

Thailand Fast Track ทางด่วนสตาร์ทอัพและนักธุรกิจต่างชาติลงทุนในประเทศไทย หนึ่งในความตั้งใจของ ทรู ดิจิทัล พาร์ค ศูนย์กลางเทคและสตาร์ทอัพที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ที่ต้องการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศอาเซียนที่น่าลงทุน ผ่านการผนึกพลังกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI เติมเต็มทุกความต้องการของสตาร์ทอัพและนักลงทุนจากทุกทวีปทั่วโลกที่จะเข้ามาลงทุนและประกอบกิจการในไทย ปิดช่องว่าง ลดอุปสรรคและความท้าทายในการเข้ารับบริการต่างๆ ในไทยที่ยังไม่มีการรวมศูนย์ ทั้งบริการวีซ่า พื้นที่ทำงาน คำแนะนำด้านกฏหมาย การหาที่พักอาศัย รวมถึงการเข้าถึงเครือข่ายธุรกิจ เพื่อส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจในประเทศไทย
ทรู ดิจิทัล พาร์ค เชื่อมโยงทุกความเป็นไปได้จากต่างชาติสู่ประเทศไทย ตอบโจทย์การเข้าประกอบธุรกิจและพำนักในประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรม โดย TDPK International Service Center ซึ่งตั้งอยู่ที่ชั้น 3 ทรู ดิจิทัล พาร์ค เวสต์ เปิดให้บริการแก่สตาร์ทอัพและนักลงทุนต่างชาติแบบครบวงจรในที่เดียว ทั้งบริการเพื่อธุรกิจและเพื่อการพำนักระยะยาวในประเทศไทย ผสานระบบนิเวศครบวงจรที่แข็งแกร่งของ ทรู ดิจิทัล พาร์ค และความร่วมมือกับพันธมิตรกว่า 5,800 ราย ในหลากหลายอุตสาหกรรม
พร้อมจัดงาน Thailand Fast Track: Attracting Global Community, Accelerating Thailand’s Growth สร้างเครือข่ายความร่วมมือกับพันธมิตรนานาประเทศ เร่งเพิ่มความมั่นใจในนโยบายส่งเสริมการลงทุนของประเทศไทย โดยมีการแสดงวิสัยทัศน์จากนายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน นายณัฐวุฒิ อมรวิวัฒน์ กรรมการและกรรมการบริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และประธานกรรมการ บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด ตลอดจนการเสวนาแลกเปลี่ยนมุมมองที่น่าสนใจของประเทศไทยในสายตาชาวต่างชาติ จากผู้แทนสถานเอกอัครราชฑูตสหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น และลักเซมเบิร์ก พร้อมด้วย นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ร่วมเป็นเกียรติในงาน
ทรู มุ่งขับเคลื่อนประเทศไทย ให้เป็นศูนย์กลางระดับโลกสําหรับสตาร์ทอัพ
นายณัฐวุฒิ อมรวิวัฒน์ กรรมการและกรรมการบริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และประธานกรรมการ บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด กล่าวถึง ความมุ่งมั่นของทรู คอร์ปอเรชั่น ในการขับเคลื่อนประเทศไทย เปลี่ยนผ่านสู่ยุดดิจิทัล ผ่านทรู ดิจิทัล พาร์ค ศูนย์กลางเทคและสตาร์ทอัพที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน โดยได้สรรหาทรัพยากรให้กับสตาร์ทอัพ ผู้ประกอบการ และนักลงทุน เพื่อสนับสนุนการเติบโตและประสบความสำเร็จ ที่ผ่านมา ทรู ดิจิทัล พาร์ค ร่วมมือกับบีโอไอมานานกว่า 6 ปี เราได้ทำงานร่วมกัน เพื่อดึงดูดผู้มีความสามารถและธุรกิจระดับโลก สร้างเครือข่ายชุมชนเทคโนโลยีที่มีการขับเคลื่อนมากที่สุดในประเทศไทย สำหรับงาน Thailand Fast Track นี้ นับเป็นก้าวสำคัญในการตอกย้ำบทบาทของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางระดับโลกสําหรับสตาร์ทอัพ ทั้งยังได้เปิดตัว TDPK International Service Center ที่ทรู ดิจิทัล พาร์ค ให้บริการแบบครบวงจรในที่เดียว ทั้งการจัดตั้งธุรกิจ บริการวีซ่า และสนับสนุนด้านการลงทุน และในฐานะตัวแทนที่ได้รับการรับรองจากบีโอไอสำหรับวีซ่าพํานักระยะยาวในประเทศไทย จะช่วยทำให้ธุรกิจดำเนินการได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้นและเข้าถึงได้มากขึ้น
บีโอไอ กรุยทางดึงสตาร์ทอัพลงทุนในไทย

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กล่าวถึงประเทศไทย ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาว่า ระบบนิเวศสตาร์ทอัพเติบโตขึ้นอย่างมาก และกลายเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ โดยประเทศไทยเป็นหนึ่งในศูนย์กลางที่สำคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของสตาร์ทอัพและนักลงทุนทั่วโลก มีปัจจัยสำคัญ 3 ประการที่ ได้แก่
· ทำเลที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ที่เหมาะสม เป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงตลาดที่สำคัญอย่างอาเซียน จีน และ อินโด-แปซิฟิก รวมถึงมีโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง
· บุคลากรที่มีทักษะสูง ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันการศึกษาระดับโลก
· นโยบายและมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ มาตรการส่งเสริมสตาร์ทอัพจากบีโอไอ เช่น ยกเว้นภาษีนิติบุคคล และ การยกเว้นภาษีนำเข้าเครื่องจักรและอุปกรณ์ และโครงการ Startup Matching Fund ที่ให้
เงินสนับสนุนสูงสุดถึง 50 ล้านบาทต่อสตาร์ทอัพ เพื่อช่วยให้สตาร์ทอัพที่มีศักยภาพสามารถเติบโตและแข่งขันในตลาดโลกได้
นอกจากนี้ ยังมีโครงการ Global Talent Attraction ผ่านวีซ่าพิเศษสำหรับสตาร์ทอัพ ทั้ง Long-Term Residence (LTR) Visa และ Smart Visa ทั้งยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากร ด้วยการร่วมมือกับภาคการศึกษาต่าง ๆ ปรับหลักสูตรให้ตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรม เช่น เทคโนโลยีสารสนเทศ ปัญญาประดิษฐ์ วิศวกรรมศาสตร์ อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง รวมถึงการทำงานร่วมกับภาคเอกชนต่าง ๆ รวมถึงได้แต่งตั้งให้ทรู ดิจิทัล พาร์ค เป็นศูนย์สนับสนุนการขอวีซ่าและการเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย มีบทบาทสำคัญในการดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศ และเสริมสร้างการเติบโตของสตาร์ทอัพและระบบนิเวศเทคโนโลยีของประเทศ"
ญี่ปุ่นเน้นพัฒนาบุคลากร ควบคู่กับธุรกิจที่เติบโตไปกับคนไทย
Mr. Kajiwara Toru, Minister and Chief of the Economic Section Embassy of Japan ได้แบ่งปันมุมมองเกี่ยวกับการทำธุรกิจและการลงทุนในประเทศไทยว่า มีบริษัทญี่ปุ่นมาลงทุนในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก โดยมีกลยุทธ์ที่ต้องการเติบโตไปด้วยกันกับคนไทย และให้ความสำคัญเรื่องการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยได้จัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมสําหรับนักพัฒนาแรงงานไทย รวมถึงร่วมมือด้านการศึกษาแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ อาทิ สถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น เป็นต้น ทั้งยังชี้ให้เห็นสิ่งที่ประเทศไทยกำลังเผชิญคือ ปัญหามลภาวะทางอากาศ รวมถึงกระบวนการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ (Decarbonization) ซึ่งรัฐบาลและทุกภาคส่วนต้องช่วยกันแก้ปัญหาอย่างจริงจังให้ครบทุกมิติ พร้อมย้ำว่า เทคโนโลยีมีบทบาทอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจของไทย ทั้งยังเป็นเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาประเทศสู่อนาคตที่ยั่งยืน และอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญคือบทบาทของคนรุ่นใหม่ ที่จะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต
สหราชอาณาจักร ชื่นชมโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของไทยที่แข็งแกร่ง

Mr. Zak Lawton, Frist Secretary Technology & Head of Investment Embassy of the United Kingdom
กล่าวถึงโอกาสทางธุรกิจในประเทศไทยว่า สหราชอาณาจักรและประเทศไทยมีความสัมพันธ์มาอย่างยาวนานกว่า 100 ปี มีความร่วมมือในด้านต่างๆ มากมาย ประเทศไทยมีโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและอินเทอร์เน็ตที่แข็งแกร่งและครอบคลุมทั่วประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดธุรกิจด้านเทคโนโลยีและดิจิทัล เช่นปัญญาประดิษฐ์ ดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งสหราชอาณาจักรมีโครงการที่มุ่งเน้นการลดการใช้พลังงานและส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล โดยร่วมมือกับรัฐบาลไทยในการลดการใช้กระดาษและขั้นตอนต่างๆ เปลี่ยนไปใช้ระบบข้อมูลดิจิทัล อาทิ การจัดเก็บ การสืบค้น รวมไปถึงการวิเคราะห์ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ เป็นต้น นอกจากนี้ยังเสนอแนะเรื่องการเชื่อมโยงเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคและระดับโลก เพื่อช่วยให้การค้าและการลงทุนดำเนินการได้ง่ายมากขึ้น
ลักเซมเบิร์ก มองไทยโดดเด่นทั้งเทคโนโลยีทางการเงินและการสนับสนุนทางการเงินเพื่อความยั่งยืน
Mr. Eric Lauer, Trade and Investment Advisor, Embassy of Luxembourg กล่าวว่านโยบายหลาย ๆ ด้านที่ไทยกำลังดำเนินการเป็นไปในทิศทางที่ดีแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงขั้นตอนทางกฎระเบียบให้คล่องตัวมากขึ้น หรือการลงทุนด้านการศึกษาและการฝึกอบรมวิชาชีพ อีกทั้งประเทศไทยยังมีความโดดเด่นมากใน 2 ด้าน ได้แก่ ความมุ่งมั่นของประเทศในการสนับสนุนทางการเงินเพื่อความยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (SDGs) และ การเติบโตของเทคโนโลยีทางการเงิน (FinTech) โดยประเทศไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียที่มี Sustainability Linked Bonds หรือหุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืน พร้อมกล่าวถึงความร่วมมือในโครงการ ASEAN Startup Exchange ระหว่างลักเซมเบิร์กและอาเซียน เพื่อเปิดโอกาสให้สตาร์ทอัพในแต่ละประเทศได้เรียนรู้และแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และเทคโนโลยีระหว่างกัน
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ TDPK International Service Center สามารถดูได้ที่ https://www.truedigitalpark.com/business-service
กรุงเทพฯ ถือเป็นเมืองระดับมหานครหรือ Mega City หนึ่งของโลก เป็น Strategic Location ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีความเป็นพลวัต ภายใต้กระแสธารแห่งการเปลี่ยนผ่าน
การเปลี่ยนผ่านที่เห็นได้ชัดอย่างยิ่งคือ การขยายตัวของเมือง (Urbanization) โดยเฉพาะฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ ที่ ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โดย True Digital Group พัฒนาเมกะโปรเจกต์ True Digital Park (TDPK) ทรานสฟอร์มพื้นที่ชานเมืองสู่ “ฮับแห่งสตาร์ตอัพ” กับเป้าหมาย Silicon Valley เมืองไทย
ในโอกาสที่ TDPK ย่างเข้าสู่ปีที่ 6 True Blog ได้มีโอกาสสนทนากับ “ดร.ธาริต นิมมานวุฒิพงษ์” ผู้บริหารรุ่นใหม่ไฟแรงที่รั้งตำแหน่ง General Manager ของ TDPK ถึงเบื้องลึกเบื้องหลังโครงการ แนวทางการบริหารที่นำมาสู่การพลิกเมือง ตลอดจนวิธีคิด-การใช้ชีวิตในยุคที่โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

ธาริตเติบโตในครอบครัวชนชั้นกลางชาวไทยเชื้อสายจีน เกิดและอาศัยในย่านทรงวาดของกรุงเทพฯ ที่คลาคล่ำไปด้วยธุรกิจค้าส่ง รวมถึงเคมีภัณฑ์ที่คุณพ่อเขาก่อร่างสร้างตัวขึ้นมา และนั่นจึงนำมาสู่แรงบันดาลใจของธาริตที่มีความฝันประกอบอาชีพวิศวกรเคมี ตามสมัยนิยมของเด็กยุค 80 ที่มักเห็นพ่อแม่ของตัวเองเป็นไอดอล
ด้วยความเป็นเด็กขยันเรียน ใฝ่รู้ และมุมานะ ธาริตสอบติดและจบการศึกษาจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาควิชาเคมี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และออกไปเก็บประสบการณ์การทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมที่ จ.ระยอง เป็นเวลา 2 ปี ก่อนจะได้รับทุนรัฐบาลสหรัฐฯ หรือ Fulbright Scholarship ศึกษาต่อในระดับปริญญาโทและเอกที่ University of California, Davis ในสาขาวิศวกรรมเคมี ก่อนที่จะไปทำงานด้านวิจัยในฐานะ Postdoctoral Research Fellow ที่ MIT และห้องเแล็บของบริษัทด้านเทคโนโลยีพลังงานระดับโลก Topsoe ที่ประเทศเดนมาร์กรวมเป็นเวลากว่า 2 ปีก่อนเดินทางกลับประเทศไทย
“ผมเป็นคนที่ค่อนข้างมีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจนตั้งแต่แรก โดยต้องการเรียนให้สูงที่สุด ด้วยความที่เราชอบเรียนหนังสือ และเรียนได้ดี เมื่อมีโอกาส ผมก็ทำมันให้ดีที่สุด ซึ่งนั่นก็คือ นักวิทยาศาสตร์” ธาริต เล่าถึงภูมิหลังในวัยเด็ก
เส้นทางชีวิตของธาริตดูราบรื่น สวยหรู เป็นเส้นตรง และคาดเดาได้ หากไม่กลับมาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ก็เป็นนักวิจัยในแล็บของหน่วยราชการ แต่ระหว่างทาง เขาได้พบกับ “ทางเลือก” ที่ช่วยขยายเลนส์และทางเดินในอนาคต นั่นคือ การได้รับคัดเลือกเข้าโปรแกรม Bridge to BCG ของ Boston Consulting Group ทำให้เขาได้รู้จักงานที่ปรึกษาอย่างลึกซึ้งและค้นพบศักยภาพในตัวเอง
เมื่อกลับมายังมาตุภูมิ ธาริตเริ่มต้นการทำงานแรกที่ไทยในฐานะ Management Consultant ที่ Roland Berger บริษัทที่ปรึกษาชั้นนำของโลกสัญชาติเยอรมัน โดยโปรเจกต์แรกที่มีส่วนร่วมคือ แผนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ซึ่งเขาได้พิสูจน์ให้เห็นถึงศักยภาพของ “ปลาคนละน้ำ” จาก “นักวิจัยสู่ที่ปรึกษา” ที่สามารถทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับเพื่อนร่วมทีมที่ต่างหิ้วดีกรี MBA มาทั้งนั้น เหนือไปกว่านั้น กรอบคิดแบบผู้ประกอบการ (Entrepreneurial Mindset) ที่บ่มเพาะมาจากการคลุกคลีกับกิจการของที่บ้าน กลับกลายเป็นการสร้างความแตกต่างของความเป็นที่ปรึกษาให้เขา เรียกได้ว่า เป็นที่ปรึกษาที่มีทั้ง “บู๊และบุ๋น”
ในห้วงเวลา 2-3 ปีบนสนามที่ปรึกษา ธาริตมีโอกาสร่วมคิด-สร้างในโปรเจกต์ต่างๆ มากมาย ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ True Digital Park

บรีฟแรกที่ได้มาในโจทย์ TDPK คือ การทำให้ TDPK พิชิตเป้าหมายสถานะ “ฮับของสตาร์ทอัพเมืองไทย” เพื่อเติมเต็มอีโคซิสเต็มดิจิทัลของประเทศผ่านโครงสร้างพื้นฐานเชิง Community Hub โดยธาริตและทีมใช้เวลาร่วมปี ทำการค้นคว้าวิจัย ลงสนาม ดูงาน เทียบเคียงกับต่างประเทศ วางกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย จนสำเร็จเป็น Blueprint ที่พร้อมนำไปปรับใช้ต่อไป
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแผนบนกระดาษให้เกิดเป็นผลสัมฤทธิ์ จำเป็นต้องมีผู้นำหรือผู้ที่เป็นเรี่ยวแรงในการส่งไม้ต่อ และธาริตก็ได้รับการทาบทามให้ทำหน้าที่นั้น โดยประเดิมในตำแหน่ง Head of Commercial และได้รับโปรโมทเป็น General Manager ในเวลาต่อมา
“เดิมทีเราทำงานเชิงแผนงานเสียมาก แต่พอต้องลงมือทำด้วยตัวเองจริงๆ ก็ท้าทายมากเช่นเดียวกัน ตอนแรกที่เข้ามาช่วงปี 2561 ซึ่งเป็นเฟส Pre-Leasing โจทย์สำคัญคือ การหาลูกค้าศักยภาพ โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นเทคสตาร์ตอัพ มีเทคทาเลนท์อย่างโปรแกรมเมอร์หรือวิศวกรข้อมูลเป็นส่วนใหญ่ เพื่อให้ TDPK เดินหน้าอย่างมีกลยุทธ์และเติบโตตามที่ตั้งเป้าไว้ ด้วยมายด์เซ็ตและการมูฟแบบสตาร์ทอัพของทีมที่เต็มไปด้วยคนรุ่นใหม่ ทำให้ปีแรกของ TDPK มีอัตราเช่าพื้นที่ (Occupancy Rate) ของเฟสแรกหรือตึก East อยู่ที่ 70% ซึ่งถือว่ารวดเร็วและสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดบริเวณ CBD
ฮันนีมูนพีเรียดเริ่มต้นได้เพียงไม่นาน บททดสอบหน้าใหม่สุดหินทีชื่อว่า “โควิด-19” ก็ได้เข้ามาทักทายผู้บริหารหนุ่มคนนี้เข้าอย่างจัง
“ความไม่แน่นอนเชิงพื้นที่และเวลา” จากวิกฤตโควิด-19 ถือเป็นความเสี่ยงสำคัญเป็นอันดับต้นๆ ดังนั้น Risk Management ที่ TDPK เทคแอ็คชั่นเป็นลำดับแรก คือ “การรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า” เพื่อสร้างความสบายใจท่ามกลางความไม่แน่นอน ทั้งการให้ความช่วยเหลือ การจัดกิจกรรมสัมมนาออนไลน์ รวมถึงการปรับพื้นที่เป็นศูนย์ฉีดวัคซีน ซึ่งจากวิกฤตในครั้งนั้น ทำให้ธาริตเห็นโอกาสทางธุรกิจและกรุยทางสู่แหล่งรายได้ใหม่ๆ จนปัจจุบันสามารถแบ่งออกได้ถึง 6 กลุ่ม ได้แก่
โดยยังคงมุ่งมั่นพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ให้สอดรับกับความเป็นไปได้ใหม่ๆ อีกมากมาย
ธาริต เล่าว่า TDPK เกิดขึ้นจากวิสัยทัศน์ของทรู ที่ต้องการสร้างความแตกต่างในตลาดโทรคมนาคมให้กับแบรนด์ทรู ซึ่งสะท้อนบทบาทความเป็น ”ผู้นำแห่งอนาคต” ด้วยการเดินหน้าเปลี่ยนผ่านดิจิทัลสู่ Telco Tech Company ด้วยเหตุนี้ ทรูจึงต้องเท่าทันและเข้าใจกระแสธารแห่งการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภค และสภาวการณ์ของโลกให้มากขึ้น ทั้งยังต้องใกล้ชิดกับคู่ค้าและคู่แข่งมากขึ้น
นอกจากนี้ TDPK ยังได้ทำหน้าที่คู่ขนานกับทรู ในฐานะ “แพลทฟอร์ม” แต่แพลทฟอร์มที่ว่านี้ ทำหน้าเที่เป็นสะพานเชื่อมผู้คนที่มีใจมุ่งมั่น ต้องการทำฝันให้เป็นจริง สร้างธุรกิจให้เติบโต ได้มาพบกันภายใต้บรรยากาศแห่งการตื่นรู้ พร้อมทั้งใช้ชีวิตในทุกมิติได้อย่างสมดุล สอดคล้องกับ motto ของ TDPK ที่ยึดถือมาตลอด นั่นคือ “One Roof, All Possibilities ที่เดียว ทุกความเป็นไปได้”
จากแนวคิดดังกล่าว ทำให้เกิดความเป็นคอมมูนิตี้ เกิดเป็นบทสนทนาระหว่างลูกค้ากันเอง และเกิดเป็นแบรนด์ที่แตกต่าง ถือเป็น Center of Gravity ในรูปแบบใหม่ ต่างจากการพัฒนาที่ดินในรูปแบบดั้งเดิมที่มองแต่เพียงอาคารเท่านั้น ดังนั้น “การสร้างคอมมูนิตี้” จึงถือเป็นกลยุทธ์สำคัญของ TDPK
“คนทั่วไปอาจจะมองว่า TDPK คือตึก แต่สำหรับผม TDPK คือ แคมปัสและผู้คน” ธาริตกล่าวและเสริมว่า “ตึกในกรุงเทพฯ มีแนวโน้มที่จะผุดขึ้นมาอีกมาก แต่...ปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจเช่าพื้นที่ต่อจากนี้ คือ Proximity ของทั้งพาร์ทเนอร์และเพื่อนฝูง เพื่อลดเวลาในการเดินทางไปมาหาสู่กัน ดังนั้น คีย์สำคัญของการสร้าง TDPK คือ Dynamics จากกิจกรรมในสังคมมนุษย์ผ่านความเป็น Campus พูดง่ายๆ คือ การสร้างเมือง”
และด้วยจุดเเข็งความเป็นคอมมูนิตี้ของ TDPK ที่ประกอบด้วยฟังก์ชันพื้นที่ที่หลากหลาย นั่นจึงเป็น “จุดขาย” ที่เหนือกว่าผู้ให้บริการพื้นที่อื่นๆ ทำให้ค่าบริการเชิงพื้นที่ของ TDPK สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด โดยเฉพาะจุดเด่นที่สะท้อนความเป็นคอมมูนิตี้ของชาวสตาร์ทอัพและเทคโนโลยีอย่างสมบูรณ์ อีเว้นท์ที่เกิดขึ้นที่นี่จึงเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีเกือบทั้งสิ้น
ที่ผ่านมา TDPK ทำหน้าที่ให้บริการด้านพื้นที่เป็นสำนักงานของสตาร์ทอัพทั้งขนาดเล็กและใหญ่หลายร้อยบริษัท รวมถึงยูนิคอร์นถึง 4 ตัว ทั้งจากไทยและต่างชาติ จะเห็นได้ว่าเทคสตาร์ทอัพที่ให้ความสำคัญกับความเป็น “คอมมูนิตี้” ล้วนตั้งอยู่ที่ TDPK ทั้งสิ้น โดยผลลัพธ์ดังกล่าวมาจากความเชื่อมั่นใน TDPK จนเกิดเป็นการบอกต่อและชักชวนให้มาใช้บริการแบบปากต่อปาก
“เราพัฒนา TDPK จากหมวกหลายใบ ทั้งในฐานะผู้พัฒนาโครงการ เจ้าของธุรกิจ และลูกค้า” ธาริตย้ำ พร้อมอธิบายว่า เพื่อให้มั่นใจว่า TDPK ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง โดยเฉพาะความเป็นคอมมูนิตี้ ทั้งยังสามารถนำเสนอบริการใหม่ๆ ที่ตอบรับเทรนด์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และที่สำคัญ การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนที่สะท้อนจากผลลัพธ์ทางการเงิน” ”

ก้าวถัดไปของ TDPK
ประเทศไทยมีการถกเถียงถึงความสำคัญของการวิจัยมาช้านานหลายทศวรรษ แต่ในทางปฏิบัติ ไทยยังไม่สามารถใช้การวิจัยให้เกิดผลกระทบเชิงประจักษ์ได้ โดยเฉพาะการเข้าถึงต่อสาธารณะ ส่งผลต่อการขาดแคลน “Role Model” หรือต้นแบบที่จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนรุ่นหลังให้ก้าวสู่สนามแห่งการวิจัยให้มากขึ้น ทำให้รากฐานของประเทศเเข็งแกร่งยิ่งขึ้น ซึ่งการให้ความสำคัญกับการวิจัยจะเป็นหนทางที่สำคัญในการต่อสู้และอยู่รอดของเศรษฐกิจไทย ท่ามกลางความท้าทายจากสินค้าจีน ขีดความสามารถทางการแข่งขันที่ต่ำลง การเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยี และความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์ของโลก
“ที่ผ่านมา ไทยใช้เม็ดเงินมหาศาลในการซื้อเทคโนโลยีต่างประเทศเข้ามา ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ไทยควรหันมาให้ความสำคัญกับการวิจัย” ธาริตเอ่ยความในใจในฐานะเด็กที่มีฝันเป็นนักวิทยาศาสตร์ ด้วยเหตุนี้ เขาจึงวาดฝันให้ TDPK เป็นกลไกหนึ่งของสังคมที่ช่วยผลักดันงานวิจัยด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม
จากประสบการณ์ในสนามงานวิจัยของธาริตนับสิบปี ทั้งที่ยุโรปและสหรัฐฯ เขามองว่า “ความตระหนักรู้ด้านการวิจัย” ต่อสาธารณะเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญอย่างมาก ทั้งยังเป็นปัจจัยพื้นฐานที่นำมาสู่ความสำเร็จของประเทศที่พัฒนาแล้ว นำมาสู่การพูดคุยเจรจาทั้งในมหภาคและจุลภาค การระดมทุน การพัฒนาห้องแล็บ การนำเสนอ รวมถึงการจับคู่ทางธุรกิจก็จะเกิดขึ้นตามมา
“ตึกๆ นี้ ไม่ได้สร้างเพื่อหาผู้เช่าให้เต็มแล้วไปพัฒนาที่ดินผืนใหม่ต่อไป แต่ TDPK ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็น Engine for Change สร้างการเปลี่ยนแปลงต่อทั้งองค์กร ลูกค้า และสังคม ซึ่งทั้ง 3 ภาคี ล้วนมีความเกี่ยวข้องและสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่น ไม่สามารถแยกออกจากกันได้” เขาอธิบาย
ทั้งนี้ สถานะ Engine for Change ของ TDPK สะท้อนออกมาจากหลายมิติ อย่างการบริหารพื้นที่โซนต่างๆ ด้วยดาต้า การออกแบบพร้อมที่จะเปลี่ยนฟังก์ชั่นการทำงานของพื้นที่ให้สอดรับกับความต้องการของลูกค้าอย่างทันท่วงที ตัวอย่างเช่น พื้นที่ที่เคยเป็นออฟฟิศสามารถทรานส์ฟอร์มเปลี่ยนพื้นที่สำหรับจัดกิจกรรมอื่นๆ เพื่อคอมมูนิตี้หรือ co-working space ได้ในระยะเวลาอันสั้น

ปัจจุบัน การระดมทุนในวงการสตาร์ทอัพไทยจะไม่ดูสดใสเหมือนในอดีต ทั้งยังมีข่าวที่ไม่สู้ดีนักผุดขึ้นมาอยู่เนืองๆ ปรากฏการณ์ดังกล่าวไม่จำกัดเพียงวงการสตาร์ตอัพเท่านั้น แต่ขยายไปสู่ธุรกิจ SMEs ซึ่งธาริตมองว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผลกระทบจากวัฏจักรทางเศรษฐกิจโลกที่อยู่ในช่วงถดถอย ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์โลก ภาวะสงคราม รวมถึงโมเดลธุรกิจของสตาร์ทอัพที่เน้นการลงทุนอย่างมากในระยะเริ่มต้น ที่อาจไม่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางสภาวะแวดล้อมที่รุมเร้าด้วยปัจจัยลบ แต่ด้วยพันธกิจ TDPK เพื่อการเป็นฮับของสตาร์ทอัพ การรักษาโมเมนตัม สร้างแรงบันดาล ดึงดูดทาเลนท์ให้เข้าสู่วงการ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
“หากไฟมอดหรือดับลงแล้ว การจะจุดไฟให้ลุกโชนขึ้นอีกครั้งเป็นเรื่องยาก เราจึงต้องรักษาไฟนั้น อย่าให้ดับมอดลง ฉันใดฉันนั้น เช่นเดียวกับหน้าที่ของ TDPK ต่อสตาร์ทอัพไทย”
ปัจจุบัน TDPK เป็นฐานที่สตาร์ทอัพใช้ทำงาน สร้างนวัตกรรมอยู่ทั้งสิ้นกว่า 260 รายและมีสมาชิกกว่า 13,000 คน ซึ่งถือว่าไม่น้อย ขณะเดียวกัน แนวโน้มที่ชาวต่างชาติใช้ไทยเป็นฐานในการปฏิบัติการด้านสตาร์ทอัพก็มีมากขึ้น โดยความร่วมมือระหว่าง TDPK และ BOI ผ่านโปรแกรม Long-Term Resident Visa
ผลงานที่ประจักษ์ของ TDPK ในขวบปีที่ 6 ภายใต้การนำของธาริต เกิดขึ้นจากดีเอ็นเอ 3 ประการ 1. ความสมดุล 2. ความคิดสร้างสรรค์ และ 3. ความกล้า ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาบ่มเพาะและเรียนรู้จากการเป็นนักบริหารที่คิดแบบนักวิทยาศาสตร์ โดยเขาค้นพบว่า ทักษะและแนวคิดจากพาณิชยศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ต่างเติมเต็มช่องว่างซึ่งกันและกัน ปิดจุดบอด อุดรูรั่ว รู้ลึกและรู้กว้าง เปลี่ยนความท้าทายเป็นโอกาส ผลิดอกออกผลเป็นสิ่งที่เรียกว่า “นวัตกรรม”
ทรู ดิจิทัล พาร์ค ศูนย์กลางเทคและสตาร์ทอัพที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน โดย นายฐนสรณ์ ใจดี (ที่ 3 จากซ้าย) กรรมการผู้จัดการใหญ่ เดินหน้าสนับสนุนสตาร์ทอัพ Climate Tech เร่งสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วนขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมาย Net Zero เพื่อโลกที่ยั่งยืน ประกาศความร่วมมือกับ บริษัท เวคิน (ประเทศไทย) จำกัด โดย ดร.ศกยง พัฒนเวคิน (ที่ 2 จากขวา) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ยกระดับบริการพื้นที่จัดอีเวนต์ของทรู ดิจิทัล พาร์ค ด้วย Carbon Neutral Events Service บริการเสริมที่จะช่วยให้ทุกงานอีเวนต์ กลายเป็นงานที่ห่วงใยสิ่งแวดล้อม ครั้งแรกในประเทศไทยของพื้นที่จัดอีเวนต์ที่ผนวกบริการครบวงจรเพื่อช่วยให้การปล่อยก๊าซคาร์บอนจากการจัดงานอีเวนต์สุทธิเป็นศูนย์ (Carbon Neutral Event) สนับสนุนผู้จัดกิจกรรมและงานสัมมนาต่างๆ ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการกู้วิกฤตโลกเดือด ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้ได้รับการส่งเสริมจาก องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) โดย นายรองเพชร บุญช่วยดี (ซ้ายสุด) รองผู้อำนวยการ ร่วมด้วยสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) โดย นางอรชร ว่องพรรณงาม (ที่ 3 จากขวา) ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมไมซ์ เพื่อผลักดันอุตสาหกรรมไมซ์ (MICE) ของประเทศไทยให้เป็นจุดหมายปลายทางด้านการจัดงานอย่างยั่งยืนในเวทีระดับนานาชาติ และก้าวเป็น Mice Destination ของอาเซียน

นายฐนสรณ์ ใจดี กรรมการผู้จัดการใหญ่ ทรู ดิจิทัล พาร์ค กล่าวว่า “ทรู ดิจิทัล พาร์ค มุ่งต่อยอดภารกิจสำคัญในการขับเคลื่อนและสนับสนุนการเติบโตของสตาร์ทอัพ ด้วยความแข็งแกร่งของระบบนิเวศสมบูรณ์แบบครบวงจรสำหรับสตาร์ทอัพและผู้ประกอบการเทค ล่าสุดจับมือกับ VEKIN สตาร์ทอัพสัญชาติไทยที่มีการพัฒนานวัตกรรมความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง นำ Climate Technology ยกระดับการให้บริการพื้นที่จัด Event ด้วย Carbon Neutral Events Service นับเป็นครั้งแรกในประเทศไทยของพื้นที่จัดอีเวนต์ที่ผนวกบริการครบวงจรเพื่อช่วยให้การปล่อยก๊าซคาร์บอนจากการจัดงานอีเวนต์สุทธิเป็นศูนย์ (Carbon Neutral Event) ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้ เติมเต็มความตั้งใจของ ทรู ดิจิทัล พาร์ค ในการสนับสนุนการเติบโตของสตาร์ทอัพ พร้อมสร้างโอกาสการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการแก้ไขปัญหาวิกฤตสภาพอากาศ เพื่อโลกที่ยั่งยืน อีกทั้งยังเป็นการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันของอุตสาหกรรมไมซ์ไทยในการรองรับการจัดอีเวนต์แบบ Carbon Neutral Event ที่ตอบโจทย์ด้านความยั่งยืนของหน่วยงานหรือองค์กรต่างๆ ทั่วโลก
เราตระหนักดีว่า การจัดงานอีเวนต์เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม จากการใช้พลังงานไฟฟ้าในการจัดงาน การพักแรม การเดินทาง ตลอดจนการใช้พลังงานในการปรุงอาหาร และสิ่งเหลือทิ้งจากการจัดงาน เป็นต้น Carbon Neutral Events Service สามารถช่วยให้องค์กรต่างๆ และผู้จัดกิจกรรม เกิดความตระหนักรู้และมีส่วนร่วมมากยิ่งขึ้นในการช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยการคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมการจัดงานทั้งหมด รวมถึงมีการชดเชยปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมา เพื่อให้ผลรวมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์”

ดร.ศกยง พัฒนเวคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เวคิน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า VEKIN มีความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนานวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลขั้นสูง (Deep Technology) สร้างสรรค์แนวทางใหม่ เพื่อช่วยขับเคลื่อนประเทศสู่เป้าหมาย Net Zero ให้เกิดขึ้นจริง เริ่มจากการสร้างกระบวนการรับรู้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกแบบอัตโนมัติ สร้างช่องทางให้ทุกภาคส่วนมีร่วมเพื่อลดการปลดปล่อย และชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งบริการ Carbon Neutral Events Service จากความร่วมมือกับ ทรู ดิจิทัล พาร์ค จะช่วยให้การจัดงานอีเว้นท์ ไม่ว่าจะเป็นงานประชุม อบรม สัมมนา และกิจกรรมอื่นๆ สามารถเป็นส่วนหนึ่งในการลดปัญหาภาวะโลกร้อนได้ โดยอำนวยความสะดวกให้องค์กรหรือหน่วยงานต่างๆ สามารถจัดงานแบบ Carbon Neutral Event ได้อย่างครบวงจร นอกจากนี้ VEKIN ยังร่วมมือกับทรู ดิจิทัล พาร์ค ในการแนะนำแนวทางการจัดงานอีเวนต์ ที่ตอบโจทย์ด้านความยั่งยืน ตลอดจนให้ความรู้และบริการด้านความยั่งยืนแก่องค์กรต่างๆ ในระบบนิเวศของทรู ดิจิทัล พาร์ค ด้วย
เปลี่ยนทุกงานอีเวนต์ ให้กลายเป็นงานที่ห่วงใยสิ่งแวดล้อม
TDPK Carbon Neutral Events Service ช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้จัดงานและเจ้าของงานสามารถจัดงานแบบ Carbon Neutral Event ได้อย่างง่ายดาย ผ่านแพลตฟอร์มการคำนวณการปล่อยและการชดเชยคาร์บอนจากการจัดงานจนคาร์บอนเป็นกลาง ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่าย ประหยัดเวลา และลดขั้นตอนที่ยุ่งยากในการประสานงานกับหลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการจัดงาน รวมถึงการจัดทำเอกสารและประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐ อีกทั้งยังมั่นใจได้ว่าจะได้รับการรับรอง Carbon Neutral Event อย่างแน่นอน ตอบสนองนโยบายด้านความยั่งยืนขององค์กร และเสริมสร้างภาพลักษณ์การเป็นองค์กรที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม โดยครอบคลุมบริการต่างๆ ดังนี้
ทั้งนี้ หน่วยงานและองค์กร หรือ ผู้จัดกิจกรรมต่างๆที่ทรู ดิจิทัล พาร์ค สามารถมีส่วนร่วมแก้ไขปัญหาวิกฤตสภาพอากาศ เพื่อโลกที่ยั่งยืน ผ่านบริการ Carbon Neutral Events Service ได้ง่ายๆ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.truedigitalpark.com
โลกการทำงานกับวิกฤตของเด็กจบใหม่ที่ดูเหมือนจะไม่มีทางจบ แม้สถานการณ์โควิดจะบรรเทาลง