December 05, 2025

ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ภาคเหนือ และพันธมิตรของ UOB BizSmart แพลตฟอร์มที่รวมดิจิทัลโซลูชันเพื่อการดำเนินธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ จัดสัมมนา ณ จังหวัดเชียงใหม่เพื่อเสริมศักยภาพผู้ประกอบการธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มให้สามารถต่อยอดธุรกิจจากระดับท้องถิ่นสู่ระดับประเทศ

งานสัมมนา UOB SME Live in Chiangmai: ร้านเล็กคิดใหญ่ – ปั้นแบรนด์ ขยายธุรกิจอาหารและคาเฟ่สู่ระดับประเทศ ได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการร้านอาหารและคาเฟ่กว่า 200 รายในพื้นที่ภาคเหนือ โดยมุ่งเน้นการมอบองค์ความรู้และเครื่องมือดิจิทัลและโซลูชันทางการเงิน ที่จะช่วยยกระดับขีดความสามารถของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในกลุ่มธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มในภาคเหนือ ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ

นายสมชาย ชมภูน้อย ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคเหนือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวเปิดงานโดยชี้ให้เห็นถึงบทบาทที่เพิ่มขึ้นของการท่องเที่ยวเชิงอาหาร (Culinary Tourism) พร้อมระบุว่าแนวทางของ ททท. ในปัจจุบันให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพที่สร้างประสบการณ์ที่มีคุณค่าและน่าจดจำ มากกว่าการวัดผลเพียงตัวเลขรายได้ ทั้งนี้ ในปี 2567 ภาคเหนือรองรับนักท่องเที่ยวชาวไทยกว่า 26 ล้านคน โดยมีเสน่ห์ไม่เพียงจากธรรมชาติและวัฒนธรรม แต่ยังรวมถึงคาเฟ่และอาหารพื้นถิ่นที่เป็นเอกลักษณ์

นางสยุมรัตน์ มาระเนตร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ Business Banking ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า “ธนาคารยูโอบีจึงมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ในกลุ่มนี้ให้สามารถ ‘คิดใหญ่’ และขยายธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ผ่านการให้ข้อมูลเชิงลึก โซลูชันทางการเงินที่เข้าใจธุรกิจเอสเอ็มอี และเครือข่ายพันธมิตรที่แข็งแกร่งของ UOB BizSmart”

ภายในงาน ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้รับฟังการนำเสนอจากพันธมิตรธุรกิจ ได้แก่ Adaptis ผู้ให้บริการโซลูชันการรับชำระเงินแบบครบวงจร และ Freedom World เครื่องมือการตลาดดิจิทัลสำหรับธุรกิจยุคใหม่ รวมถึงการแบ่งปันประสบการณ์จากเจ้าของร้านอาหารและเครื่องดื่มในพื้นที่ ที่ประสบความสำเร็จในการสร้างแบรนด์และขยายธุรกิจ ได้แก่ Ginger Farm Kitchen ร้านอาหารรางวัลมิชลิน 4 ปีซ้อน ต้นตำหรับเชียงใหม่, The Good View Bar & Restaurant ร้านอาหารขวัญใจชาวเชียงใหม่และนักท่องเที่ยวต่างชาติ, ข้าวซอยลําดวนฟ้าฮ่าม ร้านข้าวซอยเก่าแก่ระดับตำนานของเมืองเชียงใหม่ที่ได้มิชลิน 3 ปีซ้อน, The Volcano ต้นตำหรับร้านขนมปังชีสยืดชื่อดัง, The Baristro ร้านกาแฟดังของเชียงใหม่, Saruda Finest Pastry ร้านเค้กชื่อดังของเชียงใหม่ รวมถึง Mix Beef Club & Restaurant ที่ได้ Thailand Tatler Best Restaurant 9 ปีซ้อน

นางสยุมรัตน์กล่าวเพิ่มเติมว่า ความริเริ่มครั้งนี้จะช่วยเสริมสร้างศักยภาพผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ควบคู่ไปกับการยกระดับชื่อเสียงของภาคเหนือในฐานะแหล่งท่องเที่ยวเชิงอาหาร ตอกย้ำบทบาทของธนาคารในฐานะพันธมิตรระยะยาวที่เติบโตเคียงข้างธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มในภูมิภาคนี้

ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ร่วมกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเมืองพัทยา และพันธมิตรของ UOB BizSmart บริการดิจิทัลโซลูชันเพื่อการจัดการธุรกิจ จัดสัมมนาแบ่งปันความรู้ให้กับเอสเอ็มอีในภาคการท่องเที่ยวและร้านอาหาร เจาะลึกเทรนด์ด้านการท่องเที่ยว กลยุทธ์การตลาด และเครื่องมือในการส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่มีการแข่งขันสูง

โดยงานนี้ได้รับเกียรติจาก ดร. ศิวัช บุณเกิด รองปลัดเมืองพัทยา เป็นประธานเปิดงาน และ นายชัยวัฒน์ ตามไท ผู้อำนวยการสำนักงาน ททท. สำนักงานเมืองพัทยา ซึ่งได้นำเสนอภาพรวมของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทย พร้อมกับกรอบนโยบายเชิงกลยุทธ์ของ ททท. เพื่อสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนในภาคส่วนนี้

นางสยุมรัตน์ มาระเนตร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจเอสเอ็มอี ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า “ธนาคารยูโอบี เชื่อว่าการสนับสนุนเอสเอ็มอี เป็นสิ่งสำคัญในการเสริมสร้างเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคที่มีศักยภาพสูงอย่างการท่องเที่ยว เรามุ่งมั่นที่จะจัดหาเครื่องมือ ข้อมูลเชิงลึก และโซลูชันทางการเงินที่ธุรกิจท้องถิ่นต้องการ เพื่อเติบโตอย่างยั่งยืนและประสบความสำเร็จในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ผ่านบริการทางการเงินที่เข้าใจธุรกิจเอสเอ็มอี และเครือข่ายพันธมิตร  ของ UOB BizSmart ที่ช่วยให้ธุรกิจเดินหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมงานยังได้รับฟังถึงโซลูชันด้านการเงิน การชำระเงิน และประกันภัย ที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของธุรกิจท่องเที่ยว ในช่วงเสวนาระหว่างธนาคารยูโอบี GHL Freedom World และ MSIG

ปิดท้ายด้วย Klook แพลตฟอร์มการท่องเที่ยวและประสบการณ์ระดับโลก และหนึ่งในพันธมิตรหลักของ UOB BizSmart ที่มานำเสนอแนวโน้มพฤติกรรมผู้บริโภค และโซลูชันดิจิทัลที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ธุรกิจโรงแรม ที่พัก และร้านอาหาร เพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้า และสร้างรายได้เพิ่มขึ้น

กิจกรรมครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องของธนาคารยูโอบี ในการส่งเสริมความร่วมมือและนวัตกรรมทางการเงินที่เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจท้องถิ่นภาคตะวันออก ซึ่งมีความสำคัญ และมีส่วนช่วยในการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยในระยะยาว

ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย เผยรายงาน UOB Business Outlook Study ประจำปี 2568 สะท้อนแนวทางการปรับตัวของภาคธุรกิจไทยท่ามกลางความท้าทายจากการประกาศมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา และความไม่แน่นอนของห่วงโซ่อุปทานโลก

การสำรวจจัดเก็บข้อมูลเมื่อมกราคม 2568 และสัมภาษณ์เพิ่มเติมในเดือนเมษายน 2568 พบว่า แม้ภาคธุรกิจไทยจะดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวัง แต่ยังแสดงศักยภาพในการปรับตัว ผ่านการขยายโอกาสในภูมิภาคอาเซียน เร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล และให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยผลสำรวจพบว่า ภายหลังจากการประกาศมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา มากกว่าร้อยละ 90 ของภาคธุรกิจคาดว่าจะเผชิญกับภาวะหยุดชะงักในการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันร้อยละ 68 คาดว่าจะปรับใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเร็วยิ่งขึ้น และร้อยละ 60 มองว่าความยั่งยืนมีความสำคัญ โดยมีมาตรการภาษีของสหรัฐอเมริกาเป็นปัจจัยเร่งสำคัญ

นางวีระอนงค์ จิระนคร ภู่ตระกูล กรรมการผู้จัดการ Deputy CEO &  Wholesale Banking ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า “ผลสำรวจ UOB Business Outlook Study ประจำปี 2568 สะท้อนถึงความสามารถของภาคธุรกิจไทยในการปรับตัวต่อความท้าทายระดับโลก ด้วยการมองหาโอกาสใหม่ในระดับภูมิภาค การประยุกต์ใช้เครื่องมือดิจิทัล และการให้ความสำคัญกับความยั่งยืน ล้วนเป็นแนวทางที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตในภาคธุรกิจในระยะยาว อย่างมั่นคง ธนาคารยูโอบีพร้อมสนับสนุนภาคธุรกิจไทยอย่างเต็มที่ ด้วยโซลูชันทางการเงินที่ตอบโจทย์ ความเชี่ยวชาญในตลาดภายในประเทศ และเครือข่ายที่แข็งแกร่งในภูมิภาคอาเซียน”

ภาษีสหรัฐฯ ฉุดความเชื่อมั่น จุดประกายธุรกิจเร่งปรับตัว

ผลสำรวจพบว่า ความเชื่อมั่นทางธุรกิจปรับตัวลดลงจากร้อยละ 58 ในปี 2024 เหลือร้อยละ 52 ภายหลังการประกาศมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกาเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กแสดงความกังวลมากที่สุด ปัจจัยหลักที่สร้างแรงกดดันคือ ต้นทุนการดำเนินงานและเงินเฟ้อ โดยร้อยละ 60 ของผู้ตอบแบบสอบถาม คาดว่าต้นทุนจะเพิ่มขึ้น และร้อยละ 57 คาดว่าเงินเฟ้อจะปรับตัวสูงขึ้น ทั้งนี้ กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คืออสังหาริมทรัพย์และธุรกิจการให้บริการ

ภาคธุรกิจไทยได้ริเริ่มมาตรการสำคัญเพื่อรับมือสถานการณ์ ดังนี้

  • ลดต้นทุน: ธุรกิจ 3 ใน 5 โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลาง (ร้อยละ 67) ได้ดำเนินการมาตรการลดต้นทุน
  • เพิ่มรายได้: ธุรกิจจำนวนมากมุ่งขยายฐานลูกค้าใหม่และแสวงหาความร่วมมือเชิงกลยุทธ์
  • ต้องการการสนับสนุน: ธุรกิจให้ความสำคัญกับความช่วยหลือทางการเงิน (ร้อยละ 92) การสนับสนุนด้านการค้าและห่วงโซ่อุปทาน (ร้อยละ 65) และการให้คำปรึกษาหรือฝึกอบรม (ร้อยละ 50) เพื่อสร้างเสริมความสามารถในการปรับตัว

 

ความกดดันในห่วงโซ่อุปทานผลักดันให้ธุรกิจไทยมุ่งเน้นตลาดภูมิภาค

ร้อยละ 90 ของธุรกิจไทยมุ่งเน้นการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน ทว่ามาตรการภาษีของสหรัฐอเมริกากลับส่งผลให้ภาวะหยุดชะงักในห่วงโซ่อุปทานทวีความรุนแรงขึ้น ร้อยละ 80 ของธุรกิจคาดว่าจะเผชิญความท้าทายเพิ่มเติมจากภาวะเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยสูง แนวทางสำคัญที่ธุรกิจจะใช้ในการรับมือ ได้แก่

  • การวิเคราะห์ข้อมูล: ธุรกิจ 4 ใน 10 ราย นำการวิเคราะห์ข้อมูลมาใช้เพื่อการตัดสินใจที่รวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งกลายเป็นกลยุทธ์ด้านการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปี 2024 แซงหน้ากลยุทธ์การกระจายความเสี่ยง
  • การค้าภายในภูมิภาคอาเซียน: ธุรกิจเปลี่ยนไปใช้ทางเลือกในภูมิภาคมากขึ้น ส่งผลให้การค้าภายในภูมิภาคเติบโต
  • ความต้องการสนับสนุน: ธุรกิจมองหามาตรการจูงใจทางภาษี การเข้าถึงเทคโนโลยี และการฝึกอบรมแรงงาน

 

การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัลเร่งเสริมความสามารถในการปรับตัว

การปรับใช้เทคโนโลยีดิจิทัลกลายเป็นกลยุทธ์หลักของธุรกิจ โดยเกือบร้อยละ 40 ของธุรกิจได้นำเครื่องมือดิจิทัลมาผสานรวมอย่างเต็มรูปแบบ และร้อยละ 68 คาดว่าจะเร่งกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลหลังการประกาศมาตรการภาษีของสหรัฐฯ โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจขนาดกลาง ทั้งนี้ ธุรกิจไทยมองว่าจะก่อให้เกิดประโยชน์หลายประการ อาทิ การสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น การขยายการเข้าถึงลูกค้า และการเข้าสู่ตลาดที่รวดเร็วขึ้น อย่างไรก็ดี ความกังวลเรื่องความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ ต้นทุน และความเสี่ยงจากการละเมิดข้อมูล ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญที่ต้องเผชิญ และกระตุ้นความต้องการด้านการฝึกอบรมและการวิเคราะห์ข้อมูลเฉพาะอุตสาหกรรม

ธุรกิจไทยเร่งเดินหน้าสู่ความยั่งยืน แม้ต้องเผชิญความท้าทาย

แม้ว่ามากกว่าร้อยละ 90 ของธุรกิจจะตระหนักถึงความสำคัญของความยั่งยืน แต่มีเพียงร้อยละ 53 เท่านั้นที่ได้นำแนวทางปฏิบัติไปใช้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มธุรกิจขนาดกลาง อย่างไรก็ตาม หลังการประกาศมาตรการภาษีของสหรัฐฯ มากกว่าร้อยละ 60 คาดว่าจะเร่งดำเนินมาตรการเพื่อความยั่งยืน อุปสรรคสำคัญ ได้แก่ การขาดแคลนโครงสร้างพื้นฐาน ต้นทุนที่สูง และพฤติกรรมผู้บริโภคที่ยังไม่พร้อมจ่ายราคาพรีเมียมสำหรับสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ มากกว่าร้อยละ 30 อยู่ระหว่างการพิจารณานำพลังงานหมุนเวียนมาใช้ พร้อมทั้งแสวงหาข้อมูลและคำปรึกษาเพื่อพัฒนาแนวทางดังกล่าว

 

ธุรกิจไทยเร่งขยายสู่ต่างประเทศ โดยเน้นภูมิภาคอาเซียนเป็นหลัก

ธุรกิจไทยเกือบร้อยละ 90 มีแผนขยายตลาดสู่ต่างประเทศ โดยมากกว่าร้อยละ 50 คาดว่าจะเร่งดำเนินการหลังมาตรการเก็บภาษีของสหรัฐฯ ประเทศเป้าหมายหลัก ได้แก่ มาเลเซีย สิงคโปร์ และเวียดนาม รองลงมาคือจีนและภูมิภาคเอเชียเหนือ ทั้งนี้ แรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากการเติบโตของรายได้และกำไร แม้ยังเผชิญความท้าทายด้านจำนวนลูกค้าและความเข้าใจตลาดที่จำกัดในแต่ละประเทศก็ตาม ภาคธุรกิจจึงต้องการข้อมูลเชิงลึก การสนับสนุนทางการเงิน และการสร้างเครือข่ายพันธมิตรเพื่อขยายตลาดข้ามพรมแดน

แรงงานยังคงเป็นปัญหาหลักที่ธุรกิจต้องเผชิญ

ครึ่งหนึ่งของธุรกิจไทยยังคงเผชิญปัญหาด้านแรงงาน โดยเฉพาะเรื่องค่าตอบแทนและความยืดหยุ่นในการทำงาน ซึ่งทวีความรุนแรงขึ้นจากการเข้ามาของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้และความคาดหวังของบุคลากรรุ่นใหม่ ผลการสำรวจยังชี้ว่า ธุรกิจเกือบร้อยละ 40 จึงประสบปัญหาในการรักษาบุคลากรที่มีความสามารถ แนวทางรับมือกับปัญหานี้ ได้แก่ การเพิ่มค่าตอบแทน การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัล การปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน และการสลับบทบาทหน้าที่ภายในองค์กร

อ่านรายงานฉบับสมบูรณ์ได้ที่ https://www.uobgroup.com/asean-insights/articles/uob-business-outlook-study-2025-thailand.page

ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย มุ่งสร้างอนาคตที่ยั่งยืนด้วยการสนับสนุนด้านการศึกษาอย่างต่อเนื่อง ได้ร่วมกับพนักงานระดมทุนช่วยเหลือเด็กในพื้นที่ห่างไกลให้สามารถเข้าถึงโอกาสการเรียนรู้และโลกดิจิทัลเพื่ออนาคตที่ดีขึ้น โดยจากความร่วมแรงรวมใจครั้งนี้ ระดมทุนได้ 2,322,342 บาท ซึ่งจะนำไปสนับสนุนโครงการด้านการศึกษา 3 โครงการ ที่เน้นด้านการพัฒนาการรู้หนังสือ การพัฒนาครูสร้างชุมชน และการจัดการเรียนการสอนผ่านสื่อดิจิทัล

เงินทุนดังกล่าวจะนำไปสนับสนุน 3 โครงการ ได้แก่

  • โครงการส่งเสริมและพัฒนาการพูด อ่าน เขียนภาษาไทย โดยสภากาชาดไทย ซึ่งนำไปพัฒนาทักษะการอ่านและเขียนภาษาไทยให้ดียิ่งขึ้น
  • โครงการครูสร้างชุมชน โดยมูลนิธิ ซี.ซี.เอฟ. เพื่อเด็กและเยาวชน ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี เพื่อสนับสนุนทุนการศึกษาพัฒนาเด็กรุ่นใหม่ที่มีใจรักความเป็นครูและกลับไปเพิ่มโอกาสให้นักเรียนในชุมชนของตัวเอง เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในพื้นที่ห่างไกล
  • โครงการห้องเรียนรู้ดิจิทัล UOB My Digital Space ดำเนินงานโดยโครงการร้อยพลังการศึกษา มูลนิธิยุวพัฒน์ เพื่อสนับสนุนให้นักเรียนได้เข้าถึงสื่อการเรียนรู้ดิจิทัล เสริมทักษะวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษอังกฤษ และวิชาทักษะชีวิตอื่นๆ ที่จำเป็นในอนาคต

นายริชาร์ด มาโลนี่ย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า “การศึกษาเป็นหนึ่งเป็นเครื่องมืออันทรงพลังที่จะช่วยยกระดับและสร้างอนาคตที่ดีขึ้นได้ เราเชื่อว่าการสนับสนุนของเราจะช่วยลดช่องว่างทางการศึกษา และช่วยให้เยาวชนได้ตามความฝันของตัวเองได้ พวกเราภูมิใจที่ได้ร่วมแรงร่วมใจสนับสนุนสังคมในครั้งนี้ เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนต่อชีวิตของเด็กไทยต่อไป”

โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของยูโอบี ฮาร์ทบีท  (UOB Heartbeat) โครงการความรับผิดชอบต่อสังคมของธนาคารยูโอบี ซึ่งสอดคล้องกับความมุ่งมั่นของธนาคารในการสนับสนุนด้านศิลปะ เด็ก และการศึกษา เพื่อสร้างอนาคตให้กับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งสอดคล้องกับความมุ่งมั่นของธนาคารยูโอบีในการสนับสนุนนักเรียนที่ขาดโอกาส 20,000 คนทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้สามารถเข้าถึงเครื่องมือและทักษะการเรียนรู้ดิจิทัลภายในปีนี้ อันเป็นส่วนหนึ่งของการฉลองครบรอบ 90 ปีของธนาคารยูโอบี ที่มุ่งสนับสนุนเงินทุน 30 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ สำหรับโครงการด้านการศึกษา เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของเด็กที่ขาดโอกาสกว่า 120,000 คนทั่วภูมิภาค

ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ร่วมกับลาซาด้า จัดสัมมนา “Future Trends in E-commerce: Driving Growth with AI on E-commerce” รวมพลังผู้ประกอบการ ผู้ให้บริการดิจิทัลโซลูชันสำหรับธุรกิจ และผู้เชี่ยวชาญด้านอีคอมเมิร์ซ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับแนวโน้มตลาดอีคอมเมิร์ซและบทบาทของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการขับเคลื่อนธุรกิจสู่อนาคต

นางสยุมรัตน์ มาระเนตร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจเอสเอ็มอี ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า “เราตระหนักดีว่าเทคโนโลยี โดยเฉพาะความก้าวหน้าทางด้าน AI จะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจอีคอมเมิร์ซในปัจจุบัน การร่วมมือกับลาซาด้าในครั้งนี้จึงเป็นการเชื่อมต่อนวัตกรรมด้านอีคอมเมิร์ซกับโซลูชันทางการเงินของธนาคาร เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้เติบโตและแข่งขันได้อย่างทันท่วงที”

ไฮไลต์สำคัญของงานคือ การแบ่งปันความรู้ด้านกลยุทธ์การใช้ AI ในการทำตลาดดิจิทัล เจาะลึกเทรนด์การค้าบนโลกออนไลน์ และเทคนิคการเพิ่มยอดขายบนแพลตฟอร์มลาซาด้า โดยในงานนี้ ทางลาซาด้า ได้แนะนำฟีเจอร์ใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ซึ่งออกแบบมาเพื่อช่วยผู้ขายเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการขาย ปรับปรุงการให้บริการลูกค้าแบบเฉพาะบุคคล และสร้างรายได้เพิ่มขึ้น

ผู้เข้าร่วมงานยังได้รับความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ทางการเงินและเครื่องมือดิจิทัลที่ช่วยสนับสนุนการดำเนินธุรกิจของเอสเอ็มอี อย่างมีประสิทธิภาพ จากพันธมิตรของ UOB BizSmart บริการดิจิทัลโซลูชันที่ช่วยเอสเอ็มอีบริหารจัดการธุรกิจ ได้แก่ PEAK โซลูชันระบบจัดการบัญชี และ ZORT ระบบจัดการคำสั่งซื้อและสต็อกสินค้า

นอกจากนี้ ยังมีการแชร์เคล็ดลับความสำเร็จจากแบรนด์ไทยชั้นนำอย่าง AIMER แบรนด์เสื้อผ้าแฟชั่น และ INGU Skin แบรนด์สกินแคร์ที่โดดเด่นด้วยสารสกัดจากธรรมชาติคุณภาพสูง ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจแก่ผู้ประกอบการในการสร้างธุรกิจให้เติบโตในโลกออนไลน์

งานสัมมนาครั้งนี้ตอกย้ำพันธกิจของธนาคารยูโอบี และลาซาด้า ในการส่งเสริมผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยให้มีความรู้ เครื่องมือ และโซลูชันทางการเงินที่จำเป็นต่อการเติบโตบนช่องทางอีคอมเมิร์ซ และสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจในระยะยาว

Page 1 of 17
X

Right Click

No right click