ฟอร์ติเน็ต ผู้นำระดับโลกด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ ที่ขับเคลื่อนการผสานรวมของระบบเครือข่ายและระบบรักษาความปลอดภัยเข้าด้วยกัน ประกาศขยายขีดความสามารถด้าน GenAI ครอบคลุมทั่วกลุ่มผลิตภัณฑ์ ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการรักษาความปลอดภัยด้วย AI อีกครั้ง ด้วยการเปิดตัวการผสานรวม FortiAI ไว้ในสองโซลูชันใหม่ ซึ่ง FortiAI คือผู้ช่วยด้านความปลอดภัยตัวจริงที่ขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง AI ของฟอร์ติเน็ต โดยนำ GenAI มาช่วยสนับสนุนการทำงานของนักวิเคราะห์ความปลอดภัย ทั้งแนะนำ ช่วยให้ทำงานง่ายขึ้น อีกทั้งดำเนินการได้แบบอัตโนมัติ
ภัคธภา ฉัตรโกเมศ ผู้จัดการประจำประเทศไทย ฟอร์ติเน็ต กล่าวว่า “ฟอร์ติเน็ต มุ่งมั่นด้านนวัตกรรม AI มาตลอดเป็นเวลานานเกิน 10 ปี และเราถือเป็นผู้ให้บริการไซเบอร์ซีเคียวริตี้ รายแรกๆ ที่มีการสร้างเครือข่ายประสาทเทียม หรือ Artificial Neural Network เพื่อใช้ในการวิเคราะห์ตัวอย่างภัยคุกคาม จนกลายเป็นต้นแบบของ FortiAI ในปัจจุบัน และในตอนนี้ เราได้ขยายการใช้ GenAI เพื่อเสริมประสิทธิภาพสายผลิตภัณฑ์ทั้งหมดในแต่ละประเภทรวม 7 ผลิตภัณฑ์ด้วยกัน เพื่อตอกย้ำความมุ่งมั่นของเราในการมอบนวัตกรรมโซลูชันรักษาความปลอดภัยขั้นสุดให้กับลูกค้า”
“การผสานรวม FortiAI เข้ากับโซลูชันได้หลากหลายดังที่กล่าวมา คือเครื่องมือปรับเปลี่ยนการทำงานที่ทรงพลัง ที่เรากำลังมอบให้ลูกค้าเพื่อช่วยปฏิรูปการบริหารจัดการพร้อมตอบสนองภัยคุกคามทางไซเบอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากความเสี่ยงทางไซเบอร์ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เราก็จะยังคงเสริมสร้างศักยภาพให้กับลูกค้าเรามากขึ้น ด้วยโซลูชันที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการรักษาความปลอดภัย ช่วยให้ตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งเสริมความยืดหยุ่นในการรับมือกับภัยคุกคามที่พัฒนาตลอดเวลา”
การผสานรวมใหม่ของ FortiAI
FortiAI for FortiNDR Cloud ออกแบบมาเพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจจับภัยคุกคามสามารถจับสังเกตและดูผลการตรวจจับที่เชื่อมโยงกับการค้นหาได้อย่างง่ายดาย นักวิเคราะห์ด้านความปลอดภัยสามารถค้นหาข้อมูลจาก FortiAI และตระหนักถึงความสามารถที่ครอบคลุมของ FortiNDR Cloud ในการรับมือกับภัยคุกคามใหม่ๆ ที่กำลังเกิดขึ้น อีกทั้งยังเข้าใจกลยุทธ์และเทคนิคของผู้โจมตี รวมถึงช่องโหว่ที่เฉพาะเจาะจงได้อย่างง่ายดาย ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กระบวนการค้นหาและเสริมศักยภาพให้กับนักวิเคราะห์ ทำให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจจับภัยคุกคามเข้าใจถึงความสามารถในการรับมือกับผู้โจมตีได้ดียิ่งขึ้น
FortiAI for Lacework FortiCNAPP มุ่งเน้นช่วยให้ทีม SOC เข้าใจการแจ้งเตือนได้เร็วขึ้น รวมถึงให้คำแนะนำเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาและการดำเนินการที่ถูกต้อง ซึ่งการค้นหาโดยใช้ภาษาธรรมชาติ (natural language queries) จะช่วยให้ทีมสามารถเข้าใจสาเหตุของการแจ้งเตือนได้ง่ายขึ้น เข้าใจความเสี่ยง เช่น วิธีที่ผู้โจมตีอาจใช้ในการเจาะระบบ พร้อมให้คำแนะนำในอย่างเป็นขั้นเป็นตอนในการตรวจสอบและตอบสนองการโจมตี จึงช่วยแก้ไขปัญหาได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นด้วยโค้ดที่ถูกต้อง
FortiAI ในสายผลิตภัณฑ์ของฟอร์ติเน็ต
การขยายความสามารถด้าน AI นับเป็นการยืนยันความเป็นผู้นำด้านการรักษาความปลอดภัยด้วย AI ซึ่งยังเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของฟอร์ติเน็ต ในสร้างนวัตกรรม AI ด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้อย่างต่อเนื่อง ด้วยการผสานรวม GenAI ในด้านอื่นๆ ด้วยเช่นกัน ได้แก่
· FortiAI for FortiAnalyzer ช่วยวิเคราะห์ภัยคุกคามได้แบบเรียลไทม์ ช่วยจัดลำดับความสำคัญในการตอบสนองพร้อมดำเนินการได้โดยอัตโนมัติ
· FortiAI สำหรับ FortiManager ช่วยให้สร้างสคริปต์การตั้งค่าเครือข่ายได้ง่ายขึ้น สามารถแก้ไขปัญหา และดำเนินการแก้ไขช่องโหว่และปัญหาเครือข่ายได้โดยอัตโนมัติ
· FortiAI for FortiSIEM ให้ข้อมูลข้อมูลเชิงลึกตามบริบท พร้อมให้คำแนะนำในการตรวจสอบและตอบสนองการแจ้งเตือนความปลอดภัย
· FortiAI for FortiSOAR ให้คำแนะนำและเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบภัยคุกคาม ดำเนินการแก้ไข และสร้าง playbook ได้โดยอัตโนมัติ
· FortiAI for FortiDLP ช่วยสรุปและจัดบริบทข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูงที่ตรวจพบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เราเชื่อว่า AI เป็นรากฐานสำคัญสำหรับอนาคตของการทำงาน และพลังการเปลี่ยนแปลงของ AI ควรเข้าถึงได้สำหรับทุกธุรกิจและพนักงานทุกคนในราคาที่เหมาะสม นั่นเป็นเหตุผลที่วันนี้เราตัดสินใจที่จะรวม AI ที่ดีที่สุดของ Google ไว้ในแพ็กเกจ Google Workspace Business และ Enterprise โดยนำความสามารถของ Generative AI ล่าสุดมามอบให้ลูกค้าธุรกิจของเรา โดยไม่จำเป็นต้องซื้อส่วนเสริมใด ๆ
การเพิ่มศักยภาพของบุคลากรด้วย AI ในที่ทำงาน
กว่า 20 ปีที่ Google Workspace ไม่ได้เป็นแค่ชุดเครื่องมือ แต่เป็นสถานที่ที่ทีมได้คิดค้น สร้างสรรค์ และเติบโตไปด้วยกัน เราได้สนับสนุนธุรกิจกว่า 10 ล้านรายไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ตั้งแต่ธุรกิจสตาร์ทอัพที่คิดค้นนวัตกรรมใหม่ไปจนถึงองค์กรระดับโลก เพื่อพลิกโฉมวิธีการทำงานของพวกเขาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ปัจจุบันเมื่อเราก้าวเข้าสู่ยุคของการทำงานที่ขับเคลื่อนด้วย AI จึงมีโอกาสใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมายสำหรับลูกค้าของเรา รวมทั้งช่วยสนับสนุนพันธกิจของเราในการช่วยให้ลูกค้าเติบโตได้อย่างรวดเร็ว
เราเชื่อว่า AI ไม่ใช่แค่เครื่องมืออีกชิ้นหนึ่ง แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงรากฐานในวิธีการทำงาน ตลอดปีที่ผ่านมา เราได้เห็นลูกค้ากว่า 1 แสนรายใช้ Generative AI เพื่อปลดล็อกประสิทธิภาพการทำงาน ความคิดสร้างสรรค์ และนวัตกรรมของพนักงาน โดย AI เข้ามาช่วยลดภาระของงานที่น่าเบื่อ เช่น การจดบันทึกการประชุม การจัดทำเอกสารและวิดีโอขนาดยาว และยังทำหน้าที่เป็นคู่คิดเชิงกลยุทธ์เพื่อเปลี่ยนไอเดียที่ดีที่สุดของพวกเขาให้กลายเป็นจริง ธุรกิจที่ใช้ AI กำลังได้รับความ
ได้เปรียบในการแข่งขันที่สำคัญ แต่หลายคนไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นอย่างไร หรือประสบปัญหาด้านต้นทุนในการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้
การเสริมพลังให้กับทุกธุรกิจด้วย AI ที่ดีที่สุดของ Google
เพื่อตอบสนองความต้องการนี้ เรายินดีที่จะประกาศให้ทราบว่าตอนนี้ AI ที่ดีที่สุดของ Google ได้รวมอยู่ในแพ็กเกจ Google Workspace Business และ Enterprise แล้ว ทำให้ทุกธุรกิจมีเครื่องมือที่พวกเขาต้องการเพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ สำหรับอนาคต
AI ที่ดีที่สุดของ Google ผสานรวมอย่างลงตัวกับการทำงานในแต่ละวัน
ความสามารถด้าน AI ต่อไปนี้จะเริ่มทยอยเปิดตัวให้กับลูกค้า Workspace Business ในวันนี้ และสำหรับลูกค้า Enterprise ในปลายเดือนนี้
· รับความช่วยเหลือจาก AI ใน Gmail, Docs, Sheets, Meet, Chat, Vids และอื่นๆ: ทำงานให้ดีที่สุดได้เร็วขึ้นด้วย AI ที่ฝังอยู่ในเครื่องมือที่คุณใช้ทุกวัน Gemini ปรับปรุงการสื่อสารของคุณโดยช่วยคุณสรุป ร่าง และค้นหาข้อมูลในอีเมล แชท และไฟล์ของคุณ AI สามารถเป็นคู่คิดและมอบแรงบันดาลใจ ช่วยคุณสร้างเอกสาร สไลด์ สเปรดชีต และวิดีโอระดับมืออาชีพตั้งแต่เริ่มต้น Gemini ยังสามารถช่วยให้การประชุมของคุณราบรื่นขึ้น โดยการจดบันทึก ปรับปรุงคุณภาพเสียงและวิดีโอของคุณ และช่วยให้คุณตามทันการสนทนาหากคุณเข้าร่วมช้า
· แชทกับ Gemini Advanced ซึ่งเป็น AI รุ่นถัดไปของ Google: เริ่มต้นการเรียนรู้ การระดมความคิด และการวางแผนด้วยแอป Gemini บนแล็ปท็อปหรืออุปกรณ์มือถือของคุณ Gemini Advanced สามารถช่วยคุณจัดการกับโปรเจ็กต์ที่ซับซ้อน รวมถึงการเขียนโค้ด การวิจัย และการวิเคราะห์ข้อมูล และช่วยให้คุณสร้าง Gems ที่เป็นเหมือนทีม AI ผู้เชี่ยวชาญของคุณเพื่อช่วยในการทำงานซ้ำ ๆ หรืองานเฉพาะทาง · ปลดล็อกพลังของ NotebookLM Plus: เรากำลังนำผู้ช่วยวิจัย AI ที่ปฏิวัติวงการมาสู่พนักงานทุกคน เพื่อช่วยให้พวกเขาเข้าใจหัวข้อที่ซับซ้อนได้ง่ายขึ้น อัปโหลดแหล่งข้อมูลเพื่อรับข้อมูลเชิงลึกทันทีและภาพรวมของเสียงที่เหมือนกับพอดแคสต์ จากนั้นแชร์ Notebooks ที่กำหนดเองกับทีมเพื่อเร่งกระบวนการเรียนรู้และการเริ่มต้นทำงาน
ราคาแพ็กเกจ AI ที่เข้าใจง่ายขึ้น
เรากำลังลดความซับซ้อนของแพ็กเกจและราคาของเราเพื่อให้ลูกค้า Google Workspace ทุกรายมีโอกาสเข้าถึงประโยชน์จาก AI ของ Google ได้มากขึ้น โดยตอนนี้ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าส่วนเสริมเพื่อเข้าถึงความสามารถ Generative AI ล่าสุดของเราอีกต่อไป ตัวอย่างเช่น ลูกค้าที่สมัครแพ็กเกจ Workspace Business Standard พร้อมส่วนเสริม Gemini Business แต่เดิมจะต้องจ่าย 1,210 บาท ต่อผู้ใช้ต่อเดือน ตอนนี้ ลูกค้ารายเดียวกันนี้จะจ่ายเพียง 550 บาท ต่อผู้ใช้ต่อเดือน ซึ่งแพงกว่าราคาแพ็กเกจ Workspace แบบไม่มี Gemini เพียง 96 บาท เท่านั้น คุณสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับราคาที่อัปเดตของเราและความพร้อมใช้งานของฟีเจอร์ตามรุ่นได้ที่ศูนย์ช่วยเหลือ (Help Center) ราคานี้จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันพรุ่งนี้สำหรับลูกค้าใหม่ ส่วนลูกค้าปัจจุบันนั้น ราคาการสมัครสมาชิกรายเดือนจะได้รับการอัปเดตตั้งแต่วันที่ 17 มีนาคม 2025 หรือในวันที่ต่ออายุพร้อมแพ็กเกจรายปี/แพ็กเกจตามระยะเวลาที่กำหนด แล้วแต่ว่าวันใดจะเกิดขึ้นทีหลัง ทั้งนี้ลูกค้าธุรกิจขนาดเล็กมากจะไม่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงราคาในขณะนี้
การปกป้องการสนทนาของคุณกับ AI ให้ปลอดภัย
เรารู้ว่าความปลอดภัยของข้อมูล การรักษาความลับ และการปฏิบัติตามกฎระเบียบเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้น ๆ สำหรับผู้นำธุรกิจเมื่อใช้ AI และเรามุ่งมั่นที่จะช่วยคุณรักษาข้อมูลของคุณให้ปลอดภัย
· ข้อมูลของคุณยังคงเป็นของคุณ: เราจะไม่ใช้ข้อมูล พรอมต์ หรือคำตอบที่สร้างขึ้นของคุณเพื่อฝึกโมเดล Gemini ภายนอกโดเมนของคุณโดยไม่ได้รับอนุญาต รวมทั้งจะไม่ขายข้อมูลของคุณหรือใช้ในการกำหนดเป้าหมายโฆษณาด้วย
· คุณสามารถควบคุมได้: เราสร้าง Gemini ด้วยการควบคุมระดับองค์กรเพื่อช่วยคุณเริ่มใช้ Gemini ในขณะที่ปกป้องข้อมูลที่ละเอียดอ่อนของคุณ Gemini จะดึงเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องที่ผู้ใช้ได้รับอนุญาตให้เข้าถึง นอกจากนี้ มาตรการควบคุมความปลอดภัยและความเป็นเจ้าของข้อมูล Workspace ที่มีอยู่ของคุณจะถูกนำไปใช้โดยอัตโนมัติ
· คุณสามารถปฏิบัติตามกฎระเบียบได้: Gemini สำหรับ Workspace และแอป Gemini เป็นหนึ่งในโซลูชันเพิ่มประสิทธิภาพ Generative AI กลุ่มแรกที่ได้รับการรับรองมาตรฐานด้านความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัว และความปลอดภัยที่ครอบคลุม รวมถึงมาตรฐาน SOC 1/2/3, ISO 27001/17/18 และ ISO 42001
Cr: Google
สถาบันวิศวกรรมปัญญาประดิษฐ์ (AI Engineering Institute; AIEI) ร่วมมือกับ 6 มหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศไทย จัดงาน AI Engineering & Innovation Summit 2024 นำโดย มหาวิทยาลัยซีเอ็มเคแอล ร่วมกับ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหารลาดกระบัง, มหาวิทยาลัยมหิดล, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และมหาวิทยาลัยขอนแก่น สนับสนุนการดำเนินงานของอาจารย์ และนักวิจัยในเครือข่าย เพื่อวัตถุประสงค์ในการผลิตบัณฑิตที่มีความ เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ และคอมพิวเตอร์ เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันและตอบสนอง ความต้องการของประเทศ นอกจากนี้ สถาบัน AIEI ยังมีบทบาทสำคัญในการสร้างความร่วมมือ ระหว่างมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ณ ห้อง Grand Ballroom, The Ritz-Carlton Bangkok
ศาสตราจารย์ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ นายกสภามหาวิทยาลัยซีเอ็มเคแอล กล่าวถึง บทบาทของมหาวิทยาลัยซีเอ็มเคแอล ในการเป็นผู้นำในการสร้างเครือข่ายมหาวิทยาลัยกับสถาบันการศึกษาอื่น ๆ ในประเทศไทย รวมถึงงานวิจัยต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัยฯ ที่ประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI ในด้านต่าง ๆ อาทิ การเกษตร การยกระดับคุณภาพชีวิต โดยเฉพาะสำหรับผู้พิการ การแพทย์ และการจัดการขยะอย่างยั่งยืน ทั้งยังกล่าวถึงวิสัยทัศน์ ของมหาวิทยาลัยและเครือข่ายในอนาคต โดยเฉพาะความร่วมมือกับโรงพยาบาลเจ้าคุณทหารฯ ซึ่งจะเป็นโรงพยาบาลที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี AI แห่งแรกของประเทศไทย
รศ.ดร. สุพันธุ์ ตั้งจิตกุศลมั่น อธิการบดี มหาวิทยาลัยซีเอ็มเคแอล กล่าวว่า ในการจัดงานครั้งนี้ ยังมีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับอีก 3 มหาวิทยาลัย ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และสถาบันวิทยสิริเมธี (VISTEC) รวมกันเป็นเครือข่าย 9 มหาวิทยาลัย เพื่อร่วมพัฒนางานวิจัยด้านปัญญาประดิษฐ์ และเปิดโอกาสให้ใช้ทรัพยากรระหว่างมหาวิทยาลัยเพื่อการพัฒนาอย่างสูงสุด นอกจากนี้ ยังมีความร่วมมือกับอีก 2 หน่วยงาน ได้แก่ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (Federation of Thai Industries - FTI) เพื่อส่งเสริมการขับเคลื่อนการใช้งาน และพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์กับ SME ในเครือข่ายของ FTI และสยาม เอไอ คอร์เปอเรชั่น (Siam AI Cloud) เพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือด้านการวิจัย และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับระบบปัญญาประดิษฐ์ เหล่านี้ ล้วนนับเป็นอีกก้าวสำคัญของความร่วมมือด้านวิชาการและนวัตกรรม AI อีกด้วย
ผศ.ดร.อักฤทธิ์ สังข์เพ็ชร ผู้อำนวยการสถาบันวิศวกรรมปัญญาประดิษฐ์ มหาวิทยาลัยซีเอ็มเคแอล กล่าวว่า งาน AI Engineering & Innovation Summit 2024 จัดขึ้นโดยสถาบัน AI Engineering Institute (AIEI) เป็นครั้งที่ 2 สำหรับการจัดงานในครั้งนี้ ได้ร่วมมือกับกระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ (อว.) โดยหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถ ในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) และ DELL Technologies ซึ่งมีเป้าหมายหลักเพื่อผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นผู้นำระดับโลกด้าน AI โดยอาศัยความร่วมมือจากเครือข่ายสถาบันการศึกษา ภายใต้สถาบันวิศวกรรมปัญญาประดิษฐ์
สำหรับวัตถุประสงค์หลักของการจัดงาน AI Engineering & Innovation Summit 2024 ในครั้งนี้ เพื่อแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มปัจจุบันในด้าน AI ผ่านการบรรยายและอภิปรายจากผู้เชี่ยวชาญในหลากหลายสาขา พร้อมทั้งนำเสนอผลงานวิจัย และพัฒนาจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ภายใต้เครือข่าย AIEI ซึ่งเป็นโอกาสที่ประชาชนทั่วไปจะได้ค้นพบความก้าวหน้าของ AI และเทคโนโลยีในประเทศไทย และเรียนรู้ว่าเรากำลังทำงานเพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับประเทศไทย นอกจากนี้ เพื่อตอกย้ำภารกิจของ AIEI ในการรวบรวมผู้เชี่ยวชาญจากภาคการศึกษา ภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรม และภาคส่วนสาธารณะ มาร่วมกันเพื่อความก้าวหน้าของ AI
โดยการจัดกิจกรรมสำเร็จลุล่วงสมบูรณ์ด้วยการสนับสนุนของ PMU-C ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้ MHESI/TSRI นอกจากนี้ยังได้รับการสนับสนุนจากโครงการ Innovation Fund เพื่อสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรภาคอุตสาหกรรมสนับสนุนการเติบโตของภาค AI และนวัตกรรมของไทย ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมแนวคิดธุรกิจสตาร์ทอัพ ผ่านโครงการของนักศึกษาภายใต้ AIEI ซึ่งเป็นหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นแกนกลางในการช่วยประสานงานระหว่างเครือข่ายมหาวิทยาลัย เพื่อร่วมกันจัดการศึกษาแบ่งปันทรัพยากร และเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเข้าถึงผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยในเครือข่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้เพื่อตอบสนองเป้าหมายการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์แผน AI แห่งชาติ โดยการสร้างทรัพยากรบุคคลของประเทศ ที่มีศักยภาพตามสาขาความต้องการด้านปัญญาประดิษฐ์ และสร้างความร่วมมือที่แข็งแกร่งเพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรม AI ของประเทศสู่ระดับโลก
สามารถติดตามข่าวสารและกิจกรรมของสถาบัน AIEI ได้ทาง www.facebook.com/CMKLUniversity และ www.cmkl.ac.th/aiei/ai-summit/ai-summit-2024
· 35% ของผู้ใช้สมาร์ทโฟน 5G ยินดีจ่ายค่าบริการกับการเชื่อมต่อที่มีคุณภาพแตกต่างกัน
· ผลวิจัยฉบับนี้เป็นตัวแทนผู้บริโภค 1.1 พันล้านราย ซึ่งในจำนวนนี้มีผู้ใช้สมาร์ทโฟน 5G อยู่ 750 ล้านราย
· รายงานนี้ยังชี้ให้เห็นโอกาสในการสร้างรายได้ให้กับผู้ให้บริการด้านการสื่อสาร (CSP)
ผลวิจัยล่าสุดจาก Ericsson (NASDAQ: ERIC) ConsumerLab เผยการใช้แอปพลิเคชัน Generative AI กำลังกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นความสนใจกับการเชื่อมต่อที่แตกต่างตามการใช้งานที่จำเป็นของผู้ใช้สมาร์ทโฟน 5G ทั่วโลก พร้อมรับประกันว่าการเชื่อมต่อจะมีคุณภาพอยู่ในระดับไฮเอนด์และไม่สะดุดในเวลาที่ต้องการใช้งานมากที่สุด
จากจำนวนเจ้าของสมาร์ทโฟนที่ใช้แอป Generative AI อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2.5 เท่าในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยการเติบโตอย่างรวดเร็วนี้สอดคล้องกับยูสเคสการใช้งานเครือข่ายที่มีความแตกต่างกันเช่นวิดีโอคอล สตรีมมิ่ง และการชำระเงินออนไลน์ ที่ผู้ใช้ระบุว่าพวกเขาเต็มใจจ่ายเพิ่มกับบริการในระดับพรีเมียม
บริการเชื่อมต่อที่มีความแตกต่างและผู้บริโภคที่เต็มใจจ่ายค่าบริการให้กับผู้ให้บริการด้านการสื่อสาร (CSP) เพื่อรับประกันว่าจะได้รับการเชื่อมต่อประสิทธิภาพสูงในการใช้งานแอปที่จำเป็น เป็นหัวข้อในรายงานระดับโลกล่าสุดจาก Ericsson ConsumerLab ในชื่อว่า Elevating 5G with Differentiated Connectivity ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา
เกือบ 1 ใน 4 ของผู้ใช้ Gen AI ระบุว่ายินดีจ่ายค่าบริการเพิ่ม 35% กับบริการที่รับประกันว่าจะได้รับประสบการณ์การเชื่อมต่อที่รวดเร็วและปลอดภัยระหว่างที่ใช้แอปพลิเคชันที่มีความจุสูง
ผลการวิจัยยังชี้ให้เห็นว่า 35% ของผู้ใช้สมาร์ทโฟน 5G สนใจที่จะจ่ายค่าบริการเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพการเชื่อมต่อที่แตกต่างกันสำหรับใช้งานแอปพลิเคชันที่จำเป็นต่าง ๆ
รายงานฉบับนี้ ยังระบุถึงโอกาสต่าง ๆ ในการสร้างรายได้สำหรับผู้ให้บริการด้านการสื่อสารอีกด้วย
แจสมีต เซธิ หัวหน้าฝ่ายวิจัย ConsumerLab ของอีริคสัน กล่าวว่า “ผลการวิจัยล่าสุดในรายงาน Ericsson ConsumerLab เผยว่า เมื่อแอปพลิเคชันที่ขับเคลื่อนด้วย AI ได้รับความนิยมแพร่หลายมากขึ้น ความคาดหวังของผู้ใช้ต่อประสบการณ์การเชื่อมต่อที่ดีก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคคาดหวังความสามารถในอนาคตของแอปพลิเคชัน AI ที่อาจเกี่ยวข้องกับ การสร้างภาพ เสียง หรือวิดีโอ และพวกเขาเต็มใจที่จะจ่ายค่าบริการเพื่อให้ได้ความสามารถเหล่านั้นมาใช้ทำงานที่ได้ความรวดเร็วและมีคุณภาพสูง
นี่เป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงโอกาสของผู้ให้บริการทั่วโลกที่จะสามารถตอบสนองความต้องการนี้ได้ด้วยการมอบประสบการณ์การเชื่อมต่อที่ปรับแต่งได้”
เซธิ กล่าวเพิ่มเติมว่า “เมื่อผู้ให้บริการปรับใช้โมเดลธุรกิจที่เน้นประสิทธิภาพ จะมีโอกาสสร้างรายได้เพิ่มขึ้นจากบริการเชื่อมต่อที่แตกต่าง รวมถึงการนำเสนอแพ็กเกจบริการที่สามารถปรับแต่งและการรับประกันคุณภาพการเชื่อมต่อที่เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่มในตลาด”
“การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลให้รายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้ (ARPU) ของบริการ 5G เพิ่มขึ้น 5-12% เนื่องจากผู้ใช้งานต้องการประสิทธิภาพที่เชื่อถือได้และมีการรับประกันสำหรับแอปพลิเคชันเฉพาะด้าน นอกจากนี้ ยังมีโอกาสปลดล็อกช่องทางสร้างรายได้ใหม่ ๆ จากความต้องการอย่างมีนัยสำคัญของกลุ่มผู้ใช้บริการ 5G ที่ต้องการใช้แอปประสิทธิภาพสูง โดย 1 ใน 3 ของผู้ใช้สมาร์ทโฟน 5G ยินดีจัดสรรงบประมาณ 10% จากค่าใช้จ่ายแอปมือถือในปัจจุบัน เพื่อมาซื้อแอปที่มีคุณภาพการเชื่อมต่อสูงอยู่ในตัว ด้วยการเปิดให้นักพัฒนาเข้าถึง Network APIs แบบ Quality on Demand (QoD) ทำให้ผู้ให้บริการฯ สามารถตอบสนองความต้องการนี้ได้ และช่วยให้นักพัฒนาสามารถนำเสนอประสบการณ์ระดับพรีเมียมที่มีประสิทธิภาพสูง พร้อมปลดล็อกช่องทางรายได้ใหม่ ๆ ในกระบวนการนี้ได้” เซธิ กล่าวเพิ่ม
ประเด็นสำคัญ:
· พร้อมจ่ายค่าบริการเพิ่ม: 35% ของผู้ใช้ 5G ทั่วโลก ยินดีจ่ายเพิ่มเพื่อรับบริการเชื่อมต่อที่มีคุณภาพแตกต่างกัน เพื่อรับประกันประสิทธิภาพที่ดีขึ้นกับงานที่มีความสำคัญ
· กลุ่มผู้ใช้ที่ต้องการความมั่นใจ หรือ Assurance Seekers: แม้จะมีความเชื่อว่าผู้ใช้จะไม่ยอมจ่ายค่าบริการเครือข่ายเพิ่ม แต่ผลสำรวจพบว่า 20% ของผู้ใช้งาน ซึ่งเรียกว่า 'Assurance Seekers' กำลังมองหาการเชื่อมต่อคุณภาพสูงเพื่อใช้แอปพลิเคชันสำคัญและพวกเขาเต็มใจจะจ่ายเพิ่ม
· ความต้องการใช้แอป Gen AI: คาดว่าจำนวนผู้ใช้สมาร์ทโฟนที่ใช้แอป Gen AI รายสัปดาห์จะเพิ่มขึ้น 2.5 เท่าในอีก 5 ปีข้างหน้า โดย 1 ใน 4 ของผู้ใช้ AI ในปัจจุบัน เต็มใจจ่ายค่าบริการเพิ่มถึง 35% เพื่อแลกกับบริการเชื่อมต่อที่มีคุณภาพแตกต่าง เพื่อให้มั่นใจว่าจะได้รับประสิทธิภาพที่รวดเร็วและตอบสนองเป็นอย่างดีเมื่อใช้แอป AI
· ความสนใจระดับภูมิภาค: ตลาดอินเดีย ประเทศไทยและซาอุดีอาระเบีย มีสัดส่วนผู้ใช้สมาร์ทโฟนที่สนใจบริการเชื่อมต่อที่แตกต่างหรือ Differentiated Connectivity มากกว่าฝรั่งเศสและสเปนถึง 2 เท่า
· 5 ขั้นตอนสำหรับผู้ให้บริการ: รายงานฉบับนี้ยังได้นำเสนอการวางแนวทางสำหรับผู้ให้บริการด้านการสื่อสาร เพื่อเปลี่ยนจากการให้บริการอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์มือถือทั่วไป ไปสู่โมเดลที่ขับเคลื่อนด้วยประสิทธิภาพและแพลตฟอร์ม ซึ่ง Network APIs จะช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างประสบการณ์การใช้แอปที่ปรับแต่งเฉพาะได้
การสำรวจนี้เป็นการสำรวจทางออนไลน์กับผู้ใช้สมาร์ทโฟนจำนวนมากกว่า 23,000 ราย และมากกว่า 17,000 รายเป็นผู้ใช้สมาร์ทโฟน 5G โดยมีอายุระหว่าง 15-69 ปี ครอบคลุมใน 16 ตลาดสำคัญทั่วโลก นักวิจัยของอีริคสันยังระบุว่าการสำรวจนี้เสมือนเป็นตัวแทนผู้ใช้บริการมือถือ 1.1 พันล้านคนโดยในจำนวนนี้เป็นผู้ใช้สมาร์ทโฟน 5G 750 ล้านราย
ผู้ใช้บริการ 5G ที่ร่วมการสำรวจมาจาก: ออสเตรเลีย, บราซิล, แคนาดา, จีน, ฝรั่งเศส, ฮ่องกง, อินเดีย, ซาอุดีอาระเบีย, สิงคโปร์, เกาหลีใต้, สเปน, ไต้หวัน, ไทย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา
เกือบ 4 ทศวรรษแห่งการสั่งสมประสบการณ์ เอกราช ปัญจวีณิน มองเห็นถึงพัฒนาการของเทคโนโลยีที่มีต่อการใช้ชีวิตของผู้คน ตั้งแต่วันที่เทคโนโลยีเป็นสิ่งเติมเต็มจนกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตประจำวัน หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านดิจิทัล บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และกรรมการผู้จัดการใหญ่ ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป มีความตั้งใจแน่วแน่ ที่จะขับเคลื่อนประเทศไทยในมิติเทคโนโลยี ไม่เพียงทัดเทียม แต่ก้าวนำนานาประเทศ
ภายใต้วิสัยทัศน์ “Empowering Digital Equity” ของคุณเอกราช เป็นความตั้งใจที่ไม่ได้มองเพียงมิติของการเข้าถึงเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการสนับสนุนการสร้างสรรค์นวัตกรรม และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ในการขับเคลื่อนประเทศไทยเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาของ ทรู ดิจิทัล พาร์ค นอกจากจะเป็นที่ทำงานของคุณเอกราชแล้ว ที่นั่นยังถือเป็นแหล่งบ่มเพาะและถ่ายทอดวิถีแนวคิดแบบก้าวหน้า ซึ่งในวันที่ทีม True Blog ได้พบและพูดคุยกับคุณเอกราช โซน True X ใน True Branding Shop ณ ทรู ดิจิทัล พาร์ค ที่รวบรวมหลากหลายอุปกรณ์สมาร์ทโฮมอัจฉริยะและโดรนอัตโนมัติ ก็เพิ่งเปิดให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์ล้ำสมัย ยิ่งไปกว่านั้น ตลอดโถงทางเดิน ก็จะเห็นชาวเทคเจน Z เดินกระทบไหล่เหล่า digital nomad ทั้งจากลอนดอน เซี่ยงไฮ้ ซานฟรานซิสโก สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมของการทำงานที่มีพลวัตที่คุณเอกราชได้ร่วมบ่มเพาะ “การทรานสฟอร์มเป็นสิ่งที่เราทำอยู่ในทุกๆวัน” เขากล่าวด้วยสายตาอันแน่วแน่ “มันคือการเดินทาง ไม่ใช่จุดหมาย”
ซึ่งการเดินทางที่ว่านี้ คุณเอกราช มองว่าจะสามารถขับเคลื่อนได้ด้วยเทคโนโลยีสำคัญ ได้แก่ Hyperconnectivity, AI, Quantum Computing, Blockchain, Web3, Integrated IoT, Green Energy, Climate Technology และเชื่อว่าเทคโนโลยีดังกล่าวนี้ จะมีบทบาทสำคัญในการสร้างรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทยที่แข็งแกร่ง ตลอดจนปฏิวัติพลิกโฉมทุกสิ่งตั้งแต่ภาคการเกษตรจนถึงการคมนาคมขนส่ง
AI ที่ก้าวล้ำ ก่อกำเนิดไลฟ์สไตล์ดิจิทัลรูปแบบใหม่กลุ่มธุรกิจภายใต้การกุมบังเหียนของคุณเอกราช ได้สร้างบทบาทที่ทวีความสำคัญในระบบเศรษฐกิจดิจิทัลไทย ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจคอนเทนท์ อย่าง ทรูไอดี (True ID) ที่มีผู้ใช้งานเกือบ 40 ล้านคน ทรูเอ็กซ์ (True X) ที่ผลักดันระบบบ้านอัตโนมัติอัจฉริยะทั่วทั้งประเทศ รวมถึง MorDee (หมอดี) แอปพลิเคชันที่สามารถส่งผ่านการรักษาทางไกลโดยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญ ถึงผู้ป่วยบนสมาร์ทดีไวซ์ได้ในไม่กี่คลิก และที่สำคัญ ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป ยังอยู่เบื้องหลังความสำเร็จขององค์กรธุรกิจไทยอีกนับพันแห่ง ด้วยโซลูชันด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ แพลตฟอร์มข้อมูล รวมถึงการส่งเสริมการเรียนรู้เพื่อยกระดับทักษะ ด้วยบริการที่ครอบคลุมและหลากหลาย ควบคู่กับความก้าวล้ำของเทคโนโลยี AI คุณเอกราช เชื่อว่า ถึงเวลาแล้วที่เราจะก้าวต่อไปสู่คลื่นลูกใหม่แห่งนวัตกรรม
“เราอยู่ในยุคของ AI แต่ AI เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น” เขากล่าวย้ำ “ยังมีอีกหลากหลายเทรนด์เทคโนโลยีที่เรายังต้องจับตา ไม่ว่าจะเป็น Hyper-connectivity, AI, Blockchain และ การผสานเชื่อมโยง IoT ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้จะเข้ามาเป็นแกนหลักของกรอบการทำงานทางเทคโนโลยีในอนาคต”
วิถีการทรานสฟอร์มสู่ดิจิทัลของคุณเอกราช เป็นการเปลี่ยนผ่านแบบองค์รวมที่มุ่งผสานเทคโนโลยีเข้าไปอยู่ในทุกมิติของการใช้ชีวิต “การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นมากกว่าแค่เรื่องของความสะดวกสบาย แต่เป็นการตอบสนองความต้องการแบบเฉพาะเจาะจงรายบุคคลได้อย่างทันท่วงที เพราะวันนี้ ผู้บริโภคจะไม่รออะไรนานๆ ทุกอย่างต้องตอบสนองได้โดยทันที” เขากล่าวเสริม
วิสัยทัศน์ของคุณเอกราช จึงมีหัวใจสำคัญที่ไม่ใช่เพียงการนำเอาเทคโนโลยีใหม่ๆ มาปรับใช้ แต่คือ การออกแบบเทคโนโลยีตามความต้องการ เขาเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า การคิดค้นนวัตกรรมควรเริ่มต้นจากความเข้าใจในปัญหาเฉพาะเจาะจงที่ผู้คนกำลังเผชิญ จากนั้นจึงมองหาเทคโนโลยีที่เหมาะสมในการจัดการและแก้ไขปัญหาเหล่านั้น “เราเริ่มต้นจากลูกค้า ด้วยปัญหาที่ลูกค้าต้องการแก้ไข จากนั้น เราจึงมองหาเทคโนโลยีที่จะพัฒนาอยู่ด้านหลังเพื่อขับเคลื่อนและตอบสนองลูกค้า ซึ่งนั่นก็คือ การที่เราส่งเสริมให้มีการเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากดิจิทัลได้อย่างเท่าเทียมและทั่วถึง (Empowering Digital Equity)”
ลดความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล
แม้ว่า “Empowering Digital Equity” อาจจะดูเหมือนเป็นแนวคิดแบบเลิศหรู แต่สำหรับคุณเอกราช และทรู ดิจิทัล กรุ๊ป นั้น วิสัยทัศน์ดังกล่าวมีรากฐานความคิดจากโลกแห่งความจริงที่มีเป้าหมายเพื่อยกระดับชุมชนและสังคม ซึ่งหนึ่งในโครงการที่เราเข้าไปพัฒนา นั่นคือ การช่วยเหลือเกษตรกรในหลายพื้นที่ ด้วยเครื่องมือดิจิทัล โดยมีเป้าหมายเพื่อลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มผลิตผลทางการเกษตร
“เราใช้ปั๊มน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อลดการใช้ไฟฟ้า ใช้อุปกรณ์เซ็นเซอร์ช่วยตรวจวัดระดับน้ำ และใช้โดรนวิเคราะห์และฉีดพ่นทั่วพื้นที่การเกษตร” เขาอธิบาย ซึ่งผลลัพธ์จากโครงการดังกล่าวสามารถจับต้องได้ สามารถทำให้เกษตรกรมีรายได้ต่อวันมากขึ้นกว่า “เท่าตัว”
เมื่อถามถึงแนวทางการพัฒนาสังคมผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล คุณเอกราชได้กล่าวถึง แอปฯ “MorDee” (หมอดี) ที่มีบทบาทช่วยรักษาชีวิตคนไข้ที่อาศัยในพื้นที่ห่างไกล รวมถึงโซลูชัน IoT ที่ช่วยผลักดันการรับมือกับสภาพอากาศที่แปรปรวน ด้วยการปรับปรุงและพัฒนาประสิทธิภาพการใช้พลังงานเพื่อธุรกิจ “เหล่านี้คือสิ่งที่เราต้องการ ใช่ไหม? ไม่ใช่แค่เรื่องของการใช้เทคโนโลยี แต่เป็นการสร้างผลกระทบเชิงบวกในระบบนิเวศ”
ไม่ว่าจะเป็น การพัฒนาหุ่นยนต์สำหรับโรงพยาบาล หรือ การอบรมคนรุ่นใหม่ให้มีทักษะและความเชี่ยวชาญด้าน AI ก็ตาม สิ่งที่สำคัญของโครงการเหล่านี้ของ ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นพยายาม เพื่อให้เรามั่นใจว่า ท่ามกลางการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของประเทศไทย จะไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง และสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้
อย่างไรก็ตาม คุณเอกราชเข้าใจดีว่า โซลูชันเทคโนโลยีต่างๆ อาจทำให้เกิดความกังวล ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนที่ค่อนข้างสูง หรือแม้แต่ความยุ่งยากซับซ้อนเกินไปสำหรับผู้ใช้งานทั่วๆไป ด้วยเหตุนี้ เขาจึงมีความตั้งใจที่จะทำให้ทุกอย่างกลายเป็นเรื่องง่าย ภายใต้วิถีทางของ ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป เพื่อให้เทคโนโลยี “ง่ายต่อการนำไปใช้ และยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนได้” และนี่เป็นกลยุทธ์ที่สอดคล้องกับแก่นความเชื่อของเขาที่ว่า “เทคโนโลยีควรเป็นสิ่งที่ผู้คนเข้าถึงด้วยวิธีที่ถูกต้อง บนอุปกรณ์ที่ใช่ และด้วยความพยายามที่ตรงจุด”
แม้ประเทศไทยยังคงต้องเผชิญความท้าทายอีกมากมายบนเส้นทางสู่การเป็นระบบเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างแท้จริง แต่สำหรับคุณเอกราชแล้ว ประเด็นที่เป็นแรงกดดันมากที่สุดคือ “ความเหลื่อมล้ำทางทักษะด้านดิจิทัล”
“เรามีปัญหาด้านทักษะที่ใหญ่มาก ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องของการใช้เทคโนโลยีให้เป็น แต่คือการสร้างสรรค์นวัตกรรมด้วยเทคโนโลยี” เขาเน้นย้ำปัญหานี้ต้องได้รับการแก้ไข หากประเทศไทยต้องการรักษาความสามารถทางการแข่งขันให้ทัดเทียมกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค แม้ไทยจะมีความก้าวหน้าอย่างมากในด้านอี-คอมเมิร์ซ การชำระเงินผ่านช่องทางดิจิทัล และมีการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่อย่างแพร่หลาย แต่คุณเอกราชเชื่อว่า เรายังสามารถทำได้มากกว่านี้ โดยเฉพาะการสนับสนุนและส่งเสริมคนรุ่นใหม่ให้เป็นนวัตกรทางเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จึงมุ่งเน้นการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน “ปัจจุบัน เรามีเวทีแสดงความคิดเห็นมากมาย กับหลากหลายหน่วยงานและองค์กร แต่นั่นก็ยังเป็นการทำแบบแยกส่วนๆ เราจำเป็นต้องมีกรอบการ
ทำงานระดับมหภาคที่ผสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐและองค์กรเอกชนเข้าด้วยกัน” คุณเอกราช ย้ำชัด พร้อมทั้งยังชี้ให้เห็นถึงความสำคัญในการพัฒนาขีดความสามารถทางเทคโนโลยีของประเทศไทยเอง มากกว่าการพึ่งพาผู้ให้บริการจากต่างประเทศเพียงอย่างเดียว “ไม่ใช่แค่เรื่องของแพลตฟอร์ม แต่คือการคิดค้นนวัตกรรมที่เราเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง เพราะเราเท่านั้นที่จะเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงสิ่งที่ประเทศต้องการ”
ผู้นำที่เปี่ยมด้วยแรงบันดาลใจ และเชื่อมั่นในพลังของ “คน”
ด้วยความตระหนักถึงบทบาทที่สำคัญของทุนมนุษย์ต่อการทรานสฟอร์มสู่ดิจิทัลในครั้งนี้ คุณเอกราช กล่าวว่า “สินทรัพย์ที่ทรงพลังที่สุดของเราคือ คน” เขากล่าวอย่างไม่ลังเล “เรามีบุคลากรที่มีความสามารถหลากหลาย และแต่ละคนสามารถผสานความรู้และทักษะต่างๆ เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกและคุณค่าอย่างแท้จริง”
แนวคิดและความเชื่อในพลังของคน ได้รับการโอบรับสู่ปรัชญาแห่งความเป็นผู้นำของคุณเอกราช การสั่งการในลักษณะจากระดับผู้บริหารลงไปสู่ระดับปฏิบัติการถือเป็นสิ่งล้าสมัย โดยคุณเอกราชยึดหลักการทำงานแบบมีส่วนร่วม (Inclusive) สนับสนุนความร่วมมือกัน พร้อมกับแลกเปลี่ยนพูดคุยกันอย่างเปิดเผย “ผู้นำในวันนี้ต้องมีลักษณะของการเป็นผู้ฟัง” เขาอธิบายว่า “เราต้องเรียนรู้จากคนรุ่นใหม่ จากลูกค้าของเรา และเปิดรับมุมมองใหม่ๆ”
การเปิดกว้างนี้ยังสะท้อนชัดผ่านการใช้ชีวิตของคุณเอกราชเอง นอกจากหมวกนักบริหารแล้ว เขายังเป็นผู้ที่ชื่นชอบกีฬาเกี่ยวกับความเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกีฬาแข่งรถ “เพราะมันคือศิลปะ” เขากล่าวพร้อมอธิบายว่า การปรับแต่งเครื่องยนต์ให้เหมาะสมกับสภาพของแต่ละสนามแข่งถือเป็นกระบวนการที่ละเอียดอ่อน “วิถีบนสนามแข่งต้องอาศัยสมาธิ การตัดสินใจที่ถูกต้องและถูกเวลา รวมถึงการควบคุมทุกอย่าง ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้กับโลกธุรกิจได้เช่นกัน”
การรับรู้และเข้าใจถึงศักยภาพและความเป็นไปได้ของธุรกิจแทรกซึมอยู่ในวัฒนธรรมการทำงานของ ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป แม้จะต้องมีการวางโครงสร้างองค์กรให้สอดคล้องกับการเติบโตของบริษัท แต่คุณเอกราชยังคงยืนหยัดในจิตวิญญาณแห่งการคิดค้นที่ไม่หยุดนิ่งของสตาร์ตอัพ “เรายังคงยึดหลักที่ว่า ล้มเหลวเพื่อก้าวไปข้างหน้า” เขากล่าว “แต่เราได้เรียนรู้จากประสบการณ์และเดินหน้าด้วยวิถีที่มีกลยุทธ์รัดกุมมากขึ้น”
การสร้างสมดุลระหว่างความล้มเหลวและการก้าวไปข้างหน้า ถือเป็นกุญแจแห่งความสำเร็จที่ดำเนินต่อเนื่องของทรู ดิจิทัล กรุ๊ป เปิดโอกาสให้เราได้ลองผิดลองถูก พร้อมสร้างการเติบโต โดยคุณเอกราชเปรียบเทียบทรู ดิจิทัล กรุ๊ป กับบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกว่า แม้แต่ยักษ์ใหญ่ สุดท้ายแล้วยังต้องเดินบนเส้นทางเพื่อความยั่งยืนขององค์กร และนั่นจึงทำให้เขา ยังคงมองเป้าหมาย 2025 ในทิศทางบวก “เราได้ก้าวผ่านข้อจำกัดต่างๆ ค้นพบเส้นทาง และพร้อมที่เติบโต” และย้ำว่า “เทคโนโลยีใม่ได้เป็นอุปสรรคอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งที่ช่วยให้สามารถทำในสิ่งที่เราตั้งใจได้”
อาจกล่าวได้ว่า สมดุลระหว่างนวัตกรรม กลยุทธ์ การเติบโตของธุรกิจ ควบคู่กับการมุ่งเน้นให้ความสำคัญด้านบุคลากรและความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะสนับสนุนการเข้าถึงดิจิทัลอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง คือนิยามแห่งความเป็นผู้นำของ เอกราช ปัญจวีณิน แม้การนำทางของคุณเอกราชสู่ภูมิทัศน์แห่งเทคโนโลยีที่เกิดการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงชัดเจน คือ คุณเอกราชมีความแน่วแน่ที่จะทำให้อนาคตดิจิทัลของประเทศไทยเป็นหนึ่งในการมีส่วนร่วมโดยไม่แบ่งแยก นวัตกรรม และการเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมและเสมอภาคสำหรับทุกคน