสระให้เกิดขึ้นในประเทศ
วิชาใหม่สนองโลกใหม่
โลกที่เปลี่ยนแปลงส่งผลต่อการศึกษาไม่เพียงหลักสูตรเดิมที่มีอยู่ต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยของเทคโนโลยี แต่ยังรวมถึงการเตรียมพร้อมสร้างบุคลากรเข้าสู่อุตสาหกรรมใหม่ๆ ตามนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งหวังให้ประเทศไทยมีอุตสาหกรรมใหม่เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในยุคต่อไป
ดร.สุกิจให้ข้อมูลว่า “อุตสาหกรรมใหม่ที่ราชมงคลกรุงเทพตอบสนองนโยบายรัฐบาลอยู่ คือ หนึ่ง อุตสาหกรรมช่างซ่อมบำรุงอากาศยาน หลักสูตรของเราได้รับการรับรองมาตรฐาน EASA มาตรฐานความปลอดภัยของยุโรป และเรายังมีความร่วมมือจัดการเรียนการสอนหลักสูตรเฉพาะทางด้านการบำรุงอากาศยานกับไทยแอร์เอเชียด้วย ซึ่งขณะนี้จะเปิดรุ่นที่ 2 หลักสูตรช่างซ่อมบำรุงมาตรฐาน EASA ขณะนี้เราดำเนินการถึงรุ่นที่ 4 แล้ว กำลังจะเปิดรับรุ่นใหม่ มีผู้สมัครเข้ามาจำนวนมากแต่เรารับได้ไม่มากเพราะในเรื่องของมาตรฐาน EASA เขากำหนดสัดส่วนอาจารย์ต่อนักศึกษาไม่เกิน 25 คน เป็นการตอบสนองนโยบายของรัฐบาลที่จะทำฮับการบิน แต่ราชมงคลกรุงเทพที่เดียวคงไม่มีศักยภาพทำได้ทั้งหมด เรายังต้องการเพื่อนร่วมวิชาชีพมาทำให้มากๆ ซึ่งตอนนี้ในกลุ่มราชมงคลก็พยายามจะเสริมสร้างกันอยู่ เพราะตามมาตรฐานปีหนึ่งผลิตได้อย่างมากไม่เกิน 200 คน ซึ่งความต้องการของรัฐบาลใน 5 ปี 6,000 คนซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่เราจะผลิตทัน
“อีกหลักสูตรคือการท่องเที่ยวขณะนี้เราก็มีโครงการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ นักศึกษารุ่นใหม่เรามีวิชาการท่องเที่ยวอยู่ นักศึกษาจะต้องเข้าใจในบริบทนี้ ท่องเที่ยวแล้วจะต้องทำให้เกิดคุณภาพที่ดี ซึ่งการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพนี้สามารถแบ่งได้เป็น 2 กรณี คือหนึ่งท่องเที่ยวแล้ว ต้องทำให้สิ่งแวดล้อมคงสภาพเดิม ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม สองผู้ที่ท่องเที่ยวได้รับผลประโยชน์อื่นตามมา เช่นท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ คือเข้ามาดูแลรักษาสุขภาพตัวเองและท่องเที่ยวไปด้วย ง่ายๆ คือยกระดับกลุ่มผู้ที่เข้ามาท่องเที่ยวให้เป็นกลุ่มที่มีรายได้สูงขึ้น นั่นก็จะทำให้รายได้จากการท่องเที่ยวของประเทศมากขึ้นนั่นเอง”
อีกหลักสูตรที่น่าสนใจมากสำหรับการจะก้าวสู่ยุค 4.0 คือ หลักสูตรวิศวกรรมการผลิตความแม่นยำสูง
“นี่คือต้นกำเนิดอุตสาหกรรม 4.0 เลย เพราะอุตสาหกรรมทุกอย่างถ้าไม่มีความแม่นยำสูงชิ้นส่วนเล็กๆ มากๆ ระดับไมครอน ระดับนาโน ทำอย่างไร เรื่องนี้ประเทศที่พัฒนาแล้วจะปกปิดเทคโนโลยีอย่างมาก ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ ชิ้นส่วนหุ่นยนต์ตัวเล็กๆ ทั้งหลาย เราจะพยายามถ่ายทอดจะหาเทคโนโลยีมาให้ประเทศของเราพัฒนา ให้เรียนรู้ จะเป็นต้นกำเนิดอุตสาหกรรม 4.0 ซึ่งรัฐบาลก็ได้ให้การสนับสนุน ให้งบประมาณมาส่วนหนึ่งพัฒนาหลักสูตรและอุปกรณ์เพื่อถ่ายทอดให้นักศึกษาที่จะจบไปเป็นวิศวกรการผลิตความแม่นยำสูง เรื่องนี้จำเป็นมาก ว่าต้องใช้เครื่องมือประเภทไหนทำอย่างไร ในปีนี้จะเข้าปีที่ 2 ที่จัดทำหลักสูตรนี้ขึ้นมา”
อีกหลักสูตรที่อยู่ระหว่างการพัฒนาคือ หลักสูตรการดูแลผู้สูงอายุ ที่จะเป็นที่ต้องการทั้งในและต่างประเทศ โดยหลักสูตรอยู่ระหว่างการพัฒนาตามความต้องการที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยมุ่งเป้าหมายการผลิตบุคลากรที่สามารถปฏิบัติงานได้จริง สามารถทำงานได้ทันทีตรงตามความต้องการของผู้ประกอบการ
ว่าด้วยความเป็นผู้นำ
อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชมงคลกรุงเทพ มองว่าการจะรักษาความเป็นผู้นำด้านการศึกษา การบริหารบุคลากรเป็นเรื่องสำคัญ ทั้งบุคลากรในสายสอนและหน่วยงานสนับสนุน ที่จะต้องทำให้เข้าใจเป้าหมายขององค์กรในการผลิตคนที่มีวิชาชีพติตตัว สามารถออกไปประกอบอาชีพให้กับสังคมและประเทศชาติ
“การพัฒนาคนต้องมีจิตวิญญาณในการอุทิศตน ให้กับการพัฒนาการศึกษา ซึ่งแน่นอนผลกระทบเหล่านี้จะตกไปสู่นักศึกษาซึ่งคือลูกหลานของเรา เราอยากให้ลูกหลานเรามีความรู้ความสามารถอย่างไร ก็ทำให้นักศึกษาอย่างนั้น“
ในส่วนของสังคมไทย ผู้นำต้องเป็นตัวอย่างที่ดี บางครั้งเป็นเรื่องการตัดสินใจที่ผู้นำต้องกล้าตัดสินใจ โดยคำนึงถึงผลประโยชน์และอนาคตขององค์กรเป็นสิ่งแรก
สำมิตร สกุลวิระ ประธานสายสินเชื่อธุรกิจธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) บริษัทในกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร เปิดเผยผลงานของสายสินเชื่อธุรกิจเมื่อปีที่ผ่านมาว่า สามารถทำวงเงินสินเชื่ออนุมัติใหม่ได้สูงที่สุดเท่าที่เคยทำมา จากการที่ธนาคารเริ่มขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มลูกค้าขนาดใหญ่เพิ่มเติมจากอุตสาหกรรมที่ธนาคารมีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษได้แก่ สินเชื่อกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายกลางรายเล็ก และสินเชื่อธุรกิจเอสเอ็มอี (สินเชื่อธุรกิจอพาร์ตเม้นต์และโรงแรม สินเชื่อธุรกิจขนส่ง สินเชื่อพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรม และสินเชื่อเพื่อเครื่องจักรและวัสดุก่อสร้าง)
สำหรับปี 2561 จากทิศทางเศรษฐกิจและความต้องการของลูกค้า ธนาคารจะเดินหน้าด้วยแนวทางการดำเนินงาน 4 ด้าน ประกอบด้วย 1. เจาะกลุ่มผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในทุกเซกเมนต์ ส่วนกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอีมุ่งขยายธุรกิจไปยังลูกค้ากลุ่มเดิม 2. เป็นธนาคารที่มีความเชี่ยวชาญพิเศษในกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ด้วยประสบการณ์ยาวนานของทีมงาน 3. ขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มที่มีความมั่งคั่งสูง (high net worth) ในกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร โดยมุ่งให้บริการทางการเงินแก่กลุ่มคนดังกล่าวที่ส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจและเจ้าของกิจการให้ประสบความสำเร็จทางธุรกิจอย่างยั่งยืน และ 4. ชูแพลตฟอร์มการเป็น Financial Solution Expert โดยพัฒนาบุคลากร ผลิตภัณฑ์ และบริการที่ครอบคลุมความต้องการทางธุรกิจของลูกค้า ตลอดจนนำเสนอเครื่องมือทางการเงินที่เหมาะสมกับผู้ประกอบการและสามารถเพิ่มมูลค่าให้กับกิจการ โดยปี 2561 สายสินเชื่อธุรกิจวางเป้าหมายสินเชื่ออนุมัติใหม่ที่ประมาณ 33,500 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ยอดสินเชื่อของสายสินเชื่อธุรกิจขยายตัวราว 5% คิดว่าการให้บริการลูกค้าด้วยความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และมุ่งเน้นความสำเร็จของลูกค้าเป็นสำคัญ จะส่งผลให้การทำงานบรรลุเป้าหมายตามที่ได้วางไว้
ทั้งนี้ในปี 2560 สินเชื่อธุรกิจ มียอดสินเชื่อรวม 44,283 ล้านบาท ขยายตัวที่ 7% จากสิ้นปี 2559 แบ่งเป็น สินเชื่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 21,276 ล้านบาท สินเชื่อธุรกิจเอสเอ็มอี (สินเชื่อธุรกิจอพาร์ตเม้นต์และโรงแรม สินเชื่อธุรกิจขนส่ง สินเชื่อพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรม และสินเชื่อเพื่อเครื่องจักรและวัสดุก่อสร้าง) 23,007 ล้านบาท
ดร.สมพร สืบถวิลกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด(มหาชน) รับมอบใบรับรองระบบมาตรฐาน ISO/IEC 27001:2013 จาก United Kingdom Accreditation Service (UKAS) ซึ่งเป็นองค์กรตรวจรับรองมาตรฐานระดับโลกของประเทศอังกฤษ ภายใต้ขอบเขต “The provision of IT operation which support insurance service (E-policy and E-Claim) , core insurance processing system , financial and accounting system , data center , system and network management” โดยทิพยประกันภัยเป็นบริษัทประกันวินาศภัยแห่งแรกของไทย ที่ได้รับการรับรอง ISO/IEC 27001:2013 ทุกระบบด้าน IT สารสนเทศในองค์กร ในการดำเนินธุรกิจประกันภัย เพื่อรองรับการเข้าสู่การเป็น Digital Insurance อย่างเต็มรูปแบบ
ดร.สมพรกล่าวว่า เนื่องจากบริษัทฯ ได้ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการปกป้องข้อมูลของลูกค้าจากภัยคุกคามทาง ไซเบอร์อย่างจริงจัง และยังสอดคล้องกับประกาศฉบับใหม่ของคปภ. เรื่อง “หลักเกณฑ์ วิธีการออกกรมธรรม์ประกันภัย การเสนอขายกรมธรรม์ประกันภัย และการชดใช้เงิน หรือค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัย โดยใช้วิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2560” เพื่อให้เห็นถึงความพร้อมในทุกๆด้านโดยเฉพาะด้านการรักษาความปลอดภัยทางเทคโนโลยีสารสนเทศ
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาคุณภาพการบริการอย่างต่อเนื่อง จากเมื่อปี 2542 เราเป็นบริษัทประกันวินาศภัยแห่งแรกของไทยที่ได้รับการรับรองระบบบริหารคุณภาพ ISO 9002 ทุกระบบขององค์กร จวบจนปัจจุบันเรายังมุ่งพัฒนามาตรฐานอย่างต่อเนื่อง จนได้รับการรับรองระบบบริหารคุณภาพ ISO 9001:2015 ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นล่าสุดของ ISO9001 โดยมุ่งเน้นการบริหารจัดการด้านความเสี่ยงในธุรกิจประกันภัย และคำนึงถึงผู้มีส่วนได้ ส่วนเสียที่นอกเหนือจากลูกค้า อาทิเช่น ผู้ถือหุ้น คู่ค้า พันธมิตรต่างๆ
เป็นต้น เพื่อยกระดับความพึงพอใจต่อลูกค้า และสร้างโอกาสทางธุรกิจและความเชื่อมั่นต่อคู่ค้า, พันธมิตรทางธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำให้เห็นว่า ทิพยประกันภัยยังคงรักษาระบบการบริหารงานและกระบวนการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและมีคุณภาพ เป็นไปตามมาตรฐานสากลเพิ่มศักยภาพของบุคลากรให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อที่จะสามารถให้บริการลูกค้าได้รับความพึงพอใจในทุกๆด้าน

ดร.สมพร กล่าวเพิ่มเติมว่า การที่บริษัทฯได้รับการรับรองมาตรฐานทั้ง 2 ระบบมาตรฐานสากลนี้ ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยเพิ่มศักยภาพทางธุรกิจให้องค์กร ในยุค Digital ที่คนส่วนใหญ่หันมาทำธุรกรรมผ่านทางโซเชียลมีเดีย มากขึ้น ทำให้เราต้องยิ่งพัฒนาในด้านการให้บริการเพื่อสามารถรองรับการเชื่อมต่อกับหน่วยงานอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า คู่ค้า กลุ่มธุรกิจ Start up หรือนวัตกรรมด้านการบริการต่างๆ โดยสามารถยกระดับมาตรฐานของคุณภาพการบริการอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับให้ความสำคัญ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในด้านความปลอดภัยของข้อมูล ผ่านระบบสารสนเทศหลักของธุรกิจที่มีความมั่นคง ปลอดภัยต่อความเสี่ยงหรือวิกฤตต่างๆได้อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ
"การนำระบบทั้งสองมาประยุกต์ใช้ในทุกรูปแบบจะสร้างความได้เปรียบทางด้านธุรกิจ ทั้งด้านคุณภาพการบริการ, การจัดการความเสี่ยงและความปลอดภัยของข้อมูล, สร้างโอกาสทางธุรกิจ, สามารถตอบสนองการเปลี่ยนแปลงต่างๆได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งจะทำให้–ทิพยประกันภัย ก้าวไปสู่การเป็นผู้นำทางธุรกิจได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน" ดร.สมพร กล่าวสรุป