

กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) เปิดโครงการ “Krungsri ESG Awards” ต่อเนื่องเป็นปีที่สอง โดยได้รับเกียรติจากองค์กรพันธมิตรผู้ทรงคุณวุฒิและมีวิสัยทัศน์ด้าน ESG เพื่อยกย่องและส่งเสริมผู้ประกอบการ SME ที่ดำเนินธุรกิจตามแนวคิดด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และ ธรรมาภิบาล (Governance) หรือ ESG พร้อมต่อยอดด้วยการเปิดหลักสูตรอบรมพิเศษ “Krungsri ESG Academy 2024” โดยผู้เชี่ยวชาญระดับประเทศขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้เรื่อง ESG ให้กับผู้ประกอบการ ในการสร้างแผนเปลี่ยนผ่านธุรกิจสู่ความยั่งยืนตามกรอบ ESG และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงให้กับธุรกิจในระยะยาว
นางสาวดวงกมล ลิมป์พวงทิพย์ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านลูกค้าธุรกิจ SME ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในฐานะส่วนหนึ่งของภาคการเงินที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืนของประเทศ กรุงศรีตระหนักถึงความเร่งด่วนและความจำเป็นในการสนับสนุนลูกค้าธุรกิจให้ปรับตัวและเปลี่ยนแปลงสู่เส้นทางของความยั่งยืน โดยเราพร้อมยืนหยัดเคียงข้างผู้ประกอบการ SME ผ่านการสนับสนุนทางการเงินและกิจกรรมส่งเสริมการพัฒนาธุรกิจด้าน ESG ด้วยเป้าหมายสำคัญสามประการ คือ 1. ส่งเสริมความรู้เพื่อให้ผู้ประกอบการเข้าใจถึงความสำคัญของ ESG และเห็นแนวทางในการสร้างความยั่งยืนซึ่งเป็นเรื่องง่ายและใกล้ตัวกว่าที่คิด 2. ให้การช่วยเหลือธุรกิจในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายเพื่อพัฒนาแผนการเปลี่ยนผ่านธุรกิจสู่ความยั่งยืนที่นำไปใช้ได้จริง 3. ขยายโอกาสให้ธุรกิจเข้าถึงเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญด้านความยั่งยืน เพื่อสร้างพันธมิตรในการต่อยอดด้าน ESG ได้ครบทุกมิติ”

“อย่างไรก็ตาม การลงมือปฏิบัติเพื่อสร้างการเปลี่ยนผ่านให้เกิดขึ้นจริง นับเป็นอีกหนึ่งความท้าทายสำหรับผู้ประกอบการ SME ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การมีความรู้ ความเข้าใจที่ครบถ้วนในทุกมิติ การพัฒนาแผนธุรกิจที่นำไปสู่การวัดผลได้จริง รวมไปถึงการเข้าถึงเครือข่ายที่จะช่วยต่อยอดการพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน ในปีนี้ กรุงศรีจึงได้สานต่อโครงการ Krungsri ESG Awards เป็นปีที่สอง เพื่อเป็นแพลตฟอร์มในการเชิดชูเกียรติธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับการทำงานด้าน ESG และนำแนวทางไปปรับใช้กับธุรกิจจนเกิดผลสำเร็จ ซึ่งเรามุ่งหวังให้รางวัลนี้เป็นแรงกระตุ้นให้ผู้ประกอบการที่ลงมือทำ ESG อยู่แล้ว ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันก็ช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ประกอบการรายอื่นๆ เห็นว่า ESG สามารถทำได้จริงและจำเป็นต้องทำ พร้อมกันนี้ กรุงศรีได้ร่วมมือกับศูนย์วิจัยและสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG Move) คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดหลักสูตรอบรมพิเศษ Krungsri ESG Academy 2024 โดยจะเน้นการถ่ายทอดความรู้เรื่อง ESG ให้กับผู้ประกอบการอย่างเข้มข้น เพื่อช่วยสร้างแผนเปลี่ยนผ่านธุรกิจที่นำไปใช้ได้จริง และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงให้กับธุรกิจในระยะยาว” นางสาวดวงกมล กล่าวเสริม
สำหรับโครงการ Krungsri ESG Awards 2024 ได้รับเกียรติจากองค์กรพันธมิตรผู้ทรงคุณวุฒิและมีวิสัยทัศน์ด้าน ESG มากมาย ได้แก่ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หอการค้าไทยและสภาหอการค้าไทยแห่งประเทศไทย สมาคมธุรกิจเพื่อสังคม กรมพัฒนาธุรกิจการค้า องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มาร่วมแนะนำแนวทางในการปรับตัวให้กับธุรกิจ และเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการพิจารณาและตัดสินรางวัล ซึ่งแบ่งออกเป็นสองประเภท ได้แก่
โดยในปีนี้ มีกิจการที่ได้รับคัดเลือกเข้าร่วมโครงการกว่า 60 องค์กร ประกอบไปด้วย ลูกค้าธุรกิจ SME ลูกค้าธุรกิจญี่ปุ่น สมาชิกของสมาคมธุรกิจเพื่อสังคม (SE Thailand) รวมถึงผู้ประกอบการที่ไม่ได้เป็นลูกค้าของกรุงศรี ซึ่งผู้ประกอบการทั้งหมดจะได้เข้าร่วมหลักสูตรอบรมพิเศษ Krungsri ESG Academy 2024 เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจตามกรอบ ESG อย่างครบทุกมิติจากผู้เชี่ยวชาญระดับประเทศ ตลอดระยะเวลาสี่เดือน ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่วิธีการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน การจัดการด้านสภาพภูมิอากาศ การบริหารความเสี่ยงและภาวะวิกฤต รวมถึงแนวทางการดำเนินการธุรกิจหรือกิจกรรมสีเขียวตามนิยาม Thailand Taxonomy และได้ลงมือพัฒนาแผนในการปรับเปลี่ยนธุรกิจตามกรอบ ESG (Transition Plan) ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจากพันธมิตรและกรุงศรี ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมโครงการจะได้รับโอกาสการเข้าถึงเครือข่าย ESG ที่น่าเชื่อถือจากเครือข่ายพันธมิตรของกรุงศรี เพื่อสร้างโอกาสธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ
“นับเป็นความน่ายินดีที่กรุงศรีได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญในวงการ ESG มาร่วมสานต่อในการผลักดันธุรกิจและเศรษฐกิจของประเทศไทยสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งนอกจากการสนับสนุนผ่านโครงการดี ๆ อย่าง Krungsri ESG Awards และ Krungsri ESG Academy แล้ว กรุงศรียังได้ตั้งเป้าให้การสนับสนุนสินเชื่อเพื่อส่งเสริมความยั่งยืน (Sustainable Finance) สำหรับกลุ่มลูกค้า SME ไว้ที่จำนวนกว่า 4,500 ล้านบาท และด้วยการสนับสนุนของกรุงศรีที่ครอบคลุมทั้งด้านการเงิน การพัฒนาธุรกิจ และเครือข่ายที่แข็งแกร่ง เราเชื่อมั่นว่าจะสามารถช่วยส่งเสริมสนับสนุนการมีส่วนร่วมของผู้ประกอบการ SME ในการเปลี่ยนผ่านธุรกิจสู่ความยั่งยืนได้มากยิ่งขึ้นในอนาคต และช่วยให้ทุกธุรกิจอยู่รอดต่อไปได้ โดยไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง” นางสาวดวงกมล กล่าวปิดท้าย
การแข่งขัน Huawei ICT Competition ระดับเอเชียแปซิฟิก ครั้งที่ 8 ประจำปี 2023-2024 (พ.ศ. 2566-2567) ประกาศผลผู้ชนะเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ภายในงานพิธีประกาศผลรางวัลซึ่งจัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่างหัวเว่ยและมูลนิธิอาเซียน (ASEAN Foundation) ที่สำนักงานเลขาธิการอาเซียน ในกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย การแข่งขันระดับภูมิภาคภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘Connection, Glory, and Future’ ครั้งนี้ ได้รับความสนใจเข้าร่วมอย่างล้นหลามจากนักเรียนนักศึกษากว่า 6,400 คน จาก 14 ประเทศและเขตการปกครองทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวมไปถึงตัวแทนนักศึกษา 4 ทีมจากประเทศไทย ซึ่ง 2 ทีมสามารถคว้ารางวัลจากการแข่งขันประเภท Network Track และ AI Track รวมทั้งได้รับสิทธิ์ในการเข้าร่วมชิงแชมป์ต่อในรอบตัดสินของการแข่งขัน Huawei ICT Competition ระดับโลก ณ เมืองเซินเจิ้น สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งจะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 23-26 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 โดบพิธีประกาศผลรางวัลนี้ยังได้รับเกียรติจาก ฯพณฯ เกา กึมฮวน เลขาธิการสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) เป็นประธานพิธีเปิดงาน พร้อมด้วยคณะผู้แทนประจำอาเซียนและตัวแทนจากองค์การระหว่างประเทศเข้าร่วมในพิธีอย่างคับคั่ง
นายไซมอน หลิน ประธานกรรมการบริหาร หัวเว่ย ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ได้กล่าวเกี่ยวกับการแข่งขันว่า “เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2566 มานี้ เราได้เพิ่มการแข่งขันในหมวด Computing Track เข้ามาอีกหนึ่งประเภท นอกเหนือไปจากประเภท Network Track, Cloud Track และ Innovation Track เรายังได้ออกแบบกิจกรรมที่เน้นการปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันมากขึ้น เพื่อเสริมสร้างทักษะเรื่องความเป็นผู้นำและทักษะเพื่อการทำงานให้กับนักเรียน และด้วยความร่วมมือจากพันธมิตรจากภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรม และสถาบันทางการศึกษา โดยเราหวังที่จะได้เพาะบ่มผู้นำ ผู้เชี่ยวชาญ และนักนวัตกรรมในอนาคตให้กับภูมิภาคนี้”
ผู้ชนะรางวัลสูงสุดในแต่ละประเภทของการแข่งขันระดับเอเชียแปซิฟิกในปีนี้ ประกอบด้วย สถาบัน Cebu Institute of Technology ประเทศฟิลิปปินส์ สำหรับประเภท Innovation Track สถาบัน Institut Teknologi Bandung ประเทศอินโดนีเซีย สำหรับประเภท Network Track สถาบัน Singapore Polytechnic สำหรับประเภท Cloud Track และสถาบัน i-Academy ประเทศฟิลิปปินส์ สำหรับประเภท Computing Track ที่เพิ่มเข้ามาใหม่ ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีอีก 16 ทีมจากทั่วภูมิภาค ซึ่งรวมถึงทีมนักศึกษาไทยจากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าคุณทหารลาดกระบังและจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ได้รับรางวัลอันดับหนึ่ง อันดับสอง และอันดับสาม พร้อมด้วยสิทธิ์ในการเป็นตัวแทนของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเพื่อเข้าร่วมการแข่งขัน Huawei ICT Competition รอบตัดสินในระดับโลก
นายมากิ คัตสึโนะ-ฮายาชิคาวา ผู้อำนวยการและตัวแทนจากสำนักงานยูเนสโก (UNESCO) ส่วนภูมิภาค ประจำกรุงจาการ์ตา กล่าวแสดงความชื่นชมหัวเว่ยสำหรับความตั้งใจในฐานะที่เป็น “พันธมิตรในโครงการ Global Skills Academy (GSA) ของยูเนสโก ซึ่งหัวเว่ยได้แสดงถึงความมุ่งมั่นในการสนับสนุนการฝึกอบรมออนไลน์แบบไม่เสียค่าใช้จ่ายให้กับนักเรียนนักศึกษาทั่วโลกโดยผ่านทางโครงการ Huawei ICT Academy เพื่อเป็นการบ่มเพาะบุคลากรด้านไอซีที”
ดร. ปิติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการบริหาร มูลนิธิอาเซียน กล่าวย้ำถึงความจำเป็นของทักษะการมีองค์ความรู้ด้านดิจิทัล (Digital Literacy) ว่า “ในภูมิภาคอาเซียนและเอเชียแปซิฟิก ความรู้และความเชี่ยวชาญในการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลไม่ใช่แค่ทักษะที่ควรติดตัวไว้ แต่คือทักษะที่มีความจำเป็นต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ การพัฒนาทางสังคม และการเพิ่มความสามารถทางการแข่งขันบนเวทีโลก”
การแข่งขัน Huawei ICT Competition เปิดเวทีให้นักเรียนนักศึกษาได้เข้ามาร่วมแข่งขันและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างสร้างสรรค์ ควบคู่ไปกับการเพาะบ่มองค์ความรู้ด้านไอซีทีและเสริมทักษะด้านการปฏิบัติจริง นับตั้งแต่การเปิดตัวครั้งแรกในปี พ.ศ. 2559 ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 8 แล้ว ที่มีการจัดการแข่งขันขึ้นในระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยกิจกรรมที่จัดขึ้นไม่เพียงเพื่อมุ่งยกระดับความสามารถด้านนวัตกรรมของนักเรียนที่เข้าร่วมเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการลดช่องว่างด้านบุคลากรดิจิทัล หัวเว่ย มีความมุ่งมั่นที่จะขยายการสนับสนุนด้านการศึกษา ด้วยแผนการจัดตั้งสถาบันฝึกอบรม Huawei ICT Academy จำนวน 500 แห่ง เพื่อบ่มเพาะนักศึกษากว่า 200,000 คน ภายในปี พ.ศ. 2568

ทีมนักศึกษาไทยจากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าคุณทหารลาดกระบังและมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งได้รับรางวัลอันดับ 3 ในการแข่งขันประเภท Network Track และ AI Track ตามลำดับ โดยสามารถคว้าชัยชนะด้วยผลงานแอปพลิเคชันเทคโนโลยีสุดล้ำที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับผู้คนในสังคม
จากการแข่งขันระดับประเทศของนักศึกษาไทยจำนวน 317 คน จากมหาวิทยาลัย 14 แห่งทั่วประเทศ คัดเลือกเหลือเพียง 4 ทีมเพื่อเข้าแข่งขันต่อในระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก หลังเสร็จสิ้นพิธีประกาศรางวัลรอบเอเชียแปซิฟิก นักเรียนไทยผู้ชนะทั้ง 2 ทีม ได้แสดงความรู้สึกดีใจที่ได้ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายในระดับโลก และเปิดเผยว่าการแข่งขันได้ให้ประสบการณ์มากมาย ได้เรียนรู้ทักษะทางเทคนิคเพิ่มเติมในสาขาวิชาที่ศึกษาอยู่ รวมไปถึงได้เรียนรู้วิธีที่เหมาะสมมากขึ้นในการสื่อสารกับเพื่อนร่วมทีม โดยทั้งสองทีมยังได้เผยแผนการต่อยอดโครงการสำหรับการแข่งขันในระดับโลกและหวังที่จะคว้ารางวัลสูงสุดกลับมาเช่นกัน
หัวเว่ย มุ่งมั่นที่จะส่งเสริมการพัฒนาทางด้านดิจิทัลให้กับประเทศไทย สอดคล้องกับพันธกิจที่มีต่อประเทศไทย ในการ ‘เติบโตในประเทศไทย สนับสนุนประเทศไทย’ และพันธกิจต่อภูมิภาคอาเซียนในการ ‘นำทุกฝ่ายก้าวไปข้างหน้า โดยไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง’ ในอนาคต หัวเว่ยจะยังคงเดินหน้าส่งมอบโซลูชันล้ำสมัยและส่งเสริมการพัฒนาทางด้านบุคลากรผ่านโครงการต่าง ๆ ต่อไป เพื่อเสริมสร้างการเติบโต ยกระดับประสิทธิภาพ และเพิ่มความสามารถทางการแข่งขัน ตลอดจนการร่วมมือกับพันธมิตรในแต่ละประเทศเพื่อขับเคลื่อนเทคโนโลยี อำนวยความสะดวกในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล และสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย พร้อมเป็นอีกหนึ่งกำลังในการผลักดันให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางทางด้านดิจิทัลแห่งภูมิภาคอาเซียน
เอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นางศรัณยา เทียนถาวร (ที่ 3 จากขวา) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคล ร่วมด้วย นายโจฮัน ดีทอย (ที่ 2 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายลงทุน ดร. คริส-เตียน โรแลนด์ (ที่ 3 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์และดิจิทัล และ นางสาวรพีพร วงศ์ทองคำ (ที่ 2 จากขวา) ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ เดินหน้าจัดกิจกรรม AIA Food Fighter เพื่อมุ่งลดปัญหาขยะอาหารล้นโลก (Food Waste) ซึ่งปัญหาขยะอาหารถือเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศน์ อีกทั้งยังเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาก๊าซเรือนกระจก โดยเอไอเอ ได้ชวนพนักงานเอไอเอ ประเทศไทย ร่วมแคมเปญกู้โลกรณรงค์การบริโภคอาหารแต่พอดี พร้อมเปิดตัวรถต้นแบบ “AIA Goodie Foodie Truck” สำหรับแบ่งปันอาหาร ขนม และผลไม้ให้กับเพื่อนพนักงานที่ปฎิบัติงานอยู่ ณ อาคาร เอไอเอ ทาวเวอร์ สำนักงานใหญ่ เพื่อเปลี่ยนอาหารที่รับประทานไม่หมดแต่ยังสะอาดและมีคุณภาพดีให้เป็นอีกหนึ่งมื้ออร่อยของผู้อื่น ซึ่งนับเป็นเป้าหมายสำคัญของเอไอเอ ที่ต้องการมีส่วนในการสร้างโลกให้น่าอยู่และยั่งยืนสำหรับพวกเราคนไทยทุกคนด้วยอีกหนึ่งวิธีง่าย ๆ อย่างการช่วยลดขยะอาหาร ตลอดจนยังเป็นการตอกย้ำความเป็นผู้นำด้าน ESG และสอดคล้องตามพันธกิจของเอไอเอ ในการสนับสนุนให้ผู้คนกว่าพันล้านคนมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ‘Healthier, Longer, Better Lives’
วัตสัน ผู้นำร้านเพื่อสุขภาพและความงามอันดับหนึ่งของประเทศไทย เผยทิศทางธุรกิจ ประจำปี 2567 เน้นขยายการเติบโต รวมถึงการนำความยั่งยืนมาใช้ผสานในการพัฒนาส่วนต่างๆ ของธุรกิจเพิ่มมากขึ้น ซึ่งในปีนี้ วัตสัน ในฐานะผู้นำตลาด ยังคงมุ่งหน้าชูกลยุทธ์การชอปปิ้งออฟไลน์และออนไลน์ (O+O) เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของลูกค้า รวมถึงการต่อยอดให้กับสินค้าภายใต้แบรนด์วัตสัน โดยทั้งหมดนี้ ตอกย้ำความมุ่งมั่นของวัตสันในการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
วัตสัน ประเทศไทย เน้นการขยายการเติบโต ควบคู่ไปกับการส่งเสริมด้านความยั่งยืน และในฐานะร้านเพื่อสุขภาพและความงามแห่งแรกที่มีสาขาครอบคลุม 77 จังหวัดทั่วประเทศไทย วัตสันยังคงเดินหน้าขยายตามแผนงาน เพื่อสร้างการเข้าถึงที่ง่าย และสะดวกสบายให้กับลูกค้า ตอบรับความต้องการของลูกค้าทั่วประเทศ โดยตั้งเป้าเปิดสาขาใหม่รวม 50 สาขา รวมถึงพัฒนาหน้าร้านที่มีอยู่อีกด้วย

เพื่อสอดรับกับเป้าหมายความยั่งยืน วัตสัน ประเทศไทย ส่งเสริม Greener Store ซึ่งเป็นรูปแบบร้านค้าเพื่อความยั่งยืนของวัตสัน ที่ได้ทดลองเริ่มปฏิบัติการจริงไปแล้วที่สาขาสยามสแควร์ โดยการนำเสนอแนวคิดและมาตรการต่างๆ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มาปรับใช้ในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ อาทิ การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคา และการเลือกใช้วัสดุตกแต่งที่ผลิตจากกระดาษและไม้รีไซเคิล โดย คุณพสิษฐ์ มั่นคงขันติวงศ์ กรรมการผู้จัดการ วัตสัน ประเทศไทย กล่าวว่า “แนวคิด Greener Store ถือเป็นสัญลักษณ์ของความมุ่งมั่นของวัตสันในการสร้างวัฒนธรรมที่บ่มเพาะความยั่งยืนในกระบวนการดำเนินงาน และปฏิบัติการต่างๆ ในทุกๆ วัน” ซึ่งแนวคิดดังกล่าวจะมุ่งเน้นไปที่ประเด็นสำคัญต่างๆ เช่น การเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การลดใช้พลังงาน รวมถึงเพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียน และการมีส่วนร่วมของลูกค้า

นอกจากนี้ วัตสัน ประเทศไทย ได้นำรถบรรทุกและรถปิคอัพไฟฟ้า มาใช้สำหรับการจัดส่งสินค้า ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ อีกทั้ง วัตสัน ยังมุ่งมั่นในการเพิ่มสัดส่วนการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อความยั่งยืน ซึ่งเป็นการเพิ่มทางเลือกและตอบรับความต้องการที่เปลี่ยนไปของลูกค้า ที่หันมาสนใจด้านสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น
กลยุทธ์ O+O ของวัตสันถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีในการมอบประสบการณ์การชอปปิ้งแบบไร้รอยต่อ โดยเฉพาะในปัจจุบัน วัตสัน มีสมาชิกวัตสันคลับ มากกว่า 9 ล้านคนที่ได้รับสิทธิพิเศษผ่าน “โปรโมเชื่อม” โปรโมชั่นที่ออกแบบมาเพื่อเชื่อมต่อการชอปปิ้งออนไลน์และออฟไลน์สำหรับสมาชิกวัตสัน คลับ โดยเฉพาะ ควบคู่ไปกับการใช้ความเข้าใจพฤติกรรมลูกค้าจากฐานสมาชิกที่แข็งแกร่ง มาใช้เป็นเครื่องมือในการยกระดับการสร้างประสบการณ์ที่ดีสำหรับสมาชิก กระตุ้นการมีส่วนร่วม และมัดใจสมาชิก ด้วยกิจกรรมสุดพิเศษต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟกับเซเลปชื่อดัง กิจกรรมเวิร์กช็อป รวมถึงสิทธิพิเศษในการแลกบัตรกำนัลด้านไลฟ์สไตล์ต่างๆ

เพื่อตอบรับกับเทรนด์ในยุคปัจจุบันที่ผู้บริโภคหันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพกันมากขึ้น ในปี 2567 วัตสัน ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านสุขภาพ ด้วยการเปิดตัววัตสัน เดย์ไวต้า (Day-Vita) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารภายใต้แบรนด์วัตสัน โดยการเปิดตัวในครั้งนี้ เป็นการใช้ความเชี่ยวชาญด้านสุขภาพที่มีมาอย่างยาวนานของวัตสัน ประกอบกับความเข้าใจในผู้บริโภค ช่วยให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงการมีสุขภาพที่ดีได้ง่าย สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ในราคาที่เหมาะสม
คุณพสิษฐ์ กล่าวเสริมอีกว่า “นอกเหนือจากความสำเร็จทางธุรกิจ วัตสันยังตอกย้ำความมุ่งมั่นต่อความยั่งยืนของชุมชน ซึ่งนับเป็นหัวใจสำคัญเพื่อมุ่งสู่อนาคตที่สดใส ด้วยโครงการริเริ่มต่างๆ เช่น แคมเปญ Give a Smile กับ Operation Smile สนับสนุนเป้าหมายของเอเอส วัตสัน กรุ๊ป ในการฟื้นฟูรอยยิ้ม 10,000 รอยยิ้มภายในปี พ.ศ. 2573 ซึ่งก้าวต่อๆ ไปของเรา ก็จะยังคงมุ่งมั่นในการส่งต่อประสบการณ์การชอปปิ้งที่ดีที่สุด และสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน รวมถึงสร้างความมั่นใจว่าลูกค้าของเราจะได้รับความสุขและยิ้มได้ในทุกๆ วัน”
บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต นำโดย คุณบุปผาวดี โอวรารินท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายทรัพยากรบุคคลและภาพลักษณ์องค์กรและการสื่อสารองค์กร (แถวหลัง คนกลาง) เปิดบ้านต้อนรับเด็กๆ เข้าร่วมกิจกรรมแฟมิลี่เดย์ “KTAXA Kids Carnival ปี 2 พาน้อง ๆ ไปท่องดินแดนมหาสนุก ปลุกจินตนาการ” โดยกิจกรรมในครั้งนี้ จัดขึ้นเพื่อเปิดประสบการณ์บุตรหลานของพนักงาน อายุตั้งแต่ 5-12 ขวบ ได้เยี่ยมชมการทำงาน และสถานที่ทำงานของผู้ปกครอง เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้แก่บุตรหลานในการทำงานในอนาคต นอกจากนั้นภายในงานมีกิจกรรมมากมาย อาทิ เพ้นท์กระเป๋า บานาน่าดิปปิ้ง บันไดงูปริศนา เลโก้ บ่อบอลหรรษา สร้างบ้านเต่าออนไลน์ โบโซ่ลูกโป่งหรรษา และอิ่มอร่อยกับบูธอาหารสุดพิเศษหลากหลายเมนู

ทั้งนี้ บริษัทฯ มุ่งมั่น พัฒนาองค์กรอย่างต่อเนื่อง และเป็นสถานที่ทำงานที่สนับสนุนให้พนักงานมีความสุขในการทำงาน และเติบโตไปพร้อมกับองค์กร ตอบโจทย์ความต้องการของพนักงานอย่างสูงสุด ในเรื่องสวัสดิการ การเติบโตในอาชีพ การพัฒนาศักยภาพ ความเป็นอยู่ของพนักงานที่ครบถ้วนรอบด้าน รวมถึงการดูแลครอบครัวของพนักงาน ซึ่งตอกย้ำความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ที่พร้อมทั้งเคียงข้างทุกความเชื่อมั่น ดูแลกันตลอดไป
บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) จัดงาน Age of Happiness : Thank You Event for Our Valued Customers เพื่อขอบคุณลูกค้าธนาคารกรุงเทพที่ให้ความไว้วางใจส่งมอบความคุ้มครองเพื่อสร้างความมั่งคั่ง และมั่นคงทางการเงินพร้อมสุขภาพมามากกว่า 20 ปี ผ่าน 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ทั้ง Gain1st ที่สนับสนุนเงินออม Credit1st ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อธุรกิจ และ Home1st สำหรับลูกค้าสินเชื่อที่อยู่อาศัย ให้ความอุ่นใจทั้งชีวิตและโรคร้ายแรง โดยมี นายชาติศิริ โสภณพนิช (ที่ 4 จาก ซ้าย) กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ เป็นประธานเปิดงาน นายโชน โสภณพนิช (ที่ 4 จากขวา) กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กรุงเทพประกันชีวิต พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงของทั้ง 2 องค์กร ให้การต้อนรับ ณ ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมชาเทรียม แกรนด์ กรุงเทพฯ เมื่อเร็วๆนี้
นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เป็นประธานเปิดงานสัมมนา “สู่เป้าหมายการเติบโตอย่างยั่งยืนด้วย Big Data สำหรับอุตสาหกรรมประกันภัย” เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2567 ณ ห้องสุขุมวิท 1-3 ชั้น 3 โรงแรมเจดับบลิว แมริออท กรุงเทพฯ ในโอกาสนี้ เลขาธิการ คปภ. ได้กล่าวโดยมีใจความที่สำคัญตอนหนึ่งว่า ตามที่ สำนักงาน คปภ. ได้จัดทำระบบฐานข้อมูลการประกันภัย (Insurance Bureau System: IBS) ขึ้น โดยได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากสมาคมประกันวินาศภัยไทย และบริษัทประกันวินาศภัย ในการร่วมกันพัฒนาฐานข้อมูลประกันวินาศภัยให้มีความสมบูรณ์ ตลอดจนมีความร่วมมือระหว่างกันในการนำข้อมูลด้านประกันภัยต่าง ๆ ภายในระบบฐานข้อมูลการประกันภัยมาประมวลและวิเคราะห์เพื่อใช้ประโยชน์ด้านต่าง ๆ ซึ่งระบบ IBS จัดทำขึ้นจากการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการประกันภัยเพื่อเป็นฐานข้อมูล Big Data ของอุตสาหกรรมประกันภัย เพื่อสนับสนุน ส่งเสริม และยกระดับการดำเนินธุรกิจประกันภัยให้สามารถบริการประชาชนได้ดียิ่งขึ้น และจากความร่วมมืออย่างต่อเนื่องระหว่างสำนักงานคปภ. สมาคมประกันวินาศภัยไทย และบริษัทประกันวินาศภัยทุกแห่ง จึงประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง ส่งผลให้ฐานข้อมูลประกันวินาศภัย หรือ Non-Life Insurance Bureau System (Non-Life IBS) มีความครบถ้วนสมบูรณ์และมีคุณภาพ ทำให้สามารถนำข้อมูลมาใช้งานได้จริงอย่างเป็นรูปธรรมก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อภาครัฐ ภาคธุรกิจประกันภัย และประชาชน ในการใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลด้านประกันภัยที่มีความครบถ้วน ถูกต้อง สมบูรณ์ และมีคุณภาพ

เลขาธิการ คปภ. กล่าวด้วยว่า สำนักงาน คปภ. มีนโยบายในการส่งเสริมการพัฒนาฐานข้อมูลการทำประกันภัยกลางของประเทศ ที่ครอบคลุมข้อมูลในทุกมิติเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ ทั้งในด้านการกำกับภาคอุตสาหกรรมประกันภัยให้มีความมั่นคง แข็งแรง ให้เป็นหนึ่งในเสาหลักระบบเศรษฐกิจของประเทศเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการให้บริการดูแลสังคมและประชาชน ตลอดจนเพื่อเป็นการส่งเสริมการพัฒนาและการขยายธุรกิจ โดยสำนักงาน คปภ. ได้กำหนดกลยุทธ์หลักใน 4 ด้าน ประกอบด้วย 1. การนำข้อมูลไปใช้ในการวิเคราะห์เชิงสถิติ เพื่อประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคการศึกษา และภาคเอกชน เช่น การกำหนดแผนและกลยุทธ์องค์กร การบริหารความเสี่ยงภัยในการรับประกันภัย การบริหารต้นทุนในการดำเนินงาน การบริหารด้านสินไหมทดแทน การวิจัยในด้านต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งการวิเคราะห์ความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพจะเป็นข้อมูลสำคัญในการประเมินความเสี่ยงและการกำหนดนโยบายทั้งในส่วนของสำนักงาน คปภ. และบริษัทประกันวินาศภัย 2. การนำข้อมูลไปใช้ในการวิเคราะห์ด้านคณิตศาสตร์ประกันภัยเพื่อสนับสนุนการกำหนดอัตราเบี้ยประกันภัยที่เหมาะสมในการรับความเสี่ยงภัยของผลิตภัณฑ์แต่ละประเภท การคำนวณต้นทุนความเสียหายของความเสี่ยงแต่ละประเภท การประเมินความมั่นคงทางการเงิน การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ซึ่งจะช่วยให้สามารถกำหนดเบี้ยประกันภัยที่เหมาะสมกับความเสี่ยงภัยเกิดความเป็นธรรมและสอดคล้องกับความต้องการของผู้เอาประกันภัยอย่างแท้จริง 3. การนำข้อมูลไปใช้ในการตรวจสอบในด้านต่าง ๆ เพื่อสร้างการบริการที่ดีและมีประสิทธิภาพให้กับประชาชน โดยการตรวจสอบการทำประกันภัยอย่างเป็นระบบเพื่อการให้บริการที่รวดเร็ว รวมถึงการตรวจสอบการฉ้อฉลประกันภัยที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้เกิดความระมัดระวังในการพิจารณารับประกันภัย การจ่ายค่าสินไหมทดแทนที่ไม่เหมาะสม อันจะเป็นการรักษาระบบประกันภัยให้มีความยั่งยืน และ 4. การนำข้อมูลไปใช้เพื่อการวิเคราะห์เชิงลึก เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมการพัฒนาและขยายธุรกิจประกันวินาศภัยในอนาคต เช่น การวิจัยด้านการสร้างช่องทางการตลาดประกันภัยใหม่ ๆ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ประกันภัยผ่านช่องทางการขายที่เหมาะสม การพัฒนากฎเกณฑ์ในการนำเสนอขายผลิตภัณฑ์ประกันภัย การพิจารณารับประกันภัย หรือการจ่ายค่าสินไหมทดแทน โดยการนำเอาระบบ Generative AI เข้ามาช่วยเพื่อการให้บริการที่เป็นมาตรฐาน สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าแต่ละราย และการให้บริการที่รวดเร็ว การพัฒนาต่อยอดการวิเคราะห์ความเสี่ยง เพื่อรองรับความเสี่ยงในรูปแบบใหม่ ๆ จากสภาวะโลกแปรปรวน การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี เป็นต้น

“ระบบ Non-Life Insurance Bureau System จะช่วยการสร้างความไว้วางใจและความโปร่งใสในการดำเนินงาน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าระบบนี้จะช่วยให้บริษัทประกันภัยสามารถจัดการข้อมูล ประเมินความเสี่ยง และปรับปรุงกระบวนการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นมืออาชีพมากยิ่งขึ้น และงานสัมมนาในครั้งนี้จะเป็นก้าวแรกที่สำคัญยิ่งต่อการพัฒนาการนำฐานข้อมูลในระบบ Non-Life Insurance Bureau System ไปใช้เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการพัฒนาและขยายธุรกิจ เพื่อการให้บริการที่ดีต่อประชาชนและสังคมต่อไป” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
