สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับกลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย (Dow) จัดทำ “แพลตฟอร์ม EF ปี 2567: ร่วมด้วยช่วยกันสร้างทักษะสมอง EF เด็กไทย (Platform EF: Building Brains EF Together)” ซึ่งเป็นช่องทางการเผยแพร่และแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และเสริมสร้างความเข้าใจในการพัฒนาเด็กด้วยทักษะสมองอีเอฟ (Executive Functions) โดยมุ่งเน้นให้ครู นักวิชาการสาธารณสุข ผู้ปกครอง และผู้สนใจทั่วไปมีโอกาสเข้าถึงสื่อการเรียนรู้และการเสวนาจากนักวิขาการผู้ทรงคุณวุฒิของไทย ที่สามารถนำไปปรับใช้ในการเลี้ยงดูบุตรหลานให้เติบโตเป็น ‘คนดี’ และ ‘คนเก่ง’ ขยายผลการพัฒนาพลเมืองคุณภาพที่พร้อมจะขับเคลื่อนประเทศชาติในอนาคต
ทักษะสมองอีเอฟ (Executive Functions) เป็นการทำงานของสมองส่วนหน้าที่ส่งผลเกี่ยวกับความจำ การเรียนรู้ การทำงาน (Working Memory) การควบคุมตนเอง ยับยั้งชั่งใจ (Inhibitory Control) ความยืดหยุ่น และปรับตัวแก้ปัญหาได้เอง (Cognitive Flexibility) พัฒนาได้ดีที่สุดในช่วงปฐมวัยตั้งแต่แรกเกิดถึง 6 ขวบ หากได้รับการส่งเสริมและพัฒนาอย่างเหมาะสมจากครอบครัว จะทำให้เด็กเติบโตขึ้นเป็น ‘คนดี’ และ ‘คนเก่ง’ ของสังคม มีภูมิต้านทานชีวิต และป้องกันปัญหาสังคมเชิงรุก อาทิ ยาเสพติด ติดเกม ท้องก่อนวัยอันควร ปัญหาความรุนแรงต่างๆ เป็นต้น
รศ. นพ. อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า “สถาบันมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์นวัตกรรมและความร่วมมือในการพัฒนาและคุ้มครองเด็ก เยาวชน และครอบครัว เพื่อนำไปสู่สังคมที่เป็นธรรมและยั่งยืน ผ่านการใช้ประโยชน์จากการวิจัยวิชาการ รวมทั้งสร้างพื้นที่แห่งการเรียนรู้ สุขภาพ และปลอดภัยที่เหมาะสมกับเด็ก นอกจากนี้ยังมีการเผยแพร่องค์ความรู้ในวงกว้างและขับเคลื่อนองค์ความรู้สู่สังคมทั้งในภาครัฐและเอกชน เพื่อส่งเสริมการวางนโยบายการพัฒนาเยาวชนให้เติบโตด้วย EF ซึ่งเป็นทักษะที่ช่วยให้เด็กมีการควบคุมอารมณ์ ความคิด และการกระทำที่เป็นไปตามเป้าหมาย และมุ่งสู่พฤติกรรมที่เป็นประโยชน์ เกิดความเข้าใจและการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อเด็กและสังคมในอนาคต”
นางภรณี กองอมรภิญโญ ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย กล่าวว่า “Dow เป็นบริษัทวิทยาศาสตร์ที่มีความเชื่อมั่นในการพัฒนาทักษะสมองของเยาวชนให้เป็นคนดีและคนเก่ง ซึ่งจะนำไปสู่การป้องกันปัญหาสังคมและส่งเสริมการสร้างสรรค์นวัตกรรมของคนไทยในอนาคต เราจึงดำเนินโครงการ ดาว-อีเอฟ พัฒนาเยาวชนสู่ความสำเร็จ เพื่อพัฒนาสมองส่วนหน้าของเยาวชนไทยมาตลอด 9 ปี โดยเริ่มต้นที่จังหวัดระยอง ตั้งแต่ปี 2559 และขยายผลสำเร็จสู่กรุงเทพมหานครในปีที่ผ่านมา เราจึงมีความยินดีที่ได้ร่วมสนับสนุนร่วมกับสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล ในการจัดทำแพลตฟอร์มการเรียนรู้ EF แบบออนไลน์ เพื่อเปิดโอกาสและขยายองค์ความรู้ในการอบรมเลี้ยงดูบุตรหลานให้เป็นคนดีและคนเก่งตามแนวทาง EF ให้กับผู้ปกครองและคุณครูทั่วประเทศที่สนใจ ซึ่งจะช่วยสร้างเยาวชนที่มีคุณภาพเพื่อการพัฒนาประเทศไทยต่อไป”
แพลตฟอร์ม EF ปี 2567 ร่วมด้วยช่วยกันสร้างทักษะสมอง EF เด็กไทย จะมีกิจกรรมและการอบรมฟรีจากนักวิขาการผู้ทรงคุณวุฒิทั้งในรูปแบบ online และ on-site เดือนละ 1 ครั้ง รวม 12 หัวข้อ โดยเน้นไปที่การพัฒนาทักษะ EF สำหรับเด็กปฐมวัย ซึ่งคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมอย่างน้อย 1,000 คนต่อครั้ง หรือตลอดปีไม่น้อยกว่า 12,000 คนทั่วประเทศ ท่านที่สนใจสามารถสมัครเรียนฟรีผ่านระบบสมาชิกเครือข่ายของสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัวได้ หรือดูงานเสวนาย้อนหลังได้ที่ https://nicfd-member.mahidol.ac.th/course/detail/275 หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่กลุ่ม Line “แพลตฟอร์ม EF”
สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับกลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย (Dow) จัดทำ “แพลตฟอร์ม EF ปี 2567: ร่วมด้วยช่วยกันสร้างทักษะสมอง EF เด็กไทย (Platform EF: Building Brains EF Together)” ซึ่งเป็นช่องทางการเผยแพร่และแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และเสริมสร้างความเข้าใจในการพัฒนาเด็กด้วยทักษะสมองอีเอฟ (Executive Functions) โดยมุ่งเน้นให้ครู นักวิชาการสาธารณสุข ผู้ปกครอง และผู้สนใจทั่วไปมีโอกาสเข้าถึงสื่อการเรียนรู้และการเสวนาจากนักวิขาการผู้ทรงคุณวุฒิของไทย
ทักษะสมองอีเอฟ (Executive Functions) เป็นการทำงานของสมองส่วนหน้าที่ส่งผลเกี่ยวกับความจำ การเรียนรู้ การทำงาน (Working Memory) การควบคุมตนเอง ยับยั้งชั่งใจ (Inhibitory Control) ความยืดหยุ่น และปรับตัวแก้ปัญหาได้เอง (Cognitive Flexibility) พัฒนาได้ดีที่สุดในช่วงปฐมวัยตั้งแต่แรกเกิดถึง 6 ขวบ หากได้รับการส่งเสริมและพัฒนาอย่างเหมาะสมจากครอบครัว จะทำให้เด็กเติบโตขึ้นเป็น ‘คนดี’ และ ‘คนเก่ง’ ของสังคม มีภูมิต้านทานชีวิต และป้องกันปัญหาสังคมเชิงรุก อาทิ ยาเสพติด ติดเกม ท้องก่อนวัยอันควร ปัญหาความรุนแรงต่างๆ เป็นต้น
รศ. นพ. อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า “สถาบันมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์นวัตกรรมและความร่วมมือในการพัฒนาและคุ้มครองเด็ก เยาวชน และครอบครัว เพื่อนำไปสู่สังคมที่เป็นธรรมและยั่งยืน ผ่านการใช้ประโยชน์จากการวิจัยวิชาการ รวมทั้งสร้างพื้นที่แห่งการเรียนรู้ สุขภาพ และปลอดภัยที่เหมาะสมกับเด็ก นอกจากนี้ยังมีการเผยแพร่องค์ความรู้ในวงกว้างและขับเคลื่อนองค์ความรู้สู่สังคมทั้งในภาครัฐและเอกชน เพื่อส่งเสริมการวางนโยบายการพัฒนาเยาวชนให้เติบโตด้วย EF ซึ่งเป็นทักษะที่ช่วยให้เด็กมีการควบคุมอารมณ์ ความคิด และการกระทำที่เป็นไปตามเป้าหมาย และมุ่งสู่พฤติกรรมที่เป็นประโยชน์ เกิดความเข้าใจและการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อเด็กและสังคมในอนาคต”
นางภรณี กองอมรภิญโญ ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย กล่าวว่า “Dow เป็นบริษัทวิทยาศาสตร์ที่มีความเชื่อมั่นในการพัฒนาทักษะสมองของเยาวชนให้เป็นคนดีและคนเก่ง ซึ่งจะนำไปสู่การป้องกันปัญหาสังคมและส่งเสริมการสร้างสรรค์นวัตกรรมของคนไทยในอนาคต เราจึงดำเนินโครงการ ดาว-อีเอฟ พัฒนาเยาวชนสู่ความสำเร็จ เพื่อพัฒนาสมองส่วนหน้าของเยาวชนไทยมาตลอด 9 ปี โดยเริ่มต้นที่จังหวัดระยอง ตั้งแต่ปี 2559 และขยายผลสำเร็จสู่กรุงเทพมหานครในปีที่ผ่านมา เราจึงมีความยินดีที่ได้ร่วมสนับสนุนร่วมกับสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล ในการจัดทำแพลตฟอร์มการเรียนรู้ EF แบบออนไลน์ เพื่อเปิดโอกาสและขยายองค์ความรู้ในการอบรมเลี้ยงดูบุตรหลานให้เป็นคนดีและคนเก่งตามแนวทาง EF ให้กับผู้ปกครองและคุณครูทั่วประเทศที่สนใจ ซึ่งจะช่วยสร้างเยาวชนที่มีคุณภาพเพื่อการพัฒนาประเทศไทยต่อไป”
แพลตฟอร์ม EF ปี 2567 ร่วมด้วยช่วยกันสร้างทักษะสมอง EF เด็กไทย จะมีกิจกรรมและการอบรมฟรีจากนักวิขาการผู้ทรงคุณวุฒิทั้งในรูปแบบ online และ on-site เดือนละ 1 ครั้ง รวม 12 หัวข้อ โดยเน้นไปที่การพัฒนาทักษะ EF สำหรับเด็กปฐมวัย ซึ่งคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมอย่างน้อย 1,000 คนต่อครั้ง หรือตลอดปีไม่น้อยกว่า 12,000 คนทั่วประเทศ ท่านที่สนใจสามารถสมัครเรียนฟรีผ่านระบบสมาชิกเครือข่ายของสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัวได้ หรือดูงานเสวนาย้อนหลังได้ที่ https://nicfd-member.mahidol.ac.th/course/detail/275 หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่กลุ่ม Line “แพลตฟอร์ม EF”
เมื่อเร็วๆ นี้ นายราฟาเอล กายูเอล่า นักเศรษฐศาสตร์ และ ประธาน European Chemical Association (CEFIC) Strategy Mid Century Project และผู้เขียนหนังสือ “The Future of the Chemical Industry by 2050” กล่าวกับผู้ร่วมสัมมนาระหว่างการบรรยาย “Global Perspective: Challenges and Opportunities for Business from the Net Zero” ในงานสัมมนา “The Fast Track to Net Zero” จัดโดยหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจและกลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย (Dow) ซึ่งเป็นผู้นำด้านวัสดุศาสตร์และอุตสาหกรรมเคมีระดับโลก
นี่คือโอกาสทางธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์การจัดการปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ซึ่งการลดคาร์บอน (Decarbonization) ไม่ใช่ประเด็นทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่เป็นโอกาสทางธุรกิจที่ยิ่งใหญ่และสามารถสร้างการเติบโตให้ธุรกิจได้จริง
นายกายูเอล่าอธิบายว่า ตอนนี้อุตสาหกรรมบางกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการลดคาร์บอนและการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนมีการเติบโตสูงอยู่แล้ว เช่น ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจพลังงานหมุนเวียนเติบโตปีละ 50% ขณะที่ธุรกิจผลิตภัณฑ์โปรตีนทางเลือกเติบโตประมาณ 85% ส่วนธุรกิจการเงินการลุงทุนที่ยั่งยืน และอีกหลายอุตสาหกรรมก็เติบโตอย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน
เนื่องจากการปล่อยคาร์บอนจำนวนมหาศาลมาจากอุตสาหกรรมเคมี อุตสาหกรรมนี้คือกุญแจสำคัญที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่เป้าหมายการปลดปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์
“อุตสาหกรรมเคมีมีบทบาทสำคัญ เนื่องจากเป็นต้นน้ำของอุตสาหกรรมอื่นๆ จึงมีส่วนในการปล่อยคาร์บอนถึง 77% ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และ 80% ในอุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐาน ยานยนต์ อาหาร แฟชั่น และบรรจุภัณฑ์ ดังนั้น หากต้องการลดการปล่อยคาร์บอนให้เหลือศูนย์ อุตสาหกรรมเคมีคือกุญแจของการปฏิรูปสำหรับทุกอุตสาหกรรมใน Value Chain ความสำเร็จของอุตสาหกรรมเคมีจึงหมายถึงความสำเร็จของมวลมนุษยชาติด้วย”
นายกายูเอล่า ในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมเคมีสรุปทิ้งท้ายว่า อุตสาหกรรมเคมีมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างนวัตกรรมสำคัญในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา ต่อเนื่องมาถึงยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ในปัจจุบัน ที่อุตสาหกรรมเคมีจะฟื้นฟูสมดุลระหว่างธรรมชาติและมนุษย์ รวมถึงร่วมสร้างและออกแบบอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับทุกคน
นายกายูเอล่าย้ำว่า อุตสาหกรรมเคมีกำลังเดินหน้าสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง สู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน โดยมีผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ผลิตภายใต้กระบวนการหมุนเวียนมากขึ้น และบางส่วนผลิตภายใต้ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนเต็มรูปแบบแล้ว อีกทั้งมีการใช้วัสดุที่ปลอดภัยและดีต่อสุขภาพมากขึ้น เพื่อมุ่งพัฒนาสู่ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมในที่สุด
“เรากำลังก้าวสู่การค้นพบใหม่ๆ และการออกแบบเพื่อความยั่งยืน เมื่อเรานำทุกอย่างมารวมกัน ก็จะเป็นโอกาสการเติบโตครั้งยิ่งใหญ่ของโมเดลธุรกิจนี้ จึงขึ้นอยู่กับเราทุกคนที่จะร่วมมือกันเพื่อทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด”
นายกายูเอล่า กล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้ประกอบธุรกิจ อุตสาหกรรม และประเทศ ที่สามารถบริหารจัดการคาร์บอนได้ดีจะเป็นผู้ชนะในอนาคต ในขณะที่หากใครไม่สามารถบริหารจัดการและขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านด้านนี้ได้ ก็จะหายไปจากวงการ
ทั้งนี้ เมื่อเร็วๆ นี้ รัฐบาลของหลายประเทศ เช่น ชาติสมาชิกกลุ่มสหภาพยุโรป (อียู) สหรัฐอเมริกาและประเทศจีน ได้ประกาศคำมั่นสัญญาครั้งสำคัญ คือ ตั้งเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (carbon neutral nation) ให้ได้ในปี ค.ศ. 2050 ส่วนจีนตั้งเป้าหมายไว้ที่ปี ค.ศ. 2060
นายกายูเอล่ามีความเห็นว่า ปัจจุบันกฎระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการปล่อยคาร์บอนเริ่มขับเคลื่อนจากด้านอุปทานมาครอบคลุมด้านอุปสงค์ด้วย อีกทั้งโดยพื้นฐานแล้ว ผู้บริโภคจะมีบทบาทในการสร้างการเปลี่ยนแปลงและสร้างความต้องการ รวมถึงสร้างตลาดพรีเมี่ยมสำหรับสินค้าที่ให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยคาร์บอน ซึ่งบริษัทผู้ประกอบการและอุตสาหกรรมที่สามารถปรับเปลี่ยนตามทิศทางนี้ได้ ก็จะได้รับประโยชน์ ส่วนธุรกิจหรืออุตสาหกรรมที่ไม่สามารถทำได้ ก็จะเสียเปรียบและไม่ได้รับการยอมรับ
นายกายูเอล่า กล่าวว่า หลายประเทศทั่วโลกให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิกาศ และพลังขับเคลื่อนที่สำคัญคือ ยุโรปได้ออก “European Green Deal” เป็นกรอบการดำเนินงานเพื่อรับมือกับวิกฤติการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศของโลก ซึ่งเป็นแนวปฏิบัติที่มีรายละเอียดครอบคลุมมากที่สุดฉบับหนึ่งของโลก โดยมุ่งเน้นเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
“จะได้เห็นว่า (ภายใต้ European Green Deal) มีการตรากฎหมายทุกรูปแบบที่ส่งเสริมและเร่งการปฏิรูปเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ในปี ค.ศ. 2050 และลดการปล่อยคาร์บอนลง 55% ภายในปี ค.ศ. 2030”