

ทรู ดิจิทัล พาร์ค ศูนย์กลางเทคและสตาร์ทอัพ ล่าสุดผนึกพลังกับ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เสริมแรงดึงดูดชาวต่างชาติเข้าลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ด้วยบริการแบบครบวงจรเพื่อตอบทุกความต้องการด้านการลงทุนของนักธุรกิจต่างชาติแบบเบ็ดเสร็จในที่เดียว ผ่าน TDPK International Service Center เริ่มต้นประกอบธุรกิจในประเทศไทยได้สะดวก ง่าย ไม่ยุ่งยาก พร้อมโอกาสสร้างธุรกิจเติบโตได้เร็วตามเป้าหมาย ครอบคลุมบริการสำคัญๆ ทั้งเพื่อธุรกิจและเพื่อการพำนักระยะยาว กระตุ้นชาวต่างชาติที่มีความมั่งคั่งและมีทักษะสูงเข้าสู่ประเทศไทย พร้อมจัดงาน Thailand Fast Track สร้างเครือข่ายความร่วมมือกับพันธมิตรนานาประเทศ เพิ่มความมั่นใจในนโยบายส่งเสริมการลงทุนของประเทศไทย ตอกย้ำศักยภาพความพร้อมเป็นหนึ่งในประเทศกลุ่มอาเซียนที่น่าลงทุน
รายงานของ ASEANstats เปิดเผยมูลค่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ของ 10 ประเทศในกลุ่มอาเซียน พบว่า ประเทศไทยรั้งท้ายอยู่อันดับ 6 และมีอัตราการเติบโตลดลงต่อเนื่อง ในปี 2567 ที่ผ่านมา FDI ของประเทศไทยมีมูลค่าราว 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงจากปี 2566 ที่มีมูลค่า 11.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ อย่างไรก็ตาม ภูมิภาคอาเซียนยังคงน่าลงทุนและมีเม็ดเงิน FDI เติบโตต่อเนื่อง ท่ามกลางสมรภูมิการแข่งขันที่เข้มข้นเพื่อดึงดูดเงินลงทุนเข้าประเทศ ประเทศไทยจึงต้องเร่งส่งเสริมการลงทุน รวมพลังทุกภาคส่วน ยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันและเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจ เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการลงทุนของชาวต่างชาติในอาเซียน หากชาวต่างชาติหันไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน จะไม่มีการลงทุนใหม่ๆ เข้ามา ส่งผลให้การจ้างงานในประเทศลดลง และกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ

ดร.ธาริต นิมมานวุฒิพงษ์ ผู้จัดการทั่วไป ทรู ดิจิทัล พาร์ค กล่าวว่า ทรู ดิจิทัล พาร์ค ร่วมมือกับบีโอไอ มานานกว่า 6 ปี เพื่อร่วมกันสร้างเครือข่ายพันธมิตรที่เข้มแข็งในการดึงดูดชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนและประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้ความร่วมมือนี้ ทรู ดิจิทัล พาร์ค ได้รับการแต่งตั้งจากบีโอไอ ให้เป็นตัวแทนที่ได้รับการรับรอง (Certified Agent) ให้ดูแลชาวต่างชาติในการยื่นขอวีซ่าพำนักระยะยาว หรือ Long-Term Resident Visa (LTR Visa) และผู้ให้บริการด้านการสนับสนุนการเข้าสู่ตลาดประเทศไทย โดยได้จัดตั้ง
TDPK International Service Center เป็นศูนย์บริการแบบครบวงจรทั้งเพื่อธุรกิจและการพำนักในประเทศไทย ที่ผ่านมา เราสนับสนุนนักลงทุนต่างชาติให้ได้รับการอนุมัติวีซ่า SMART “S” Visa มากกว่า 100 ราย จาก 32 สัญชาติ เพื่อประกอบธุรกิจในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น ดิจิทัล การเงิน ความบันเทิง และการศึกษา โดยผู้ประกอบการส่วนมากมาจากทวีปเอเชียและยุโรปตามลำดับ รวมถึงดูแลให้นักลงทุนและผู้เชี่ยวชาญที่มีทักษะสูงได้รับวีซ่าพำนักระยะยาวแล้วกว่า 50 ราย จาก 15 สัญชาติ และมีบริษัทต่างชาติในระบบนิเวศของ ทรู ดิจิทัล พาร์ค มากกว่า 300 บริษัท ผ่านโปรแกรม Global Startup หรือเช่าพื้นที่สำนักงานและโคเวิร์คกิ้งสเปซ
การทำงานอย่างใกล้ชิดกับบีโอไอและนักลงทุนต่างชาติจากทุกทวีปทั่วโลก ทำให้เราเข้าใจความท้าทายที่ชาวต่างชาติต้องเผชิญ โดยเฉพาะในด้านการเข้ารับบริการต่างๆ ในประเทศไทยที่ยังไม่มีการรวมศูนย์ ไม่ว่าจะเป็น การให้บริการวีซ่า พื้นที่ทำงาน คำแนะนำด้านกฏหมาย การหาที่พักอาศัย รวมถึงการเข้าถึงเครือข่ายธุรกิจ ทำให้มีความยุ่งยากซับซ้อน เป็นอุปสรรคสำคัญในการเข้ามาดำเนินธุรกิจและใช้ชีวิตในประเทศไทย
ระบบนิเวศครบวงจรที่แข็งแกร่งของ ทรู ดิจิทัล พาร์ค สามารถตอบโจทย์และลดอุปสรรคในการเข้าประกอบธุรกิจและพำนักในประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรม โดย TDPK International Service Center เชื่อมโยงทุกความต้องการของนักธุรกิจและนักลงทุนต่างชาติ ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรกว่า 5,800 ราย ในหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งบริษัทเทคระดับโลก องค์กรเอกชนชั้นนำ สถาบันการศึกษา หน่วยงานภาครัฐ ตลอดจนผู้ประกอบการเทครุ่นใหม่และสตาร์ทอัพในแวดวงธุรกิจต่างๆ และให้บริการครบวงจรครอบคลุมทั้งบริการด้านกฎหมาย การเงิน การลงทุน บริการสนับสนุนทางธุรกิจ และอีกมากมาย จึงช่วยลดความยุ่งยากและประหยัดเวลาในการติดต่อขอรับบริการต่างๆ สามารถประมาณการค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมได้ชัดเจน และที่สำคัญยังได้รับคำแนะนำและปรึกษาเกี่ยวกับตลาดในประเทศไทย เปิดโอกาสใหม่ๆในการเริ่มต้นธุรกิจ

เชื่อมโยงทุกความเป็นไปได้จากต่างชาติสู่ประเทศไทย
TDPK International Service Center ให้บริการแบบครบวงจรในที่เดียว ทั้งบริการเพื่อธุรกิจและเพื่อการพำนักระยะยาวในประเทศไทย
1. บริการวีซ่า : ทรู ดิจิทัล พาร์ค สนับสนุนนโยบายของบีโอไอ โดยส่งเสริมให้ชาวต่างชาติสามารถมาพำนักในประเทศไทยในระยะยาวได้อย่างถูกกฎหมาย เช่น วีซ่าพำนักระยะยาว (Long-Term Residence Visa) บัตรไทยแลนด์ พริวิเลจ (Thailand Privilege Card) สมาร์ทวีซ่า (SMART Visa) สำหรับผู้ประกอบการและสตาร์ทอัพ และ วีซ่านักท่องเที่ยว ประเภทพิเศษ (Destination Thailand Visa - DTV) ทั้งนี้ ทรู ดิจิทัล พาร์คยังเป็นศูนย์ให้คำแนะนำเรื่องการ ตั้งถิ่นฐาน รวมถึงบริการให้คำแนะนำด้านการดูแลสุขภาพและประกันอีกด้วย
2. บริการด้านธุรกิจแบบครบวงจร : บริการดูแลเรื่องการปรึกษาด้านธุรกิจ โดยผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย การจัดตั้งบริษัทในประเทศไทย และการหาเครือข่ายและนักลงทุนเพื่อเป็นหุ้นส่วนในอนาคต รวมไปจนถึงการเช่าออฟฟิศที่เป็นที่อยู่สำหรับการจัดตั้งบริษัท
3. เติมเต็มไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต : บริการต่างๆที่จะเติมเต็มไลฟ์สไตล์ให้กับชาวต่างชาติที่มาใช้ชีวิตในประเทศไทย เช่น ฟิตเนส สปา ร้านอาหาร และโรงเรียนนานาชาติ รวมไปถึงกิจกรรมสร้างเครือข่ายชุมชนชาวต่างชาติในประเทศไทยที่จัดขึ้นเฉพาะกลุ่ม เช่น ชมรมวิ่ง และกิจกรรมสันทนาการอื่นๆ
“ทรู ดิจิทัล พาร์ค ภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของแรงขับเคลื่อนนี้ เรามุ่งมั่นที่จะดึงดูดนักลงทุนและนักธุรกิจต่างชาติให้เข้าสู่ประเทศไทยผ่าน TDPK International Service Center เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวในปี 2568 โดยเน้นนำเสนอบริการที่ครอบคลุมและมีคุณภาพ ควบคู่กับการสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเติบโตของธุรกิจและนวัตกรรม พร้อมกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย การสร้างเครือข่ายพันธมิตรที่แข็งแกร่ง และส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่ดึงดูด ผู้มีศักยภาพจากทั่วโลก เรามั่นใจว่า ความพยายามต่อเนื่องนี้จะช่วยเสริมสร้างการเติบโตของธุรกิจในประเทศไทย ช่วยผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยให้เติบโตและแข่งขันได้ในระดับโลก” ดร.ธาริต กล่าวสรุป
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) โดย นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ ททท. ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “การส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย Reshaping Thailand’s Tourism with Innovation and Advanced Data Analytics” เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวตลาดต่างประเทศในปีท่องเที่ยว Thailand Grand Tourism Year 2025 กับ วีซ่า ผู้นำการให้บริการการชำระเงินดิจิทัลระดับโลก โดยมีนายปุณณมาศ วิจิตรกุลวงศา ผู้จัดการวีช่าประจำประเทศไทย ร่วมลงนาม เพื่อยกระดับการท่องเที่ยวด้วยนวัตกรรมทางการเงิน เสริมสร้างประสบการณ์การเดินทางที่ไร้รอยต่อให้แก่นักท่องเที่ยว ณ ห้องโถงธนะรัชต์ อาคาร ททท. สำนักงานใหญ่ กรุงเทพมหานคร

นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ททท. มุ่งเดินหน้าดำเนินงานด้านการตลาดท่องเที่ยวภายใต้การบูรณาการของทุกภาคส่วน (Partnership 360 องศา) ทั้งในและต่างประเทศ โดยบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับวีซ่าครั้งนี้ ถือเป็นการทำงานร่วมกันโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับการท่องเที่ยวด้วยนวัตกรรมทางการเงินให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางและเชื่อมโยงทางการเงินเพื่อใช้จ่ายทางการท่องเที่ยวอย่างไร้รอยต่อ โดยใช้ประโยชน์จากการวิเคราะห์ข้อมูลของวีซ่ามาใช้ต่อยอดในการทำแคมเปญการท่องเที่ยว รวมถึงการขยายจุดรับชำระเงินแบบดิจิทัลให้มากขึ้นเป็นตัวช่วยสำคัญให้นักท่องเที่ยวได้รับความสะดวกสบายในการจับจ่ายใช้สอย ทั้งนี้ ททท. หวังว่าความร่วมมือดังกล่าวจะมีส่วนสำคัญในการเสริมศักยภาพทางการท่องเที่ยว เพิ่มการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะตลาดนักท่องเที่ยวต่างประเทศศักยภาพ 23 ตลาดที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทยและสร้างรายได้มากกว่าร้อยละ 80 ของจำนวนและรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด

นายปุณณมาศ วิจิตรกุลวงศา ผู้จัดการวีซ่า ประจำประเทศไทย กล่าวว่า “เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่จะได้กระชับความสัมพันธ์อันดีกับ ททท. ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ผ่านการใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญระดับโลกของเราในเรื่องของโซลูชันทางการชำระเงิน และการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง เมื่อการเดินทางทั่วโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น นักท่องเที่ยวระหว่างประเทศมีความต้องการเพิ่มขึ้นในเรื่องของประสบการณ์การชำระเงินที่ไร้รอยต่อ ปลอดภัย และไม่ต้องพึ่งเงินสด ความร่วมมือในครั้งนี้นอกจากจะช่วยหนุนธุรกิจท้องถิ่นในประเทศ ยังจะช่วยเปิดโอกาสใหม่ ๆ ในภาคการท่องเที่ยว และเป็นอีกแรงผลักดันให้เกิดการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างยั่งยืนอีกด้วย”
สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้จะร่วมกันส่งเสริมตลาดการท่องเที่ยวโดยมีใจความสำคัญที่มุ่งเน้นไปที่ความร่วมมือหลัก 4 ด้าน ดังต่อไปนี้
ทั้งนี้ ททท. ได้มีความร่วมมือกับ วีซ่า มาอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลากว่า 20 ปี เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวระดับโลก มุ่งเน้นการพลิกโฉมอนาคตการท่องเที่ยวของประเทศไทย ด้วยการใช้นวัตกรรมทางการเงินเสริมสร้างความสะดวกสบายและการเชื่อมโยงทางการเงินอย่างไร้รอยต่อให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพื่อนำไปสู่การขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ
วีซ่า พันธมิตรด้านเทคโนโลยีการชำระเงินอย่างเป็นทางการของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก และพาราลิมปิกเกมส์ เผยข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับเทรนด์การใช้จ่ายของผู้บริโภคในระหว่างสุดสัปดาห์ช่วงเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก เกมส์ ปารีส 2024
โดยวีซ่าเผยว่าโอลิมปิก เกมส์ ปารีส 2024 กระตุ้นการค้าในกรุงปารีสให้คึกคักยิ่งขึ้น และสร้างผลบวกให้กับเศรษฐกิจของฝรั่งเศสโดยรวม ซึ่งประกอบด้วย
![]()
![]()
![]()
ชาล็อต ฮ็อกก์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารวีซ่า ประจำยุโรป กล่าวว่า “ในฐานะผู้สนับสนุนการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกมาร่วม 40 ปี และการแข่งขันกีฬาพาราลิมปิก เกมส์ ที่ให้การสนับสนุนมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2545 เราทราบดีถึงผลบวกจากมหกรรมกีฬาโอลิมปิกที่ช่วยหนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศเจ้าภาพ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าประสงค์ของวีซ่าที่ต้องการยกระดับประสบการณ์การใช้จ่ายสำหรับทุกคนในทุกที่ทั่วโลก ที่สำคัญยิ่งกว่า เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ธุรกิจรายย่อยได้รับอานิสงส์จากการที่ประเทศของเขาเป็นเจ้าภาพมหกรรมกีฬาระดับโลก โดยตลอดสี่ปีที่ผ่านมาวีซ่าได้ให้การสนับสนุนผู้ประกอบการท้องถิ่นกว่า 13 ล้านรายทั่วยุโรปให้เข้าถึงระบบการชำระเงินแบบดิจิทัล
ในฐานะพันธมิตรด้านเทคโนโลยีการชำระเงินอย่างเป็นทางการของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก และพาราลิมปิก เกมส์ วีซ่าได้ทำงานร่วมกับคณะผู้จัดงานตลอดช่วงสามปีที่ผ่านมา ในการออกแบบและสร้างเครือข่ายการชำระเงินที่เหมาะสำหรับกรุงปารีสและเมืองต่างๆ ที่จัดการแข่งขัน และรองรับการชำระเงินแบบคอนแทคเลสของวีซ่าในกว่า 3,500 จุดขายที่กระจายอยู่ทั่วสนามจัดการแข่งขันโอลิมปิกทั้ง 32 แห่ง และของงานพาราลิมปิกอีก 16 แห่ง
วีซ่า เปิดตัวแอป Visa Go เพื่อเชื่อมต่อกับผู้เข้าชมการแข่งขันและนักท่องเที่ยวกับธุรกิจท้องถิ่นในช่วงการจัดการแข่งขัน โดยผู้มาเยือนสามารถดาวน์โหลดแอป Visa Go ได้ที่ https://go.paris.visa.com/home
วีซ่า พันธมิตรด้านเทคโนโลยีการชำระเงินอย่างเป็นทางการของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก และพาราลิมปิก เกมส์ เผยข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับเทรนด์การใช้จ่ายของผู้บริโภคในระหว่างสุดสัปดาห์ช่วงเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก เกมส์ ปารีส 2024
โดยผู้นำการให้บริการการชำระเงินดิจิทัลระดับโลกเผยว่าโอลิมปิก เกมส์ ปารีส 2024 กระตุ้นการค้าในกรุงปารีสให้คึกคักยิ่งขึ้น และสร้างผลบวกให้กับเศรษฐกิจของฝรั่งเศสโดยรวม

ชาล็อต ฮ็อกก์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารวีซ่า ประจำยุโรป กล่าวว่า “ในฐานะผู้สนับสนุนการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกมาร่วม 40 ปี และการแข่งขันกีฬาพาราลิมปิก เกมส์ ที่ให้การสนับสนุนมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2545 เราทราบดีถึงผลบวกจากมหกรรมกีฬาโอลิมปิกที่ช่วยหนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศเจ้าภาพ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าประสงค์ของวีซ่าที่ต้องการยกระดับประสบการณ์การใช้จ่ายสำหรับทุกคนในทุกที่ทั่วโลก
ที่สำคัญยิ่งกว่า เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ธุรกิจรายย่อยได้รับอานิสงส์จากการที่ประเทศของเขาเป็นเจ้าภาพมหกรรมกีฬาระดับโลก โดยตลอดสี่ปีที่ผ่านมาวีซ่าได้ให้การสนับสนุนผู้ประกอบการท้องถิ่นกว่า 13 ล้านรายทั่วยุโรปให้เข้าถึงระบบการชำระเงินแบบดิจิทัล
ในฐานะพันธมิตรด้านเทคโนโลยีการชำระเงินอย่างเป็นทางการของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก และพาราลิมปิก เกมส์ วีซ่าได้ทำงานร่วมกับคณะผู้จัดงานตลอดช่วงสามปีที่ผ่านมา ในการออกแบบและสร้างเครือข่ายการชำระเงินที่เหมาะสำหรับกรุงปารีสและเมืองต่างๆ ที่จัดการแข่งขัน และรองรับการชำระเงินแบบคอนแทคเลสของวีซ่าในกว่า 3,500 จุดขายที่กระจายอยู่ทั่วสนามจัดการแข่งขันโอลิมปิกทั้ง 32 แห่ง และของงานพาราลิมปิกอีก 16 แห่ง
วีซ่า เปิดตัวแอป Visa Go เพื่อเชื่อมต่อกับผู้เข้าชมการแข่งขันและนักท่องเที่ยวกับธุรกิจท้องถิ่นในช่วงการจัดการแข่งขัน โดยผู้มาเยือนสามารถดาวน์โหลดแอป Visa Go ได้ที่ https://go.paris.visa.com/home
[1] ตัวเลขรวมถึงเที่ยวบินไปกรุงปารีส ระหว่างวันที่ 19 กรกฎาคม 2567 ถึงวันที่ 11 กรกฎาคม 2567 (เทียบกับปีก่อน) และอย่างน้อย 45 วันก่อนการแข่งขันโอลิมปิก เกมส์
[2] ผู้ถือบัตรวีซ่าของสหรัฐอเมริกา
วีซ่า ผู้นำการให้บริการการชำระเงินดิจิทัลระดับโลก และ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดแคมเปญ “วีซ่าไทยแลนด์แกรนด์เซลล์ 2567” หวังจูงใจนักท่องเที่ยวมาเยือนเมืองไทยเพิ่มขึ้น พร้อมทั้งกระตุ้นการใช้จ่าย ณ แหล่งชอปปิงชั้นนำของไทย ได้แก่ คิงเพาเวอร์ดิวตี้ฟรี สยามพารากอน เอ็มโพเรียม เอ็มควอเทียร์ เอ็มสเฟียร์ ไอคอนสยาม และเกษร
ประเทศไทยถูกจัดอันดับให้เป็นจุดหมายปลายทางลำดับต้น ๆ สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างต่อเนื่อง และการท่องเที่ยวขาเข้ายังมีส่วนสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ อ้างอิงจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา[1] ห้าอันดับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มาเยือนประเทศไทยมากที่สุดตามลำดับคือ สาธารณรัฐประชาชนจีน มาเลเซีย รัสเซีย อินเดีย และเกาหลีใต้นอกจากนี้ในช่วงห้าเดือนแรกของปี 2567 ประเทศไทยได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวแล้วกว่า 14 ล้านราย ซึ่งเพิ่มขึ้นมากถึง 37.64 เปอร์เซนต์ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อนหน้า

นายปุณณมาศ วิจิตรกุลวงศา ผู้จัดการวีซ่า ประจำประเทศไทย กล่าวว่า “วีซ่าได้ร่วมมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เพื่อขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยวมาเป็นเวลากว่าสองทศวรรษ และในปีนี้ด้วยความร่วมมือจากพันธมิตรแหล่งชอปปิงชั้นนำของประเทศไทยเราได้เตรียมข้อเสนอและส่วนลดมากกว่าเดิม เพื่อมอบให้ผู้ถือบัตรวีซ่าชาวต่างชาติจากทั่วโลกเมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรวีซ่า เราภูมิใจที่ได้ร่วมมือกับหลายภาคส่วนเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าประเทศไทย เร่งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ตลอดจนสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับร้านค้าไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ในประเทศไทยอีกด้วย”

นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “เรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมกับวีซ่าออกแคมเปญวีซ่าไทยแลนด์แกรนด์เซลล์ 2567 ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ในการสร้างรายได้ให้กับประเทศ เราหวังว่าความร่วมมือในครั้งนี้นอกจากจะช่วยกระตุ้นการเดินทางเข้าประเทศของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้ว ยังจะช่วยยกระดับประสบการณ์การใช้จ่ายระหว่างการท่องเที่ยวในประเทศอีกด้วย และที่ผ่านมาในปีนี้เราได้เห็นแนวโน้มที่ดีของการท่องเที่ยวรวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศไทย เรามีเป้าหมายที่จะสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวที่ 3.5 ล้านล้านบาท และเชื่อว่าแคมเปญนี้จะช่วยตอกย้ำจุดยืนของประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางแห่งการชอปปิงในทวีปเอเชีย”
แคมเปญวีซ่าไทยแลนด์แกรนด์เซลล์ 2567 เริ่มแล้วตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2567 ที่มาพร้อมคูปองส่วนลดและข้อเสนอสุดพิเศษมากมายแก่ผู้ถือบัตรวีซ่าชาวต่างชาติเมื่อใช้จ่าย ณ ห้างสรรพสินค้าชั้นนำในประเทศไทยที่ร่วมรายการ ได้แก่ คิงเพาเวอร์ดิวตี้ฟรี สยามพารากอน เอ็มโพเรียม เอ็มควอเทียร์ เอ็มสเฟียร์ ไอคอนสยาม และเกษร
ข้อเสนอสุดพิเศษสำหรับผู้ถือบัตรวีซ่าชาวต่างชาติ ได้แก่:
[1] ข้อมูลสถิตินักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาประเทศไทยปี 2567 (มกราคม-พฤษภาคม) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา https://www.mots.go.th/news/category/759