×

Warning

JUser: :_load: Unable to load user with ID: 6855

JUser: :_load: Unable to load user with ID: 7636

· แอ๊บบอตประกาศการเป็นพันธมิตรด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพและโภชนาการกับสโมสรฟุตบอลเรอัล มาดริด และเป็นพันธมิตรระดับโลกของมูลนิธิเรอัล มาดริด

· ความร่วมมือในครั้งนี้ยังรวมถึงการให้การสนับสนุนทีมผู้เล่นชุดใหญ่ของสโมสรทั้งชายและหญิง ทีมฟุตบอล

อะคาเดมี่ รวมถึงการดำเนินงานของมูลนิธิเรอัล มาดริด

· โดยทางมูลนิธิสนับสนุนการเรียนรู้ทักษะต่างๆ ด้านการกีฬาให้กับเด็กและเยาวชนกว่า 65,000 คนต่อปีจาก 80 ประเทศทั่วโลก อาทิเช่น การให้ความรู้ในด้านน้ำใจนักกีฬา การทำงานร่วมกันเป็นหมู่คณะ ความเคารพในเกมส์กีฬา ตลอดจนการดูแลด้านสุขภาพและโภชนาการ

· ความร่วมมือในครั้งนี้สอดคล้องกับความมุ่งมั่นของแอ๊บบอตในการแก้ไขปัญหาด้านภาวะทุพโภชนาการทั่วโลกในอีก 10 ปีข้างหน้านี้

 แอ๊บบอต พาร์ค สหรัฐอเมริกา และ มาดริด ประเทศสเปน, 28 ตุลาคม 2564 — แอ๊บบอต ประกาศความร่วมมือเป็นพันธมิตรด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพและโภชนาการกับสโมสรฟุตบอลชั้นนำอย่าง เรอัล มาดริด ภายใต้ข้อตกลงเป็นระยะเวลาสามปี ซึ่งรวมถึงการเป็นพันธมิตรระดับโลกร่วมกับมูลนิธิเรอัล มาดริด องค์กรที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อปลูกฝังการเรียนรู้ทักษะและคุณค่าต่างๆ ผ่านการกีฬาให้กับเด็กและเยาวชนทั่วโลก ความร่วมมือในครั้งนี้ยังครอบคลุมการสนับสนุนในหลากหลายด้าน ทั้งด้านการศึกษา การกีฬา ตลอดจนกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมสวัสดิการทางสังคมให้กับกลุ่มเด็กและเยาวชนที่มีความเสี่ยงใน 80 ประเทศทั่วโลก นอกจากนี้ ยังช่วยสนับสนุนด้านโภชนาการให้กับทีมผู้เล่นชุดใหญ่ของสโมสรทั้งชายและหญิง ทีมฟุตบอล อะคาเดมี่ รวมถึงนวัตกรรมและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อีกด้วย

เรอัล มาดริด คือหนึ่งในสโมสรฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จและเป็นที่ยอมรับมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และได้รับการสนับสนุนจากแฟนคลับกว่า 600 ล้านคนทั่วโลก โดยมูลนิธิเรอัล มาดริด ก่อตั้งขึ้นในปี 2540 เพื่อสนับสนุนการมีส่วนร่วมทางสังคมและวัฒนธรรมให้กับกลุ่มเด็กและเยาวชนที่มีความเสี่ยงในการเกิดภาวะทุพโภชนาการทั่วโลกผ่านกิจกรรมด้านการกีฬา รวมถึงปลูกฝังการเรียนรู้ทักษะและคุณค่าในด้านต่างๆ อาทิ การมีส่วนร่วมและการทำงานร่วมกันเป็นหมู่คณะ ความเคารพในเกมส์กีฬา ตลอดจนการดูแลรักษาสุขภาพให้สมดุลและแข็งแรง

 นายแดเนียล ซัลวาดอรี รองประธานฝ่ายบริหารธุรกิจโภชนาการของแอ๊บบอต กล่าวว่า “ฟุตบอลนับเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย โดยมีแฟนที่หลงใหลในการเล่นกีฬาชนิดนี้ พร้อมติดตามรับชมอยู่ทั่วโลก ขณะที่แอ๊บบอตและมูลนิธิเรอัล มาดริด มีเป้าหมายร่วมกันในการสนับสนุนด้านโภชนาการเพื่อให้เด็กและเยาวชนมีสุขภาพที่ดีและเติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพ ความร่วมมือกันในครั้งนี้ จะทำให้เราสามารถเข้าถึงเด็กและเยาวชนได้มากขึ้น เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชนกว่าหลายหมื่นคนทั่วโลก”

 มูลนิธิเรอัล มาดริด ได้มีการทำงานร่วมกับพันธมิตรในระดับท้องถิ่น เพื่อเฟ้นหาเยาวชนในพื้นที่เสี่ยง ซึ่งโดยส่วนใหญ่มักอยู่ในพื้นที่ชนบทที่ห่างไกล เพื่อเข้าร่วมโรงเรียนกีฬา ซึ่งประกอบไปด้วยกิจกรรมต่างๆ มากมาย อาทิ การรับประทานของว่างเพื่อสุขภาพ และการดูแลสุขภาพฟัน ไปจนถึงกิจกรรมหลังเลิกเรียนอย่าง การให้ความรู้ด้านสุขภาพ และการฝึกสอนด้านการกีฬา เป็นต้น แต่ละกิจกรรมจะมีการแทรกเสริมกิจกรรมทางสังคมและสิ่งแวดล้อมประจำท้องถิ่นเข้าไปด้วย เช่น การเยี่ยมชมสถานบริการสุขภาพ นอกจากนี้ เยาวชนเหล่านี้ยังจะได้รับการตรวจดัชนีชี้วัดด้านสุขภาพตั้งแต่ช่วงเริ่มโครงการ และยังได้รับการสนับสนุนด้านโภชนาการตลอดทั้งโครงการ ทั้งนี้ มูลนิธิเรอัล มาดริด จะมีการจัดกิจกรรมคลีนิกฟุตบอลยาวตลอดสัปดาห์สำหรับเยาวชนที่ต้องการพัฒนาทักษะด้านการกีฬาตามแบบแผนของสโมสรเรอัล มาดริด อีกด้วย

 นายเอมิลิโอ บูตราเกโญ ผู้อำนวยการฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์สำหรับเรอัล มาดริด กล่าวว่า “ด้วยแนวคิดการทำงานของมูลนิธิเรอัล มาดริด เราไม่ได้มุ่งหวังที่จะพัฒนานักฟุตบอลรุ่นใหม่ แต่เรามุ่งมั่นที่จะสร้างการเติบโตของวิศวกร นักวิทยาศาสตร์ หรือนักกฎหมายมากกว่า ด้วยการร่วมทีมกับแอ๊บบอต ผู้นำด้านโภชนาการระดับโลก ทำให้เราสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของเด็กๆและเยาวชนทั่วโลกให้มีสุขภาพที่แข็งแรงและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้”

 การให้ความสำคัญกับภาวะทุพโภชนาการ

ภาวะทุพโภชนาการสามารถเกิดขึ้นได้ถึง 1 ใน 3 ของผู้คนทุกวัย ไม่ว่าจะอาศัยอยู่ที่ใด หรือมีฐานะทางสังคมอย่างไรก็ตาม โดยภูมิภาคเอเชียแปซิฟิมีอัตราการเกิดภาวะทุพโภชนาการในกลุ่มเยาวชนสูงที่สุดในโลก1 แอ๊บบอตได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาด้านโภชนาการผ่านนวัตกรรมของบริษัทฯ โดยเมื่อเร็วๆ นี้ ยังได้จัดตั้ง ศูนย์ศึกษาและวิจัยเพื่อแก้ปัญหาภาวะทุพโภชนาการของแอ๊บบอต (Abbott Center for Malnutrition Solutions) ซึ่งเป็นศูนย์กลางในการทำงานร่วมกันระหว่างบริษัทฯ ผู้เชี่ยวชาญและพันธมิตร โดยมีเป้าหมายในการลดอัตราการเกิดภาวะทุพโภชนาการในทุกๆ ภูมิภาคของโลกภายในอีก 10 ปีข้างหน้า แอ๊บบอตจะทำงานร่วมกับโรงเรียนกีฬาเพื่อสังคมของมูลนิธิเรอัล มาดริด (Real Madrid

Foundation Social Sports Schools) ทั่วโลก ซึ่งเป็นความร่วมมือครั้งแรกภายใต้ศูนย์ศึกษาดังกล่าว เพื่อช่วยให้เยาวชนกลุ่มเสี่ยงสามารถเข้าถึงการมีสุขภาพดีและอนาคตที่ดีขึ้น

แผนงานนี้จะถูกขยายไปสู่ “แผนความยั่งยืนของแอ๊บบอตปี พ.ศ. 2573” ในการผลักดันและปรับเปลี่ยนการดูแลกลุ่มผู้ป่วยที่ประสบภาวะทุพโภชนาการ กลุ่มโรคเรื้อรัง และกลุ่มโรคติดเชื้อ ด้วยเป้าหมายที่มุ่งมั่นเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนกว่า 3 พันล้านคนทั่วโลก

 ความร่วมมือนี้จะดำเนินการต่อเนื่องไปจนจบฤดูกาลของฟุตบอลระหว่างปี พ.ศ. 2566-2567 โดยจะครอบคลุมไปถึงการทำงานร่วมกับมูลนิธิโรงเรียนกีฬาเพื่อสังคม (Real Madrid Foundation Social Sports School) ในกว่า 12 ประเทศ เพื่อดำเนินการจัดตั้งการตรวจคัดกรองภาวะทุพโภชนาการ การให้ความรู้และการสนับสนุนด้านโภชนาการ ในขณะเดียวกัน ยังให้การสนับสนุนเรื่องโภชนาการสำหรับ คลีนิกมูลนิธิเรอัล มาดริด ซึ่งมีอยู่ใน 42 ประเทศ และในฐานะพันธมิตรด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพและโภชนาการ แอ๊บบอตจะทำงานร่วมกับทางสโมสรอย่างใกล้ชิดเพื่อขับเคลื่อนงานวิจัยเกี่ยวกับนวัตกรรมด้านสารอาหารและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ รวมถึงการพัฒนาในด้านต่างๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการให้การสนับสนุนทีมผู้เล่นชุดใหญ่ของสโมสรทั้งชายและหญิง ทีมฟุตบอล และอะคาเดมี่ของสโมสร

 เกี่ยวกับสโมสรเรอัล มาดริด

สโมสรเรอัล มาดริด เป็นองค์กรด้านการกีฬาที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานถึง 119 ปี โดยเป็นสโมสรที่สามารถครองแชมป์ถ้วยยุโรปได้มากที่สุดจากกีฬาฟุตบอล (13 ถ้วย) และบาสเก็ตบอล (10 ถ้วย) และยังได้รับรางวัลจากสหพันธ์ฟุตบอลระหว่างประเทศ หรือ ฟีฟ่า ในฐานะสโมสรที่ดีที่สุดแห่งศตวรรษที่ 20 สโมสรเรอัล มาดริดมีฐานแฟนคลับอยู่ทั่วทุกมุมโลกกว่าหลายล้านคน โดยมียอดผู้ติดตามบนโลกโซเชียลกว่า 371 ล้านคน และยังเป็นสโมสรฟุตบอลที่ทรงคุณค่าที่สุดในยุโรป จากรายงาน The European Elite 2020 ของเคพีเอ็มจี นอกจากนี้ สโมสรเรอัล มาดริดยังเป็นแบรนด์กีฬาฟุตบอลที่ทรงคุณค่าที่สุดในโลกเป็นระยะเวลา 3 ปีติดต่อกันจากการสำรวจของ Brand Finance และยังมีคะแนนด้านความโปร่งใสหรือ Transparency Index ของสโมสรฟุตบอลเมื่อฤดูกาลที่แล้ว สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสโมสรเรอัล มาดริด ได้ที่ www.realmadrid.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์ของสโมสรฟุตบอลที่มีผู้เยี่ยมชมมากที่สุดในโลกเป็นระยะเวลา 5 ปีติดต่อกัน

 เกี่ยวกับมูลนิธิเรอัล มาดริด

มูลนิธิเรอัล มาดริด เป็นองค์กรที่ก่อตั้งขึ้นโดยสโมสรเรอัล มาดริด เพื่อช่วยเหลือสังคมและร่วมพัฒนาโครงการเพื่อสังคมและวัฒนธรรม โดยมีวัตถุประสงค์หลักในการเผยแพร่คุณค่าและบทบาทของการกีฬาในการส่งเสริมการศึกษา และการพัฒนาบุคลิกภาพของนักกีฬา นอกจากนี้ยังเป็นเครื่องมือในการสร้างบูรณาการทางสังคมสำหรับผู้ที่เป็นเหยื่อของการกีดกันทางสังคม การเลือกปฏิบัติ หรือการแปลกแยกทางสังคม

 

“Cider vinegar” หรือ “น้ำส้มสายชูหมัก” เป็นหนึ่งในเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่กำลังได้รับความนิยมสูงในปัจจุบัน เพราะกรดแอซีติก (Acetic acid) ซึ่งเป็นสารสำคัญในเครื่องดื่มประเภทนี้สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการย่อยอาหารและควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือดได้ดี ส่งผลให้ตลาดของผลิตภัณฑ์ Cider vinegar มีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีการคาดการณ์ว่าในปี 2570 ผลิตภัณฑ์ Cider vinegar ในตลาดโลกจะมีมูลค่าสูงถึง 16,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาในประเทศไทยยังมีส่วนแบ่งในตลาดนี้น้อย เพราะแม้จะมีผลผลิตทางการเกษตรจำนวนมากที่สามารถใช้เป็นวัตถุดิบได้ แต่ผู้ประกอบการไทยยังขาดองค์ความรู้และเทคโนโลยีที่เหมาะสม จึงยากแก่การผลิตสินค้าในระดับอุตสาหกรรม

ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้พัฒนาเทคโนโลยีการผลิต Cider vinegar แบบขั้นตอนเดียว สำหรับวัตถุดิบการเกษตรของไทย โดยเป็นกระบวนการผลิตแบบง่ายและต้นทุนต่ำ ช่วยส่งเสริมให้ผู้ประกอบการรายย่อย (SMEs) สามารถเข้าถึงการใช้เทคโนโลยีแปรรูปสินค้าการเกษตรเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มได้

นายยุทธนา กิ่งชา นักวิจัยทีมวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพทางอาหาร กลุ่มวิจัยส่วนผสมฟังก์ชันและนวัตกรรมอาหาร ไบโอเทค สวทช. อธิบายว่า จุดเริ่มต้นการทำวิจัยนี้มาจากความต้องการของบริษัทเอแอนด์พี ออร์ชาร์ด 1959 จำกัด ผู้ผลิตมังคุดที่ต้องการแก้ปัญหามังคุดล้นตลาดด้วยการนำมาแปรรูปเป็น Cider vinegar เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยบริษัทฯ พยายามพัฒนากระบวนการหมักกว่า 7 ปี แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากขาดองค์ความรู้ในกระบวนการหมักที่เหมาะสม ขณะเดียวกันเทคโนโลยีการผลิต Cider vinegar จากต่างประเทศก็มีราคาสูงกว่า 10 ล้านบาท จึงเป็นเรื่องยากต่อการลงทุนสำหรับผู้ประกอบการรายย่อย ทั้งนี้ไบโอเทค สวทช. มีองค์ความรู้เรื่องจุลินทรีย์และมีคลังจุลินทรีย์ที่พบในประเทศไทยจำนวนมาก จึงเป็นโอกาสสำคัญที่นำมาสู่การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิต Cider vinegar จากมังคุดในระดับอุตสาหกรรมร่วมกัน

“โจทย์ใหญ่ในการพัฒนาคือต้องเป็นเทคโนโลยีที่ง่ายและต้นทุนไม่สูง ทีมวิจัยจึงได้พัฒนาเทคโนโลยีการผลิต Cider vinegar แบบขั้นตอนเดียว ซึ่งเป็นกระบวนการหมักแบบช้า (Slow process) ที่ทำให้ได้ Cider vinegar ที่มีกลิ่นรสเฉพาะของวัตถุดิบโดยไม่ต้องปรุงแต่งด้วยสารเติมแต่งภายหลังการหมัก โดยพัฒนาเทคโนโลยีใน 2 ส่วนหลัก ส่วนแรกคือการพัฒนาหัวเชื้อจุลินทรีย์สูตรผสมที่สามารถผลิตเอทานอลและกรดแอซีติกจากการหมักได้พร้อมๆ กัน ซึ่งกระบวนการเดิมต้องหมักถึง 2 ขั้นตอน คือหมักให้เกิดเอทานอลก่อนแล้วนำมาหมักต่อให้ได้กรดแอซีติกภายหลัง

ส่วนที่สองคือการพัฒนาสภาวะที่เหมาะสมและง่ายสำหรับการหมัก เพื่อให้ได้ผลผลิตน้ำส้มสายชูหมักที่มีคุณภาพและปลอดภัย ทั้งยังสามารถลดระยะเวลาการหมักจาก 6 เดือน เหลือเพียง 3 เดือน การออกแบบระบบ

ของการหมักเป็นแบบแยกยูนิต 1 ยูนิตของการหมักประกอบด้วยถังหมักพลาสติกชนิด food grade ขนาด 100 ลิตร จำนวน 4 ถัง ซึ่งสามารถผลิต Cider vinegar ได้ประมาณ 280 ลิตร จุดเด่นของเทคโนโลยีนี้คือมีความยืดหยุ่นในการใช้งานสูง ผู้ผลิตสามารถปรับเพิ่มหรือลดจำนวนถังหมักและระบบการให้อากาศเพื่อให้สอดคล้องกับปริมาณการผลิตที่ต้องการได้ ไม่จำเป็นต้องหมักครบทุกถัง หรือหากต้องการเพิ่มปริมาณการผลิตก็ทำได้ง่าย เพียงทำการเพิ่มจำนวนยูนิตของการหมักเท่านั้น นอกจากนี้กระบวนการเตรียมหัวเชื้อจุลินทรีย์และอุปกรณ์การผลิตยังมีราคาถูกและใช้งานง่าย ไม่ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญเพื่อควบคุมการผลิต ทำให้ต้นทุนการผลิตถูกกว่าเทคโนโลยีที่นำเข้าจากต่างประเทศมาก ที่สำคัญคือ Cider vinegar จากมังคุดที่ผลิตได้ยังมีคุณภาพดีทั้งกลิ่นและรสชาติมีคุณภาพสม่ำเสมอตามมาตรฐาน สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มขึ้นให้แก่มังคุดมากกว่า 50 เท่า”

ปัจจุบันบริษัทเอแอนด์พี ออร์ชาร์ด 1959 จำกัด ได้ร่วมทุนกับบริษัทเอสคิวไอ กรุ๊ป จำกัด พัฒนาผลิตภัณฑ์ “Cider Vinegar จากมังคุดออร์แกนิกแบบพร้อมดื่ม ภายใต้แบรนด์ Sukina Drink” วางจำหน่ายในตลาดแล้ว ความพิเศษของผลิตภัณฑ์นอกจากสรรพคุณหลักของกรดแอซีติกที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพการย่อยอาหาร ลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดแล้ว มังคุดยังมีสารสำคัญ เช่น สารต้านอนุมูลอิสระ และสารต้านการอักเสบ และสารอื่นๆ ซึ่งมีผลดีต่อสุขภาพ อีกด้วย

นายยุทธนา เล่าว่า เทคโนโลยีการผลิตน้ำส้มสายชูหมักแบบขั้นตอนเดียวสามารถประยุกต์ใช้ในการผลิต Cider vinegar ครอบคลุมวัตถุดิบการเกษตรของไทยได้หลากหลาย เพียงเกษตรกรหรือผู้ประกอบการมีวัตถุดิบที่มีจุดเด่นที่คุ้มค่าต่อการลงทุนพัฒนาผลิตภัณฑ์

“ปัจจุบันไบโอเทคได้ขยายผลการใช้งานเทคโนโลยีสู่การผลิต Cider vinegar จากสัปปะรด ให้แก่บริษัท ซินอา บริว จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตน้ำส้มสายชูกลั่นที่ต้องการขยายตลาดสู่สินค้าเพื่อสุขภาพ โดยมีการจำหน่ายสินค้าแล้วใน “แบรนด์ SINAR (ซินอา)” ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ Cider vinegar สูตรไม่ปรุงแต่งรสและปราศจากน้ำตาล จึงเหมาะสำหรับนำไปทำเครื่องดื่มและอาหารเพื่อสุขภาพ มีสรรพคุณช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและลดคอเลสเตอรอล เหมาะแก่ผู้บริโภคอาหารแบบคีโตเจนิค (Ketogenic diet) และผู้ดูแลสุขภาพ นอกจากนี้ในอนาคตไบโอเทคยังมีแผนพัฒนาต่อยอดไปสู่ผลผลิตทางการเกษตรอื่นๆ อาทิ กระเทียมดำ ผลเชอร์รีกาแฟ และอ้อย ฯลฯ เนื่องจากตลาด Cider vinegar มีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งในไทย เอเชียแปซิฟิก รวมถึงตลาดโลก”

เทคโนโลยีการผลิตน้ำส้มสายชูหมักแบบขั้นตอนเดียวที่พัฒนาขึ้นโดยนักวิจัยไทย นับเป็นโอกาสสำคัญของเกษตรกรและผู้ประกอบการไทยในการยกระดับ เพิ่มมูลค่าผลผลิตทางการเกษตร สอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี (BCG Economy Model) ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติที่มุ่งใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยียกระดับเศรษฐกิจฐานชีวภาพ สร้างมูลค่าเพิ่ม ลดการสร้างของเสีย และใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า รวมถึงเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

 

/////////////////////

หากเป็นทางการแพทย์แล้ว ซิกมันด์ ฟรอยด์ จิตแพทย์ผู้นำกลุ่มจิตวิเคราะห์เคยกล่าวไว้ว่า ในจิตใต้สำนึกของบุคคลทั่วไปมักมีโครงสร้าง 3 ส่วน

บริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) ร่วมกับโรงเรียนโสตศึกษาทุ่งมหาเมฆจัดกิจกรรม AXA Hearts in Action สื่อใจเพื่อน้อง” เพ้นท์กระเป๋าผ้ารักษ์โลก เพราะแอกซ่าเชื่อมั่นในพลังของทุกคนจึงส่งเสริมให้นักเรียนเชื่อมั่นในพลังของตัวเอง ซึ่งสอดคล้องกับพันธสัญญาของแบรนด์ “Know You Can” ที่คอยสนับสนุนและสร้างความมั่นใจให้ทุกคนก้าวเดินต่อไปในชีวิตและประสบความสำเร็จได้ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้

กิจกรรมนี้ นอกจากน้องๆ จะรู้สึกภาคภูมิใจกับการเพ้นท์กระเป๋าผ้าฝีมือตนเองที่มีเพียงใบเดียวในโลกแล้ว ยังเป็นการช่วยลดการใช้ถุงพลาสติก ซึ่งตรงกับเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมและการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ รวมถึงแอกซ่ายังได้บริจาคทุนการศึกษาและเลี้ยงอาหารแก่นักเรียน จำนวน 60 คน ซึ่งแสดงออกถึงความใส่ใจและปรารถนาดีต่อชุมชน

แอกซ่ามุ่งบำเพ็ญประโยชน์ใน ด้านหลัก ได้แก่ 1. ด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ (Environment and climate change) 2. ด้านสุขภาพและการป้องกันโรค (Health and disease prevention) และ 3. ด้านความไม่เท่าเทียมและการมีส่วนร่วมในสังคม (Inequalities and social inclusion)

 

Page 3 of 4
X

Right Click

No right click