

พิเศษสำหรับลูกเพจ MatchLink ลงทะเบียน คลิก >>> https://bit.ly/MatchLink_UOBBiz.
เปิดบัญชีออมทรัพย์ "UOB BizSuper" เพื่อผู้ประกอบการ SME
- รับดอกเบี้ยเงินฝาก 1% ต่อปี
- ไม่มีค่าธรรมเนียมจ่ายเงินเดือนพนักงาน (Payroll)
- ไม่มีค่าธรรมเนียมโอนเงินระหว่างบัญชีธนาคารยูโอบี
- ไม่มีค่าธรรมเนียมโอนเงินระหว่างธนาคารแบบส่งรายการภายในวัน (สำหรับยอดการโอนตั้งแต่ 1 บาท จนถึง 500,000 บาทแรก)
- ไม่มีค่าธรรมเนียมผูกคู่โอนอัตโนมัติ (Fund Sweeping) ระหว่างบัญชีออมทรัพย์ BizSuper และบัญชีกระแสรายวัน BizSuper
- ไม่มีค่าธรรมเนียม UOB eAlerts! บริการแจ้งเตือนความเคลื่อนไหวของบัญชีผ่านทางอีเมล
- ไม่มีค่าบริการสำหรับสมุดเช็คเดือนละ 1 เล่ม และส่วนลด 50% สำหรับเล่มถัดไป
*รายละเอียดและเงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด
สององค์กรหัวใจไทย บริษัท กาแฟพันธุ์ไทย จำกัด และ บริษัท สิงห์ปาร์ค เชียงราย จำกัด ร่วมกันเผยความสำเร็จของการรุกตลาดชามูลค่าหมื่นล้านบาท ต่อยอดผลิตภัณฑ์จากเชียงรายสู่เมืองน่านกับแคมเปญ ‘ชาอัสสัมพันธุ์ไทยน่าน’ กระแสตอบรับดีเกินคาด หลังจากเปิดตัวเพียง 1 เดือน สามารถปั้นยอดขายเติบโตกว่า 20% ด้วยงบการตลาดกว่า 10 ล้านบาท เพื่อสร้างการรับรู้และสื่อสารไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่ เน้นขยายฐานตลาดชาพรีเมียม แมส เจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ที่ไม่ดื่มกาแฟ พร้อมร่วมกันส่งเสริมชาอัสสัมจาก จ.น่านให้เป็นที่รู้จัก สานต่อความมุ่งมั่นในการสนับสนุนชุมชน สร้างอาชีพให้เกษตรกร ควบคู่การดูแลสิ่งแวดล้อมและรักษาระบบนิเวศอย่างยั่งยืน

ชา” เป็นตลาดที่เติบโตและได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก จากรายงานของ Spherical Insights บริษัทวิจัยด้านการตลาดชื่อดัง เปิดเผยว่า “ตลาดชา” ทั่วโลกในปี 2566 มีมูลค่า 49.53 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยคาดการณ์ว่าตั้งแต่ปี 2566 – 2576 ตลาดชาทั่วโลกจะมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 7.09% ต่อปี ซึ่งคาดว่าจะสูงถึง 98.29 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2576 ซึ่งในด้านการบริโภคนั้น สถาบันชาและกาแฟ แห่งมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย มีการประเมินว่าภายในปี 2568 วัฒนธรรมการดื่มชานอกบ้านจะสูงขึ้น 5% และจะมีปริมาณชาเพิ่มขึ้นเป็น 7.4 พันล้านกิโลกรัมในปีเดียวกัน ซึ่งประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการบริโภคและมีมูลค่าตลาดสูงมากที่สุดเป็นอันดับ 7 ของโลก โดยในปี 2565 มีมูลค่าตลาดสูงถึง 13,299 ล้านบาท
คุณอนันต์ รัตนมั่นคง ผู้อำนวยการอาวุโส กลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม บริษัท กาแฟพันธุ์ไทย จำกัด เปิดเผยว่า “ตลาดชามีการขยายตัวขึ้นทุกปี ทั้งจากเทรนด์รักสุขภาพและกระแสความนิยมของผู้บริโภค พันธุ์ไทยมองเห็นโอกาสหลังจากประสบความสำเร็จกับแคมเปญ ‘อร่อย เวรี มัทฉะ’ ที่พันธุ์ไทยพัฒนาสูตรชาร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตชาตัวจริงอย่าง สิงห์ปาร์ค นำสุดยอดชา มารุเซ็น มัทฉะ พรีเมียม จ.เชียงราย มาพัฒนาเมนูมัทฉะตามแบบฉบับของพันธุ์ไทย ซึ่งได้รับความนิยมจนมีกระแสเรียกร้องให้นำมาบรรจุเป็นเมนูถาวร เราจึงเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่สู่การเปิดตัว ‘ชาอัสสัมพันธุ์ไทยน่าน’ ชาดำสายพันธุ์อัสสัมที่มีคาแรคเตอร์โดดเด่นจาก จ.น่าน มีกลิ่นหอมชาคั่วและมีรสชาติเข้มข้นที่เป็นเอกลักษณ์ เพื่อส่งมอบประสบการณ์การดื่มด่ำชาพรีเมียมในราคาเข้าถึงง่าย ซึ่งนอกจากจะเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าที่ไม่ดื่มกาแฟแล้ว ยังสร้างโอกาสในการขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ ที่ไม่เคยใช้บริการร้านพันธุ์ไทยให้เปิดใจทดลองอีกด้วย”

คุณพรประภา ชัยโตษะ ผู้จัดการฝ่ายขาย บริษัท สิงห์ปาร์ค เชียงราย จำกัด เปิดเผยว่า “ชาน่าน หรือ ชาแห่งสายหมอก ชาคุณภาพที่ปลูกในภูมิประเทศที่มีเทือกเขาวางตัวในแนวเหนือใต้ มีสภาพภูมิอากาศเย็นชื้น และมีฝนตกสม่ำเสมอ ดินจึงมีความอุดมสมบูรณ์ ทำให้ชาอัสสัมมีคุณลักษณะพิเศษไม่เหมือนใคร คงความเป็นเอกลักษณ์ของกลิ่นและรสชาติของอารยธรรมแห่งชาป่าสืบเนื่องมานานกว่า 100 ปี ชาน่านได้รับการปลูกและดูแลโดยเกษตรกรไทย พิถีพิถันเก็บเพียง 5 ใบแรกของยอดชา เพื่อให้ได้รสชาติที่ดีที่สุด ส่งตรงถึงโรงงานแปรรูปชาอัสสัมแห่งแรกและแห่งเดียวที่ใหญ่ที่สุดใน จ.น่าน เพื่อรักษาคุณภาพคงความสดใหม่ของใบชาให้มากที่สุด พร้อมเข้าสู่กระบวนการผลิตและแปรรูปที่ทันสมัย ก่อนจะนำมาเบลนด์เป็นสูตรเฉพาะของพันธุ์ไทย และครีเอทเมนูใหม่พร้อมเสิร์ฟความหอมอร่อยถึงมือลูกค้า”
“ความร่วมมือกับพันธุ์ไทยนี้เป็นการดึงจุดแข็งของทั้งสองแบรนด์ที่มีอัตลักษณ์ความเป็นไทยที่ชัดเจน มาต่อยอด เพิ่มคุณค่าและส่งมอบประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้าในหลากหลายมิติ นับเป็นการดำเนินงานที่ผสานกันอย่างลงตัว ด้วยอุดมการณ์และจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้แก่ชุมชนด้วยการส่งเสริมวัตถุดิบท้องถิ่น สร้างอาชีพและรายได้ให้แก่เกษตรกรไทย ไปพร้อมๆ กับการดูแลสิ่งแวดล้อม พร้อมต่อยอดโครงการส่งเสริมการปลูกชาของชุมชนในพื้นที่ จ.น่าน โดยการให้องค์ความรู้ด้านการเพาะปลูกชาให้ได้คุณภาพ ส่งผลให้การบุกรุก ตัดไม้ทำลายป่า และการทำไร่เลื่อนลอยมีปริมาณลดลง เนื่องจากการปลูกชาอัสสัมต้องอาศัยร่มเงาจากต้นไม้ใหญ่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการอนุรักษ์ผืนป่า รักษาธรรมชาติ ทำให้ระบบนิเวศกลับมาอุดมสมบูรณ์ได้อย่างยั่งยืน” คุณพรประภา กล่าวเสริม

นอกจากนี้ พันธุ์ไทยยังประกาศการรุกตลาดชาอย่างยิ่งใหญ่ ด้วยการสร้างปรากฎการณ์ “คนพันธุ์TEA ที่พันธุ์ไทย” ผ่านเทคโนโลยี CGI ในรูปแบบ Hyper Realistic VDO ด้วยภาพผู้หญิงไซส์ยักษ์ใหญ่ นั่งจิบชาโชว์ความสดชื่นอยู่บนร้านกาแฟพันธุ์ไทย มีการสื่อสารทั้ง Online ผ่าน Social Media ต่างๆ และ Offline ผ่าน Digital Billboard ทั่วกรุงเทพฯ เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น และสร้างการรับรู้ว่าพันธุ์ไทยจริงจังกับการรุกตลาดชาครั้งนี้ อีกทั้งแบรนด์ยังสร้างการรับรู้ผ่าน Influencer และ KOL ทั้ง Mega, Micro และ Nano ทั้งสายกิน สายเที่ยว สายไลฟ์สไตล์ รวมถึงได้รับการสนับสนุนจากสิงห์ ปาร์ค เชียงรายในการร่วมงานกับ คุณเชอรี่ เข็มอัปสร สิริสุขะ นักแสดง เซเลบริตี้ และนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ผู้มีความผูกพันกับเมืองน่าน มาบอกเล่าเรื่องราวของชาน่านให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น
พันธุ์ไทย ชวนสัมผัสความหอมละมุน ดื่มด่ำรสชาติสุดพรีเมียมกับ “ชาอัสสัมพันธุ์ไทยน่าน” ที่พันธุ์ไทยชงสดทุกแก้ว เพื่อดึง Taste Note ที่โดดเด่น แบบ Nutty Tone ซึ่งเป็นกลิ่นหอมเอกลักษณ์ของชาอัสสัมออกมาได้ชัดที่สุด ดื่มแล้วได้ After Taste ที่สะอาด สดชื่น พันธุ์ไทยจึงนำมาสร้างสรรค์หลากหลายความอร่อย สดชื่นถึง 6 เมนู 6 คาแรคเตอร์ พร้อมเสิร์ฟในราคาเริ่มต้นเพียง 45.-

เพราะพันธุ์ไทย ไม่ได้มีดีแค่กาแฟ มาดื่มด่ำกับรสชาติแห่งสายหมอก สัมผัสความหอมละมุนไปกับหลากหลายเมนูชาอัสสัมสุดพรีเมียมที่ปลูกโดยเกษตรกรไทย ไม่ต้องไปไกลถึงเมืองน่าน ที่ร้านพันธุ์ไทยทุกสาขาทั่วประเทศที่ร่วมรายการ และบริการเดลิเวอรีจัดส่งถึงบ้าน รายละเอียดเพิ่มเติมคลิก www.facebook.com/punthaicoffee หรือ www.punthaicoffee.com
นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ร่วมกับภาคีเครือข่าย ได้แก่ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล, สสส., มูลนิธิเด็ก เยาวชนและครอบครัว, สภาสมาคมสตรีแห่งชาติ ในพระบรมราชินูปถัมภ์, สมาคมสตรีภาคพื้นแปซิฟิกและเอเชียอาคเนย์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ และสมาคมกีฬาฟิกเกอร์และสปีดสเก็ตติ้งแห่งประเทศไทย ร่วมกันจัดกิจกรรมรณรงค์ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ประจำปี 2567 ภายใต้แนวคิด “สงกรานต์ปลอดภัย สังคมไทยเคารพสิทธิ” ณ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยมีการปล่อยขบวนรถสามล้อรณรงค์ ที่วิ่งในเขตพื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์และบริเวณใกล้เคียง การแสดงละครสะท้อนปัญหาการไม่เคารพสิทธิในช่วงเทศกาลสงกรานต์ และและเสวนาในหัวข้อ “การสร้างความปลอดภัยต่อสังคมในช่วงสงกรานต์” อีกด้วย

นายอนุกูลฯ กล่าวว่า ตามที่ UNESCO ได้ประกาศขึ้นทะเบียนให้ “สงกรานต์ในประเทศไทย” เป็นรายการในบัญชีมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ ที่สะท้อนความหลากหลายทางวัฒนธรรม และความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ โดยคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติจึงได้เสนอหลักการจัดงาน “Maha Songkran World Water Festival เย็นทั่วหล้ามหาสงกรานต์ 2567” ซึ่ง ครม. มีมติเห็นชอบให้จัดกิจกรรมสงกรานต์ 21 วัน ตั้งแต่วันที่ 1 – 21 เมษายน 2567 ทั่วประเทศ เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองในโอกาสดังกล่าว และโดยที่ทราบกันทั่วไปว่า เทศกาลสงกรานต์ของไทยเป็นเทศกาลที่เน้นความสนุกสนาน และส่วนใหญ่ในช่วงเทศกาลก็มักจะมีการสังสรรค์ด้วยเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เป็นสาเหตุหลักที่ก่อให้เกิดปัญหาความรุนแรงตามมา โดยเฉพาะอุบัติเหตุบนท้องถนน และการทะเลาะวิวาท แต่ยังมีอีกหนึ่งปัญหาความรุนแรงที่เรามักจะมองข้าม หรือไม่คิดว่าสิ่งนั้นเป็นปัญหา นั่นคือ ปัญหาการคุกคามทางเพศ พม. และภาคีเครือข่าย จึงได้จัดการรณรงค์ครั้งนี้ขึ้นมา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประชาสัมพันธ์และสร้างความตระหนักถึงปัญหาการคุกคามทางเพศที่เกิดขึ้นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ สร้างการรับรู้เกี่ยวกับการคุกคามทางเพศ ที่ไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใดก็เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง และผิดกฎหมาย สร้างความเข้าใจในเรื่องการเคารพ ให้เกียรติ ในสิทธิเนื้อตัวร่างกาย ความยินยอมพร้อมใจของผู้อื่น ไม่ฉวยโอกาสลวนลาม หรือคุกคามทางเพศ และไม่ใช้ความรุนแรงในทุกรูปแบบ เพื่อให้ทุกคนในสังคมไม่ว่าจะเด็ก สตรี คนพิการ ผู้สูงอายุ หรือผู้มีความหลากหลายทางเพศ ต่างก็มีความปลอดภัยในทุกพื้นที่ ได้รับการคุ้มครองอย่างเท่าเทียมกัน ช่วยกันสร้างกระแสให้สังคมร่วมกันผลักดัน ร่วมกันเป็นเครือข่ายเฝ้าระวัง ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบกับปัญหาความรุนแรงและปัญหาการคุกคามทางเพศ และปลูกจิตสำนึกแก่เยาวชนให้เห็นถึงโทษของแอลกอฮอล์ การลดผลกระทบจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และลดความสูญเสียที่เกิดขึ้นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ในมิติต่าง ๆ

“กิจกรรมการรณรงค์ “สงกรานต์ปลอดภัย สังคมไทยเคารพสิทธิ” จะไม่จบลงเฉพาะในการจัดงานในวันนี้เท่านั้น โดย พม. และภาคีเครือข่าย ได้สนับสนุนสื่อประชาสัมพันธ์และแนวคิดการรณรงค์ฯ ไปยังเครือข่ายและหน่วยงานระดับจังหวัด ทั่วประเทศ เพื่อให้ช่วงเวลาของเทศกาลสงกรานต์ในทุกพื้นที่ ที่นอกจากจะสืบสานประเพณีอันดีงามแล้ว ยังเป็นเทศกาลแห่งความสุข สนุกสนาน และในช่วงเวลานี้ยังเป็นวันผู้สูงอายุกับวันครอบครัว ซึ่งเราจะใช้ช่วงเวลานี้ไปรดน้ำขอพรจากพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย และผู้ที่เคารพนับถือ เป็นการเริ่มต้นปีใหม่ไทยที่มีความสุข มีความปลอดภัย ปราศจากแอลกอฮอล์ และขอชวนเชิญทุกท่านให้ร่วมตระหนักไปด้วยกันว่า ในทุก ๆ วัน ไม่เฉพาะเทศกาลนี้เท่านั้น สังคมไทยต้องปลอดภัยจากการคุกคาม ทุกพื้นที่ต้องปลอดภัยสำหรับคนทุกเพศ ทุกวัย เป็นสังคมที่ให้ความเคารพในสิทธิ ซึ่งกันและกัน” นายอนุกูลฯ กล่าวทิ้งท้าย

นางสาวรุ่งอรุณ ลิ้มฬหะภัณ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงหลัก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ให้ข้อมูลว่า ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) รายงานสถานการณ์สงกรานต์ ปี 2566 พบว่า มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน 264 คน ลดลง 14 คน จากปี 2565 ที่มีผู้เสียชีวิต 278 คน ส่วนการดื่มแล้วขับที่เป็นเหตุให้เสียชีวิตลดจาก 16.5% ในปี 2565 เหลือ 10.6% ในปี 2566 สอดคล้องกับจำนวนผู้เสียชีวิตคาที่ลดลงจาก 56.8% ในปี 2565 เหลือ 53.4% ในปี 2566 ส่วนใหญ่มาจากการขับรถเร็วที่มีการชนรุนแรงจนทำให้เสียชีวิตในทันที นอกจากนี้ข้อมูลการจากการเก็บข้อมูลของมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ในช่วงสงกรานต์ปีที่ผ่านมาพบปัญหาส่วนใหญ่ คือ ถูกประแป้งที่ใบหน้าหรือร่างกาย ถูกแซว/ผิวปากหรือใช้สายตาจ้องมองทำให้อึดอัด เคยถูกฉวยโอกาสลวนลาม เกิดอุบัติเหตุ ถูกก่อกวนจากคนเมาหรือถูกบังคับให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และทะเลาะกันในครอบครัว
“สงกรานต์ปีนี้ สสส. จึงเน้นย้ำเรื่องการจัดพื้นที่เล่นน้ำปลอดเหล้า ป้องกันลดอุบัติเหตุ ความรุนแรง มีสติ มีขอบเขตและการเคารพสิทธิ ปัจจุบันมีพื้นที่เข้าร่วมกว่า 100 พื้นที่ ถนนตระกูลข้าวปลอดเหล้ากว่า 60 แห่ง โดยขอฝากทุกคนว่า “ดื่มไม่ขับ ดื่มเหล้า เมาถึงสมอง” เพราะร่างกายเรามีร่างเดียว เปลี่ยนไม่ได้ ต้องดูแลให้ดีเพื่อให้ใช้ได้ยาวนาน จนถึงวัยชรา จึงอยากเชิญชวนให้ ลด ละ เลิก เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพื่อลดการทำลายสมอง” นางสาวรุ่งอรุณฯ กล่าว
ดร.ณัฐพล แย้มฉิม ประธานสวนดุสิตโพล เปิดเผยข้อมูลความคิดเห็นของประชาชนต่อเทศกาลสงกรานต์ 2567 ระหว่างวันที่ 26-29 มีนาคม 2567 โดยสำรวจจากประชาชนในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด จำนวน 4,011 คน พบว่า ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ร้อยละ 66.09 ไม่เล่นน้ำสงกรานต์ เพราะต้องการพักผ่อน อากาศร้อน มีร้อยละ 14.19 ที่ไม่เล่นเพราะกลัวถูกลวนลาม (บางส่วนเคยถูกลวนลาม) กลุ่มที่เคยเล่นสงกราน์ส่วนใหญ่เคยเจอสถานการณ์ถูกประแป้งที่ใบหน้า ร้อยละ 57.79 ถูกฉวยโอกาสแต๊ะอั๋ง/ลวนลาม ร้อยละ 32.43 และเด็กกลุ่มอายุต่ำกว่า 18 ปี เคยถูกประแป้งที่ใบหน้ามากที่สุด ร้อยละ 76.77
โดยพฤติกรรมการฉวยโอกาสแต๊ะอั๋ง/ลวนลามที่พบมากที่สุด คือ ถูกจับมือ/แขน/เบียดเสียด ร้อยละ 61.45 ถูกสัมผัสลูบไล้ร่างกาย ร้อยละ 37.19 ถูกจับแก้ม ร้อยละ 34.47 ใช้สายตาจ้องมอง แทะโลม ทําให้รู้สึกอึดอัด ไม่ปลอดภัย ร้อยละ 22.45 ถูกแซว/ล้อเลียนส่อไปในเรื่องเพศ ร้อยละ 21.54 และถูกสัมผัส/ล้วงอวัยวะอื่นๆ ที่เกินเลย ร้อยละ 16.55 และกลุ่มตัวอย่าง “รับรู้” ว่าการถูกลวนลาม/คุกคามทางเพศถือว่าเป็นการกระทําความผิดตามกฎหมายอาญา ร้อยละ 92.10 และเมื่อถามว่า ปี 2567 นี้จะออกไปเล่นน้ำสงกรานต์หรือไม่ พบว่า ร้อยละ 48.49 รอดูสถานการณ์/การจัดงาน/กิจกรรม ใกล้ ๆ ก่อน และไม่ออกแน่นอน ร้อยละ 37.70 สิ่งที่กังวลหรือห่วงใยในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ คือ ภัยอันตราย/อุบัติเหตุมากที่สุด ร้อยละ 85.06 การจราจรติดขัด ร้อยละ 52.03 น้ำไม่สะอาดและโรคที่มากับน้ำ ร้อยละ 47.12 สภาพอากาศร้อนและโรคที่มากับความร้อน ร้อยละ 43.72 การดื่มสุรา/น้ำกระท่อมทำให้ขาดสติ แล้วเกิดการทะเลาะวิวาท ร้อยละ 40.22 และการล่วงละเมิดทางเพศ ร้อยละ 34.13

ในส่วนของข้อเสนอแนะเกี่ยวกับปัญหาการลวนลามและการคุกคามทางเพศในเทศกาลสงกรานต์ อาทิ ให้ระมัดระวังตนเองขณะที่เล่นน้ำสงกรานต์ ร้อยละ 24.33 มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง เพิ่มบทลงโทษให้ชัดเจน และมีความรุนแรงมากขึ้น กับผู้ที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมหรือสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น ร้อยละ 15.97 เพิ่มเจ้าหน้าที่คอยดูแลและควบคุมสถานการณ์ตามจุดต่าง ๆ อย่างเข้มงวดและทั่วถึงทุกพื้นที่ รวมถึงให้ภาคประชาชนช่วยสอดส่องดูแล ร้อยละ 11.04 รณรงค์สร้างจิตสำนึกที่ดีในการเล่นน้ำสงกรานต์ โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของตนเองและผู้อื่น เช่น ไม่เล่นสาดน้ำรุนแรง ทะเลาะวิวาทมีปากเสียงกัน ประแป้งอย่างสุภาพ ร้อยละ 10.00 หลีกเลี่ยงการเล่นน้ำสงกรานต์ในพื้นที่ที่มีผู้คนหนาแน่นและเสี่ยงที่จะถูกลวนลาม ร้อยละ 8.06 จัดกิจกรรมเล่นน้ำสงกรานต์แบบขนบธรรมเนียมประเพณีไทยดั้งเดิม เพื่อสืบสานวัฒนธรรมที่ดีไว้อย่างต่อเนื่องทุกปี เช่น จัดเทศกาลสงกรานต์ตามแบบฉบับของชุมชนต่าง ๆ เพื่อสืบสานประเพณีเดิมไม่ให้สูญหายไป และให้คนรุ่นใหม่รักษาและสืบสานประเพณีสงกรานต์แบบดั้งเดิม ร้อยละ 7.01
TECNO แบรนด์สมาร์ทโฟนชั้นนำระดับโลก ฉลองเทศกาลช้อปปิ้งออนไลน์ 4.4 เอาใจสายช้อป มอบโปรโมชั่นดับร้อน ลดราคาสมาร์ทโฟนสูงสุด 30% พร้อมรับคูปองส่วนลดพิเศษอีก 2,000 บาท และรับฟรี! ลำโพงบลูทูธ Dynamic Flash มูลค่า 999 บาท ตั้งแต่วันนี้ - 4 เมษายน 2567 นี้เท่านั้น!
Shopee 4.4 ดีลร้อน ลดแรง พบกับ TECNO รุ่นยอดนิยมที่ร่วมรายการลดราคาพิเศษ 3 ต่อ
ต่อที่ 1 รับส่วนลดสินค้ามือถือสูงสุดถึง 25%
ต่อที่ 2 ส่วนลดคูปองจาก Tecno สูงสุดมูลค่า 450 บาท
ต่อที่ 3 ส่วนลดคูปองจาก Shopee สูงสุดมูลค่า 1,000 บาท หรือคูปองฟรีค่าจัดส่งสินค้า

TikTok 4.4 สาดโปร ดับดีลรับร้อน พบกับ TECNO รุ่นยอดนิยมที่ร่วมรายการลดราคาพิเศษ 5 ต่อ
ต่อที่ 1 รับส่วนลดสินค้ามือถือสูงสุดถึง 25%
ต่อที่ 2 ส่วนลดคูปองจากแคมเปญ Brand Crazy Deal 10%
ต่อที่ 3 ส่วนลดพิเศษเพิ่มเติมจาก TikTok Shop สูงสุดมูลค่า 325 บาท
ต่อที่ 4 ส่วนลดคูปองจาก Tecno สูงสุดมูลค่า 450 บาท
ต่อที่ 5 มอบดีลเด็ดฟรีค่าจัดส่งสินค้าจาก TikTok Shop
อย่าพลาดโอกาสเป็นเจ้าของสมาร์ทโฟน TECNO ในราคาสุดพิเศษ รีบช้อปเลย! ตั้งแต่วันนี้ - 4 เมษายน 2567 เท่านั้น สั่งซื้อสินค้าได้ที่ Shopee: https://shopee.co.th/tecnoth และ TikTok: https://www.tiktok.com/@tecnomobileth ดูรายละเอียดเพิ่มเติมหรือติดตามข่าวสารอื่น ๆ ของ TECNO ได้ที่เฟซบุ๊ก Facebook: www.facebook.com/tecnomobilethailand หรือเว็บไซต์ www.tecno-mobile.com/th/
กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) สานต่อคำมั่นสัญญาในการยืนหยัดเคียงข้างผู้ประกอบการ SME ไทยในทุกการก้าวผ่าน เผยกลยุทธ์กลุ่มงานลูกค้าธุรกิจ SME ในปี 2567 มุ่งมั่นสนับสนุนลูกค้าในการสร้างมูลค่าควบคู่กับการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับธุรกิจผ่านกลยุทธ์ 3GO ประกอบด้วย ‘GO Green, GO Digital และ GO Beyond’ นำเสนอโซลูชันที่ตอบโจทย์ครอบคลุมทั้งการดำเนินธุรกิจตามกรอบ ESG การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรม รวมถึงแพลตฟอร์มที่ช่วยสร้างโอกาสธุรกิจ เพื่อเตรียมความพร้อมให้ผู้ประกอบการสามารถปรับตัวรับโอกาสการเติบโตสู่ก้าวที่ยั่งยืนต่อไป
นางสาวดวงกมล ลิมป์พวงทิพย์ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านลูกค้าธุรกิจ SME ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ด้วยโอกาสและความท้าทายในหลากหลายมิติในช่วงปีที่ผ่านมา กรุงศรียังคงยืนหยัดเคียงข้างผู้ประกอบการในการรับมือกับความท้าทายที่เกิดขึ้นผ่านโซลูชันที่ครบวงจร และองค์ความรู้ต่างๆ ที่สอดคล้องกับความต้องการและกระแสของโลกธุรกิจ โดยในปี 2566 ยอดสินเชื่อกลุ่มลูกค้าธุรกิจ SME มีอัตราเติบโตอยู่ที่ 11% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สอดคล้องกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่กลับสู่ระดับก่อนเกิดการระบาดของโควิด และมียอดสินเชื่อคงค้างกว่า 339,000 ล้านบาท ซึ่งในจำนวนดังกล่าวเป็นยอดสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับนโยบายด้านความยั่งยืน (ESG Finance) ของกลุ่มลูกค้า SME มีมูลค่ารวมกว่า 6,100 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา”

สำหรับทิศทางการดำเนินงานและกลยุทธ์ในปี 2567 นี้ กรุงศรีพร้อมเดินหน้าส่งเสริมและสนับสนุนธุรกิจ SME ไทย ด้วยการสร้างมูลค่าเพิ่ม พร้อมผลักดันการดำเนินธุรกิจบนกรอบการพัฒนาอย่างยั่งยืน ผ่านกลยุทธ์ “3GO” โดยมีรายละเอียดดังนี้
“ท่ามกลางสภาวะทางเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวอย่างช้าๆ ประกอบกับปัจจัยการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยที่ยังคงมีความ ท้าทายอยู่อย่างต่อเนื่อง ในปีนี้เราจึงตั้งเป้าการเติบโตของสินเชื่อธุรกิจ SME ที่ระดับ 2-3% และกรุงศรีจะยังคงสานต่อการส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นมากกว่าสถาบันการเงิน ยืนหยัดเคียงข้างผู้ประกอบการให้สามารถดำเนินธุรกิจในทุกวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และพร้อมคว้าโอกาสการเติบโตสู่ก้าวที่ยั่งยืนต่อไป” นางสาวดวงกมล กล่าวปิดท้าย
โฮม่า (HOMA) คอมมิวนิตี้อพาร์ตเมนต์ ผู้นําที่อยู่อาศัยภายใต้แนวคิดการอยู่อาศัยแบบชุมชนในราคาที่เอื้อมถึงได้ สร้างสถิติใหม่ด้วยการประหยัดเงินทุนประมาณ 4 ล้านบาท และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 950 เมตริกตันในปี 2566 ภายใต้วิสัยทัศน์สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม นำร่องนวัตกรรมการก่อสร้างอาคารและการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน
โฮม่า นำพาอาคารสิ่งปลูกสร้างไปสู่มิติใหม่แห่งการขับเคลื่อนเชิงสิ่งแวดล้อม โดยการบูรณาการมาตรฐานการรับรองอาคารที่ยั่งยืนระดับโลก ยกระดับความรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) และการตลาดแบบ 'สีเขียว' เพื่อตอบสนองความต้องการและการเติบโตอย่างรวดเร็วของสาธารณชนต่อผลิตภัณฑ์และบริการที่ยั่งยืน
ในปี 2566 โฮม่าสาขาภูเก็ตทาว์น เปิดตัวเป็นสาขาแรกในจังหวัดภูเก็ต พร้อมกับโครงการสิ่งแวดล้อม เช่น การรีไซเคิลและการจัดการขยะอย่างครอบคลุม นำเสนอนวัตกรรมการอนุรักษ์น้ำระบบอัจฉริยะ พลังงานหมุนเวียนจากแผงโซลาร์เซลล์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดพลังงาน ซึ่งต่อมาที่โฮม่าสาขาที่สองในจังหวัดภูเก็ตที่สาขาเชิงทะเลเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในเดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยคาดการณ์การประหยัดเงินสูงถึง 2.5 ล้านบาทในปี 2567
คุณลูก้า ดอตติ ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการ HOMA กล่าวว่า “ในการพัฒนาโฮม่าเชิงทะเล เราได้นำกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จจากสาขาภูเก็ตทาว์นมาปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ประกอบด้วยการติดตั้งเครื่องฟอกอากาศสำหรับคุณภาพอากาศที่ดียิ่งขึ้น และฉนวนกันเสียงที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น มอบสภาพแวดล้อมที่ดีที่สุดให้กับผู้เข้าพัก ความมุ่งมั่นนี้ไม่เพียงช่วยเสริมสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกบ้านและลูกค้าเท่านั้น แต่ยังแสดงถึงการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งและการเรียนรู้จากประสบการณ์สำหรับความเชี่ยวชาญที่ยั่งยืน”
3 เสาหลักกลยุทธ์ความยั่งยืนของโฮม่า ได้แก่ การบูรณาการจัดหาเงินทุนที่เป็นไปตามหลัก ESG ซึ่งเน้นการพัฒนาที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม ความรับผิดชอบต่อสังคม และการบริหารจัดการที่มีธรรมาภิบาล รวมไปถึงการทำการตลาด 'สีเขียว' และการใช้โซลูชันที่เป็นรูปธรรม โครงการอพาร์ตเมนต์ของโฮม่าทุกแห่งได้รับการรับรองมาตรฐานอาคารสีเขียวระดับสากล LEED และ EDGE โดยความมุ่งมั่นนี้เสริมสร้างความยั่งยืนและเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้โฮม่าได้รับการสนับสนุนจากธนาคารอย่างต่อเนื่อง

คุณลูก้า กล่าวเสริมว่า “การเป็นธุรกิจที่ได้รับมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนแสดงถึงความมุ่งมั่นของเราในการอนุรักษ์ อีกทั้งยังเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือและการยอมรับในกลุ่มลูกค้า หุ้นส่วน และแหล่งเงินทุน ถือเป็นข้อได้เปรียบที่ทำให้โฮม่าเป็นผู้เล่นที่โดดเด่นในอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูง”
การเงินเพื่อความยั่งยืน: ปัจจัยใหม่ในการดึงดูดหุ้นส่วนการพัฒนา
โฮม่า ฉลองความสำเร็จของสินเชื่อสีเขียว หรือสินเชื่อเพื่อโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมมูลค่า 675 ล้านบาท ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เอเชีย นับเป็นก้าวย่างสำคัญจากการสนับสนุนของ UOB Real Estate Sustainable Finance Framework ในการร่วมมือครั้งแรกกับธนาคารในสิงคโปร์ ซึ่งปูทางให้โฮม่าโดดเด่นในเวทีการลงทุนด้วยการดำเนินการแบบ 'สีเขียว' ที่นำมาซึ่งการเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินและการลดต้นทุนการดำเนินงาน นับเป็นการยืนยันถึงการลงทุนที่มีความยั่งยืนและเป็นกลยุทธ์ระยะยาวสำหรับนักลงทุนที่มองเห็นความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
ผู้บริโภคหันมาให้ความสนใจธุรกิจสีเขียว: แนวโน้มใหม่ที่กำลังเป็นที่นิยม
ผู้บริโภคให้ความสำคัญต่อการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดย 80% ของผู้บริโภครุ่นใหม่หันมาสนับสนุนผลิตภัณฑ์และบริการที่ยั่งยืน แม้ความยั่งยืนอาจไม่ใช่ปัจจัยหลักในการเลือกที่อยู่อาศัย แต่โฮม่าค้นพบว่า การนำแนวปฏิบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความภักดี และเป็นเหตุผลที่ดีในการแชร์ประสบการณ์เกี่ยวกับโฮม่า ซึ่งช่วยรักษาและดึงดูดลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความยั่งยืนที่ปฏิบัติได้จริง
โฮม่า นำร่องเป็นที่อยู่อาศัยหลายครอบครัวแห่งแรกในประเทศไทยที่ได้รับการรับรองทั้ง LEED และ EDGE ควบคู่ไปกับการสนับสนุนทางการเงินจาก UOB ทำให้โฮม่าสาขาภูเก็ตทาวน์ได้มีการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์กว่า 240 kWp บนหลังคาและลานจอดรถ แนวคิดความยั่งยืนถูกประยุกต์ใช้ทุกมุมด้วยตู้กดน้ำบนทุกชั้นอาคาร การเก็บน้ำฝนและการนำน้ำสีเทากลับมาใช้ รวมถึงก๊อกน้ำและสุขภัณฑ์ประหยัดน้ำ ห้องพักติดตั้งเครื่องซักผ้า Energy Star ใช้ไฟ LED และกระจกประหยัดพลังงาน นอกจากนี้ อาคารยังได้รับการออกแบบให้ระบายอากาศตามธรรมชาติ พร้อมมีหม้อต้มน้ำแบบอินเวอร์เตอร์และหน่วย AC ที่ประหยัดไฟ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการช่วยลดค่าใช้จ่ายให้กับผู้อยู่อาศัย ในขณะที่ยกระดับความสะดวกสบายและสนับสนุนวิถีชีวิตที่ยั่งยืนต่อโลก
โฮม่า ขับเคลื่อนชุมชนสู่ความยั่งยืน นำชาวบ้านและผู้อยู่อาศัยร่วมมือทำความสะอาดชายหาดเดือนละครั้ง เพื่อชายหาดที่สะอาดและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ซึ่งกิจกรรมนี้ยังถือเป็นโอกาสให้ทุกคนในชุมชนได้มาพูดคุยและสร้างความสัมพันธ์กัน โครงการนี้แสดงถึงความพยายามของโฮม่าในการทำงานร่วมกับชุมชนและธุรกิจใกล้เคียง เพื่อให้บริเวณรอบ ๆ สะอาด และยังช่วยรวมเงินบริจาคให้กับองค์กรการกุศลในท้องถิ่น สร้างความสามัคคีและสนับสนุนจิตวิญญาณชุมชนไปพร้อมกัน
“การมุ่งเน้นความยั่งยืนในโครงการต่าง ๆ ช่วยให้เราลดต้นทุนการดำเนินงานได้อย่างชัดเจน ซึ่งเพิ่มกำไรและทำให้ที่อยู่อาศัยของเรามีคุณภาพสูงยิ่งขึ้น การดำเนินงานของเรายังส่งผลให้เกิดชุมชนที่แข็งแกร่งและมีส่วนร่วมมากขึ้น การเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนที่เราดำเนินงานอยู่นั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อเห็นผู้คนมารวมตัวกันเพื่อแสดงความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน เรามีความดีใจและตื่นเต้นอย่างยิ่งที่ได้เห็นความร่วมมือนี้จากทุกฝ่าย” คุณลูก้า กล่าว