J Ventures ผู้พัฒนาแพลตฟอร์มเทคโนโลยี และดิจิทัล ทรานสฟอร์เมชัน ในกลุ่มเจมาร์ท กรุ๊ป (Jaymart Group) และพัฒนาเหรียญ JFIN และ JFIN Chain บล็อกเชนสัญชาติไทย ประกาศความพร้อมนำเหรียญ สู่ ‘Coinstore.com’ เว็บเทรดชั้นนำที่มีการพัฒนาระบบให้เข้ากับความต้องการใช้งานของนักลงทุนในตลาดเอเชีย อเมริกาใต้ และแอฟริกา อย่างเป็นทางการในวันที่ 17 พฤษภาคมนี้ ปักหมุดเชื่อมต่อบล็อกเชน JFIN Chain เข้ากับ Coinstore.com เพื่อรองรับทุกการเติบโตของธุรกิจ และเพิ่มโอกาสขยายการพัฒนานวัตกรรมบนบล็อกเชนไปสู่ต่างประเทศ
นายธนวัฒน์ เลิศวัฒนารักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด (J Ventures) กล่าวว่า “เจ เวนเจอร์ส ได้พัฒนา JFIN Chain เพื่อเป็นบล็อกเชนอินฟราสตรักเจอร์หลักในการช่วยขับเคลื่อนธุรกิจสู่ Digital Transformation แท้จริง โดยเราเชื่อว่าเทคโนโลยีบล็อกเชนนั้นจะเป็นเครื่องมือหลักที่จะเปลี่ยนแปลงวิธีการดำเนินธุรกิจ ทำให้เรามุ่งมั่นที่จะทำให้เทคโนโลยีนี้สามารถเข้าถึงได้ในทุกรูปแบบ และใช้งานง่ายสำหรับทั้งบุคคลและธุรกิจ
ครั้งนี้เป็นอีกโอกาสสำคัญของ JFIN โดยร่วมมือกับ Coinstore.com ที่เป็นกระดานเทรดต่างประเทศ เพื่อขยายการใช้งานบล็อกเชน JFIN Chain ออกไปนอกประเทศอย่างเป็นทางการ เป็นการต่อเติมจิ๊กซอว์ให้กับ Ecosystem ของ JFIN CHAIN ที่จะรองรับผู้ใช้งานจากทั่วเอเชีย อเมริกาใต้ และแอฟริกา โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่งสัญญาณให้เห็นถึงการเติบโตของบล็อกเชนของเรา ซึ่งคาดว่าจะได้รับความสนใจจากทั้งในฝั่งนักลงทุนต่างชาติ กลุ่มธุรกิจองค์กร ตลอดจนนักพัฒนาจากต่างประเทศ ให้เข้ามาร่วมใช้งาน JFIN Chain มากขึ้น
ขณะเดียวกันในฝั่งประเทศไทย JFIN Chain จะทำหน้าที่เป็น Corporate Blockchain ที่เน้นความแข็งแกร่งของ Ecosystem และมีศักยภาพในการผลักดันและขับเคลื่อน Digital Transformation (DX) ให้กลุ่มพันธมิตรเติบโตไปด้วยกัน โดยมุ่งขยายทั้งองค์ความรู้ เทคโนโลยี และเครื่องมือตัวช่วยสำเร็จรูป ด้วยพันธมิตรทางธุรกิจ โดยเฉพาะ Jaymart Group และกลุ่มสตาร์ทอัปของเรา ซึ่งการที่ JFIN Chain ได้เชื่อมต่อกับตลาดต่างประเทศในครั้งนี้ จะเป็นการเปิดโอกาสให้กับพันธมิตรของเราที่วางแผนจะเร่งขยายไปยังภูมิภาคต่างประเทศทำได้สะดวกมากขึ้น เพราะเรามีช่องทางเทคโนโลยีรองรับให้แล้ว ดังนั้นกลุ่มธุรกิจและองค์กรในประเทศไทย ที่สนใจจะเข้ามาพัฒนานวัตกรรม หรือสร้างบล็อกเชนแอปพลิเคชันต่างๆ บน JFIN Chain จะสามารถวางแผนร่วมกันไปกับเราเพื่อเชื่อมต่อสู่ต่างประเทศได้เลย"
นายเจมส์ โท (James Toh) Global Head of Business Development, Coinstore.com ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลระดับโลก ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในประเทศสิงคโปร์ รองรับผู้ใช้งานกว่า 3.5 ล้านคน ใน 175
ประเทศทั่วโลก กล่าวว่า “Coinstore.com ให้บริการซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซีที่รวดเร็วและปลอดภัย รวมถึงบริการตราสารอนุพันธ์, บริการ OTC และ NFT ด้วยเทคโนโลยีและอินฟราสตรักเจอร์ด้านฟินเทค และบล็อกเชนของเรา จะช่วยสร้าง ecosystem ให้ทุกคนได้เข้าถึงสินทรัพย์ดิจิทัล และเทคโนโลยีต่างๆ ที่พัฒนาบนบล็อกเชนได้ทั่วโลก เราหวังจะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจคริปโตให้เติบโตขึ้นร่วมกันไปกับแพลตฟอร์มของเรา”
นอกจากนี้ นายธนวัฒน์ ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “ในมุมของผู้พัฒนา เรามองว่า JFIN Chain คือ ประตูธุรกิจสู่บล็อกเชน (A Business Gateway to Blockchain Innovation) เราพร้อมผลักดันและขับเคลื่อน Digital Transformation ให้เกิดขึ้นจริงในกลุ่มพันธมิตร เพื่อรับมือกับการเกิดใหม่ของธุรกิจที่ต้องการการขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี เราตั้งใจให้ JFIN Chain รองรับการทำงานได้ทุกกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะประเภทไหนก็มาใช้งานได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นสายเทคโนโลยีเท่านั้น ซึ่งนอกจากการไปต่างประเทศครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ให้กลุ่มธุรกิจไทยที่ใช้งานบนบล็อกเชนของเรา ยังรองรับธุรกิจต่างประเทศที่เข้ามาใช้งานบน JFIN Chain ในอนาคต เหล่านี้ จะยิ่งเสริมทัพให้ ecosystem แข็งแกร่งขึ้นไปด้วยกัน”
เพื่อตอบโจทย์วิสัยทัศน์ขององค์กรที่ต้องการเข้าสู่โลก Web3.0 ด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชนที่เข้าถึง และใช้งานง่ายสำหรับองค์กรและธุรกิจ JFIN Chain ยังสร้างสรรค์ Blockchain Tools ผสานระหว่าง โลกของเทคโนโลยี Blockchain เข้ากับโลกของธุรกิจ พร้อมช่วยให้ธุรกิจได้เพิ่มโอกาสการสร้างความสัมพันธ์ให้กับลูกค้า และเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้งานได้หลากหลาย ผู้ที่สนใจสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.jfincoin.io
เจ เวนเจอร์ส เดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจดิจิทัล ทรานสฟอร์เมชันเพื่อองค์กร
เจ เวนเจอร์ส เดินหน้าขยายวงกว้างสร้างอีโคซิสเต็มการใช้งาน JFIN ให้เติบโต
ธนวัฒน์ เลิศวัฒนารักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด (J Ventures) ได้ขึ้นกล่าวต่อถึงหัวข้อ Decentralized Message ซึ่งเป็นสิ่งที่ Jaymart และทุกธุรกิจบนโลกนี้กำลัง Transform ธุรกิจที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงน่าจะเดินต่อไปในอนาคตได้อย่างลำบาก “คำว่า Decentralized เป็นรากฐานสำคัญของเทคโนโลยี Blockchain เกิดจากสภาวะไร้คนกลาง โดยย้อนกลับไปดูถึงสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่เราเข้าสู่โลกอินเทอร์เน็ต เกิดการ Disrupt ใน Industry แต่ละ Sector ไปเรื่อยๆ อย่างช้าๆ โดยที่รู้ตัวหรือไม่ก็ตาม มีทั้งหมด 5 Sectors
1. E-commerce ผู้เล่นหน้าใหม่อย่าง Lasada, Shoppee, Jaydee.com มา Disrupt ตลาด Traditional ที่เป็น Retail
2. Online media สื่อเก่าที่ตายไปก็อย่างเช่น Magazine หนังสือ วิทยุ โทรทัศน์ และผู้เล่นหน้าใหม่ก็คือ Facebook, YouTube, Google, Joox โฆษณาก็โยกย้ายไปออนไลน์กันหมด
3. Social media ในอดีตที่เราใช้ในการสื่อสารอย่างเช่น อีเมล ข้อความและโทรศัพท์ ปัจจุบันเกิดผู้เล่นหน้าใหม่เป็นโปรแกรมแชทอย่าง Vivo, WhatsApp, WeChat หรือ Line บางคนมีครบหมดเพราะไปแต่ละประเทศก็ใช้โปรแกรมแชทต่างกัน
4. เป็นธุรกิจที่เขาทำ Survey มาว่าคนไทยขี้เกียจต่อคิว จึงทำ Marketing เผื่อมาช่วยอำนวยความสะดวกด้วยการสร้าง Application ต่างๆ ผู้เล่นหน้าใหม่อย่าง Grab, Uber แต่ก่อนอยากกินอะไรต้องโทรสั่งร้านนั้นๆ แต่เดี๋ยวนี้สั่งได้หมด ความน่าสนใจคือเวลาที่เกิด Disrupt ไม่ใช่แค่ส่งผลต่อ Industry นั้นๆ แต่เชื่อมโยงถึงกันได้หมดเลย อีกหน่อย Grab อาจจะทำโฆษณาหรือขายของออนไลน์ได้ด้วย
5. Digital Payment อย่างพวก Fintech ที่มา Disrupt แบงก์ แต่ก็ยังคง Disrupt การฝากเงินไม่ได้ อันแรกที่เกิดมาสักพักแล้วก็คือบัตร Visa Master แต่ก็ยังมีการทำงานร่วมกับแบงก์อยู่ ขยับมาก็คือ E-wallet ทั้งหลาย แต่ก็ยังไม่เกิดเป็น Cashless Society ที่แท้จริง จนกระทั่ง Mobile Banking ที่ไม่มีค่าธรรมเนียมโอนเงิน ซึ่งเกิดจากแต่ละแบงก์อยากจะ Disrupt กันเองเพื่อหวังให้ได้ลูกค้าเพิ่ม ทำให้เกิด Cashless Society อย่างแท้จริง”
อย่างไรก็ตามส่วนมากแล้วเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นล้วนเป็นของต่างประเทศ เหล่า Developer คนไทยก็หวังว่าสักวันจะมีโลโก้ของไทยเกิดขึ้นบ้าง ซึ่งเราสามารถทำให้เกิดขึ้นได้ เพราะโลกในตอนนี้เป็นการทำงานแบบ Networking, Partner และ Platform จึงต้องเกิดการรวมกันแบบ Decentralize, Market Place หรือ Platform ให้ user ได้ Generate content เป็นโลโก้ใหม่ๆ ถ้า Developer เข้าใจตรงนี้ สร้างข้อมูลและเชื่อมต่อให้ถึงกัน โดยมีเบื้องหลังคือ Data ซึ่งเป็นคีย์สำคัญ ใครมี Data เยอะที่สุดคนนั้นได้เปรียบ บริษัทต่างๆ จึงมีการเก็บข้อมูลเอาไว้ หลังบ้านที่เป็น Platform ก็ทำการเก็บข้อมูลไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่งหากวิเคราะห์ข้อมูลได้ชัดเจน วันนั้นคุณก็จะชนะและสามารถคาดเดาทิศทางต่างๆ ได้
เพราะฉะนั้นในประเทศไทยก็ควรมีบริษัทที่เก็บข้อมูลคนในประเทศ อย่างชิม ช้อป ใช้ ที่มีคนลงทะเบียนกว่า 10 ล้านคน สะสมพฤติกรรมผู้บริโภคไปเรื่อยๆ เมื่อสักวันเข้าใจ Data เอาเทคโนโลยีเข้าไปใส่ ประเทศไทยยังมีปัญหาของการทำสำมะโนครัวของประชากร เพราะเราไม่เคยปลูกทางมาก่อน นี่จึงอาจเป็นหนทางของการทำให้เกิดขึ้นได้ โดยมี 3 สิ่งสำคัญที่จะทำให้การพัฒนา Platform ประสบความสำเร็จได้ อย่างแรกคือ Trust me as a person เห็นคนเป็นคน อย่างเวลาเราดูโทรทัศน์เขาจะไม่สามารถรับรู้ได้ว่าเราเป็นคนดู ต่างจาก Facebook ที่สามารถโชว์ได้ว่าเรากำลังดูสิ่งนั้นอยู่ สองคือ Understand protect data และสามทุกอย่างต้องรวดเร็ว
โลกวันข้างหน้าเป็นการมองภาพใหม่แบบ Continuous ไปเรื่อยๆ เป็นโลกของ Platform และ Market Place มองคนแบบ M2M เริ่มจาก Customers Journey แล้วก็วนกลับมา การเปลี่ยนแปลงไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ ทุกธุรกิจย่อมจะเกิดการถูก Disrupt แต่จะทำอย่างไรให้นำเอารากฐานที่มีมาปรับใช้เข้ากับเทคโนโลยีให้ได้
เรื่อง : กองบรรณาธิการ
บริษัทผู้พัฒนา Blockchain และเทคโนโลยีแนวหน้าของประเทศไทย เปิดตัว Thailand Blockchain Working Group (TBWG)