December 16, 2025

ในยุคที่ “ปัญญาประดิษฐ์” (AI) กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจและสังคม ล่าสุดตัวเลขจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ระบุว่า ธุรกิจและอุตสาหกรรมในประเทศไทยได้นำ AI มาใช้แล้วกว่า 17% และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 30% ภายใน 1–2 ปีข้างหน้า

คำถามสำคัญคือ “AI เป็นโอกาสหรือความเสี่ยงต่อการสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งและยั่งยืน?”

ประเด็นนี้ถูกสะท้อนโดย สุวิทย์ เอื้อศักดิ์ชัย หรือ “กู๋ แมธธ์” ผู้ก่อตั้ง Brand Matter Plan และผู้เชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์พัฒนาแบรนด์ ที่มองว่า AI ไม่ใช่คำตอบสำเร็จรูป แต่เป็นเพียง “เครื่องมือ” ที่จะทรงพลัง ก็ต่อเมื่อถูกใช้ร่วมกับความรู้ ประสบการณ์ และความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์

 

AI: เครื่องมือ ไม่ใช่สมองแทนมนุษย์

สุวิทย์อธิบายว่า การสร้างแบรนด์และการพัฒนาแบรนด์ต้องแยกให้ชัดเจน AI สามารถเข้ามามีบทบาทได้ทั้งสองส่วน แต่ขึ้นอยู่กับ “วิธีการใช้” ของมนุษย์

AI เปรียบเสมือนคลังข้อมูลขนาดใหญ่ที่รวบรวมองค์ความรู้เอาไว้ แต่คำตอบจาก AI ไม่ได้หมายความว่า “ดีที่สุด” ดังนั้น นักการตลาดและนักสร้างแบรนด์ต้องเข้าใจภาพรวมของ Branding ก่อน แล้วจึงใช้ AI เป็นตัวช่วยเสริม ไม่ใช่พึ่งพาแทนสมองของมนุษย์

“AI ไม่ได้ฉลาดกว่าคน เพียงแต่เข้าถึงข้อมูลได้เร็วกว่า สิ่งสำคัญคือคนที่ใช้ AI ต้องมีวิธีคิดและประสบการณ์เพื่อนำข้อมูลไปต่อยอด ไม่ใช่ลอกคำตอบมาใช้โดยตรง” สุวิทย์กล่าว

ความคิดสร้างสรรค์: จุดแข็งที่ AI แทนไม่ได้

แม้ AI จะถูกมองว่ามีศักยภาพในการแทนที่หลายอาชีพ แต่ในแวดวงการตลาดและ Branding สุวิทย์ยืนยันว่า AI ไม่สามารถแทนที่ “มนุษย์ผู้สร้างสรรค์” ได้ เพราะการสร้างแบรนด์ไม่ใช่สูตรสำเร็จเหมือนการ “ต้มมาม่า” แต่ต้องอาศัยการวิเคราะห์เชิงลึก ความเข้าใจตลาด พฤติกรรมผู้บริโภค และความคิดสร้างสรรค์เฉพาะตัว

เขายกตัวอย่างว่า การตลาดยุคเก่าอาศัย 4P (Product, Price, Place, Promotion) แต่ปัจจุบันมี People เข้ามาเป็นตัวแปรใหม่ ความหลากหลายของผู้บริโภคทำให้การเข้าใจ “ใจคน” เป็นสิ่งที่ AI ไม่อาจทำแทนได้

บทเรียนจากประสบการณ์จริง

จากการทำงานให้คำปรึกษาด้าน Branding มากกว่า 100 แบรนด์ สุวิทย์พบว่า ปัญหาของแต่ละแบรนด์ไม่มีสูตรสำเร็จแก้ได้เหมือนกัน บางครั้งต้นเหตุปัญหาไม่ได้มาจากสินค้า แต่อาจเกิดจากคู่แข่ง หรือพฤติกรรมผู้บริโภค ซึ่งทั้งหมดนี้คือ “บทเรียนที่ต้องอาศัยประสบการณ์ตรง” ที่ AI ไม่สามารถสอนหรือวิเคราะห์แทนมนุษย์ได้

“AI เป็นเหมือนเพื่อนที่คอยให้ข้อมูล แต่ไม่สามารถวินิจฉัยและแก้ปัญหาเชิงกลยุทธ์แทนเราได้” เขาย้ำ

คนคือหัวใจของ Branding ในยุค AI

สุวิทย์ยังชี้ว่า การสร้างแบรนด์ในยุคปัจจุบันต้องผสมผสานความรู้และทักษะจากหลากหลายเจเนอเรชัน

  • Gen Z มีความสามารถในการใช้เครื่องมือดิจิทัลและ AI เพื่อสร้างอาชีพและโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ
  • Gen X และ Gen Y มีประสบการณ์จริงและมุมมองที่ลึกซึ้งต่อการสร้างแบรนด์

หากแต่ละเจเนอเรชันสามารถเรียนรู้และใช้จุดแข็งของกันและกันได้ ก็จะช่วยผลักดันแบรนด์ให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน

บทสรุป: AI คือผู้ช่วย ไม่ใช่ผู้ตัดสิน

ท้ายที่สุด สุวิทย์ย้ำว่า AI เป็นเพียง “ผู้ช่วย” ไม่ใช่ผู้กำหนดกลยุทธ์ นักการตลาดและนักสร้างแบรนด์ยังคงมีบทบาทสำคัญในการเป็นกุนซือ วิเคราะห์ตลาด และสร้างความแตกต่างให้แบรนด์อยู่เสมอ

“AI มีประโยชน์มหาศาล หากใช้เป็นคลังความรู้ แต่หากเชื่อโดยไม่กลั่นกรองก็อาจก่อโทษได้ สิ่งที่จะทำให้แบรนด์แข็งแกร่งและยั่งยืน คือความรู้ ประสบการณ์ และความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ที่นำ AI มาใช้เสริม ไม่ใช่แทนที่” สุวิทย์กล่าวทิ้งท้าย

สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ได้ออกคำสั่งนายทะเบียนที่ 51/2568 ลงวันที่ 26 สิงหาคม 2568 เรื่อง ให้แก้ไขแบบ ข้อความ ของกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ และพิกัดอัตราเบี้ยประกันภัย ของกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ และกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า โดยกำหนดให้ปรับเพิ่มวงเงินความคุ้มครองสูงสุดต่อครั้งของกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จากเดิม 5 ล้านบาท และ 10 ล้านบาท เป็น 20 ล้านบาท และปรับเพิ่มวงเงินความคุ้มครองสูงสุดต่อครั้ง ของกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ และกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า ให้มีจำนวนเงินขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 20 ล้านบาท เพื่อรองรับกรณีเกิดอุบัติเหตุรายใหญ่ที่มีผู้เสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิงบ่อยครั้ง โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป

นายไพบูลย์ เปี่ยมเมตตา ผู้ช่วยเลขาธิการ สายกำกับผลิตภัณฑ์ประกันภัย และประธาน คณะทำงานแนวทางพัฒนาการจัดทำกรมธรรม์ประกันภัยสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและพิกัดอัตราเบี้ยประกันภัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเกิดอุบัติเหตุรายใหญ่บ่อยครั้ง ส่งผลให้จำนวนเงินความคุ้มครองสูงสุดต่อครั้งของกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ซึ่งกำหนดไว้เพียง 5 ล้านบาท และ 10 ล้านบาท ต่ออุบัติเหตุแต่ละครั้ง รวมถึงกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ และกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า ที่ส่วนใหญ่กำหนดวงเงินความคุ้มครองความรับผิดต่อชีวิต ร่างกาย และอนามัยของบุคคลภายนอกไว้ที่ 10 ล้านบาทต่อครั้ง ไม่เพียงพอต่อการชดใช้  ค่าสินไหมทดแทนตามจำนวนเงินความคุ้มครองสูงสุดต่อคน ที่กำหนดไว้ 500,000 บาท ดังนั้น สำนักงาน คปภ. โดยสายกำกับผลิตภัณฑ์ประกันภัย จึงได้นำประเด็นดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของคณะทำงานแนวทางพัฒนาการจัดทำกรมธรรม์ประกันภัยสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและพิกัดอัตราเบี้ยประกันภัย ซึ่งที่ประชุมมีมติให้ปรับเพิ่มวงเงินความคุ้มครองสูงสุดต่อครั้ง สำหรับการประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) เป็น 20 ล้านบาท โดยไม่มีการปรับเพิ่มเบี้ยประกันภัย และให้ปรับเพิ่มวงเงินความคุ้มครองขั้นต่ำต่อครั้ง สำหรับการประกันภัยรถยนต์  ภาคสมัครใจ เป็น 20 ล้านบาท โดยให้ใช้อัตราเบี้ยประกันภัยเดิมที่กำหนดไว้ในพิกัดอัตราเบี้ยประกันภัย เพื่อให้ประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากอุบัติเหตุรายใหญ่ ที่มีจำนวนผู้เสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิงเกิน 20 รายขึ้นไป มีโอกาสได้รับค่าสินไหมทดแทนเต็มจำนวนเงินความคุ้มครองสูงสุดต่อคนที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย โดยสาระสำคัญของคำสั่งนายทะเบียนมี ดังนี้

  1. ประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) กำหนดวงเงินความคุ้มครองสูงสุดต่อครั้งเป็น 20 ล้านบาท สำหรับทุกประเภทรถ โดยไม่เพิ่มเบี้ยประกันภัย และให้มีผลบังคับใช้ทันทีกับทุกกรมธรรม์ ทั้งกรมธรรม์ที่ยังมีผลคุ้มครองและกรมธรรม์ที่ทำสัญญาใหม่ โดยกำหนดให้ บริษัทประกันวินาศภัยต้องใช้แบบและข้อความกรมธรรม์ประกันภัยให้เป็นไปตามคำสั่งนายทะเบียน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป
  2. ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ กำหนดวงเงินความคุ้มครองขั้นต่ำต่อครั้งในหมวดความรับผิดชอบต่อบุคคลภายนอก กรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง ไม่น้อยกว่า 20 ล้านบาท สำหรับทุกประเภทรถ โดยให้เริ่มมีผลใช้บังคับกับกรมธรรม์ใหม่ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป

“แม้ว่าเมื่อปี 2563 สำนักงาน คปภ. ได้ปรับเพิ่มจำนวนเงินความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยรถภาคบังคับในส่วนของการคุ้มครองต่อคนจาก 300,000 บาท เป็น 500,000 บาท แต่ยังคงวงเงินความรับผิดสูงสุดต่อครั้งไม่เกิน 5 ล้านบาทสำหรับรถยนต์นั่งไม่เกิน 7 ที่นั่ง และไม่เกิน 10 ล้านบาทสำหรับรถยนต์นั่งเกิน 7 ที่นั่ง ขณะที่กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจได้มีการปรับเพิ่มจำนวนเงินคุ้มครองขั้นต่ำเป็น 500,000 บาทต่อคน แต่ส่วนใหญ่ยังคงกำหนดวงเงินสูงสุดต่อครั้งไว้ที่ 10 ล้านบาท การออกคำสั่งนายทะเบียนในครั้งนี้ จึงนับเป็นการยกระดับความคุ้มครองให้สอดคล้องกับความเป็นจริงและเพียงพอต่อการดูแลผู้ประสบภัยอย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่เป็นภาระเพิ่มขึ้นต่อผู้เอาประกันภัย เนื่องจากไม่มีการปรับเพิ่มเบี้ยประกันภัยแต่อย่างใด”  ผู้ช่วยเลขาธิการ สายกำกับผลิตภัณฑ์ประกันภัย กล่าวในตอนท้าย

ชับบ์ ไลฟ์ ประกันชีวิต นำโดย คุณอลิสา อารีพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมผู้บริหารระดับสูง ร่วมจับรายชื่อผู้โชคดีในแคมเปญ “ชับบ์ ไลฟ์ ประกันชีวิต 25 ปี แจกทอง 50 บาท” ครั้งที่ 1 ให้กับลูกค้าที่ทำประกันชีวิตตามเงื่อนไข จำนวน 100 รางวัล น้ำหนักรวม 25 บาท โดยบริษัทฯ จะประกาศรายชื่อผู้ได้รับรางวัลอย่างเป็นทางการผ่านทางเว็บไซต์ของบริษัทฯ https://www.chubb.com/th-th/celebrating-25th-anniversary.html ทางสื่อโซเชียลมีเดียของ ชับบ์ ไลฟ์ ประกันชีวิต และทาง SMS

คุณอลิสา อารีพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า “ดิฉันขอแสดงความยินดีกับลูกค้าผู้โชคดีที่ได้รับทองคำจากแคมเปญ ‘ชับบ์ ไลฟ์ ประกันชีวิต 25 ปี แจกทอง 50 บาท’ เป็นของขวัญแทนคำขอบคุณ ลูกค้าที่ไว้วางใจและเชื่อมั่น ให้บริษัทฯ ได้ดูแลด้วยดีเสมอมา เราภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนร่วมดูแลชีวิตและสุขภาพของลูกค้าคนไทยอย่างต่อเนื่อง พร้อมส่งมอบความสุขควบคู่ไปกับความมั่นคงในทุกช่วงชีวิตและทุกไลฟ์สไตล์”

สำหรับแคมเปญ “ชับบ์ ไลฟ์ ประกันชีวิต 25 ปี แจกทอง 50 บาท” เพียงลูกค้าทำประกันกับ ชับบ์ ไลฟ์ ประกันชีวิต แบบกรมธรรม์ประเภทสามัญ ที่มีเบี้ยประกันภัยตั้งแต่ 25,000 บาทขึ้นไป ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม 2568 นี้ โดยการจับรางวัลรอบถัดไปจะจัดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2569 ผู้โชคดีจะได้รับสิทธิ์ลุ้นรับทองคำหนักรวม 25  บาท จำนวน 100 รางวัล มูลค่ารวมกว่า 1,250,000 บาท ทั้งนี้ และจะประกาศรายชื่อผู้รับรางวัลผ่านทางเว็บไซต์ของบริษัทฯ ทางสื่อโซเชียลมีเดียของ ชับบ์ ไลฟ์ ประกันชีวิต และทาง SMS ทั้งนี้

ผู้ที่สนใจสามารถติดตามเงื่อนไข และรายละเอียดแคมเปญ “ชับบ์ ไลฟ์ ประกันชีวิต 25 ปี แจกทอง 50 บาท” เพิ่มเติมได้ที่ https://www.chubb.com/th-th/celebrating-25th-anniversary.html หรือศูนย์ดูแลลูกค้า โทร 1283 วันจันทร์ – วันศุกร์ เวลา 08.30 – 17.30 น.

*หมายเหตุ: การจับรายชื่อผู้โชคดีและการรับรางวัลสำหรับแคมเปญ “ชับบ์ ไลฟ์ ประกันชีวิต 25 ปี แจกทอง 50 บาท” ให้เป็นไปตามเงื่อนไขและรายละเอียดที่บริษัทฯ กำหนด

สหพัฒนพิบูล ส่งโฟมล้างหน้าสูตรใหม่ “ไบโอนิค เฟเชียลโฟม” บุกตลาด ผสานเทคโนโลยีทำความสะอาดล้ำลึกกับคุณค่าการบำรุงผิวจากสารสกัดธรรมชาติและวิตามินซีบริสุทธิ์สูงถึง 90% อ่อนโยนต่อผิวหน้า ปราศจากสารระคายเคือง 5 ชนิด พร้อมมอบผลลัพธ์ผิวกระจ่างใส เรียบเนียน ชุ่มชื้น และแข็งแรงอย่างเป็นธรรมชาติในทุกครั้งที่ล้างหน้า

บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) หรือ SPC ผู้จัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคและบริโภคชั้นนำของไทย เปิดเผยว่า สหพัฒนพิบูล ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคของไทย ล่าสุดเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ BIONIC Facial Foam” โฟมล้างหน้าที่พัฒนาเพื่อดูแลผิวคนรุ่นใหม่ ด้วยแนวคิด “สะอาดล้ำลึก อ่อนโยนทุกสัมผัส ผิวใสอย่างเป็นธรรมชาติ” ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนที่ต้องเผชิญมลภาวะในชีวิตประจำวัน และต้องการผลิตภัณฑ์ที่ดูแลผิวได้อย่างครอบคลุมในขั้นตอนเดียว

BIONIC Facial Foam มีให้เลือก 2 สูตรตามสภาพผิว ได้แก่ BIONIC Facial Foam สูตร Perfect Bright– ช่วยให้ผิวกระจ่างใส เรียบเนียนน่าสัมผัส ด้วยส่วนผสมของวิตามินซีบริสุทธิ์เข้มข้น 90% ร่วมกับสารสกัดจาก Citrus, Marine White และ Niacinamide ช่วยผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน ลดเลือนจุดด่างดำและความหมองคล้ำ พร้อมเทคโนโลยี Micro Bubble Cleanser ทำความสะอาดล้ำลึกถึงรูขุมขน พร้อมล็อกความชุ่มชื้นให้ผิวเนียนนุ่มยิ่งขึ้น

และ BIONIC Facial Foam สูตร Pure Mild– ช่วยเติมน้ำให้ผิว บำรุงให้หน้านุ่ม ชุ่มชื้น อย่างอ่อนโยน เพื่อผิวใสไร้สิว ด้วยสารสกัดจากการรวมตัวของพืชผลไม้ 5 ชนิด Bilberry, Sugar Cane, Orange, Lemon และ Sugar Maple และ โมเลกุลไฮยาลูรอนิกแอซิด 8 ชนิด (8X HYA) ช่วยผลัดผิวเก่า ลดการอุดตัน คุมความมัน พร้อมเสริมเกราะป้องกันผิวจากมลภาวะนอกที่เป็นสาเหตุหนึ่งให้ผิวเสีย ด้วย สาร Polluguard และสารสกัดพืชธรรมชาติ 7 ชนิดจากเกาหลี ปกป้องผิวจากฝุ่น PM 2.5 และแสงแดด

ทั้ง 2 สูตรยังผ่านการคัดสรรส่วนผสมคุณภาพ ปราศจากสารระคายเคือง 5 ชนิด ได้แก่ สีสังเคราะห์ สารกันเสีย (MI/MIT), น้ำมันแร่ (Mineral Oil), ซิลิโคน (Silicone), และ พาราเบน (Paraben) เพื่อความอ่อนโยนสูงสุดต่อผิวหน้า

“BIONIC Facial Foam” สูตร Perfect Bright และ Pure Mild วางจำหน่ายแล้ววันนี้ ในราคาเพียง 119 บาท (ขนาด 80 มล.) สามารถหาซื้อได้ที่ Lotus, Gourmet Market, ร้านจัดจำหน่ายค้าปลีกทั่วประเทศ และช่องทางออนไลน์ ได้แก่ www.sahapatdelivery.com ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook: Bionic Thailand / Instagram: bionicthailand / TikTok: @bionicth

นำร่องความร่วมมือที่โครงการหรู “เดอะ ปาล์ม เรสซิเดนเซส พัฒนาการ

นายวีรเวช  ศิริชาติไชย  รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM พร้อมพนักงานสำนักงานใหญ่ และสำนักงานนครราชสีมา  ร่วมมอบเงินสมทบทุนโครงการก่อสร้างอาคารโรงเก็บศพ โรงพยาบาลหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา จำนวน 300,000 บาท โดยมี นายแพทย์ชวิศ เมธาบุตร นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรมป้องกัน) ผู้อำนวยการ พร้อมคณะกรรมการบริหารโรงพยาบาล คณะกรรมการพัฒนาโรงพยาบาล และเจ้าหน้าที่รับมอบเงิน  ทั้งนี้ เพื่อสนับสนุนการบริการของโรงพยาบาล เพิ่มศักยภาพให้สามารถจัดการงานด้านนิติเวชได้อย่างเหมาะสมและเป็นระบบมากขึ้น

จากวิสัยทัศน์เป็น "ครัวของโลก" (Kitchen of the World) ที่มีพันธกิจสร้างความมั่นคงทางอาหารให้ผู้บริโภคทั่วโลก และสร้างธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน มุ่งมั่นดำเนินงานด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ตลอดจนส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน ใช้ทรัพยากรเกิดประโยชน์สูงสุด ทำให้ในปี 2568 บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร  จำกัด (มหาชน) หรือ CPF  ได้รับ รางวัล Prime Minister’s Export Award (PM Award) ประเภทรางวัลผู้ส่งออกยอดเยี่ยมด้านความยั่งยืน (Best Green & Sustainable Exporter) จัดโดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP)  โดยมี นายเอกปิยะ เอื้อวุฒิเกริก  กรรมการผู้จัดการ ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ  ซีพีเอฟ   รับรางวัล จากนายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์   ณ ห้องบุรฉัตรไชยากร ชั้น 4 ตึกสำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์     

ซีพีเอฟ มีการลงทุนและร่วมลงทุนใน 17 ประเทศ ครอบคลุม 5 ทวีปทั่วโลก จำหน่ายสินค้าส่งออกมากกว่า  50 ประเทศ โดยในทุกๆประเทศที่บริษัทเข้าไปลงทุนและร่วมลงทุน ได้บูรณาการหลักปรัชญา 3 ประโยชน์เป็นแนวปฏิบัติในการทำงาน คือ ประโยชน์ของประเทศ ประชาชน และบริษัท มุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารที่มีคุณภาพ ปลอดภัย รสชาติอร่อย มีโภชนาการที่ดี ดีต่อกายและดีต่อใจ ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิด Sustainovation เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero) ตลอดห่วงโซ่คุณค่า ภายในปี 2050 ซึ่งสอดคล้องตามเป้าหมายความตกลงปารีส (Paris Agreement) โดยซีพีเอฟยังเป็นบริษัทผลิตอาหารรายแรกในโลกที่ได้รับการรับรองเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งในระยะสั้นและระยะยาว จาก the Science Based Targets initiative (SBTi)

บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการทำการตลาดอย่างรับผิดชอบ พัฒนาขยายช่องทางการจัดจำหน่ายเพื่อให้ผู้บริโภคในแต่ละท้องถิ่นสามารถเข้าถึงได้ รวมไปถึงพัฒนาผลิตภัณฑ์ยั่งยืน ตั้งแต่กระบวนการผลิตต้นน้ำถึงปลายน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้วัตถุดิบที่มาจากแหล่งที่ไม่ตัดไม้ทำลายป่า อาทิ  ผลิตภัณฑ์เนื้อไก่แปรรูปสำหรับการส่งออก  เลี้ยงด้วยข้าวโพดที่ตรวจสอบย้อนกลับได้ว่าไม่มีการตัดไม้ทำลายป่า  ใช้บรรจุภัณฑ์กระดาษที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน Forest Stewardship Council (FSC) วัสดุมาจากป่าที่ได้รับการจัดการอย่างยั่งยืน การใช้บรรจุภัณฑ์ Mono Material Packaging ที่ผลิตจากวัสดุชนิดเดียวทำให้รีไซเคิลได้ง่าย ผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป Kitchen Joy ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ที่มีวางจำหน่ายและได้รับความนิยมในหลายประเทศในทวีปยุโรป อังกฤษและเอเชีย  ผลิตภัณฑ์ MEAT ZERO โปรตีนทางเลือกจากพืช ที่ตอบโจทย์กระแสการบริโภคอย่างยั่งยืน ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากทั้งในเอเชีย ยุโรป และสหรัฐอเมริกา                         

นอกจากนี้ รางวัลผู้ส่งออกยอดเยี่ยมด้านความยั่งยืน (Best Green & Sustainable Exporter) ยังสะท้อนความสำเร็จที่บริษัทฯ ตระหนักและให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจด้วยรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เป็นอีกก้าวสำคัญที่ซีพีเอฟ มีส่วนในการส่งเสริมการพัฒนาสินค้าและบริการให้มีคุณภาพได้มาตรฐานและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล  สร้างความเชื่อมั่นของผู้นำเข้าและผู้ซื้อจากต่างประเทศ  ผลักดันการส่งออกสินค้าและบริการของประเทศไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน

KuCoin Thailand (ดำเนินงานโดย บริษัท อีอาร์เอ็กซ์ จำกัด) ร่วมกับ KuCoin Global, XSpring Digital, Krungthai XSpring และ SIX Network ประกาศความร่วมมือครั้งประวัติศาสตร์ในโครงการ G-Token ของรัฐบาลไทย

KuCoin Thailand ได้รับเกียรติเป็นศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ให้การสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและการลิสต์ “G-Token” โทเคนดิจิทัลของรัฐบาลไทย ซึ่งนับเป็นโครงการต้นแบบของภูมิภาคในการนำนวัตกรรมทางการเงินมาใช้กับพันธบัตรรัฐบาล

“KuCoin Thailand ให้ความสำคัญกับพันธกิจในการเชื่อมโลกการเงินแบบดั้งเดิมเข้ากับโลกของสินทรัพย์ดิจิทัลด้วยนวัตกรรมมาโดยตลอด” นายเฮนรี่ เชน (Henry Chen) กรรมการบริหาร KuCoin Thailand กล่าว “พวกเราใส่ใจในการจัดสรรโซลูชันทางเทคโนโลยีระดับโลกที่ทั้งปลอดภัยและเชื่อถือได้ว่าเป็นไปตามระเบียบข้อบังคับให้แก่ทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ ด้วยมาตรฐานทางด้านเทคโนโลยีกำกับดูแล การควบคุมความเสี่ยงของเรา รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านความปลอดภัย ทำให้ KuCoin Thailand เป็นตัวเลือกชั้นนำสำหรับพันธมิตรในโครงการที่ต้องการแปลงสินทรัพย์จริงสู่โลกดิจิทัล (Real World Assets หรือ RWA)”

G-Token หรือ Government Token คือเครื่องมือทางการเงินในรูปแบบใหม่ที่กระทรวงการคลังออกเพื่อระดมทุนจากประชาชนทั่วไปในรูปแบบดิจิทัล ภายใต้พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 ทั้งนี้ G-Token ทำหน้าที่คล้ายกับพันธบัตรรัฐบาลแบบดั้งเดิม โดยผู้ลงทุนจะได้รับการจ่ายคืนเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยตามเงื่อนไขที่กระทรวงการคลังกำหนด

ทว่า G-Token ไม่มีกำแพงด้านการลงทุนขั้นต่ำที่สูงเหมือนพันธบัตรรัฐบาลแบบดั้งเดิม ทำให้โครงการนี้เป็นก้าวสำคัญสำหรับอนาคตระบบการเงินสาธารณะของประเทศไทย เพราะเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปเข้าถึงการลงทุนและการออมที่ง่ายมากขึ้น

นายอัฏฐ์ อัศวานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ KuCoin Thailand กล่าวว่า “พวกเรารู้สึกเป็นเกียรติเป็นอย่างยิ่งที่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในโครงการระดับประวัติศาสตร์อย่าง G-Token หลังจากประสบความสำเร็จในการลิสต์โทเคนระดมทุน RWA โทเคนแรกของประเทศไทยภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และ G-Token จะเป็นโทเคนแรกที่ออกโดยรัฐบาลที่จะได้ลิสต์บนศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล”

แนวหน้าแห่งการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อยกระดับเศรษฐกิจไทย

G-Token ถือเป็นหมุดหมายสำคัญในการนำเทคโนโลยีสินทรัพย์ดิจิทัลมายกระดับโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศไทยและมอบโอกาสทางด้านการลงทุนที่เท่าเทียมให้แก่ประชาชนทุกภาคส่วน แพลตฟอร์มดิจิทัลช่วยลดต้นทุนด้านการดำเนินการของภาครัฐ ทั้งยังเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการทำงานต่าง ๆ ให้มากยิ่งขึ้น การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี Blockchain ช่วยเพิ่มสภาพคล่องในตลาด พร้อมรับรองความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือด้วยระบบข้อมูลที่ตรวจสอบได้และป้องกันการแก้ไขย้อนหลัง

โครงการนี้เสริมสร้างภาพลักษณ์ของประเทศไทยในฐานะแนวหน้าทางด้านนวัตกรรมการเงินแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นด้วยการแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเทคโนโลยี Blockchain ในการต่อยอดอุตสาหกรรมการเงินแบบดั้งเดิมและการคงมาตรฐานตามกฏระเบียบและการคุ้มครองผู้ลงทุนของอุตสาหกรรม ในอนาคต โครงการ G-Token ของประเทศไทยจะก้าวขึ้นเป็นต้นแบบที่สำคัญให้แก่นานาประเทศในการนำเทคโนโลยี Blockchain มาผสานเข้ากับระบบการเงินของภาครัฐนั้น ๆ

KuCoin Thailand มุ่งมั่นในการขับเคลื่อน RWA Tokenization และการเข้าถึงการเงินโลกด้วยเทคโนโลยี Blockchain

G-Token ไม่ได้เป็นเพียงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี แต่ยังสื่อให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ของประเทศไทยในการกระจายการมีส่วนร่วมทางด้านการเงินให้ครอบคลุมแก่ประชาชนทุกคนและการเสริมสร้างอธิปไตยทางด้านเศรษฐกิจดิจิทัลที่สำคัญ การเข้าร่วมในโครงการนี้ของ KuCoin Thailand สะท้อนถึงวิวัฒนาการและความมุ่งมั่นของเราในการสนับสนุนประเทศไทยในการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัล พร้อมทั้งยังแสดงมาตรฐานการให้บริการทางการเงินของเราในระดับสากล ด้วยความเชี่ยวชาญทั้งศาสตร์การเงินแบบดั้งเดิม การใช้เทคโนโลยี Blockchain ที่ล้ำสมัย และการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์อย่างเคร่งครัด

ฤดูร้อนปี 2025 'การท่องเที่ยวจีน' ซึ่งเป็นที่นิยมอยู่แล้ว ยิ่งเพิ่มระดับความร้อนแรงมากขึ้นไปอีก

นวัตกรรมวีเนียร์ระดับโลก พร้อมโชว์เคส Smile Transform จากทันตแพทย์เฉพาะทาง

X

Right Click

No right click