December 05, 2025

Google Cloud ประกาศเปิดตัว PanyaThAI โครงการเพื่อยกระดับศักยภาพขององค์กรไทยในการพัฒนา ประยุกต์ และขยายการใช้งาน Agentic AI ระดับองค์กร เพื่อสร้างคุณค่าที่จับต้องได้ และผลลัพธ์ที่วัดผลได้จริงให้กับภาคเศรษฐกิจหลักของประเทศ

โครงการนี้เริ่มต้นด้วยสมาชิกผู้ก่อตั้งจำนวน 15 องค์กร ได้แก่ บิทาซซ่า (Bitazza), จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Chulalongkorn University), ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (Dhipaya Group Holdings), ฟินโนมีนา (Finnomena), ไทยสมุทรประกันชีวิต (Ocean Life Insurance), ซีเอ็ดยูเคชั่น (SE-ED), บริษัท ช้อป โกลบอล อี-คอมเมิร์ซ จำกัด (Shop Global E-Commerce Company Limited), สยามพิวรรธน์ (Siam Piwat), แสนสิริ (Sansiri), สคูลดิโอ (Skooldio), ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET), ไทยวาโก้ (Thai Wacoal), ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป (TISCO Financial Group), ท็อปส์ (TOPS)  และ ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป (True Digital Group) 

PanyaThAI” (ปัญญาไท) เป็นการเล่นคำระหว่างคำว่า “ปัญญา” และคำว่า “ไท” ซึ่งสะท้อนวิสัยทัศน์ของโครงการในการผสานสติปัญญาและความคิดสร้างสรรค์ของคนไทยเข้ากับเครื่องมือทางเทคโนโลยีอันล้ำสมัยเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรม AI ระดับโลกที่สามาถส่งมอบคุณค่าที่เป็นรูปธรรมให้แก่อุตสาหกรรม สังคม และเศรษฐกิจโดยรวมของทั้งประเทศ ทั้งยังสะท้อนเจตจำนงร่วมขององค์กรสมาชิกในการนำนวัตกรรม AI มาพัฒนาอย่างมีความรับผิดชอบ 

ผลการวิจัยจาก Public First เผยว่าหากองค์กรท้องถิ่นสามารถนำ AI มาใช้อย่างมีประสิทธิภาพได้มากขึ้น จะสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยได้ราว 730,000 ล้านบาท (ประมาณ 21,000 ล้านเหรียญสหรัฐ) ภายในปี 2030 นอกจากนี้ งานวิจัยบับดังกล่าวยังระบุถึง 3 อุปสรรคหลักที่จำกัดองค์กรหลายแห่งจากการใช้ประโยชน์จาก AI อย่างเต็มประสิทธิภาพ ได้แก่ 1) การทำให้โซลูชัน AI สามารถให้คำตอบที่ถูกต้องและน่าเชื่อถืออย่างต่อเนื่อง 2) การขาดแหล่งข้อมูลที่พร้อมสำหรับการใช้งาน AI 3) การขาดบุคลากรที่มีทักษะด้านการจัดการข้อมูลและ AI อย่างเหมาะสม 

นายอรรณพ ศิริติกุล กรรมการผู้จัดการ Google Cloud ประเทศไทย กล่าวว่า “จากผลสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารทั่วโลกพบว่า มากกว่าครึ่งรายงานว่าองค์กรของตนมีรายได้เพิ่มขึ้น 6-10% จากการนำโซลูชัน AI ระดับองค์กรมาให้ทีมงานและผู้ใช้บริการได้ใช้งานโดยตรง องค์กรของพวกเขากำลังจัดสรรงบประมาณด้าน AI อย่างน้อยครึ่งหนึ่งไปยังแพลตฟอร์ม Agentic แบบครบวงจร ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นกลไกหลักในการออกแบบกระบวนการดำเนินงานใหม่ และเสริมสร้างความเป็นผู้นำทางการตลาดของพวกเขา”

หากมองให้ลึกลงไปจะเห็นว่าบริษัทที่นำ AI ของ Google Cloud มาใช้อย่างจริงจังนั้นสามารถก้าวข้าม ‘Pilot Purgatory’ หรือการติดอยู่ในช่วงนำร่องไปได้สำเร็จ และสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) เฉลี่ยสูงถึง 727% ภายในเวลาเพียง 3 ปี พร้อมคืนทุนได้ในระยะเวลาเพียง 8 เดือน ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไม่ใช่ผู้ให้บริการเทคโนโลยี AI หรือแนวทางการทรานส์ฟอร์มทุกแห่งจะให้ผลลัพธ์แบบเดียวกันได้ ผ่านโครงการ PanyaThAI เรานำแบบแผนที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จมามอบให้แก่องค์กรในประเทศไทย เพื่อช่วยให้พวกเขาเข้าถึงบริการ AI แบบครบวงจร พร้อมการฝึกอบรมและการถ่ายทอดความเชี่ยวชาญที่จำเป็น ความมุ่งมั่นของเราคือการช่วยให้องค์กรสร้างทีมงานที่เข้าใจทั้งธุรกิจของตนและเทคโนโลยี AI ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแก้ไขโจทย์ที่ซับซ้อนและสร้าง ROI อย่างต่อเนื่องจาก AI ได้สำเร็จ โดยขณะนี้เราได้รับความสนใจอย่างล้นหลามจากองค์กรต่าง ๆ และตั้งขยายการสนับสนุนนี้ สู่องค์กรอื่น ๆ เพิ่มเติมจาก 15 องค์กรแรกที่เข้าร่วมโครงการนายอรรณพ กล่าวเสริม 

โครงการ PanyaThAI ดำเนินตามแนวทางแบบ Full-Stack ของ Google ในการพัฒนาเทคโนโลยี AI อย่างครบวงจร เริ่มตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ที่น่าเชื่อถือและออกแบบขึ้นเฉพาะ และ งานวิจัยล้ำสมัยจาก Google DeepMind ไปจนถึงโมเดลพื้นฐานระดับแนวหน้าภายในพอร์ตโฟลิโอขนาดใหญ่ของ Google อาทิ Veo 3.1, Gemini 3, Gemini 3 Pro Image หรือที่รู้จักกันในชื่อ Nano Banana Pro และ Gemini 2.5 Computer Use รวมถึงแพลตฟอร์มแบบครบวงจรอย่าง Vertex AI และ Gemini Enterprise ตลอดจนแอปพลิเคชันสำเร็จรูปอย่าง Customer Engagement Suite และ Google Workspace ภายใต้โครงการนี้ ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ข้อมูลและ AI จาก Google Cloud พร้อมด้วยพันธมิตรในระบบนิเวศจะร่วมกันสนับสนุนให้องค์กรต่าง ๆ สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใน Stack เหล่านี้ได้อย่างเต็มศักยภาพ เพื่อพัฒนาและปรับใช้โซลูชัน Agentic AI ที่ตอบโจทย์และครอบคลุมการใช้งานหลากหลายรูปแบบ กระบวนการทำงาน และเวิร์คโฟลว์ โดยให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพ ความรวดเร็ว ต้นทุน และความปลอดภัยในทุกมิติ 

พันธมิตรด้านการให้คำปรึกษาและการดำเนินงานของ Google Cloud ที่ร่วมสนับสนุนโครงการ PanyaThAI ประกอบด้วย Accenture, Deloitte, Digithun Worldwide, HoriXonT8, MFEC, NTT DATA, Skooldio และ Tridorian ทั้งนี้ NTT DATA ยังได้ประกาศแผนเพิ่มจำนวนผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคของ Google Cloud ในประเทศไทยอีก 300 คน ครอบคลุมทั้งด้านการวิเคราะห์ข้อมูล, ปัญญาประดิษฐ์ (AI), ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์, และการปรับปรุงแอปพลิเคชันให้ทันสมัย เพื่อยกระดับความพร้อมในการสนับสนุนโครงการให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น 

โครงการ PanyaThAI มุ่งสนับสนุนให้องค์กรสมาชิกนำแนวทางการทรานส์ฟอร์มที่ได้รับการพิสูจน์แล้วของ Google Cloud ไปประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยแนวทางดังกล่าวได้แก่ 

  • การร่วมกันพัฒนา AI Roadmap ที่ออกแบบเฉพาะและสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง โดยผสานเข้ากับกลยุทธ์หลักขององค์กรเพื่อให้การดำเนินงานด้าน AI สอดคล้องกับเป้าหมายทางธุรกิจ พร้อมระบุพื้นที่หรือกระบวนการสำคัญที่ Agentic AI สามารถสร้างคุณค่าให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างชัดเจน
  • ให้ความสำคัญกับการคัดเลือก Use Case ด้าน AI ที่เหมาะสมที่สุด โดยประเมินศักยภาพในการสร้างคุณค่าเทียบกับความเป็นไปได้และความพร้อมในการนำไปสู่การปฏิบัติจริง
  • พัฒนาโซลูชัน AI แบบเปิดและรองรับการทำงานร่วมกันได้อย่างยืดหยุ่นสำหรับแต่ละ Use Case เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดให้กับการลงทุนด้านเทคโนโลยีที่มีอยู่ พร้อมต่อยอดและรองรับการใช้งานในอนาคตได้อย่างมั่นคง
  • สร้างระบบกำกับดูแลศูนย์กลางสำหรับโครงการ AI ซึ่งครอบคลุมทั้งการนำหลักการ Responsible AI และกรอบความปลอดภัย Secure AI Framework (SAIF) มาปรับใช้จริง พร้อม Grounding โซลูชัน AI กับแหล่งข้อมูลหลักขององค์กร หรือที่เรียกว่า “Enterprise Truth” เพื่อให้มั่นใจว่าผลลัพธ์ที่ได้มีความถูกต้อง น่าเชื่อถือ และสอดคล้องอย่างต่อเนื่อง
  • กำหนดตัวชี้วัดที่ชัดเจนเพื่อใช้ติดตาม ประเมิน และปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน รวมถึงผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ของโซลูชัน AI ตลอดวงจรชีวิต
  • ยกระดับทักษะบุคลากรตั้งแต่นักพัฒนาไปจนถึงผู้บริหาร ผ่านแพลตฟอร์มการเรียนรู้และฝึกอบรมแบบครบวงจรที่เน้นการลงมือปฏิบัติจริง อาทิ Google Skills และ ChaiyoGCP 

ภายในงานแถลงข่าวเปิดตัวโครงการ PanyaThAI องค์กรสมาชิกหลายแห่งได้สาธิตโซลูชัน AI ที่พวกเขาพัฒนาขึ้นผ่านตัวโครงการ 

SE-Education: ก้าวสู่บทใหม่ของการค้นหาคอนเทนต์ด้านการศึกษาด้วยบรรณารักษ์อัจฉริยะที่ขับเคลื่อนด้วย AI 

ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ซีเอ็ด (SE-ED) มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาศักยภาพด้านความรู้ของคนไทย ภายใต้ภารกิจหลักในการดำเนินธุรกิจที่มุ่งเน้นการ “ทำให้คนไทยเก่งขึ้น” ในฐานะผู้จัดพิมพ์และผู้จัดจำหน่ายคอนเทนต์ด้านการศึกษาชั้นนำของประเทศ ซีเอ็ดเชื่อมโยงชุมชนเข้ากับความรู้ผ่านเครือข่ายร้านหนังสือ SE-ED Book Center และร้านหนังสือภายในมหาวิทยาลัยหลายแห่งทั่วประเทศ พร้อมทั้งการมีตัวตนอย่างครบวงจรบนแพลตฟอร์มดิจิทัล ทำให้เนื้อหากว่า 150,000 รายการเข้าถึงได้ง่ายกว่าที่เคย 

เพื่อสนับสนุนภารกิจดังกล่าว ซีเอ็ดได้ร่วมมือกับ Digithun Worldwide นำ Semantic Search Agent ระบบค้นหาอัจฉริยะที่เข้าใจความหมายของข้อความและขับเคลื่อนด้วย Generative AI มาเสริมในแพลตฟอร์ม SE-ED e-Marketplace ระบบนี้สร้างบน AI Stack ของ Google Cloud เพื่อช่วยยกระดับฟังก์ชันการค้นหาที่จากเดิมเป็นเพียงเครื่องมือค้นหาตามคีย์เวิร์ด ให้กลายเป็นบรรณารักษ์ และผู้คัดสรรเนื้อหาอัจฉริยะ ตัวอย่างเช่น หากผู้ใช้ค้นหาคำว่า “เซลล์แบ่งตัวอย่างไรเพื่อสร้างเซลล์ใหม่” ระบบจะแสดงผลเป็นตำราเรียนชีววิทยา คู่มือการเรียนเฉพาะทาง และการ์ตูนวิทยาศาสตร์ที่น่าสนใจ หรือหากค้นหาประโยคว่า “วิธีจัดการความกดดันในการทำงาน” ระบบจะนำเสนอรายการหนังสือที่คัดสรรเกี่ยวกับการจัดการความคิดเชิงลบ การสร้างสมดุลชีวิตการทำงาน และกลยุทธ์การพัฒนาตนเองในที่ทำงาน

นายนิวัฒน์ ชาตะวิทยากูล กรรมการผู้จัดการ Digithun Worldwide กล่าวว่า “เราได้ร่วมมือกับซีเอ็ดในการยกระดับแพลตฟอร์ม จากเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซแบบดั้งเดิมให้กลายเป็น e-Marketplace แบบครบวงจร ผ่านการปรับปรุงแอปพลิเคชันให้ทันสมัยบน Google Cloud ซึ่งเป็นการยกเครื่องโครงสร้างระบบดิจิทัลครั้งใหญ่ เพื่อสร้างพื้นฐานประสิทธิภาพสูง ที่สามารถรองรับการทำงานของระบบ AI ที่ซับซ้อนในอนาคตได้ เมื่อมีพื้นฐานนี้รองรับแล้ว เราได้ออกแบบ AI Search Agent ของซีเอ็ด ให้สามารถเข้าใจแนวคิด มากกว่าแค่เพียงจับคู่คีย์เวิร์ดเท่านั้น โดยเริ่มจากการใช้ โมเดล Gemini Embeddings ของ Google เพื่อคัดเลือกสินค้าที่มีความสอดคล้องกับแนวคิดและบริบทของคำค้นหาของผู้ใช้ ตัวอย่างเช่น หากผู้ใช้ค้นหาวลีว่า ‘ฮีโร่ที่ทำลายแหวนแห่งอำนาจในภูเขาไฟ’ ระบบก็สามารถแนะนำหนังสือนิยาย The Lord of the Rings ได้ แม้ว่าคำค้นหาจะไม่ได้ปรากฎอยู่ในคำบรรยายสินค้าก็ตาม กระบวนการนี้อ้างอิงจากฐานข้อมูลแค็ตตาล็อกของซีเอ็ด เพื่อให้มั่นใจว่าระบบจะไม่แนะนำสินค้าที่ ‘ไม่มีอยู่จริง’ จากนั้น ผลลัพธ์ที่ผ่านการคัดเลือกจะถูกส่งต่อไปยังโมเดล Gemini 2.5 Flash ซึ่งใช้กระบวนการวิเคราะห์และให้เหตุผลเชิงลึกในการจัดอันดับและเรียงลำดับสินค้าที่จะแสดง ทำให้ผลลัพธ์สุดท้ายตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริงของผู้ใช้ได้อย่างแม่นยำ” 

นายรุ่งกาล ไพสิฐพานิชตระกูล กรรมการผู้จัดการ SE-Education กล่าวว่า “เราได้สร้างระบบนิเวศแบบออมนิชาแนลเพื่อส่งเสริมการแสวงหาความรู้และปลูกฝังวัฒนธรรมรักการอ่านให้กับประชาชนทั่วประเทศ ในฐานะผู้นำตลาด ซีเอ็ด มุ่งมั่นเป็นผู้บุกเบิกยุคใหม่ โดยมี AI Agent อัจฉริยะทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยด้านการอ่านส่วนบุคคลขั้นสูงสำหรับคนไทยทุกคน จากความสำเร็จในช่วงแรกนี้ เรามีความมุ่งมั่นที่จะต่อยอดการผนวกความสามารถด้าน AI ที่มีประโยชน์และคุณค่ามากขึ้นเข้ากับแพลตฟอร์ม รวมถึงแอปพลิเคชันบนมือถืออย่าง SE-ED Reader และ e-Library by SE-ED เพื่อยกระดับประสบการณ์ผู้ใช้ให้ตอบโจทย์ความต้องการได้ดียิ่งขึ้น” 

นางภาสพรรณี มหายศ ผู้อำนวยการสายงานธุรกิจดิจิทัล SE-Education กล่าวว่า “ผ่านการใช้ส่วนประกอบพื้นฐาน AI อันทรงพลังเช่นเดียวกับที่อยู่เบื้องหลัง Google Search ระบบ AI Search Agent ของเราช่วยให้ผู้ใช้งานแพลตฟอร์ม e-Marketplace ค้นหาและพบข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ประสบการณ์ที่พัฒนาขึ้นนี้ได้พิสูจน์แล้วว่าการค้นหาและพบข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพนั้นส่งผลโดยตรงต่อการตัดสินใจซื้อ ทำให้อัตราการเปลี่ยนผู้เข้าชมเป็นลูกค้า (Conversion Rate) เพิ่มจาก 12% เป็น 27% ขณะเดียวกัน อัตราการออกจากหน้าเว็บไซต์ทันที (Bounce Rate) ลดเหลือ 10% และอัตราการละทิ้งตะกร้าสินค้าอยู่ที่เพียง 6%” 

ไทยวาโก้: ชูโมเดล Generative Media ‘โซลูชันที่ตอบโจทย์ช่วยเร่งการเปิดตัวสินค้าแฟชั่นออนไลน์ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 

ไทยวาโก้ (Thai Wacoal) หนึ่งในผู้นำอุตสาหกรรมแฟชั่นของไทย เป็นที่รู้จักจากดีไซน์ที่ทันสมัย ความสบายระดับพรีเมียม และกระบวนการผลิตที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ด้วยพอร์ตโฟลิโอแบรนด์ที่หลากหลาย ครอบคลุมทั้งชุดชั้นในอย่าง Wacoal ชุดออกกำลังกาย CW-X รวมถึงเสื้อผ้าเด็ก ENFANT ทั้งนี้ เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน นายประณต เวสารัชวิทย์ กรรมการผู้จัดการฝ่ายการตลาดและฝ่ายขาย ไทยวาโก้ ประกาศว่าบริษัทได้ผนวก Creative AI Agent เข้าไปในห่วงโซ่คุณค่าแบบบูรณาการ ซึ่งโซลูชันนี้พัฒนาโดย Tridorian และขับเคลื่อนด้วย โมเดล Generative Media บน Vertex AI ของ Google เพื่อเสริมประสิทธิภาพการดำเนินงานหลักและช่วยให้บริษัทสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ 

Creative Agent ดังกล่าวถูกพัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์และแก้ไข “Photoshoot Predicament” ปัญหาเรื้อรังของอุตสาหกรรมแฟชั่นที่ใช้ทั้งงบประมาณและเวลาอย่างสิ้นเปลืองในกระบวนการถ่ายภาพสินค้า เนื่องจากทุกครั้งที่มีการเปิดตัวสินค้าในเฉดสีใหม่ แบรนด์จำเป็นต้องผลิตตัวอย่างสินค้าจริง จัดส่งไปยังสตูดิโอ และถ่ายภาพกับนางแบบใหม่อีกครั้ง เพราะนักช้อปออนไลน์ส่วนใหญ่ย่อมไม่เลือกซื้อสินค้าที่มองไม่เห็นภาพจริง ด้วยบทบาทเสมือน “โรงย้อมผ้าดิจิทัล” และ “สตูดิโอออกแบบเสมือนจริง” Creative Agent ใช้ศักยภาพของโมเดล Nano Banana ในการปรับแต่งภาพเฉพาะจุดโดยยังคงความสม่ำเสมอของวัตถุ ขณะเดียวกันยังใช้โมเดล Veo 3.1 เพื่อยกระดับคุณภาพภาพและเสียงให้มีความสมจริงสูงสุด เมื่อแปลงภาพนิ่งให้กลายเป็นวิดีโอ ด้วยความสามารถดังกล่าว ทีมบริหารผลิตภัณฑ์ของไทยวาโก้สามารถสร้างภาพสินค้าที่สมจริงและวิดีโอแบบ 360 องศา สำหรับผลิตภัณฑ์ทุกเฉดสีได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยอาศัยเพียงการถ่ายภาพสินค้าจริงเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น 

นายแอนติก้า ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายรายได้ Tridorian กล่าวว่า “โมเดล Generative Media ของ Google สามารถจำลองคุณสมบัติของเนื้อผ้าและรูปทรงสามมิติของร่างกายมนุษย์ได้อย่างแม่นยำ พร้อมคงรายละเอียดด้านแสง เงา รอยพับ และพื้นผิวไว้ครบถ้วน แม้ในขณะที่ปรับเฉดสีภาพ อีกทั้ง เรายังเชื่อมผลลัพธ์ของโมเดลเข้ากับฐานข้อมูลเฉดสีและมาตรฐานการผลิตของไทยวาโก้โดยตรง ทำให้ระบบไม่ต้อง ‘คาดเดา’ สี แต่สามารถดึงมาตรฐานการผลิตที่ถูกต้องมาใช้ และสร้าง ‘Digital Twin’ ที่ตรวจสอบได้และตรงกับสินค้าจริง โซลูชันนี้ช่วยให้ไทยวาโก้สามารถเปิดตัวและสร้างรายได้จากคอลเลกชันเสื้อผ้าหลายสีบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซได้อย่างรวดเร็ว พร้อมเปลี่ยนกระบวนการสร้างสื่อภาพและคอนเทนต์ดิจิทัลคุณภาพสูง ให้กลายเป็นโอกาสสร้างรายได้อย่างมีประสิทธิภาพ” 

ดร.สุปราณี อุ่ยยะเสถียร รองผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจดิจิทัล ไทยวาโก้ กล่าวถึงความร่วมมือกับ Tridorian และ Google Cloud ว่า “ความร่วมมือนี้เป็นเสมือนสะพานที่เชื่อมระหว่างจินตนาการของนักช้อปออนไลน์กับความมั่นใจในการตัดสินใจซื้อของพวกเขา” เธอกล่าวต่อว่า “เมื่อ Creative Agent ของเราเริ่มให้บริการในไตรมาสที่ 1 ปี 2026 โซลูชันนี้จะไม่เพียงช่วยแก้ปัญหาด้านการถ่ายภาพสินค้าและเร่งเวลาเข้าสู่ตลาดเท่านั้น แต่ยังเปิดโอกาสให้ไทยวาโก้เปลี่ยนไปสู่รูปแบบการผลิตที่หลากหลาย ปริมาณน้อย หรือการสั่งผลิตแบบ made-to-order ที่สามารถเชื่อมโยงการผลิตเข้ากับความต้องการของลูกค้าได้โดยตรง นอกจากนี้ ในภาพรวมของพอร์ตโฟลิโอ บริษัทได้เริ่มนำเทคโนโลยี AI อื่น ๆ มาใช้งานแล้ว โดยรวมถึงความสามารถด้าน Virtual Try-On ของ Google Cloud เพื่อปลดล็อกข้อได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ใหม่ ๆ ผ่านความสมจริงเชิงดิจิทัลและการปรับแต่งสินค้าเฉพาะบุคคลในระดับมวลชน”

 TIPH จับมือ HoriXonT8 เร่งเครื่อง AI เต็มรูปแบบ เปิดตัว TIP Smart Car Inspection และ TIP AI เสริมศักยภาพประกันภัยยุคใหม่ 

บริษัท ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TIPH กลุ่มธุรกิจประกันภัยและการเงินชั้นนำในภูมิภาค จับมือกับบริษัท ฮอไรซอน ที 8 จำกัด (HoriXonT8) บริษัทในเครือ TIPH ที่ร่วมทุนกับบริษัท เบริล 8 พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ BE8 ผู้นำด้าน AI-Powered Digital Transformation ประกาศความร่วมมือ ในการผลักดันอุตสาหกรรมประกันภัยไทยสู่ยุค AI Transformation ภายใต้แนวคิด “AI for Insurance Transformation” ผ่าน 2 โครงการสำคัญ ได้แก่

 (1) TIP Smart Car Inspection

ระบบตรวจสภาพรถด้วย AI โดยใช้เทคโนโลยี Gemini บน Google Cloud Platform ลูกค้าสามารถตรวจสภาพรถก่อนทำประกันภัยด้วยตนเองผ่าน LINE Official Account ระบบจะประมวลผลวิดีโอแบบ Real-time วิเคราะห์ความเสียหายอย่างแม่นยำ โปร่งใส และเชื่อมต่อข้อมูลกับระบบออกกรมธรรม์ทันที ช่วยลดเวลาการเดินทางเพื่อตรวจสภาพ และลดต้นทุนให้ลูกค้าได้มากกว่า 70%

 (2) TIP AI ผู้ช่วยอัจฉริยะภายในองค์กร

โซลูชัน Generative AI Chat Assistant ที่พัฒนาร่วมกับ Google Cloud เพื่อเสริมประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน และสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ Smart Organization ทุกข้อมูลถูกประมวลผลบน Private Environment ที่สอดคล้องกับมาตรฐาน Data Privacy & Compliance ทำให้พนักงานเข้าถึงข้อมูลสำคัญได้รวดเร็ว ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพมากขึ้น 

ดร.พลรัตน์ เอกโยคยะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “สำหรับ TIPH เรามองว่า AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เป็นหัวใจของการยกระดับประสบการณ์ลูกค้าและมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรม การร่วมมือกับ HoriXonT8 และ Google Cloud ช่วยให้เราพัฒนาโซลูชันที่ทั้งแม่นยำ โปร่งใส และตอบโจทย์ลูกค้ายุคดิจิทัลอย่างแท้จริง” 

ด้าน นางนุสรา ฤทธิพรพสิษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร HoriXonT8 กล่าวว่า “โครงการ TIP Smart Car Inspection และ TIP AI เป็นตัวอย่างของ AI-Powered Digital Transformation ที่ใช้ได้จริงและวัดผลได้ เราผสานความเชี่ยวชาญของ HoriXonT8 เข้ากับเทคโนโลยีของ Google Cloud เพื่อสร้างนวัตกรรมที่ช่วยเพิ่มศักยภาพของธุรกิจประกันภัยไทยอย่างเป็นรูปธรรม” 

ความร่วมมือครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทใหม่ของ AI ที่ก้าวข้ามจากระบบหลังบ้าน สู่การเป็นพลังขับเคลื่อนธุรกิจ ผ่านการผสานเทคโนโลยีของ Google กับความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมของ TIPH เพื่อสร้าง New Capability และต่อยอดสู่การพัฒนา New S-Curve ของประกันภัยไทยในอนาคต 

TIPH และ HoriXonT8 ยังเตรียมต่อยอดสู่โครงการ AI Claim Inspection และ AI Risk Assessment เพื่อสร้าง Insurance Ecosystem ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีอย่างแท้จริงและยั่งยืน

 

การก้าวตามเทคโนโลยีใหม่อย่าง Generative AI ที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วอาจเป็นเรื่องที่ท้าทายและน่ากลัว ไม่มีใครรู้เลยว่าบริษัทที่ใช้แนวทาง "รอดูไปก่อน" จะถูกทิ้งไว้ข้างหลังในขณะที่ระบบดิจิทัลเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเริ่มต้นของโควิด-19 และตอนนี้เราก็กำลังอยู่ในอีกหนึ่งช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านที่สำคัญอีกครั้งของการปรับตัวกับการเข้ามาถึงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี Generative AI โดย Google Cloud คาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมต่างๆ จะพัฒนาไปพร้อมกับ Gen AI ดังนี้:

การขายปลีก

ผู้ค้าปลีกรู้ดีว่าแบรนด์จะดีได้ก็ต่อเมื่อบริการลูกค้านั้นเป็นที่พึงพอใจ ซึ่ง Gen AI ที่ทำงานดั่งตัวแทนเสมือน (Virtual Agent) สามารถช่วยแบ่งเบาภาระจากศูนย์ติดต่อลูกค้าของผู้ค้าปลีกได้ ผ่านการเปิดใช้งานแชทบอทที่ให้การปฏิสัมพันธ์เหมือนมนุษย์ได้ทันที เพื่อช่วยให้ผู้ซื้อสามารถได้คำตอบที่ต้องการอย่างง่ายดาย เช่น การช่วยเหลือทางด้านความแตกต่างระหว่างผลิตภัณฑ์ หรือการแลกเปลี่ยนคำสั่งซื้อ เป็นต้น นอกจากนี้ Gen AI ยังสามารถขับเคลื่อนการค้าแบบสนทนาเพื่อช่วยให้ผู้ซื้อค้นพบสิ่งที่พวกเขากำลังมองหาและลดอัตราการละทิ้งตะกร้าสินค้า ลองนึกภาพการมีสไตลิสต์ส่วนตัวเสมือนจริงที่สามารถโต้ตอบกับผู้ซื้อและแนะนำสินค้าที่ปรับให้เหมาะกับคำถามหรือความชอบของผู้ซื้อแต่ละราย และลองจินตนาการถึงสิ่งนี้ในวงกว้าง แล้วคุณจะเข้าใจว่า Gen AI เป็นโอกาสที่น่าตื่นเต้นสำหรับผู้ค้าปลีกเพียงใด

ยิ่งไปกว่านั้น Gen AI ยังช่วยเพิ่มความคล่องตัวให้แก่ผู้ค้า และช่วยเร่งการจัดการแคตตาล็อกผลิตภัณฑ์ที่ใช้เวลานาน ซึ่งเป็นหนึ่งในอุปสรรคสำคัญของการค้าปลีกเนื่องจากผู้ขายต้องจัดการกับสินค้าคงคลังที่หมุนเวียนอยู่ตลอดเวลา ทั้งนี้ด้วยการทำงานแบบอัตโนมัติผ่าน Gen AI ผู้ค้าปลีกสามารถอัปเดตสินค้าคงคลังที่แสดงปริมาณและรูปแบบอย่างแม่นยำแบบเรียลไทม์ พร้อมรับรูปภาพจากผู้ขาย จัดเรียงและจัดหมวดหมู่ผลิตภัณฑ์ตามคำค้นหายอดนิยมและคำอธิบายที่เกี่ยวข้อง และเขียนคำอธิบายสินค้าที่ช่วยให้ค้นพบสินค้าได้ง่าย

นักการตลาดค้าปลีกที่มีความชำนาญสามารถใช้คำอธิบายสินค้าเหล่านี้สำหรับสร้างข้อความโฆษณาที่น่าสนใจออกมาได้หลายรูปแบบเพื่อให้โดนใจกลุ่มผู้บริโภคที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น การใช้ภาพกระเป๋าถือหนึ่งใบ และกำหนดกลุ่มเป้าหมายด้วยข้อความโฆษณาที่แตกต่างกันไปยังนักช้อปประเภทต่างๆ อาทิ กลุ่มที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม กลุ่มคนมิลเลนเนียลที่รักในการเดินทาง และกลุ่มคุณแม่มือใหม่ จากนั้น นักการตลาดสามารถใช้ Gen AI เพื่อช่วยในการสร้างฉากหลังภาพถ่ายผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างกันสำหรับกระเป๋าใบนั้น และทำการทดสอบ A/B กับกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน สิ่งนี้ไม่เพียงช่วยประหยัดเวลาของผู้ค้าปลีก แต่ยังช่วยเพิ่มรายได้และเสริมการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคอีกด้วย

บริการทางการเงิน

อุตสาหกรรมบริการทางการเงินเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลมากที่สุดในโลก และ Gen AI สามารถช่วยให้สถาบันการเงินวิเคราะห์ข้อมูล สร้างข้อมูลเชิงลึก และตัดสินใจได้ดีขึ้น  บริการทางการเงินส่วนใหญ่มีคำศัพท์และบริบทที่เฉพาะเจาะจงเป็นของตัวเอง โดยผมมองว่าเราจะเห็นการเพิ่มขึ้นของ LLM ที่ได้รับการปรับแต่งอย่างละเอียด โดยเป็นโมเดลภาษาที่ได้รับการเทรนล่วงหน้า และเทรนเพิ่มเติมเกี่ยวกับชุดข้อมูลของข้อความและโค้ดที่มีขนาดเล็กลงและเฉพาะเจาะจงมากขึ้น ซึ่งช่วยให้โมเดลเข้าใจและตอบสนองต่อพรอมต์และคำถามที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อหรือโดเมนเฉพาะได้ดียิ่งขึ้น เช่น การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบหรือมาตรฐานการรายงานทางการเงิน เป็นต้น

นอกจากนี้ คุณภาพของเอาท์พุต Gen AI ยังได้รับการปรับปรุงโดยการการตรวจสอบความสมเหตุสมผล หรือ grounding โมเดล ที่เชื่อมโยงข้อความที่สร้างขึ้นกับข้อมูลและบริบทในโลกแห่งความเป็นจริง ซึ่งหมายความว่าทุกครั้งที่มีการตัดสินหรือการประเมิน โมเดลสามารถอ้างอิงเชิงอรรถหรือเชื่อมโยงกลับไปยังข้อมูลสนับสนุนได้โดยตรง ทั้งนี้ โมเดล Gen AI ที่อธิบายได้ดังกล่าว จะช่วยให้สถาบันการเงินสามารถอธิบายกระบวนการตัดสินใจให้กับลูกค้าได้อย่างโปร่งใส และสร้างความไว้วางใจและความมั่นใจในบริการที่ขับเคลื่อนด้วย AI ที่พวกเขานำเสนอ เรียกได้ว่าทั้งหมดนี้จะทำโดยมีมนุษย์คอยดูแลและควบคุมระบบ AI ที่ใช้ในการตัดสินใจเรื่องการเงินของลูกค้า ด้วยวิธีนี้ ธนาคารสามารถทำให้แน่ใจว่าโมเดล AI เป็นไปตามกฎระเบียบ ลดความเสี่ยง และรักษาความไว้วางใจของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 การดูแลสุขภาพ

โควิด-19 ทำให้เกิดแรงกดดันด้านต้นทุน การขาดแคลนบุคลากร เทคโนโลยีที่กระจัดกระจาย และความซับซ้อนด้านการบริหารที่อุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพต้องเผชิญ แต่การเข้ามาของ Gen AI ในอีกสามปีต่อมานั้น สามารถช่วยบรรเทาความกดดันบางส่วนเหล่านี้ได้

ตัวอย่างเช่น Gen AI สามารถแบ่งเบาภาระงานด้านการบริหารและภาระทางปัญญาสำหรับแพทย์ที่มีเวลาจำกัด โดยการค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องท่ามกลางชุดผลลัพธ์จำนวนมาก การแยกย่อยรายงานและไฟล์ขนาดยาวเพื่อการใช้งานที่รวดเร็วขึ้น และช่วยเหลือด้านเอกสารทางคลินิก โดย Gen AI ยังสามารถวิเคราะห์และกำหนดค่าข้อมูลที่มีอยู่ในบันทึกสุขภาพอิเล็กทรอนิกส์ และรายงานการวินิจฉัยนับล้านที่อธิบายสภาพของผู้ป่วยและโรงพยาบาล รวมถึงข้อมูลในโหมดที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เช่น การสแกนด้วยภาพ ผลการตรวจจากห้องห้องปฏิบัติการ และการสัมภาษณ์ผู้ป่วย ทำให้แพทย์สามารถตอบคำถามทางการแพทย์ได้แม่นยำและปลอดภัยยิ่งขึ้น และยังสร้างข้อมูลเชิงลึกใหม่ๆ เกี่ยวกับสุขภาพและการดูแลผู้ป่วยได้อีกด้วย

เช่นเดียวกับในด้านการเงิน มนุษย์ยังคงเป็นศูนย์กลางของกระบวนการนี้ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ Gen AI มอบให้คือเครื่องมือใหม่ที่ทรงพลังในการประมวลผลและทำงานที่น่าพึงพอใจมากขึ้น ที่สามารถช่วยลดความน่าเบื่อของกระบวนการงาน จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก ปัจจุบันจำนวนพยาบาลมีประมาณ 28 ล้านคนทั่วโลก ซึ่งถ้าเราสามารถช่วยพวกเขาได้เพียงห้านาทีต่อวัน นั่นเท่ากับเป็นเวลา 266 ปีที่จะมุ่งเน้นไปที่การดูแลผู้ป่วย

สรุปแล้ว Gen AI จะมาเปลี่ยนแปลงธุรกิจจึงเปิดกว้างแบบไม่มีที่สิ้นสุด ด้วยความสามารถในการสแกนข้อมูลที่มีโครงสร้างและไม่มีโครงสร้างจำนวนมหาศาล และโต้ตอบกับผู้คนในภาษาธรรมชาติ รวมถึงการระบุรูปแบบแพทเทิร์น เรียนรู้ และสร้างข้อความ รูปภาพ โค้ด และเนื้อหาอื่นๆ อีกมากมาย

ขณะที่ Gen AI เปลี่ยนแปลงจากช่วงทดลองสู่การใช้งานจริงในปี 2024 ผมตั้งตารอที่จะได้เห็นวิธีที่บริษัทต่างๆ ใช้งาน Gen AI เพื่อปลดล็อกประสิทธิภาพและโอกาสในการสร้างรายได้อย่างปลอดภัยและครอบคลุม ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะขับเคลื่อนมาตรฐานใหม่ที่ดียิ่งขึ้นในอุตสาหกรรมต่างๆ ต่อไปอย่างแน่นอน

 

บทความ  : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. Country Director, Google Cloud ประเทศไทย

ในปี 2024 นี้ Generative AI จะเติบโตขึ้นจนกลายเป็นส่วนสำคัญในการทำงานขององค์กรทุกระดับ ตั้งแต่ธุรกิจขนาดเล็กไปจนถึงทีมในบริษัทใหญ่และพนักงานทุกคน จึงทำให้เกิดคำถามว่า Gen AI จะเข้ามามีผลต่อการทำงานของเราต่อไปอย่างไร?

ตั้งแต่ปีที่แล้ว เราได้เห็นผู้คนทำงานร่วมกับ Gen AI ผ่านเครื่องมือของเราอย่าง Gemini for Google Workspace เพื่อพัฒนาทักษะที่มีอยู่ เช่น เหล่านักเขียนทำงานได้อย่างราบรื่นขึ้นด้วยเครื่องมือบรรณาธิการเสมือนจริง (Virtual Editor) หรือเหล่านักออกแบบมาร่วมกันรังสรรค์ไอเดียใหม่ ๆ หรือบางครั้งก็เป็นการเพิ่มทักษะต่าง ๆ ให้กับเครื่องมือการใช้งาน เช่น เหล่ามือใหม่ใน Spreadsheet หันมาใช้ AI เพื่อให้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน Spreadsheet ได้อย่างรวดเร็ว เป็นต้น

Gen AI เพียบพร้อมด้วยนวัตกรรมทางเทคโนโลยีมากมาย แต่สิ่งสำคัญสำหรับเจ้าของธุรกิจหรือพนักงานของธุรกิจขนาดเล็ก คือผลลัพธ์ที่ได้และวิธีที่ AI ช่วยลดเวลาทำงานได้อย่างมหาศาล ซึ่งช่วยให้พนักงานทำงานและยกระดับการพูดคุยโต้ตอบกับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเราจะเห็นผลลัพธ์ผ่าน 3 ส่วนหลัก ดังนี้

โมเดล AI หลายรูปแบบจะปรับปรุงกระบวนการทำงานของธุรกิจ SMB

ในปี 2024 เราจะเริ่มเห็นพลังของ AI ในหลากหลายรูปแบบ เช่น AI ที่เข้าใจข้อมูลทั้งข้อความ รูปภาพ เสียง วิดีโอ และอื่น ๆ ที่จะเข้ามาช่วยขับเคลื่อนองค์กรทุกขนาด รวมถึงธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง โดยไม่เพียงแต่จะให้ผลลัพธ์ที่ทรงพลังยิ่งขึ้นเท่านั้น แต่ AI ยังให้ความสามารถในการทำงานหลากหลายรูปแบบในคราวเดียว เช่น ผลลัพธ์ของการคำนวณ spreadsheet อาจอยู่ในเนื้อหาของอีเมล ซึ่งเขียนโดยอ้างอิงถึงการโต้ตอบของลูกค้าก่อนหน้านี้ และอาจมาพร้อมกับไดอะแกรมหรือภาพประกอบที่เหมาะสม เป็นต้น

นอกจากนี้ AI ยังมีประโยชน์สำหรับองค์กรทุกขนาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่บุคคลหนึ่งอาจต้องทำงานหลายหน้าที่ เช่น เจ้าของร้านจักรยานในท้องถิ่นอาจได้รับภาพถ่ายจากลูกค้าเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งโมเดล AI หลายรูปแบบจะสามารถเข้าใจภาพและอธิบายปัญหาได้

นี่คือตัวอย่างของการใช้ AI เพื่อเสริมความสามารถทางธุรกิจ เพื่อช่วยให้ลูกค้าของเรานำเสนอธุรกิจของตนและชิ้นงานต่าง ๆ ได้ดีที่สุดจากหลากหลายรูปแบบ และด้วยการโต้ตอบเชิงสนทนาของ AI ที่ปรับให้เข้ากับวิธีการทำงานของแต่ละบุคคล ผู้คนจึงสามารถพัฒนาการสื่อสารภายในและการสื่อสารกับลูกค้าให้สะดวก เข้าใจง่าย และมีความเป็นส่วนตัวยิ่งขึ้น

ธุรกิจ SMB จะต้องมุ่งไปที่การป้อนคำสั่ง AI

สองสิ่งที่สำคัญที่สุดเกี่ยวกับ Gen AI ในที่ทำงานคือวิธีที่คนทำงานร่วมกับ AI และวิธีที่ AI ทำงานร่วมกับคน

ในปี 2024 ธุรกิจทุกขนาดตั้งแต่ร้านขายของชำไปจนถึงองค์กรระดับโลก จะต้องให้ความสำคัญสูงสุดกับการป้อนคำสั่งข้อมูล หรือ prompts ที่ตรงจุดให้กับ AI เพื่อช่วยปรับปรุงการสื่อสารและการทำงานทุกขั้นตอน ตั้งแต่การสร้างเนื้อหาสำหรับแคมเปญการตลาดผ่านอีเมล ไปจนถึงการร่างและปรับแต่งการตอบกลับลูกค้า

สำหรับธุรกิจขนาดเล็กแล้ว การตั้ง prompts ให้กับ AI อาจนำไปใช้กับการสร้างอีเมลมอบข้อเสนอพิเศษให้แก่ลูกค้า พูดคุยเกี่ยวกับการซื้อครั้งก่อน และกระตุ้นให้เห็นความแตกต่างของการทำงานร่วมกับผู้ให้บริการรายนี้ หรืออาจเป็นการร่างหรือปรับแต่งเนื้อหาหรือจดหมายข่าวรายเดือน หรือแม้แต่แนะนำการตอบกลับอีเมลที่ไม่ได้รับคำตอบจากผู้ขายก็ได้เช่นกัน

และหากคุณใช้ Gemini for Workspace อยู่แล้ว หรือสนใจที่จะทดลองใช้ เรามาเรียนรู้เคล็ดลับเล็ก ๆ น้อย ๆ ในการเขียน prompt เพื่อช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์มากขึ้น เช่น

· ใช้ภาษาที่เป็นธรรมชาติ

· ชัดเจนและกระชับ

· ให้บริบทหรือข้อมูลที่ชัดเจน

· ใช้คีย์เวิร์ดที่เฉพาะเจาะจงและเกี่ยวข้อง

· แบ่งงานที่ซับซ้อนออกเป็นแต่ละ prompts

การร่วมมือกับ Gen AI จะกลายเป็นสิ่งสำคัญใหม่ที่ขาดไม่ได้ในที่ทำงาน

สิ่งที่โดดเด่นที่สุดประการหนึ่งเกี่ยวกับ gen AI คือปฏิสัมพันธ์ที่เป็นธรรมชาติ ผนวกกับการคำนวณที่ทรงพลังเป็นพิเศษ เพียงแค่คุณพูดหรือป้อนคำสั่งลงไป AI ก็จะค้นหาข้อมูลและมอบสิ่งที่คุณต้องการได้ภายในพริบตา โดยตามหลักการแล้ว เครื่องมือ gen AI จะได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ และพร้อมทำงานร่วมกับผู้คนหรือข้อมูลอย่างปลอดภัยและเป็นส่วนตัวมากขึ้น เพื่อช่วยสร้าง สื่อสาร และทำงานร่วมกันได้ดียิ่งขึ้น

ปีนี้เราจะได้เห็นบทสนทนาที่ทรงพลังยิ่งขึ้นระหว่างผู้คนและ Gen AI เนื่องจากตัวแมชชีนได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะเดียวกันผู้คนก็เริ่มคุ้นชินกับการทำงานร่วมกับ Gen AI รูปแบบใหม่นี้ด้วย ซึ่งต่างจากแอปพลิเคชันการเขียนและตัวช่วยการทำงานประเภทอื่น ๆ ทั่วไป เพราะการทำงานของ Gen AI จะเกิดขึ้นภายในขั้นตอนของการสร้างสรรค์งาน ที่อาจมีข้อเสนอแนะที่ช่วยเร่งการทำงานให้เร็วขึ้น หรือเปิดระบบการทำงานหรือกระบวนการใหม่ ๆ ที่ไม่รู้จักมาก่อน ให้สามารถทำงานได้อย่างคล่องมือ

ในขณะเดียวกัน AI ก็ได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นสำหรับการอ่านความต้องการตามสถานการณ์ของธุรกิจ ซึ่งจะสามารถแนะนำระบบการทำงานที่เหมาะที่สุดที่ควรนำมาใช้ในช่วงเวลาที่กำหนดได้ เช่นในการประชุมแต่ละครั้ง AI จะช่วยสรุปการสนทนาและส่งสรุปการประชุมให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง หรือแม้แต่งานส่วนตัวที่ AI ก็สามารถแนะนำเครื่องมือหรือรูปภาพที่เหมาะกับงานไปพร้อม ๆ กับช่วยออกแบบไอเดียใหม่ ๆ ได้ด้วย

Gen AI ได้รับพลังจากข้อมูล ดังนั้นการแสดงออกที่ทรงพลังที่สุดจึงมาจากบริการบนคลาวด์ที่มีความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยในตัวเอง ซึ่งเมื่อเทียบกับแอปพลิเคชันรุ่นเก่าที่จัดเก็บข้อมูลบนแล็ปท็อปพร้อมไฟล์ที่แชร์เป็นไฟล์แนบโดยไม่มีการควบคุมการเข้าถึง ระบบบนคลาวด์จึงมีพลังในการเปลี่ยนแปลงโลกการทำงานด้วยคำแนะนำที่เป็นส่วนตัวและเหมาะสมกับงานนั้น ๆ อีกทั้งยังใช้ประโยชน์จากบริบทของงาน เช่น อีเมลหรือไฟล์ที่จัดเก็บไว้บนคลาวด์ในรูปแบบที่ให้ความเป็นส่วนตัวที่สุด

อย่างไรก็ตาม บทสนทนาที่แท้จริงคือการพูดคุยระหว่างคุณกับเพื่อนร่วมงาน กับบริษัท และกับลูกค้า ผมรู้สึกตื่นเต้นกับทุกสิ่งที่เราเตรียมไว้ให้สำหรับลูกค้าของเรา รวมถึงผู้คนที่จะได้รับประโยชน์จาก Gen AI ในปี 2024 และต่อไปในอนาคต

 

บทความ  :  อรรณพ  ศิริติกุล  Country Director , Google Cloud ประเทศไทย 

 

 SAP SE (NYSE: SAP) และ Google Cloud ได้ประกาศการขยายความร่วมมืออย่างกว้างขวาง โดยการเปิดตัวข้อเสนอข้อมูลแบบเปิดที่ครอบคลุม ซึ่งออกแบบมาเพื่อลดความซับซ้อนของภูมิทัศน์ข้อมูลและปลดปล่อยพลังของข้อมูลธุรกิจ ข้อเสนอนี้ช่วยให้ลูกค้าสามารถสร้างระบบคลาวด์ดาต้าแบบ end-to-end ที่ข้อมูลถูกดึงมาใช้ได้จากทั่วทั้งองค์กร โดยใช้โซลูชัน SAP® Datasphere ร่วมกับระบบคลาวด์ดาต้าของ Google ดังนั้น ธุรกิจต่างๆ สามารถตรวจดูพื้นที่ข้อมูลทั้งหมดได้แบบเรียลไทม์ และเพิ่มประสิทธิภาพได้สูงสุดจากการลงทุนในซอฟต์แวร์ Google Cloud และ SAP ของพวกเขา

ข้อมูลเป็นรากฐานที่สำคัญของการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลและการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ผ่านมา องค์กรต่าง ๆ ใช้ทรัพยากรจำนวนมากในการสร้างศูนย์รวมรวมข้อมูลที่ซับซ้อน เครื่องมือวิเคราะห์แบบกำหนดได้เอง รวมถึง Generative AI และการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP) ก่อนที่พวกเขาจะเริ่มตระหนักถึงความคุ้มค่าจากการลงทุนด้านข้อมูลเหล่านั้น ในขณะที่ข้อมูลที่มาจาก ระบบ SAP โดยเฉพาะ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่มีค่าที่สุดขององค์กร และสามารถให้ข้อมูลที่สำคัญอย่างข้อมูลด้านซัพพลายเชน การพยากรณ์ทางการเงิน การบันทึกทรัพยากรบุคคล ข้อมูลระบบ Omnichannel Retail และอื่น ๆ ได้ โดย SAP Datasphere จะทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลที่มีความสำคัญต่อภารกิจเหล่านี้ เข้ากับข้อมูลทั่วทั้งองค์กร จากหลากหลายแหล่งที่มา ซึ่งความสามารถในการรวมข้อมูลทั้งจากซอฟต์แวร์ SAP และที่ไม่ใช่มาจาก SAP (มาจากแหล่งข้อมูลอื่น ๆ) ไว้บน Google Cloud ได้อย่างง่ายดายนั้น ย่อมหมายความว่าองค์กรต่างๆ สามารถเร่งการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลได้อย่างรวดเร็วด้วยรากฐานข้อมูลที่กำหนดไว้อย่างสมบูรณ์ และยังคงรักษาบริบททางธุรกิจที่ครบถ้วนไว้ได้

 

Christian Klein ซีอีโอและคณะกรรมการบริหารของ SAP SE

Christian Klein ซีอีโอและคณะกรรมการบริหารของ SAP SE กล่าวว่า "การนำระบบและข้อมูลของ SAP มารวมกับข้อมูลในคลาวด์ของ Google ได้นำเสนอโอกาสใหม่สำหรับองค์กรต่างๆ ให้ได้รับคุณค่าที่มากขึ้นจากดาต้าฟุตปริ้นท์ทั้งหมด โดย SAP และ Google Cloud มีความมุ่งมั่นร่วมกันต่อข้อมูลแบบเปิด และการเป็นพันธมิตรของเราก็ได้ขยายออกไปเพื่อช่วยทลายกำแพงกั้นระหว่างข้อมูลที่จัดเก็บไว้ในระบบ ฐานข้อมูล และสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน ลูกค้าของเราไม่เพียงแต่ได้รับประโยชน์จาก AI ของธุรกิจที่สร้างไว้ในระบบของเราเท่านั้น แต่ยังได้รับประโยชน์จากรากฐานข้อมูลที่เป็นหนึ่งเดียวด้วย"

 

Thomas Kurian, ซีอีโอของ Google Cloud

Thomas Kurian, ซีอีโอของ Google Cloud กล่าวว่า "ตอนนี้ SAP และ Google Cloud นำเสนอระบบคลาวด์ข้อมูลแบบเปิดที่ครอบคลุมอย่างเหลือเชื่อ ซึ่งเป็นรากฐานสำหรับอนาคต AI ขององค์กร. แหล่งทรัพยากรเพียงบางแห่งอาจสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลพอ ๆ กับข้อมูล แต่ด้วยการผสานรวมข้อมูลและระบบ SAP เข้ากับคลาวด์ข้อมูลของเราอย่างลึกซึ้ง ลูกค้าจะสามารถใช้งานความสามารถในการวิเคราะห์ของเราได้เช่นเดียวกับเครื่องมือ AI ขั้นสูงและ โมเดลภาษาขนาดใหญ่ เพื่อค้นหาข้อมูลเชิงลึกใหม่จากข้อมูลของพวกเขา" องค์กรต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น Blue Bird Group, JB Cocoa, Kopi Kenangan, Link Net, NTUC Enterprise, Ocean Network Express, Siam Cement Group (SCG) และ Vingroup เป็นต้น ได้ใช้ประโยชน์จากการทำงานร่วมกันของ Google Cloud และ SAP เสนอเพื่อช่วยให้พวกเขาดำเนินธุรกิจอย่างชาญฉลาดและยั่งยืนมากขึ้น และบรรลุผลลัพธ์ที่มีผลกระทบ ข้อเสนอข้อมูลแบบเปิด ใหม่จาก SAP และ Google Cloud ช่วยส่งเสริมโซลูชัน RISE with SAP และจะช่วยให้ลูกค้าสามารถ: · เข้าถึงข้อมูลสำคัญทางธุรกิจแบบเรียลไทม์: การผสานรวมระหว่าง SAP Datasphere และ Google Cloud BigQuery ช่วยให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงข้อมูลที่สำคัญที่สุดได้อย่างง่ายดายแบบเรียลไทม์โดยไม่มีข้อมูลซ้ำซ้อน ข้อเสนอร่วมนี้สามารถรวมข้อมูลจาก ระบบซอฟต์แวร์ SAP เช่น SAP S/4HANA® และ SAP HANA® Cloud ทำให้องค์กรต่างๆ มีมุมมองที่ครอบคลุมเกี่ยวกับข้อมูลที่สำคัญที่สุดของตนบนคลาวด์ดาต้าของ Google

· ลดความซับซ้อนของภูมิทัศน์ข้อมูล: SAP และ Google Cloud ได้ร่วมกันสร้างวิศวกรรมการจำลองข้อมูลที่มีประสิทธิภาพและเทคโนโลยีการรวมศูนย์ ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถรวมข้อมูลจากซอฟต์แวร์ SAP เข้ากับ สภาพแวดล้อม BigQuery ได้อย่างง่ายดาย และใช้ประโยชน์จากความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลชั้นนำของ SAP และ Google Cloud ปัจจุบันนี้ ลูกค้าสามารถรวมข้อความค้นหาระหว่าง SAP Datasphere และ BigQuery เพื่อผสมผสานข้อมูลจาก ซอฟต์แวร์ SAP และ ที่ไม่ใช่ของ SAP ซึ่งช่วยขจัดพื้นที่จัดเก็บข้อมูลทั่วไปจากแหล่งที่มาที่ครอบคลุมทั้งด้านการตลาด การขาย การเงิน ห่วงโซ่อุปทาน และอื่นๆ ตัวอย่างเช่น ลูกค้าที่ทำธุรกิจค้าส่ง สามารถเห็นผลิตภัณฑ์ของตนได้อย่างสมบูรณ์ขณะที่พวกเขากำลังดำเนินการจำหน่ายสินค้าและเข้าถึงลูกค้า

· สร้างข้อมูลเชิงลึกที่เชื่อถือได้ด้วย โมเดล AI และแมชชีนเลิร์นนิง (ML) ขั้นสูงของ Google Cloud: ธุรกิจต่างๆ จะสามารถใช้ บริการ AI และ ML ของ Google Cloud เพื่อฝึกโมเดลบนข้อมูลทั้งจาก ระบบ SAP และ ไม่ได้มาจาก SAP · ทำการวิเคราะห์ขั้นสูง: องค์กรสามารถใช้ความสามารถในการวิเคราะห์ของโซลูชัน SAP Analytics Cloud ใน Google Cloud เพื่อวิเคราะห์ผลลัพธ์ทางการเงินและธุรกิจ พร้อมปรับปรุงความแม่นยำของโมเดล ด้วยการผสานรวมกับข้อมูลใน BigQuery ด้วย SAP Datasphere ลูกค้าสามารถวางแผนด้วยมุมมองเดียวที่ครอบคลุมธุรกิจของตน

· ใช้โซลูชันร่วมกันเพื่อความยั่งยืน: SAP และ Google Cloud กำลังค้นหาแนวทางที่จะรวม SAP Datasphere เข้ากับ ชุดข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ที่กว้างขึ้น รวมถึงข้อมูลเชิงลึกที่ขับเคลื่อนโดย Google Cloud เพื่อเร่งการเดินทางสู่ความยั่งยืนด้วยข้อมูลเชิงลึกที่นำไปใช้ได้จริง

· ใช้ SAP Business Technology Platform (SAP BTP) บนระบบ Google Cloud ทั่วโลก: SAP จะพัฒนาข้อเสนอมัลติคลาวด์โดยขยายการรองรับ SAP BTP และ SAP HANA Cloud บน Google Cloud ระดับภูมิภาค ซึ่งรวมถึงการสนับสนุน SAP Analytics Cloud และ SAP Datasphere SAP และ Google Cloud ตั้งใจที่จะเปิดตัว SAP BTP ใน 5 ภูมิภาคใหม่ในปีนี้ รวมถึงจะเพิ่มการรองรับเป็น 8 ภูมิภาคภายในปี 2568

ทั้งสองบริษัทยังวางแผนเป็นพันธมิตรกันในการริเริ่มเข้าสู่ตลาดสำหรับโครงการข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดขององค์กร ทำให้ลูกค้าสามารถนำผลิตภัณฑ์ข้อมูลจากทั้ง SAP และ Google Cloud มาใช้ได้

TrueMoney Mastercard (หรือเดิมเรียกว่า WeCard) เพื่อชำระเงิน ณ ร้านค้าชั้นนำที่มีเครื่องหมายแตะจ่ายง่ายๆ แบบไร้สัมผัสผ่าน Google Pay ได้แล้ววันนี้

นายอภินันท์ ดาบเพ็ชร ผู้อำนวยการฝ่ายการเติบโตของวอลเล็ทแพลตฟอร์ม บริษัท ทรูมันนี่ จำกัด กล่าวว่า “ปัจจุบัน ผู้ใช้ TrueMoney Mastercard หรือเดิมที่เราเรียกว่า WeCard มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นทุกปี โดย TrueMoney Mastercard เป็น Virtual Prepaid Mastercard หรือบัตรที่เชื่อมต่อเงินในบัญชีทรูมันนี่ ที่ช่วยให้ผู้ใช้นำเงินจากบัญชีทรูมันนี่ไปใช้ใช้ซื้อของได้ตามร้านค้าต่างๆ ที่รับบัตรเครดิตได้ โดยผู้ใช้งานส่วนใหญ่ชื่นชอบ TrueMoney Mastercard เนื่องจากเปิดใช้ง่ายผ่านแอปพลิเคชันทรูมันนี่ และความคล่องตัวในการนำไปใช้จ่ายออนไลน์ได้แม้ไม่มีบัตรเครดิต นอกจากนี้ ผู้ใช้ยังรู้สึกมั่นใจ เพราะ TrueMoney Mastercard จะเชื่อมตัดเงินจำกัดเฉพาะที่เติมไว้ในบัญชีทรูมันนี่เท่านั้น ทำให้ควบคุมค่าใช้จ่ายได้ และยังเลือกเปิด-ปิดการใช้งานได้ทำให้รู้สึกปลอดภัย โดยล่าสุด ทรูมันนี่ มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้จับมือกับ มาสเตอร์การ์ด ร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลกอย่าง Google ในการเปิดให้ผู้ใช้ Google Wallet สามารถเพิ่ม TrueMoney Mastercard เพื่อใช้จ่ายผ่าน Google Pay ทั้งการแตะเพื่อจ่ายที่ร้านค้าและการใช้จ่ายออนไลน์บนเว็บไซต์ชั้นนำทั่วโลกได้”

นางสาวณัชสิชา วรพฤกษ์พิสุทธิ์ รองประธานและหัวหน้าฝ่ายการพัฒนาตลาด มาสเตอร์การ์ด กล่าวว่า “ผู้บริโภคทั่วโลกต้องการความยืดหยุ่นและทางเลือกในการชำระเงินมากขึ้น โดยการสำรวจพฤติกรรมและทัศนคติของผู้บริโภคด้านวิธีการชำระเงินทั้งในประเทศไทยและทั่วโลกประจำปี 2022 ของมาสเตอร์การ์ด (Mastercard New Payments Index) ระบุว่า ผู้บริโภคชาวไทยใช้ระบบการชำระเงินแบบดิจิทัลสูงกว่าค่าเฉลี่ยของผู้บริโภคทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งความร่วมมือกับ TrueMoney และ Google ในครั้งนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของมาสเตอร์การ์ดในการเพิ่มทางเลือกการชําระเงินเพื่อให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตและการทําธุรกรรมของลูกค้าชาวไทยในยุคดิจิทัล โดยมาสเตอร์การ์ดยังคงมุ่งมั่นนำเสนอทางเลือกการชำระเงินในโลกไร้เงินสดที่สะดวกสบาย ไม่ว่าจะด้วยบัตรหรืออุปกรณ์สมาร์ตโฟน”

 

นายอดิทิพ ภาณุพงศ์ Head of Industry, Strategic Partnerships, Google Thailand กล่าวว่า “เรารู้สึกตื่นเต้นที่ผู้ใช้ TrueMoney Mastercard สามารถเพิ่มบัตรลงใน Google Wallet เพื่อใช้จ่ายแบบไร้สัมผัสได้อย่างปลอดภัยทั้งบนแอปพลิเคชันและร้านค้าออนไลน์ โดยทาง Google หวังว่าจะได้ร่วมมือกับพันธมิตรมากขึ้นเพื่อผลักดันให้ Google Wallet เป็นแอปพลิเคชันที่คนไทยเลือกใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการใช้จ่ายผ่านบัตร หรือการทำรายการทางดิจิทัลต่างๆ เช่น บัตรสะสมคะแนนและตั๋วโดยสาร”

ปัจจุบัน มีผู้ใช้บริการ Google Pay มากกว่า 150 ล้านคน จาก 40 ประเทศทั่วโลก ด้วยความสะดวกสบายในการใช้งาน ที่ช่วยให้ผู้ใช้สมาร์ทโฟนแอนดรอยด์สามารถชำระค่าสินค้าและบริการจากร้านค้าชั้นนำทั่วโลกได้ทั้งระบบออนไลน์และออฟไลน์ ครอบคลุมร้านค้าชั้นนำระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น ร้านอาหาร ร้านขายยา เสื้อผ้า ร้านเสริมสวย ไปจนถึงร้านค้าปลีกจำนวนมาก ในขณะเดียวกันก็จะช่วยยกระดับประสบการณ์การใช้จ่ายของผู้บริโภคชาวไทยให้เป็นไปอย่างราบรื่น และไร้พรมแดน

นอกจากนี้ยังมี Paymentology พาร์ทเนอร์ที่มีบทบาทสำคัญผู้อยู่เบื้องหลังการออกบัตรและประมวลผลบัตรเสมือน โดยใช้แพลตฟอร์มระบบคลาวด์ในการช่วยประสานระหว่างทรูมันนี่มาสเตอร์การ์ด และ Google Wallet เข้าไว้ด้วยกัน พร้อมนำเสนอการประมวลผลแบบเรียลไทม์ เพื่อให้ผู้บริโภคได้สัมผัสประสบการณ์การใช้งานที่ที่มีความลื่นไหลและยืดหยุ่นที่สุด

นายเอมเร่ ดุรุสสุต ผู้อำนวยการประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ของ Paymentology กล่าวว่า "เรามีความภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้รับความไว้วางใจ และได้เป็นพันธมิตรผู้ดำเนินการการออกบัตรให้กับ TrueMoney และเราตื่นเต้นที่จะได้ร่วมฉลองความสำเร็จครั้งนี้ ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงความแข็งแกร่งของธุรกิจ TrueMoney ในฐานะผู้บุกเบิกด้านการชำระเงินทางดิจิทัล ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย จาก Paymentology และความร่วมมือกับยักษ์ใหญ่แห่งอุตสาหกรรมอย่าง Mastercard และ Google เราภูมิใจที่มีส่วนร่วมทำให้ TrueMoney ได้เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกในการนำ Google Pay มาสู่ประเทศไทย"

โดยการร่วมมือกันของสี่พันธมิตรใหญ่ในครั้งนี้ นับเป็นการส่งเสริมเทรนด์การใช้จ่ายแบบไร้สัมผัสที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในประเทศไทย ซึ่งสอดคล้องกับผลวิจัย Mastercard New Payments Index 2022 ที่พบว่าผู้บริโภคชาวไทยกว่า 94% เคยใช้ระบบดิจิทัลเพื่อชำระค่าบริการต่างๆ มากกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคอยู่ที่ 88% โดยรูปแบบการชำระเงินที่มีการใช้งานมากที่สุดก็คือดิจิทัลวอลเล็ท ตามมาด้วยการชำระผ่านการโอนเข้าบัญชี และ QR code

ทั้งนี้ ผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ หรือสมาร์ตวอตซ์ Wear OS ที่มี NFC ติดตั้งบนตัวเครื่อง สามารถใช้บริการ Google Pay ได้ผ่านแอปพลิเคชัน Google Wallet โดยดาวน์โหลดแอปฯ Google Wallet จาก Google Play Store

โดยการเพิ่มบัตรเสมือน TrueMoney Mastercard ลงใน Google Wallet สามารถทำได้ง่ายๆ เพียงเปิดแอปฯ Google Wallet จากนั้นให้เลือกเมนู “Add to wallet” เพื่อเพิ่ม TrueMoney Mastercard โดยการใส่ข้อมูลบัตร และยืนยันตัวตนตามขั้นตอน เพียงเท่านี้ ผู้ใช้ TrueMoney Mastercard ก็สามารถชำระค่าสินค้าหรือบริการ ณ ร้านค้าทั่วโลกที่มีเครื่องหมายแตะจ่ายง่ายๆ แบบไร้สัมผัสผ่าน Google Pay ได้ทันที ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://www.truemoney.com/google-pay/

Page 1 of 3
X

Right Click

No right click