ลอรีอัล กรุ๊ป รายงานตัวเลขผลประกอบการครึ่งปีแรกปี 2567 มีการเติบโตเพิ่มขึ้น 7.3%1 โดยมียอดขายมูลค่า 2.212 หมื่นล้านยูโร การเติบโตมีความสมดุลระหว่างมูลค่าและปริมาณ ด้วยการผสมผสานระหว่างการวิจัยและนวัตกรรมอันทรงพลังกับความคิดสร้างสรรค์ทางการตลาดที่เป็นเอกลักษณ์ ช่วยให้บริษัทฯ สามารถนำเสนอนวัตกรรมที่ล้ำยุคให้กับผู้บริโภค และตอกย้ำความแข็งแกร่งในฐานะผู้นำในตลาดความงามของโลกที่ยังคงคึกคักอย่างต่อเนื่อง
นายนิโคลา ฮิโรนิมุส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของลอรีอัล กรุ๊ป กล่าวถึงตัวเลขผลประกอบการดังกล่าวว่า “แรงขับเคลื่อนที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องของเราในตลาดเกิดใหม่ ยุโรป และอเมริกาเหนือ ช่วยทดแทนตลาดที่ซบเซาในจีน และสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวยในธุรกิจค้าปลีกสินค้าปลอดภาษีเพื่อการท่องเที่ยว เราเห็นการเติบโตอย่างรวดเร็วของแผนกผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูง พลวัตที่ไม่เคยหยุดนิ่งของแผนกผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค และส่วนแบ่งการตลาดที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของแผนกผลิตภัณฑ์เวชสำอาง และแผนกผลิตภัณฑ์ช่างผมมืออาชีพ ตลอดจนการเดินหน้าจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายและการโฆษณาเพื่อโปรโมทนวัตกรรมใหม่และแบรนด์ทั้ง 37 แบรนด์ของเรา เป็นแรงหนุนให้ลอรีอัล กรุ๊ป สามารถก้าวข้ามตลาดความงามระดับโลกได้อีกครั้ง
ในสภาพแวดล้อมที่ยังคงถูกกำหนดโดยความตึงเครียดทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ เรายังคงเห็นแนวโน้มที่ดีของตลาดความงาม และมั่นใจว่าพลังแห่งนวัตกรรมและความแข็งแกร่งของโมเดลแบบหลายขั้วของเราจะทำให้เราสามารถเอาชนะทุกความท้าทายและบรรลุเป้าหมายในการเติบได้ในปีนี้”
แผนกผลิตภัณฑ์ช่างผมมืออาชีพ เติบโตขึ้น 5.7%1 ด้วยกลยุทธ์การขายผลิตภัณฑ์หลากหลายช่องทาง (Omnichannel) การขยายตัวอย่างรวดเร็วและแข็งแกร่งในอีคอมเมิร์ซ และการจัดจำหน่ายแบบคัดสรร การเติบโตในตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมที่คึกคักนี้ ได้รับแรงหนุนจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่: เคเรสตาส พรีเมียร์ (Kérastase Première) และ ลอรีอัล โปรเฟสชันแนล (L’Oréal Professionnel) แอบโซลู รีแพร์ โมเลกุลาร์ (Absolut Repair Molecular)
แผนกผลิตภัณฑ์อุปโภค เติบโตขึ้น 8.9%1 ผลประกอบการครึ่งปีแรกตอกย้ำกลยุทธ์การทำให้ผลิตภัณฑ์เข้าถึงได้สำหรับทุกคน และกลยุทธ์ในการสร้างความพรีเมียมของแผนก แบรนด์หลักๆ ล้วนเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยมีแบรนด์ความงามอันดับหนึ่งของโลกอย่าง ลอรีอัล ปารีส (L’Oréal Paris) ที่ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการเติบโตอย่างต่อเนื่องในระดับสองหลัก
แผนกผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูง เติบโตขึ้น 2.3%1 โดยมีการเติบโตแข็งแกร่งในยุโรป และขยายตัวในระดับตัวเลขสองหลักในอเมริกาเหนือ รวมถึงในตลาดเกิดใหม่ โดยรวมแล้ว น้ำหอมยังคงเป็นหมวดหมู่ที่คึกคักที่สุด แผนกผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูงยังเติบโตเหนือกว่าตลาดในทุกภูมิภาค ด้วยผลงานของแบรนด์กูตูร์ การฟื้นตัวของเมคอัพยังคงดำเนินต่อไป ด้วยแรงหนุนจากนวัตกรรมอันทรงพลังโดยอีฟ แซงต์ โลร็องต์ (Yves Saint Laurent) และอาร์มานี่ (Armani)
แผนกผลิตภัณฑ์เวชสำอาง เติบโตขึ้น 16.4%1 โดยยังคงรักษาจังหวะการเติบโตแข็งแกร่งได้อย่างยอดเยี่ยม และเติบโตเหนือกว่าตลาดเวชสำอางซึ่งยังคงคึกตักต่อเนื่องแม้ว่าจะเผชิญกับภาวะการชะลอตัวลงในตลาดอเมริกา ลา โรช-โพเซย์ (La Roche-Posay) ยังคงเป็นแบรนด์ที่ทำรายได้สูงสุดให้กับแผนก อันเป็นผลมาจากความสำเร็จของนวัตกรรมล้ำยุคอย่าง “เมลา บี3” (MelaB3) ซึ่งจัดการกับปัญหาเม็ดสีผิวเฉพาะจุดโดยใช้ Melasyl™ นวัตกรรมส่วนผสมสิทธิบัตรล่าสุดจากลอรีอัล กรุ๊ป
ในเอเชียแปซิฟิกใต้ ตะวันออกกลาง แอฟริกาเหนือ แอฟริกาใต้ตอนใต้ ซึ่งประเทศไทยเป็นส่วนหนึ่งในภูมิภาคนี้ มีการเติบโตครอบคลุมทั้งในกลุ่มผลิตภัณฑ์และแผนก และทั้งเชิงปริมาณและมูลค่า โดยในส่วนของมูลค่านั้น ได้รับแรงหนุนจากการผสมผสานระหว่างส่วนผสมและราคาอย่างสมดุล ประเทศที่ทำรายได้หลักๆ ได้แก่ กลุ่มออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ ไทย ซาอุดีอาระเบีย และอินเดีย
แผนกเวชสำอางมีผลงานโดดเด่นที่สุด ด้วยแรงหนุนจากการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของเซราวี เช่นเดียวกับแผนกผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค ที่ขับเคลื่อนโดยลอรีอัล ปารีส และการ์นิเย่ เช่นเดียวกับแผนกผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูง ที่มี YSL Beauty เป็นแบรนด์ที่ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม น้ำหอมยังคงเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เติบโตเร็วที่สุด ด้วยแรงหนุนจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ต่างๆ กลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเติบโตแข็งแกร่งจากความสำเร็จของแผนกเวชสำอางและแผนกผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมได้รับแรงหนุนจากการสร้างความพรีเมียมทั้งในกลุ่มผู้บริโภคและช่างผมมืออาชีพ
ดูรายงานผลประกอบการได้ที่ www.loreal-finance.com
ผลงานด้านงานวิจัย เทคโนโลยีความงาม และดิจิทัล
ลอรีอัล กรุ๊ป (L’Oréal Groupe) เปิดตัวเมลาซิล (MelasylTM) โมเลกุลที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อสำหรับปัญหาเม็ดสีผิวเฉพาะจุด ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดจุดด่างดำและรอยสิว จากผลการศึกษาในด้านระบาดวิทยาของผิวหนังทั่วโลก พบว่าผู้ที่มีส่วนร่วมในการศึกษาครึ่งหนึ่งมีปัญหาเกี่ยวกับเม็ดสีผิวอย่างน้อย 1 ประเภท[1] ลอรีอัลจึงนำส่วนผสมอันเป็นกรรมสิทธิ์มาพัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์ซึ่งครอบคลุมทุกโทนสีผิว เพื่อจัดการกับปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอและช่วยให้ผิวพรรณแลดูดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ เมลาซิลยังผ่านการทดสอบอย่างเข้มงวด และถูกนำไปศึกษาทางวิทยาศาสตร์มาแล้วถึง 121 ครั้ง
เมลาซิลเป็นผลงานจากการวิจัยอย่างยาวนานถึง 18 ปี และเป็นนวัตกรรมที่ได้รับสิทธิบัตร ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีส่วนผสมของเมลาซิล สามารถช่วยให้สีผิวสม่ำเสมอและดูเป็นธรรมชาติยิ่งขึ้น จัดการได้แม้กับรอยดำฝังลึก* ซึ่งปัจจุบันผลิตภัณฑ์ในประเทศไทยที่มีส่วนผสมของเมลาซิล ได้แก่ เมลา บี3 (Mela B3) ของลา โรช-โพเซย์ (La Roche Posay) ทั้งเซรั่มเมลาบี3 (MelaB3) และเมลาบี3 เอสพีเอฟ30 (MelaB3 SPF30) ในอนาคตอันใกล้นี้ ลอรีอัล ปารีส (L’Oréal Paris) และวิชี่ (Vichy) เตรียมนำเมลาซิลมาใช้กับผลิตภัณฑ์ที่จะเปิดตัวใหม่ ๆ เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงผลิตภัณฑ์ที่ผู้เชี่ยวชาญคิดค้นขึ้นมาโดยใช้ส่วนผสมใหม่นี้ได้มากยิ่งขึ้น
ลอรีอัล กรุ๊ป (L’Oréal Groupe) เปิดตัวเมลาซิล (MelasylTM) โมเลกุลที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อสำหรับปัญหาเม็ดสีผิวเฉพาะจุด ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดจุดด่างดำและรอยสิว จากผลการศึกษาในด้านระบาดวิทยาของผิวหนังทั่วโลก พบว่าผู้ที่มีส่วนร่วมในการศึกษาครึ่งหนึ่งมีปัญหาเกี่ยวกับเม็ดสีผิวอย่างน้อย 1 ประเภท[1] ลอรีอัลจึงนำส่วนผสมอันเป็นกรรมสิทธิ์มาพัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์ซึ่งครอบคลุมทุกโทนสีผิว เพื่อจัดการกับปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอและช่วยให้ผิวพรรณแลดูดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ เมลาซิลยังผ่านการทดสอบอย่างเข้มงวด และถูกนำไปศึกษาทางวิทยาศาสตร์มาแล้วถึง 121 ครั้ง
เมลาซิลเป็นผลงานจากการวิจัยอย่างยาวนานถึง 18 ปี และเป็นนวัตกรรมที่ได้รับสิทธิบัตร ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีส่วนผสมของเมลาซิล สามารถช่วยให้สีผิวสม่ำเสมอและดูเป็นธรรมชาติยิ่งขึ้น จัดการได้แม้กับรอยดำฝังลึก* ซึ่งปัจจุบันผลิตภัณฑ์ในประเทศไทยที่มีส่วนผสมของเมลาซิล ได้แก่ เมลา บี3 (Mela B3) ของลา โรช-โพเซย์ (La Roche Posay) ทั้งเซรั่มเมลาบี3 (MelaB3) และเมลาบี3 เอสพีเอฟ30 (MelaB3 SPF30) ในอนาคตอันใกล้นี้ ลอรีอัล ปารีส (L’Oréal Paris) และวิชี่ (Vichy) เตรียมนำเมลาซิลมาใช้กับผลิตภัณฑ์ที่จะเปิดตัวใหม่ ๆ เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงผลิตภัณฑ์ที่ผู้เชี่ยวชาญคิดค้นขึ้นมาโดยใช้ส่วนผสมใหม่นี้ได้มากยิ่งขึ้น
"ปัญหาเกี่ยวกับเม็ดสีผิวเฉพาะจุด และปัญหาฝ้า กระ เป็นปัญหาด้านปัญหาผิวพรรณที่มีการสืบค้นข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตสูงมากปัญหาหนึ่งในประเทศไทย และเป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้คนไทยไปพบแพทย์ผิวหนัง" นายแพทย์ภูมิ วิสุทธิ์จินดากรณ์ ผู้เชี่ยวชาญผิวหนังกล่าว "ความผิดปกติของเม็ดสีผิวมักจะรุนแรงขึ้นเมื่อสัมผัสกับปริมาณรังสียูวีและระดับมลภาวะระดับสูง ปัจจุบันคนไทยมีความต้องการมีผิวที่สุขภาพดี มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ที่ซับซ้อนมากขึ้น และมีความสนใจเกี่ยวกับข้อมูลทางด้านวิทยาศาสตร์และทางเทคนิคของส่วนผสมอยู่ในผลิตภัณฑ์ดูแลผิว และพัฒนาวิธีการดูแลผิวในหลากหลายขั้นตอนมากขึ้น"
เมลานินมีหน้าที่สำคัญในการแสดงโทนสีผิวจึงทำให้สีผิวของมนุษย์มีความหลากหลายแตกต่างกันไป ซึ่งเมื่อผิวถูกแสงแดด ร่างกายจะผลิตเมลานินเพิ่มขึ้นเพื่อปกป้องเซลล์ผิว การผลิตเมลานินที่มากหรือน้อยกว่าปกติเกิดได้จากหลายปัจจัย และอาจก่อให้เกิดปัญหาเม็ดสีผิวเฉพาะจุด เช่น จุดด่างดำแห่งวัยและรอยดำจากสิว ผลิตภัณฑ์จากแบรนด์ของลอรีอัล กรุ๊ป ที่มีเมลาซิลเป็นส่วนประกอบจะเข้ามาช่วยลดเลือนจุดด่างดำที่เกิดขึ้น รวมถึงรอยดำฝังลึก* เป็นปัญหากวนใจ ด้วยประสิทธิภาพและความปลอดภัยที่ได้รับการทดสอบแล้วในทางคลินิกครอบคลุมทุกโทนสีผิว
ลอรีอัล กรุ๊ป เป็นผู้นำในแวดวงวิทยาการก้าวหน้าทางความงามมาเป็นเวลากว่าหนึ่งศตวรรษ บริษัทได้ทุ่มเทศึกษาค้นคว้าเรื่องเม็ดสีผิวมาเป็นเวลาถึง 35 ปี เมลาซิลได้รับการนำเสนอครั้งแรกที่การประชุมแพทย์ผิวหนังโลก (World Congress of Dermatology) ประจำปี 2566 ที่สิงคโปร์ พร้อมกับผลการศึกษาทั่วโลกครั้งแรกเกี่ยวกับความผิดปกติของสีผิวในทางระบาดวิทยา และเมื่อไม่นานมานี้ เมลาซิลยังถูกพูดถึงในการประชุมใหญ่ประจำปีของสมาคมแพทย์ผิวหนังอเมริกา (American Academy of Dermatology) ในเมืองซานดิเอโก ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
ข้อมูลนวัตกรรมระดับโลกอื่นๆ จากลอรีอัล กรุ๊ป
Mexoryl 400: ภายหลังจากที่ได้พัฒนาและค้นคว้าวิจัยสารกันแดด“เม็กโซริล 400” (Mexoryl 400) มาเป็นเวลา 10 ปี พร้อมด้วยสิทธิบัตร 25 ฉบับ ลอรีอัลได้ปฏิวัตินวัตกรรมครีมกันแดดครั้งสำคัญที่สุดในรอบ 30 ปี ในปี 2565 ด้วยการเปิดตัว “ยูวีมูน 400” (UVMUNE 400) ที่มีส่วนผสมของเม็กโซริล 400 เทคโนโลยีกันแดดตัวแรกจากแผนกวิจัยและนวัตกรรมของลอรีอัล (L'Oréal R&I) ที่สามารถปกป้องผิวจากรังสียูวีช่วงยาวในช่วงคลื่น 380-400 นาโนเมตร หรือ Ultra-Long UVA ซึ่งคิดเป็น 30% ของรังสียูวีทั้งหมด รังสียูวีเอช่วงยาวเป็นสาเหตุของภาวะความเครียดจากออกซิเดชั่น จุดด่างดำ การเปลี่ยนแปลงของยีนที่เกี่ยวข้องกับโรคมะเร็งผิวหนัง อีกทั้งยังขัดขวางการตอบสนองของภูมิคุ้มกัน ทำให้ผิวถูกทำลายจากมลภาวะทางแสง และยังทำให้เกิดสัญญาณแห่งวัย เช่น ริ้วรอย ความหย่อนคล้อย และจุดด่างดำ โดย “ลา โรช-โพเซย์” (La Roche-Posay) เป็นแบรนด์แรกของลอรีอัลที่เปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของยูวีมูน 400 ในกลุ่มผลิตภัณฑ์กันแดด “แอนเทลิโอส” (ANTHELIOS)
EpiSkin ผิวหนังจำลอง: ลอรีอัลมุ่งมั่นสร้างสรรค์ความงามโดยปราศจากการทดลองในสัตว์ เราจึงไม่ทดลองผลิตภัณฑ์หรือส่วนผสมกับสัตว์ ลอรีอัลยังเป็นบริษัทรายแรก ๆ ที่ใช้วิธีการทดลองแบบทางเลือกมาเป็นเวลากว่า 40 ปี โดยในช่วงระยะเวลากว่า 40 ปีนี้ บริษัทได้บุกเบิกการพัฒนาแบบจำลองผิวมนุษย์ที่สร้างขึ้นมาใหม่ หรือที่เรียกว่า เอพิสกิน (EpiSkin) เพื่อใช้ประเมินผลิตภัณฑ์และส่วนผสมเครื่องสำอางว่าจะส่งผลอย่างไรต่อผิวของมนุษย์ โดยเราได้พัฒนาแบบจำลองผิวมนุษย์ที่สร้างขึ้นมาใหม่ในห้องปฏิบัติการเอพิสกินหลายแห่ง ทั้งในประเทศฝรั่งเศส จีน และบราซิล
ข้อมูลนวัตกรรมระดับโลกอื่นๆ จากลอรีอัล กรุ๊ป ภูมิภาค SAPMENA (เอเชียแปซิฟิกใต้ ตะวันออกกลาง และแอฟริกาเหนือ)
Bright Complete Vitamin C Booster Serum: SAPMENA เป็นภูมิภาคที่กว้างใหญ่และมีความหลากหลายอย่างมากในแง่ของประเภทเส้นผมและสีผิว จากระบบการจำแนกสีผิวทั่วโลกโดยพิจารณาจากสีผิวและการตอบสนองต่อแสงแดดนั้น มีการแบ่งระดับของสีผิวออกเป็น 6 ระดับ และทั้ง 6 ระดับนี้สามารถพบได้ในภูมิภาค SAPMENA ซึ่งหมายความว่า ลอรีอัลสามารถถอดรหัสความหลากหลายและคิดค้นโซลูชันที่ครอบคลุมมากที่สุด เหมาะสำหรับทุกสีผิวและทุกสภาพผิว เราได้สร้างสรรค์นวัตกรรมที่ก้าวล้ำเพื่อตอบสนองความงามที่ครอบคลุมทุกความแตกต่างมากที่สุด และในปัจจุบัน นวัตกรรมที่ถือกำเนิดขึ้นในภูมิภาค SAPMENA กำลังได้รับความนิยมไปทั่วโลก หนึ่งในตัวอย่างของความสำเร็จ คือ ไบรท์ คอมพลีท วิตามินซี บูสเตอร์ เซรั่ม (Bright Complete Vitamin C Booster Serum) จากการ์นิเย่ (Garnier) ซึ่งถูกคิดค้นและพัฒนาในภูมิภาค SAPMENA เพื่อตอบสนองความต้องการสำหรับผิวพรรณที่กระจ่างใสไร้จุดด่างดำ เซรั่มสูตรนี้ประกอบด้วยส่วนผสมจากธรรมชาติอันทรงประสิทธิภาพอย่างวิตามินซี ซึ่งมีประสิทธิภาพยาวนาน 3 วัน เหมาะสำหรับทุกสภาพผิวและทุกสีผิว โดยเปิดตัวครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อปี 2562 ก่อนที่จะขยายไปยังเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และยุโรป
[1] โครงการวิจัยระดับบุกเบิก โดยลา โรช-โพเซย์ ได้ทำการศึกษากับอาสาสมัคร 48,000 รายใน 34 ประเทศ ซึ่งได้รับเลือกให้เป็นข่าวเด่น (breaking news) ในงานประชุมแพทย์ผิวหนังโลกที่ประเทศสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2566 *ผิวชั้นนอก