December 05, 2025

ตลาดหุ้นฮ่องกงกลายเป็นที่หมายปองของบริษัทจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในการจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์เพื่อระดมทุนหรือ IPO โดยในช่วงครึ่งปีแรกนี้ตลาดหุ้นฮ่องกงขึ้นครองอันดับหนึ่งของโลกในฐานะตลาด IPO ด้วยมูลค่า IPO รวมกว่า 13,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (กว่า 4 แสนล้านบาท) ประกอบกับ Hong Kong Exchanges and Clearing Limited (HKEX) ผู้ให้บริการตลาดหลักทรัพย์ในศูนย์กลางการเงินแห่งเอเชียแห่งนี้ ได้ปฏิรูปกรอบการดำเนินงานและกฎเกณฑ์การจดทะเบียนบริษัทหลายประการ ทำให้สามารถขับเคลื่อนกิจกรรมการระดมทุนได้อย่างทรงพลังและต่อเนื่อง

Innovative Food and Beverage Holding (IFBH) Limited ผู้ผลิตเครื่องดื่มของไทยได้ จดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง เสร็จสิ้นไปเมื่อวันที่ 30 มิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการจดทะเบียนแบบ Primary Listing เพื่อซื้อขายในกระดานหลัก ทั้งนี้ บริษัท IFBH Limited ได้ระดมทุนไปแล้วกว่า 140 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (กว่า 4,500 ล้านบาท) IFBH Limited กลายเป็นหนึ่งในบริษัทจำนวนร้อยกว่าแห่งจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่จดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ซึ่งทำให้สามารถเข้าถึงตลาดทุนที่มีสภาพคล่องสูง โดยหากดูสัดส่วนบริษัทจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นับตั้งแต่ปี 2557 ถึง 2566 จะพบว่า จากบริษัททั้งหมด 163 แห่งที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศ มีจำนวนถึง 83 แห่งที่เลือกจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง (ข้อมูลจากรายงานวิจัยร่วมระหว่าง DealStreetAsia และ HKEX)

 

ตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการซื้อขายและระดมทุนที่คึกคักที่สุดในเอเชีย ด้วยมูลค่าการซื้อขาย เฉลี่ยต่อวัน (ADT: average daily turnover) มากกว่า 30,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณหนึ่งล้านล้านบาท) นับตั้งแต่ต้นปี หนึ่งในห้าของปริมาณการซื้อขายมาจากนักลงทุนในจีนแผ่นดินใหญ่ผ่านระบบ “Stock Connect” ที่เชื่อมโยงกับตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้น

Stock Connect เป็นระบบการซื้อขายระหว่างตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง และตลาดหลักทรัพย์จีนแผ่นดินใหญ่ (เซี่ยงไฮ้ และ เซินเจิ้น) ช่วยให้นักลงทุนจากทั้งสองตลาดสามารถซื้อขายหุ้นของอีกฝ่ายได้ ระบบ Stock Connect ทำให้ฮ่องกงเป็นตลาดสากลเพียงแห่งเดียวที่นักลงทุนทั่วโลกและนักลงทุนจากจีนแผ่นดินใหญ่สามารถซื้อขายหุ้นร่วมกันได้โดยตรง บริษัทต่างชาติที่จดทะเบียนเข้าตลาดหุ้นฮ่องกงมีสิทธิ์ระดมทุนจากระบบ Stock Connect ได้ก็ต่อเมื่อผ่านเกณฑ์ที่กำหนด

นอกเหนือจากการจดทะเบียนหลักทรัพย์หลักหรือ Primary Listing HKEX ยังเปิดรับจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์รอง หรือ Secondary Listing สำหรับบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดอื่นเป็นตลาดแรกไปแล้ว การจดเทะเบียนแบบ Secondary Listing เป็นการเปิดช่องทางระดมทุนเพิ่มเติม โดยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การที่ HKEX ให้การยอมรับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซีย (IDX) ในฐานะ “ตลาดหลักทรัพย์ที่ได้รับการยอมรับ” (RSE: Recognised Stock Exchanges) ทำให้บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดทั้งสองแห่งนี้เป็นตลาดแรกไปแล้ว สามารถ จดทะเบียนแบบ Secondary Listing หรือจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงเป็นตลาดรองเพื่อเข้าถึงนักลงทุนต่างชาติเพิ่มขึ้นได้

การจดทะเบียนแบบ Secondary Listing มีข้อกำหนดด้านกฎระเบียบน้อยกว่าและต้นทุนที่ต่ำกว่า เมื่อเทียบกับการจดทะเบียนแบบ Primary Listing และยังสามารถเข้าถึงฐานนักลงทุนขนาดใหญ่หลากหลายกลุ่มในตลาดฮ่องกงได้เช่นกัน บางบริษัทเริ่มจากจดเข้า Secondary Listing ก่อน แล้วแปลงสถานะย้ายมาจดเข้า primary listing ในภายหลัง เพื่อให้ได้สิทธิ์เข้าสู่การซื้อขายผ่าน Stock Connect ทั้งนี้ จากสถิติของ HKEX พบว่า บริษัทที่มีสิทธิ์เข้าถึงนักลงทุนจีนโดยผ่านระบบ Stock Connect มักจะมีมูลค่าการซื้อขายหุ้นต่อวันที่สูงขึ้น โดยบริษัทที่จดทะเบียนหลักที่ตลาดหุ้นฮ่องกง หรือ Primary Listing จะสามารถเข้าถึงนักลงทุนจากประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ได้

 

คำอธิบายภาพ - ฮ่องกงครองอันดับหนึ่งของโลกในฐานะแหล่งระดมทุนผ่าน IPO ในครึ่งแรกของปี 2568

แหล่งเงินทุนในฮ่องกงไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะการระดมทุนผ่าน IPO เท่านั้น แต่ยังมีตลาดรองที่มีสภาพคล่องสูง ซึ่งเอื้อต่อการระดมทุนเพิ่มเติมในอนาคตอีกด้วย (follow-on fundraising) ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 บริษัทจดทะเบียนในฮ่องกงสามารถระดมทุนเพิ่มเติมรวมกันแล้วมากกว่า 30,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณหนึ่งล้านล้านบาท) โดยกว่าหนึ่งในสามของธุรกรรมทั้งหมดในตลาดตราสารทุนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก อยู่ที่ฮ่องกงนี้เอง ตอกย้ำสถานะของฮ่องกงในฐานะศูนย์กลางการเงินระหว่างประเทศชั้นนำของภูมิภาค

นอกจากนี้ การปฏิรูปกฎระเบียบการจดทะเบียนหลักทรัพย์ช่วงปี 2561 ทำให้บริษัทกลุ่ม “new economy” มองฮ่องกงเป็นแหล่งระดมทุนอันดับแรก ๆ โดยจากสถิติพบว่าบริษัทในกลุ่มธุรกิจสุขภาพ (healthcare) เทคโนโลยี สื่อ และโทรคมนาคม (TMT) มากกว่า 350 ราย นับรวมกันแล้วสามารถระดมทุนได้มากกว่า 135,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 4.4 ล้านล้านบาท) และล่าสุดทาง HKEX ได้ต่อยอดความสำเร็จนี้ด้วยการเพิ่มบทบัญญัติ (chapter) บทใหม่เข้าไปในกฎเกณฑ์การจดทะเบียนบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ ให้รองรับธุรกิจในกลุ่ม “เทคโนโลยีเฉพาะทาง” (Specialist Technology) เป็นการเฉพาะตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา เช่นธุรกิจด้านปัญญาประดิษฐ์ พลังงานรูปแบบใหม่ และวัสดุขั้นสูง ดังนั้น ตลาดหุ้นฮ่องกงจึงนับได้ว่ามีระบบนิเวศที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วสำหรับบริษัทกลุ่ม new economy พร้อมดึงดูดนักลงทุนจากทั่วโลกที่มองหาโอกาสการลงทุนและการเติบโตใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงได้ทางเว็บไซต์ HKEX

หลังจากที่ SCB WEALTH ร่วมจับมือกับ BlackRock พันธมิตรผู้นำระดับโลกด้านการจัดการสินทรัพย์ เร่งคัดสรรผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับนักลงทุนไทยในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนสม่ำเสมอในระยะยาว เพื่อให้เงินทำงานอย่างแท้จริงด้วยการลงทุนแบบ Multi-Asset โดยธนาคารขอนำเสนอกองทุน SCBGMCORE ซึ่งจัดตั้งโดยบลจ.ไทยพาณิชย์ เสนอขายครั้งแรก(IPO) ระหว่างวันที่ 2 – 9 เมษายนนี้ เงินลงทุนขั้นต่ำ 1,000 บาท โดยธนาคารไทยพาณิชย์เป็นตัวแทนจำหน่าย และสามารถลงทุนผ่าน SCB Easy ได้ กองทุนนี้อยู่ภายใต้การบริหารจัดการเงินลงทุนของ BlackRock นโยบายเน้นลงทุนในกองทุน ETFในสัดส่วน75%กระจายลงทุนใน หุ้น ตราสารหนี้ ทองคำ REITและTIPs ส่วนอีก 25% ลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกที่มีสภาพคล่องสูงที่ใช้กลยุทธ์แบบ Absolute Return ช่วยกระจายความเสี่ยงและลดความผันผวนของพอร์ต มีโอกาสสร้างผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอ กองทุนบริหารแบบเชิงรุก พอร์ตลงทุนมีความยืดหยุ่นสูง นอกจากนี้ กองทุนมีกระบวนการควบคุมความผันผวน ช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนในทุกสภาวะตลาด

นายศรชัย สุเนต์ตา, CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Wealth & Investment Product กลุ่มธุรกิจ Consumer Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า นโยบายด้านเศรษฐกิจ และการเมืองระหว่างประเทศ มีแนวโน้ม สร้างความท้าทายให้กับโลกการลงทุนในปี 2568 และส่งผลให้สินทรัพย์ต่างๆ มีความผันผวนสูงขึ้น ซึ่งการจัดพอร์ตลงทุนแบบดั้งเดิม ที่แบ่งสัดส่วนเงิน 60% ลงทุนในหุ้น และ40% ลงทุนในตราสารหนี้ อาจจะไม่เพียงพอรับมือกับความผันผวน จึงแนะนำให้เพิ่มการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก เพื่อกระจายความเสี่ยงและควบคุมความผันผวนของพอร์ตลงทุนได้ดีขึ้น

จากที่ SCB WEALTH ได้ประกาศความร่วมมือกับ BlackRock ในการพัฒนาโซลูชันการลงทุนให้นักลงทุนไทยได้เข้าถึงการลงทุนระดับโลกที่มีคุณภาพ มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวอย่างสม่ำเสมอ จึงเป็นโอกาสที่ดีในการเสนอกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ SCB Global Multi-Asset Core Portfolio หรือ SCBGMCORE ภายใต้การบริหารจัดการของ BlackRock โดยมีบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด(SCBAM) เป็นผู้จัดตั้งกองทุน เสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) ระหว่างวันที่ 2-9 เมษายนนี้ เงินลงทุนขั้นต่ำ 1,000 บาท มูลค่าหน่วยลงทุนละ 10 บาท โดยมีธนาคารไทยพาณิชย์เป็นตัวแทนจำหน่าย และสามารถลงทุนผ่านแอป SCB Easy ในพอร์ตลงทุนของผลิตภัณฑ์นี้สร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อลูกค้า SCB WEALTH โดยเฉพาะ แบบที่ไม่เคยมีการจัดสรรสินทรัพย์รูปแบบนี้ในไทยมาก่อน เพื่อเสริมสร้างเสถียรภาพการลงทุนในทุกสภาวะ ด้วยกลยุทธ์ที่ยืดหยุ่น ครอบคลุมทุกสินทรัพย์ลงทุนทั่วโลก

กองทุน SCBGMCORE มีนโยบายลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศ เช่น หน่วย CIS หน่วยของกองทุนอีทีเอฟ (ETF) ที่ลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆทั่วโลก รวมถึงกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ หน่วยทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์(REITs)และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน เป็นต้น ซึ่งการปรับส่วนลงทุนจะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุนตามความเหมาะสมของสถานการณ์ในแต่ละช่วงเวลา

ทั้งนี้ ในเบื้องต้นกองทุนจะลงทุนผ่านกองทุนรวมดัชนี (ETF)โดยจัดเป็น Diversified ETF Core ในสัดส่วน 75%กระจายการลงทุนผ่าน ETF จะมีสภาพคล่องสูง รองรับการปรับพอร์ตได้รวดเร็ว ลงทุนได้มากกว่า10 สินทรัพย์ เช่น หุ้น ตราสารหนี้ รวมถึงสินทรัพย์ทางเลือกอย่าง ทองคำ REITและTIPs เป็นต้น จะกระจายการลงทุนในกว่า100 ประเทศทั่วโลก กองทุนมีแนวทางการบริหารแบบเชิงรุก พอร์ตการลงทุนมีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับพอร์ตได้อย่างทันท่วงที ทันตามภาวะตลาด จากการวิเคราะห์ข้อมูลเศรษฐกิจเชิงลึกของทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ในการกำหนดปัจจัยและปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุน นอกจากนี้ กองทุนจะลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกที่มีสภาพคล่องสูง(Liquid Alternative)อีก25% ในกองทุนเรือธง (Flagship) ของ BlackRock ที่เป็นกลยุทธ์แบบ Absolute Return มีความสัมพันธ์ (Correlation) กับตลาดหุ้นโลกและตราสารหนี้ที่ต่ำ ช่วยกระจายความเสี่ยงลดความผันผวนให้กับพอร์ตลงทุนและมีส่วนช่วยเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนสม่ำเสมอได้ นอกจากนี้ กองทุนจะมีกระบวนการควบคุมความผันผวน (Volatility Control process) ทั้งในสภาวะตลาดปกติ และในสภาวะตลาดมีความผันผวนสูง

กองทุน SCBGMCORE เป็นกองทุนที่ใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบ Multi-Asset บริหารโดยทีมผู้เชี่ยวชาญการลงทุน จาก BlackRock ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค มากกว่า 500 คน การจัดพอร์ตโฟลิโอจะมุ่งเน้นการลงทุนในระยะยาว และสามารถปรับตัวให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจโลก และความผันผวนของตลาดได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ BlackRock ให้การสนับสนุนด้านการวิจัยการลงทุนและข้อมูลเชิงลึกให้กับ SCB WEALTH เพื่อช่วยให้ลูกค้าของธนาคารไทยพาณิชย์ มีข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนที่ดีขึ้น และเข้าใจถึงประโยชน์ที่แท้จริงของการลงทุนแบบ Multi- Asset

“SCB WEALTH มีความตั้งใจร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยให้ลูกค้าคนไทยประสบความสำเร็จกับเป้าหมายการลงทุนระยะยาว ขณะที่ BlackRock มีมุมมองการลงทุนระดับโลก ซึ่งเรามีแนวทางตรงกันในการบริหารพอร์ตลงทุน ภายใต้จุดสมดุลระหว่างการเติบโตและการควบคุมความเสี่ยง รวมทั้งการเปิดโอกาสให้คนไทยเข้าถึงสินทรัพย์การลงทุนที่หลากหลายมากขึ้น ซึ่งเราเชื่อว่า กองทุน SCBGMCORE จะช่วยเพิ่มโอกาสสร้างความยั่งยืนให้กับพอร์ตลงทุนของลูกค้าในระยะยาวได้ ขณะที่ การจัดสรรสินทรัพย์แบบ Multi-Asset โดยมี Diversified ETF Core ในสัดส่วน 75% และ Liquid Alternative อีก25% เป็นโซลูชันที่สร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อลูกค้า SCB WEALTH โดยเฉพาะ ยังไม่เคยมีการเปิดตัวการจัดสรรสินทรัพย์รูปแบบนี้ในไทยมาก่อน” นายศรชัย กล่าว

“บมจ.สโตนวัน หรือ STX” เคาะราคาขาย IPO ที่หุ้นละ 3.00 บาท เตรียมเปิดให้นักลงทุนจองซื้อวันที่ 18,19 และ 22 เมษายนนี้ มั่นใจนักลงทุนตอบรับดี จากปัจจัยพื้นฐานธุรกิจแข็งแกร่ง ชูจุดเด่นหินเป็นวัตถุดิบต้นน้ำของอุตสาหกรรมก่อสร้าง โดยโครงการเหมืองของบริษัทอยู่ในพื้นที่เศรษฐกิจที่มีการลงทุนต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมกะโปรเจ็กต์ EEC เงินระดมทุนครั้งนี้ ใช้ลงทุนในธุรกิจเหมืองหินและแร่ รวมทั้ง ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนรองรับโอกาสการเติบโตอย่างยั่งยืน เป็นผู้ประกอบการเหมืองหินอุตสาหกรรมเพื่อการก่อสร้างรายแรกที่เข้าจดทะเบียนในตลาด mai ปักธงเทรด 26 เมษายน 2567 หมวดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง

บริษัท สโตนวัน จำกัด (มหาชน) หรือ STX เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 65 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 21.16% ของจํานวนหุ้นที่ออกและเรียกชําระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ ได้แต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ ไอ วี โกลบอล จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย พร้อมด้วยผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอีก 3 ราย ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด

นายพงศ์ภัค สุทธิพงศ์ รองกรรมการผู้อำนวยการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ 2 บริษัทหลักทรัพย์ ไอ วี โกลบอล จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ บริษัท สโตนวัน จำกัด (มหาชน) หรือ STX เปิดเผยว่า ได้กำหนดราคาเสนอขาย IPO ของ STX ที่หุ้นละ 3.00 บาท จะเปิดให้นักลงทุนจองซื้อในวันที่ 18,19 และ 22 เม.ย. นี้ และคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 26 เมษายน 2567 ในหมวดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง

สำหรับราคาหุ้นสามัญที่เสนอขายหุ้นละ 3.00 บาท คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) เท่ากับ 19.10 เท่า โดยคำนวณกำไรสุทธิต่อหุ้นจากผลกำไรสุทธิในช่วง 4 ไตรมาสย้อนหลัง ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566 ทั้งนี้ STX พิจารณานำ P/E ของ คู่เทียบในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในช่วงระยะเวลา 12 เดือนย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566 มาเป็นข้อมูลประกอบการเปรียบเทียบ

ชู STX เป็นบริษัทชั้นนำ ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญกว่า 27 ปี ในธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์หินอุตสาหกรรมเพื่อการก่อสร้าง และยังมีจุดเด่นที่สำคัญ คือ มีฐานะการเงินที่มั่นคงแข็งแกร่ง โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ต่ำเพียง 0.18 เท่า และมีส่วนของทุนสูงถึงกว่า 600 ล้านบาท จึงมีศักยภาพสูงในการขยายธุรกิจ โดยภายหลังจากการระดมทุนจากการเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้ เพื่อสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นที่ยั่งยืนในระยะยาวต่อไป

นายทรงวุธ เวชชานุเคราะห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สโตนวัน จำกัด (มหาชน) หรือ STX กล่าวว่า การเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้ จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนจำนวนประมาณ 172.30 ล้านบาท (หลังหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง) เพื่อใช้เป็นเงินลงทุนในการขยายธุรกิจเหมืองหินและแร่ ในการเข้าซื้อเหมืองใหม่

และลงทุนในเครื่องจักร และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต จำนวนเงินที่ใช้โดยประมาณ 150 ล้านบาท

นอกจากนี้ นำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการดำเนินธุรกิจ จำนวนเงินที่ใช้โดยประมาณ 22.30 ล้านบาท เพื่อสร้างความยั่งยืนในอนาคต และมั่นใจว่าหลังจากระดมทุนครั้งนี้ จะสนับสนุนฐานทุนบริษัทให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เตรียมพร้อมสำหรับขยายไปยังโอกาสใหม่ๆ ให้ผู้ถือหุ้นทุกท่านร่วมเติบโตไปกับเรา

โดย STX วางเป้าหมายที่จะขยายแหล่งวัตถุดิบและการผลิตในอนาคต ต่อยอดธุรกิจหินอุตสาหกรรมเพื่อการก่อสร้างให้ครอบคลุมทุกภูมิภาคของประเทศไทย โดยการเข้าลงทุนในธุรกิจเหมืองหินที่เปิดดำเนินการอยู่แล้ว หรือการพัฒนาเหมืองหินใหม่ ซึ่งอยู่ในที่ตั้งที่เหมาะสม พร้อมด้วยเจตนารมณ์การทำเหมืองอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยสร้างผลกำไรอย่างต่อเนื่องให้แก่ผู้ถือหุ้น ด้วยหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยบริษัทได้รับรางวัลมาตรฐานความรับผิดชอบต่อสังคมของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมแร่ (CSR-DPIM) รางวัลเหมืองแร่สีเขียว (Green Mining) มาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2556 และรางวัล Green Industry อุตสาหกรรมสีเขียวระดับที่ 3 ระบบสีเขียว (Green System) การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบ มีการติดตามประเมินผล และทบทวนเพื่อการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการสร้างคุณค่าอย่างยั่งยืนให้กับผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน

สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2566 บริษัทฯ มีกําไรสุทธิ 38.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 16.48 ล้านบาท หรือ 76.5% สาเหตุหลักจากการเติบโตของรายได้ที่เพิ่มขึ้นในปี 2566 มีรายได้รวม 371.29 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 32.8% โดยปัจจัยที่ช่วยผลักดันการเติบโตดังกล่าวมาจากรายได้การขายหินแกรนิต 20 มม. ของเหมืองหนองข่าสำหรับอุตสาหกรรมก่อสร้าง กลับมาทําการผลิตดังเดิม รวมทั้ง ผลิตภัณฑ์ใหม่ของบริษัทที่เหมืองจอมบึงที่เป็นโดโลไมต์ผง โดยมีการจําหน่ายให้กับลูกค้าในอุตสาหกรรมกระจกและอุตสาหกรรมซีเมนต์ ซึ่งเป็นสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม (Valued added) และเป็นการเพิ่มฐานลูกค้าไปยังอุตสาหกรรมที่หลากหลายมากขึ้น สนับสนุนอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 31.26% อัตรากำไรสุทธิ 10.24%

ทั้งนี้ ปัจจุบัน STX ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์หินอุตสาหกรรมเพื่อการก่อสร้าง และแร่โดโลไมต์ รวมทั้ง การให้บริการขนส่ง ให้บริการด้านขนส่งสินค้าให้แก่ลูกค้าที่ไซต์งานอย่างครบวงจร ปัจจุบัน บริษัทและบริษัทย่อย มีเหมืองหิน 2 แห่ง ประกอบด้วย เหมืองหนองข่า (ผลิตและจำหน่ายหินแกรนิต) ตั้งอยู่ที่ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี และเหมืองจอมบึง (ผลิตและจำหน่ายหินปูนและแร่โดโลไมต์) ตั้งอยู่ที่ อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี โดยเหมือนหินทั้ง 2 ที่ของบริษัท ระยะทางห่างกันเกินกว่า 150 กิโลเมตร ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ทางด้านการขายของบริษัท โดยเหมืองหินแกรนิตซึ่งตั้งอยู่บริเวณภาคตะวันออกของประเทศ จะสามารถจำหน่ายให้กับกลุ่มลูกค้าแถบจังหวัดชลบุรี ซึ่งรวมถึงพื้นที่เขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก EEC และพื้นที่ในบริเวณใกล้เคียง ในส่วนของเหมืองหินจอมบึงซึ่งอยู่ทางภาคตะวันตกของประเทศ ถือได้ว่าเป็นเหมืองหินขนาดใหญ่ในพื้นที่ สามารถจำหน่ายให้กับกลุ่มลูกค้าแถบจังหวัดราชบุรี และพื้นที่ใกล้เคียง รองรับความต้องการของลูกค้าได้อย่างทั่วถึง

APO ปิดจองซื้อ IPO นักลงทุนให้การตอบรับดี ขายหมดเกลี้ยง 100 ล้านหุ้น เตรียมลงสนามเทรด mai 2 เม.ย. นี้ พร้อมเดินหน้าลงทุนปรับปรุงเครื่องจักร เพิ่มประสิทธิภาพระบบการผลิต APM เผยศักยภาพเติบโตสูงหลังระดมทุน KFS มั่นใจหุ้นพื้นฐานดี

นายสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ APM ในฐานะที่ปรึกษาการเงิน บริษัท เอเชียนน้ำมันปาล์ม จำกัด (มหาชน) หรือ APO เปิดเผยว่า APO เตรียมเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เป็นวันแรก 2 เม.ย.นี้ ในหมวดธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร (AGRO)  จำนวน 100 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท ราคาเสนอขายหุ้นละ 0.99 บาท โดยเปิดจองซื้อหุ้นวันที่ 25-27 มี.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนที่ให้ความเชื่อมั่นในศักยภาพการดำเนินธุรกิจ

เนื่องจาก APO มีการศึกษาเพื่อพัฒนาธุรกิจให้ทันสมัย มีความพร้อมในการจัดหาวัตถุดิบคุณภาพสูงอย่างสม่ำเสมอ อีกทั้งบริษัทยังมีความพร้อมในการเติบโต ประกอบกับปัจจัยด้านอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มมีแนวโน้มเติบโตตามความต้องการทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งมีการส่งเสริมจากภาครัฐ อาทิ การนำน้ำมันปาล์มดิบไปพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีมูลค่าสูงขึ้น

ดร. วรนันท์ ถาวรนันท์ กรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน) หรือ KFS ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน กล่าวว่า APO จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนในการเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เนื่องจากราคาที่เสนอขาย IPO มีความเหมาะสม เมื่อพิจารณาถึงศักยภาพการดำเนินงานของบริษัท ฐานะการเงินแข็งแกร่ง และสภาพคล่องทางการเงินที่ดี

โดยการกำหนดราคา IPO ที่หุ้นละ 0.99 บาท พิจารณาจากอัตราส่วนราคาหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชี (Price to Book Value : P/BV) มีค่าเท่ากับ 1.00 เท่า ขณะที่หากพิจารณาเฉพาะคู่แข่งทางตรงกับบริษัท จะมีเพียง UVAN VPO และ UPOIC ที่ดำเนินธุรกิจคล้ายคลึงกับบริษัท ซึ่งมี P/BV เฉลี่ยอยู่ที่ 1.55 เท่า

นายสิทธิภาส อุดมผลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเชียนน้ำมันปาล์ม จำกัด (มหาชน) หรือ APO ผู้เชี่ยวชาญธุรกิจสกัดน้ำมันปาล์มดิบ จำหน่ายผลิตภัณฑ์หลักจากการสกัดน้ำมันปาล์มดิบและผลพลอยได้ ผลิตไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพเพื่อจำหน่ายให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค กล่าวว่า บริษัทขอขอบคุณนักลงทุนที่ให้ความสนใจการจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท ทำให้การเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ซึ่งการระดมทุนในครั้งนี้จะส่งผลให้บริษัทสามารถขยายศักยภาพการดำเนินงาน เพื่อสร้างการเติบโตตามแผนการดำเนินงานที่ได้วางไว้

“บริษัทมีแผนปรับปรุงกระบวนการผลิต เปลี่ยนเครื่องจักรหม้อนึ่งจากแนวนอนเป็นแนวตั้ง เพิ่มประสิทธิภาพระบบการผลิตน้ำมันปาล์ม เพื่อให้ได้น้ำมันที่มีคุณภาพดี ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และลดต้นทุนในระบบผลิตน้ำมันปาล์ม ส่วนเงินระดมทุนที่เหลือจะเป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับขยายธุรกิจ รองรับความต้องการน้ำมันปาล์มดิบ เพิ่มโอกาสในการแข่งขันและการทำกำไร เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต” นายสิทธิภาส กล่าว

ก.ล.ต. นับหนึ่งคำขอ เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ หรือ “PCE” ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) กลุ่มธุรกิจหลัก คือ อุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มแบบครบวงจร เตรียมเสนอขายหุ้น IPO 750 ล้านหุ้น ระดมทุนเดินหน้าเข้า SET ขึ้นแท่นผู้นำด้านธุรกิจน้ำมันปาล์มและระบบซัพพลายเชนครบวงจร

 

นายสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PCE เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) เริ่มนับหนึ่งแบบแสดงคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรกการเสนอขายหลักทรัพย์ เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งแรกต่อประชาชน (IPO) ของ PCE เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2567 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ด้วยประสบการณ์ในธุรกิจน้ำมันปาล์มมากกว่า 40 ปี ทำให้ PCE ได้รับการยอมรับในอุตสาหกรรมเป็นอย่างดี และด้วยวิสัยทัศน์ของ PCE ที่มุ่งมั่นและต้องการขยายธุรกิจน้ำมันปาล์มและระบบซัพพลายเชนให้ครบวงจร เพื่อรองรับการเติบในอนาคต จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้บริษัทเป็นผู้นำในธุรกิจและอุตสาหกรรม และสร้างความน่าสนใจให้กับนักลงทุน

นายสุพล ค้าพลอยดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวเสริมว่า ปัจจุบัน PCE มีทุนจดทะเบียน 2,750 ล้านบาท เป็นทุนชำระแล้ว 2,000 ล้านบาท โดยเตรียมเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก จำนวน 750 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 1 บาท ซึ่งคิดเป็น 27.27% ของจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดที่ออกและจำหน่ายแล้วของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้ และจะนำหุ้นสามัญทั้งหมดเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ SET กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร (AGRO) หมวดธุรกิจการเกษตร (AGRI)

นายประกิต ประสิทธิ์ศุภผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PCE เปิดเผยว่า การระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ SET ถือเป็นการสร้างความเชื่อมั่นและความน่าเชื่อถือให้กับ PCE ในการต่อยอดธุรกิจพร้อมขยายโอกาสทางธุรกิจให้เติบโตต่อเนื่องและยั่งยืน นอกจากนี้ยังมีส่วนสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมปาล์มครบวงจรในอนาคต

สำหรับวัตถุประสงค์ในการระดมทุน บริษัทจะนำไปลงทุนในกิจการอื่นที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจโรงงานผลิตน้ำมันไบโอดีเซล (B100) ของบริษัท เช่น โรงสกัดน้ำมันปาล์ม รวมถึงลงทุนในเครื่องจักรและอุปกรณ์ เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และควบคุมต้นทุน อีกทั้งเพื่อต่อยอดหรือสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์ของบริษัท ส่วนที่เหลือใช้เป็นทุนหมุนเวียนในกิจการ

PCE ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ในธุรกิจอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มแบบครบวงจร ที่มีความพร้อมการจัดการระบบซัพพลายเชน (Supply Chain) โดยแบ่งได้เป็น 1) กลุ่มธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์ม น้ำมันไบโอดีเซล และน้ำมันปาล์มโอเลอีนเพื่อการบริโภค ซึ่งรวมถึงการซื้อน้ำมันปาล์มและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำมาจำหน่ายต่อให้กับลูกค้าทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ 2) กลุ่มธุรกิจให้บริการคลังสินค้าและท่าเทียบเรือ 3) กลุ่มธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าทางรถ และ 4) กลุ่มธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าทางเรือ

“บริษัทตั้งเป้าจะเป็นผู้นำธุรกิจน้ำมันปาล์มและน้ำมันพืชอื่นแบบครบวงจร มีมาตรฐานด้านคุณภาพและบริการเป็นอันดับหนึ่งของประเทศและก้าวสู่ระดับสากล PCE มีความมุ่งมั่นที่จะสร้างการเติบโตและความยั่งยืนทางธุรกิจทั้งในปัจจุบันและอนาคต พร้อมทั้งส่งมอบบริการและสินค้าที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัย และยกระดับการบริหารจัดการองค์กรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ภายใต้หลักธรรมาภิบาลและความรับผิดชอบต่อสังคม” นายประกิตกล่าวเพิ่มเติม

ปัจจุบันบริษัทย่อยภายในกลุ่ม PCE ประกอบด้วย

· บริษัท นิว ไบโอดีเซล จำกัด ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่าย น้ำมันไบโอดีเซล น้ำมันปาล์มดิบ น้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์ และน้ำมันพืชสำหรับการบริโภค ภายใต้ตราสินค้า “รินทิพย์”

· บริษัท ปาโก้เทรดดิ้ง จำกัด ประกอบธุรกิจซื้อขายน้ำมันปาล์มดิบ น้ำมันเมล็ดในปาล์ม เมล็ดในปาล์ม และผลิตภัณฑ์อื่นๆ จากปาล์ม โดยจัดจำหน่ายให้กับลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ

· บริษัท พี.เค. มารีน เทรดดิ้ง จำกัด ประกอบธุรกิจให้บริการคลังสินค้าและท่าเทียบเรือ มีพื้นให้บริการกว่า 50,000 ตร.ม. และมีคลังน้ำมันจำนวน 58 แทงค์ที่สามารถรองรับปริมาณการจัดเก็บได้ถึง 240,000 ตัน โดยมีท่าเทียบเรือทั้งในจังหวัดสุราษฎร์ธานีและจังหวัดฉะเชิงเทรา (อ.บางปะกง)

· บริษัท เพชรศรีวิชัย จำกัด ประกอบธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าทางบกภายในประเทศซึ่งมีรถให้บริการมากกว่า 150 คัน เพื่อขนส่งน้ำมันปาล์ม รวมถึงสินค้าแห้งและอื่นๆ

· บริษัท พี.ซี. มารีน (1992) จำกัด ประกอบธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าทางเรือ ทั้งในและต่างประเทศ โดยมีขนาดเรือ 1,800 – 3,100 ตัน ซึ่งสามารถขนส่งได้ทั้งของแห้งและของเหลว รวม 13 ลำ

Page 1 of 8
X

Right Click

No right click