December 05, 2025

เคทีซีเดินหน้าสร้างโอกาสทางการเงินให้กับคนไม่ท้อ ผนึกความร่วมมือกับไปรษณีย์ไทยเปิดโครงการนำร่อง ขยายช่องทางให้คนไทยเข้าถึงแหล่งสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” ได้สะดวก รวดเร็ว ครบจบ ณ ที่ทำการไปรษณีย์ไทย 45 แห่ง ในพื้นที่ 5 จังหวัด ผ่านเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ เพียงลูกค้าเตรียมเอกสารสมัครให้พร้อม อนุมัติไวภายใน 1 ชั่วโมง รับเงินทันที วงเงินใหญ่สูงสุด 1 ล้านบาท ไม่ต้องมีคนค้ำประกัน

 

นางสาวเรือนแก้ว เกษมสวัสดิ์ศรี ผู้บริหารสูงสุด สายงานสินเชื่อรถยนต์ “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในปี 2568 นี้ สภาพเศรษฐกิจโดยรวมยังมีการชะลอตัวต่อเนื่องจากปีก่อนหน้า ซึ่งอาจส่งผลให้การปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินต่างๆ ต้องพิจารณาจากหลายปัจจัย อย่างไรก็ดี พอร์ตสินเชื่อธุรกิจ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” ในปีที่ผ่านมาถึงปัจจุบันยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ด้วยการใช้กลยุทธ์ที่เน้นการเติบโตในเชิงคุณภาพตั้งแต่การคัดกรองสมาชิกเข้าพอร์ต และการบริหารจัดการพอร์ตลูกหนี้ตลอดวงจรของการเป็นสมาชิกกับเคทีซี สำหรับกลยุทธ์การทำธุรกิจ "เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน" ในปี 2568 นี้ ตั้งเป้าหมายยอดสินเชื่อใหม่ที่ 3,000 ล้านบาท โดยมุ่งขยายพอร์ตสินเชื่อผ่านช่องทางธุรกิจต่างๆ เพื่อรุกเข้าถึงพนักงานประจำและเจ้าของกิจการขนาดเล็กที่มีรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ และต้องการเงินทุนเพื่อต่อยอดธุรกิจ ทำอาชีพเสริมและเพิ่มสภาพคล่อง ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่าย สะดวกและปลอดภัยด้วยระบบการรักษาข้อมูลลูกค้าที่ได้มาตรฐานการจัดการความปลอดภัยของข้อมูล ISO/IEC 27001: 2013 และมาตรฐานการจัดการข้อมูลส่วนบุคคล ISO/IEC 27701: 201 โดยลูกค้าเคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงินจะได้รับวงเงินใหญ่สูงสุด 100% ของราคาประเมิน อนุมัติไวภายใน 1 ชั่วโมง รับเงินทันที โดยไม่ต้องมีคนค้ำประกัน”

"การร่วมมือกับไปรษณีย์ไทยในครั้งนี้ เป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญในการเข้าหากลุ่มลูกค้าเป้าหมาย เพราะไปรษณีย์ไทยมีเครือข่ายที่ครอบคลุม และเป็นสถานที่ที่ประชาชนคุ้นเคยและใช้บริการอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ บริการรับสมัครสินเชื่อ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” ณ จุดบริการในที่ทำการไปรษณีย์ไทย ถูกออกแบบมาให้ง่าย เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าที่เข้ารับบริการที่ไปรษณีย์ไทย ที่มีความต้องการเงินทุนเพื่อนำไปลงทุนต่อยอดธุรกิจ โดยสามารถเข้ารับคำปรึกษาเกี่ยวกับสินเชื่อรถแลกเงินได้จากเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ที่ผ่านการอบรม ซึ่งสามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์สินเชื่อ รวมไปถึงทำรายการรับสมัครสินเชื่อเคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน ให้กับผู้มาใช้บริการได้ทันที โดยในช่วงแรก จะเริ่มให้บริการที่จุดบริการไปรษณีย์ไทย 45 แห่ง”

 

ดร.วราภรณ์ ข้องเกี่ยวพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานกลยุทธ์และขับเคลื่อนองค์กร บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กล่าวว่า “ไปรษณีย์ไทยทำงานร่วมกับเคทีซีมาอย่างต่อเนื่อง โดยพี่ไปรฯ หรือบุรุษไปรษณีย์ทำหน้าที่ส่งจดหมายใบแจ้งหนี้ บริการจัดเก็บเอกสารชุดสัญญา และบริการพิสูจน์ยืนยันตัวตน (e-KYC) วันนี้ไปรษณีย์ไทยและเคทีซีได้พัฒนาความร่วมมือทางธุรกิจใหม่ร่วมกัน ในการแนะนำลูกค้าที่ประสงค์จะใช้บริการสินเชื่อทะเบียนรถยนต์ ภายใต้ผลิตภัณฑ์ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” ในรูปแบบการสรรหากลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่เป็นเจ้าของรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ และถือกรรมสิทธิ์ในเล่มทะเบียนรถ โดยมี 2 รูปแบบการให้บริการ คือ 1. ลูกค้าสนใจสมัครสินเชื่อและฝากข้อมูลที่ช่องทางของไปรษณีย์ไทยและทางเคทีซีติดต่อกลับเพื่อให้บริการรับสมัครสินเชื่อ และ 2. ให้บริการรับสมัครและอนุมัติสินเชื่อโดยเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ไทยแบบเรียลไทม์”

“ไปรษณีย์ไทย เป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจด้านสื่อสารและขนส่งหลักของชาติ ซึ่งมีเครือข่ายที่ทำการไปรษณีย์ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ จึงเป็นช่องทางสำคัญในการเข้าถึงประชาชนที่มีความสนใจในการสมัครสินเชื่อฯ ที่ยังไม่เคยเข้าถึงบริการทางการเงิน (Underserved) และกลุ่มที่อาจไม่ได้รับการดูแลทางการเงินอย่างเพียงพอ (Unserved) และด้วยศักยภาพของพนักงานไปรษณีย์ที่สามารถเรียนรู้และพัฒนาเพื่อยกระดับทักษะใหม่ๆ รวมทั้งไปรษณีย์ไทยยังเล็งเห็นถึงความสำคัญในการสนับสนุนให้ผู้ใช้บริการไปรษณีย์ได้ต่อยอดธุรกิจและการใช้ชีวิต จากการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบที่น่าเชื่อถือ ไปรษณีย์ไทยจึงได้ร่วมกับ เคทีซีเปิดช่องทางให้พนักงานไปรษณีย์ไทยสามารถแนะนำผลิตภัณฑ์สินเชื่อ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” ให้กับประชาชนที่สนใจ”

“การนำร่องความร่วมมือกับเคทีซี จะดำเนินการในลักษณะการแนะนำผลิตภัณฑ์ และการให้บริการรับสมัครสินเชื่อจนลูกค้าได้รับอนุมัติและเงินโอนเข้าบัญชี โดยการปรับใช้ศักยภาพของเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ ที่ผ่านการอบรมจากเคทีซี (Employee Program) เพื่อทำความเข้าใจในกระบวนการและเงื่อนไขในการขอสินเชื่อฯ เพื่อให้ผู้ขอสินเชื่อฯ เลือกวงเงินสินเชื่อให้เหมาะสมตรงตามความต้องการ และได้รับอนุมัติสินเชื่อตามที่ยื่นขอ ซึ่งจะเป็นการพัฒนาทักษะและส่งเสริมให้พนักงานไปรษณีย์สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในพื้นที่จังหวัดนำร่องต่างๆ โดยนอกจากการสมัครสินเชื่อ ณ ที่ทำการไปรษณีย์ไทย 45 แห่ง นำร่องใน 5 จังหวัด ได้แก่ นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร และนครปฐม แล้ว ยังสามารถสมัครออนไลน์ผ่านเว็บไซต์และ โซเชียล มีเดียของไปรษณีย์ไทย หรือผ่านแอปพลิเคชัน Wallet@Post ได้อีกด้วย ทั้งนี้ หากผลการตอบรับจากประชาชนผู้ใช้บริการเป็นไปในทิศทางที่ดี อาจมีการขยายพื้นที่ไปยังจังหวัดอื่นๆ ที่มีความต้องการเข้าถึงบริการทางด้านสินเชื่อต่อไป”

 

นางสาวเรือนแก้วกล่าวเพิ่มเติมว่า "ในอนาคต “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” ยังมีแผนจะขยายเครือข่ายพันธมิตรเพื่อเพิ่มช่องทางเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายให้ครอบคลุมมากขึ้น เช่นเดียวกับที่ได้ผสานความร่วมมือกับไปรษณีย์ไทยในวันนี้ รวมถึงพัฒนาสิทธิประโยชน์ต่างๆ สำหรับสมาชิกสินเชื่อ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” เพื่อให้สามารถใช้บริการได้อย่างคุ้มค่ามากขึ้น โดยทั้งหมดนี้เป็นไปตามเป้าหมายของเคทีซีในการทำให้การเข้าถึงแหล่งเงินทุนเป็นเรื่องง่าย สะดวกรวดเร็ว เพื่อเป็นทางเลือกให้กับคนไม่ท้อได้ต่อยอดความสำเร็จและสร้างรายได้จากการทำธุรกิจต่อไป"

นอกจากนี้ ผู้ประสงค์จะสมัครสมาชิกสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ รถจักรยานยนต์และบิ๊กไบค์ ยัง สามารถสมัครผ่านเว็บไซต์ www.ktc.co.th/loan/ktc-p-berm หรือติดต่อโทร. 02 123 5300 ธนาคารกรุงไทยทุกสาขา หรือผู้แนะนำผลิตภัณฑ์เคทีซีทั่วประเทศ

หมายเหตุ กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว อัตราดอกเบี้ย 21% - 24% ต่อปี

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) กระทรวงอุตสาหกรรม ผนึกกำลัง บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ผ่าน DIPROM CONNECTION ร่วมผลักดันบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) “การพัฒนาศักยภาพและสร้างโอกาส

ทางการตลาดเพื่อยกระดับขีดความสามารถวิสาหกิจไทยอย่างยั่งยืน” เพื่อเสริมแกร่งชุมชน-วิสาหกิจไทย ยกระดับสินค้าและบริการให้มีคุณภาพ สนับสนุนสิทธิประโยชน์ส่วนลดพิเศษในการขนและขายสินค้าชุมชนไทยผ่านระบบออนไลน์ และออฟไลน์ ณ ที่ทำไปรษณีย์ไทยและเครือข่ายพันธมิตรทั่วประเทศกว่า 50,000 แห่ง นอกจากนี้ ยังมีการสนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียนลดขยะในสถานประกอบการ หวังยกระดับขีดความสามารถวิสาหกิจไทยอย่างยั่งยืน คาดว่าจะสามารถสร้างโอกาสทางการตลาดผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ ได้กว่า 200 ล้านบาท

นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า รัฐบาลเร่งยกระดับการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมเพื่อให้มีศักยภาพในการแข่งขัน เตรียมความพร้อมรับมือกับรูปแบบเศรษฐกิจแห่งอนาคต ดังนั้น เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมเดินหน้าได้อย่างเต็มความสามารถจึงจำเป็นต้องยกระดับเศรษฐกิจฐานราก เพื่อให้สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน ลดความเหลื่อมล้ำ และเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้จากต้นทุนที่มีในท้องที่ต่าง ๆ ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม ได้มอบหมายให้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม ขับเคลื่อนการเสริมศักยภาพและพัฒนาชุมชน วิสาหกิจชุมชน โดยความร่วมมือกับบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่จะมาช่วยเพิ่มศักยภาพในด้านโลจิสติกส์ และการจัดจำหน่ายได้มากขึ้น

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เปิดเผยว่า หนึ่งในภารกิจที่สำคัญของกระทรวงฯ คือการส่งเสริมให้ภาครัฐ-เอกชน และทุกภาคส่วนเข้าถึงระบบต่าง ๆ ที่เป็นดิจิทัลซึ่งจะนำไปสู่เป้าหมาย Digital Economy โมเดลที่จะขับเคลื่อนประเทศไทยให้เติบโตอย่างรวดเร็ว และเป็นกลไกเพิ่มผลิตภาพทั้งในภาคการผลิต การค้า การบริการ รวมถึงโอกาสใหม่ ๆ ที่จำเป็นสำหรับการแข่งขัน อย่างไรก็ตามความร่วมมือระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และกระทรวงอุตสาหกรรมในครั้งนี้ ถือเป็นอีกกลไกที่สำคัญที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพให้กับผู้ประกอบการในทุกระดับ โดยเฉพาะกลุ่มวิสาหกิจชุมชน วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมให้เข้าถึงและใช้ประโยชน์โซลูชันทางดิจิทัลได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยได้มอบหมายให้บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ดึงทรัพยากรต่าง ๆ ที่มีความโดดเด่น ตั้งแต่ในด้านการขนส่ง ที่มีทั้งความรวดเร็ว แม่นยำ ปลอดภัย เครือข่ายที่ทำการไปรษณีย์ - บุรุษไปรษณีย์ที่ครอบคลุม ระบบคลังสินค้า และช่องทางจำหน่ายสินค้าทั้งออฟไลน์ ออนไลน์ขยายโอกาสและรองรับความต้องการต่าง ๆ ให้กับผู้ประกอบการพร้อมผลักดันให้ใช้ประโยชน์จากไปรษณีย์ไทยเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจ และเสริมความเป็น Digital SMEs ให้มากขึ้น

นายภาสกร ชัยรัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม มีทิศทางการทำงานที่สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของโลก ตามนโยบาย “RESHAPE THE FUTURE : โลกเปลี่ยน อุตสาหกรรมปรับ พร้อมรับอนาคต” ภายใต้แนวคิด “ชุมชนเปลี่ยน” ผ่านการบูรณาการเครือข่ายความร่วมมือ (DIPROM CONNECTION) กับบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เพื่อพัฒนาศักยภาพและสร้างโอกาสทางการตลาดในการยกระดับขีดความสามารถวิสาหกิจไทยให้มีความยั่งยืน ผ่านการเสริมสร้างองค์ความรู้ในด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ กระบวนการผลิต มาตรฐาน และออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้ทันสมัยสอดรับกับเทรนด์โลก รวมถึงมีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในการจัดเก็บสินค้า และระบบคลังสินค้า ตลอดจนได้มอบสิทธิประโยชน์อัตราพิเศษในการขนส่งสินค้าจากผู้ผลิตไปยังผู้รับปลายทางอย่างมีคุณภาพ พร้อมขยายช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์บนเว็บไซต์ ThailandpostMart และออฟไลน์ ณ ที่ทำการไปรษณีย์และเครือข่ายพันธมิตรกว่า 50,000 แห่งทั่วประเทศ นอกจากนี้ ยังมีการส่งเสริมความร่วมมือในการบริหารจัดการวัสดุเหลือใช้ อาทิ กล่อง ซอง ขวดน้ำ ถุงพลาสติก และขยะอิเล็กทรอนิกส์ โดยได้เตรียมจุดรับวัสดุเหลือใช้เหล่านี้ให้แก่สถานประกอบการ ภายใต้โครงการ Green Hub เพื่อลดขยะในสถานประกอบการ สนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียนตามหลักการ Circular Economy และขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้สามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ ความร่วมมือที่เกิดขึ้นระหว่างสองหน่วยงานจะช่วยสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน และส่งเสริมการเติบโตของผู้ประกอบการ SMEs และวิสาหกิจชุมชนได้อย่างยั่งยืน ซึ่งคาดว่าจะสามารถสร้างโอกาสทางการตลาดผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ ได้กว่า 200 ล้านบาท

ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กล่าวว่า ไปรษณีย์ไทย ในฐานะหน่วยงานสื่อสารและขนส่งของชาติพร้อมสนับสนุนการเติบโตของผู้ประกอบการไทยในการช่วยขน และช่วยขายสินค้าผ่านเครือข่ายไปรษณีย์  พร้อมทั้งมีบริการอำนวยความสะดวกในการจัดการด้านโลจิสติกส์และคลังสินค้าช่วย “เก็บ แพ็ค ส่ง” รองรับการขยายตัวของธุรกิจ e-Commerce ในส่วนของลูกค้ากลุ่มธุรกิจ B2B และ B2C ที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการสามารถจัดการธุรกิจได้อย่างมืออาชีพ นอกจากนี้ไปรษณีย์ไทยยังพร้อมช่วยผลักดันสินค้าเหล่านี้ให้ถึงมือผู้บริโภคทั่วประเทศผ่านเครือข่ายไปรษณีย์กว่า 50,000 แห่งครอบคลุมทั่วประเทศ เว็บไซต์ ThailandPostMart ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม e-Marketplace ของไปรษณีย์ไทยที่รวบรวมสินค้าตัวท็อปทั่วไทยกว่า 20,000 รายการ จากผู้ประกอบการกว่า 6,000 ราย และยังมีช่องทางจำหน่ายสินค้าออฟไลน์ผ่านร้านค้า ThailandPostMart 17 สาขาในพื้นที่เศรษฐกิจ ได้แก่ ไปรษณีย์กลาง เคาน์เตอร์ไปรษณีย์สาขา MBK ไปรษณีย์จังหวัดอุดรธานี อุบลราชธานี นครราชสีมา บุรีรัมย์ ขอนแก่น หนองคาย เชียงใหม่ พิษณุโลก ราชบุรี กระบี่ ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี สงขลา ปัตตานี  และไปรษณีย์จอมสุรางค์ ซึ่งในปีที่ผ่านมาสามารถสร้างรายได้ถึงกว่า 200 ล้านบาท อีกทั้งไปรษณีย์ไทยยังมีแผนในการให้บริการขนส่งสินค้าเข้าคลัง Amazon เพื่อขยายโอกาส ขยายช่องทางให้กับผู้ประกอบไทย ได้ส่งสินค้าไปขายยังต่างประเทศได้อีกด้วย

LINE SHOPPING ผู้นำแพลตฟอร์ม Social Commerce อันดับหนึ่งของเมืองไทย

 

บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด  ร่วมกับ ทรู ดิจิทัล พาร์ค จำกัด เชิญชวนคนรุ่นใหม่มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนนวัตกรรม เสริมสร้างศักยภาพและผลักดันประสิทธิภาพแวดวงธุรกิจขนส่ง ในการแข่งขันการทำธุรกิจสู่โลกอนาคต และการให้บริการแก่ประชาชนที่เหนือกว่า ภายใต้โจทย์ “เราจะส่งมอบคุณค่าที่เหนือกว่าความต้องการ และความคาดหวังของลูกค้าได้อย่างไร?” (HOW MIGHT WE GO ABOVE AND BEYOND CUSTOMERS’ EXPECTATION) พร้อมรับเงินทุนสนับสนุนและเงินรางวัลมูลค่ารวมกว่า 400,000 บาท และสิทธิ์ประโยชน์เพื่อต่อยอดแนวคิดทางธุรกิจอีกมากมาย

ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด  กล่าวว่า “บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด และ บริษัท ทรู ดิจิทัล พาร์ค จำกัด  มีความตั้งใจที่จะจัดโครงการนี้ขึ้นมาเพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรม เสริมสร้างศักยภาพ และผลักดันประสิทธิภาพแวดวงธุรกิจขนส่ง ในการแข่งขันการทำธุรกิจสู่โลกอนาคต และการให้บริการแก่ประชาชนที่เหนือกว่า ภายใต้โจทย์ “เราจะส่งมอบคุณค่าที่เหนือกว่าความต้องการ และความคาดหวังของลูกค้าได้อย่างไร?” (HOW MIGHT WE GO ABOVE AND BEYOND CUSTOMERS’ EXPECTATION) ซึ่งเราได้เล็งเห็นถึงสถานการณ์โลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและการแข่งขันของธุรกิจโลจิสติกส์อย่างเข้มข้น บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด  จึงอยากเชิญชวนคนรุ่นใหม่ มาร่วมระดมสมอง เพื่อร่วมต่อยอดความคิด ยกระดับ และร่วมเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนา “ธุรกิจขนส่ง” ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากการมีบทบาทสำคัญในการส่งสินค้าให้ถึงที่หมาย กับโครงการนำร่องเพื่อตอบสนองความต้องการและความคาดหวังของผู้บริโภค โดยใช้ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมที่สามารถนำไปต่อยอดการพัฒนาธุรกิจใหม่ (New S-Curve) โดยเราเปิดรับทุกไอเดีย ไม่ว่าจะเป็นนวัตกรรมด้านกระบวนการทำงาน หรือนวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์และบริการ โดยไอเดียของทีมที่เข้าร่วมโครงการจะเป็นจุดเริ่มต้นสู่การบ่มเพาะและต่อยอดเป็นธุรกิจใหม่ในโลกอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด อีกทั้งยังเป็นการช่วยสร้างประสบการณ์และส่งเสริมศักยภาพของผู้ที่เข้าร่วมโครงการให้แข็งแกร่งในสนามประลองฝีมือ Business Ideas Challenge กับเหล่าสตาร์ทอัพชั้นนำระดับประเทศ และนอกจากนี้โครงการดังกล่าวเป็นโครงการที่สอดรับกับทิศทางหรือเป้าหมายของการทำนวัตกรรมของบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด  คือ “มุ่งสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ยกระดับการดำเนินงานและการให้บริการอย่างก้าวกระโดด ให้กับ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด  ควบคู่กับการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับสังคมและเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน” โดยเราได้ดำเนินงานด้านนวัตกรรมตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบัน โดยในปีนี้ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด มีนโยบายการบริหารจัดการนวัตกรรมโดยมุ่งเน้นไปยังการใช้ Digital Technology เป็นพื้นฐานและเพื่อตอบสนองยุทธศาสตร์ชาติของภาครัฐ ภายใต้นโยบาย Digital Economy ที่จะยกระดับและขับเคลื่อนเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล บนแผนแม่บทการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ตามยุทธศาสตร์ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และยุทธศาสตร์ของบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด อีกด้วย”   

โครงการบ่มเพาะนวัตกรรมสู่ความเป็นเลิศ (Thailand Post: Journey to Startup Sandbox 2022) เป็นหนึ่งในแผนงานภายใต้แผนส่งเสริมและขับเคลื่อนการวิจัย พัฒนาและนวัตกรรม ประจำปี 2565 ของ  บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด  ซึ่งมีแนวทางการดำเนินงานแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่  

ระยะที่ 1. Leadership Program: Problem Statement defined workshop เป็นการจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการให้แก่คณะกรรมการ ปณท และผู้บริหารระดับสูง เพื่อให้ได้โจทย์ในการทำนวัตกรรมในปีนี้

ระยะที่ 2. Intensive Innovation Challenge Program เป็นการจัดกิจกรรมแข่งขันนวัตกรรมภายในองค์กร

ระยะที่ 3. Startup Sandbox Program เป็นการจัดกิจกรรมบ่มเพาะสตาร์ทอัพ

อนึ่งโครงการบ่มเพาะนวัตกรรมสู่ความเป็นเลิศ (Thailand Post: Journey to Startup Sandbox 2022)    ภายใต้โจทย์ “เราจะส่งมอบคุณค่าที่เหนือกว่าความต้องการและความคาดหวังของลูกค้าได้อย่างไร?” (HOW MIGHT WE GO ABOVE AND BEYOND CUSTOMERS’ EXPECTATION)  ได้ดำเนินการมาถึงระยะที่ 3 ของแผนงานภายใต้แผนส่งเสริมและขับเคลื่อนการวิจัย พัฒนาและนวัตกรรม ประจำปี 2565 ของบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ภายใต้โครงการบ่มเพาะนวัตกรรมสู่ความเป็นเลิศ (Thailand Post: Journey to Startup Sandbox 2022) แล้ว โดยเป็นโครงการที่เปิดรับสมัครคนรุ่นใหม่มาร่วมแข่งขัน ประชันไอเดีย เพื่อโชว์วิสัยทัศน์และแนวคิดการทำธุรกิจ เพื่อยกระดับนวัตกรรมสู่ธุรกิจขนส่งแห่งอนาคต ในรูปแบบของ Business Ideas Challenge เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรม เสริมสร้างศักยภาพและผลักดันประสิทธิภาพของแวดวงธุรกิจขนส่ง ในการแข่งขันการทำธุรกิจสู่โลกอนาคต และการให้บริการแก่ประชาชนที่เหนือกว่า

โดยทีมที่ได้สิทธิ์ผ่านเข้ารอบ 3 ทีมสุดท้าย จะได้รับสิทธิ์เข้าร่วม Journey to Startup Sandbox เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 8 กรกฎาคม - 7 ตุลาคม 2565  พร้อมรับรางวัลเงินทุนสนับสนุนทีมละ 100,000 บาท เพื่อนำไปใช้ในการต่อยอดและพัฒนาธุรกิจ พร้อมทั้งได้รับสิทธิ์ในการใช้พื้นที่ Co-Working Space ที่ ทรู ดิจิทัล พาร์ค ที่ทำงานที่มีระบบนิเวศที่สมบูรณ์แบบสำหรับสตาร์ทอัพแห่งแรกในไทยที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บนพื้นฐานบรรยากาศการทำงานที่สอดรับกับไอเดียของคนรุ่นใหม่ที่เอื้อต่อการสร้างสรรค์นวัตกรรม เป็นระยะเวลา 3 เดือน มูลค่ากว่า 70,000 บาท อีกด้วย

ผู้ที่สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมหรือศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมของ “โครงการบ่มเพาะนวัตกรรมสู่ความเป็นเลิศ (Thailand Post: Journey to Startup Sandbox 2022) ภายใต้โจทย์ “เราจะส่งมอบคุณค่าที่เหนือกว่าความต้องการและความคาดหวังของลูกค้าได้อย่างไร?” (HOW MIGHT WE GO ABOVE AND BEYOND CUSTOMERS’ EXPECTATION) ผ่านช่องทางออนไลน์ได้ที่  https://forms.gle/fG4zw7qoYWweSEa7A หรือ Scan QR Code บนสื่อประชาสัมพันธ์ของโครงการฯ สามารถสมัครได้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 17 มิถุนายน 2565 

บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด หนุนเกษตรกรรายย่อยจากภาคอีสาน ผลักดันสินค้าเกษตรคุณภาพดีประจำจังหวัดกาฬสินธุ์

Page 1 of 4
X

Right Click

No right click