

ละมุน เบบี้ รุกตลาดย้ำความเป็นผู้นำตลาดผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคสำหรับแม่และเด็ก เป็นผู้ช่วยคุณแม่ 1,000 วันแรกดูแลลูกน้อยอย่างต่อเนื่อง ทุ่มงบการตลาดทั้งออฟไลน์และออนไลน์ ตั้งเป้าโตสวนวิกฤตการเกิดต่ำ เปิดตัวสินค้าใหม่ ละมุน ออร์แกนิค ซูตติ้ง ครีม ครีมลดผื่นจากสารสกัดธรรมชาติ เหมาะสำหรับเด็กและผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย พร้อมดึงก้อย รัชวิน เป็นพรีเซนเตอร์ ละมุน ถุงเก็บน้ำนม
นางสาวเนตรนพิศ รุ่งธนเกียรติ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดและผู้ก่อตั้ง บริษัท ละมุน เบบี้ จำกัด กล่าวว่า “ถึงแม้ปัจจุบันกระแสเด็กเกิดใหม่น้อยและมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องทุกปี แต่ไม่ได้มีผลกระทบกับทางแบรนด์ในภาพรวม เนื่องจากกลุ่มลูกค้าของละมุนเป็นคุณแม่ที่มีกำลังซื้อ ให้ความสำคัญกับคุณภาพของสินค้ามากกว่าราคา เมื่อใช้แล้วชื่นชอบจะมีการซื้อซ้ำตลอด และยังแนะนำเพื่อนที่เป็นคุณแม่มือใหม่ให้ทดลองใช้ จึงช่วยเพิ่มฐานลูกค้าที่มีคุณภาพของละมุนมาโดยตลอด
สำหรับปี 2567 ละมุน เบบี้ ตั้งเป้าเติบโตกว่า 20% หรือมากกว่า 250 ล้านบาท ด้วยสินค้ากลุ่ม Personal Care เป็นกลุ่มสินค้าที่เติบโตมากที่สุด ทั้งปัจจัยทางด้านสิ่งแวดล้อม อาทิ ฝุ่น pm2.5 และมลพิษทางอากาศ ส่งผลให้สินค้ากลุ่มนี้เติบโตต่อเนื่องตลอด 3 ปีที่ผ่านมา โดยปีนี้ทางบริษัทฯ มีแผนการตลาดเชิงรุกทั้งออฟไลน์และออนไลน์ที่เข้มข้นกว่าปีที่แล้ว ด้วยงบการตลาดที่มากกว่าปีที่แล้วถึง 10% พร้อมกับการสร้างคอมมูนิตี้คุณแม่ละมุนในรูปแบบสมาชิกและ Open Chat เพื่อแจ้งโปรโมชั่น และกิจกรรมการตลาดให้คุณแม่แบบ Exclusive ก็ได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ละมุนยังรักษาฐานการเป็นผู้ช่วยคุณแม่ปั๊มนมด้วย ถุงเก็บน้ำนม คอลเลคชั่นใหม่ Sweet Cottage ด้วยแรงบันดาลใจจาก English Garden อบอุ่น น่ารัก มาพร้อมกับผ้าคลุมให้นมและกระเป๋าเก็บอุณหภูมิ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับคุณแม่ปั๊มนม ในงานนี้ละมุนได้เปิดตัว Brand Ambassador ถุงเก็บน้ำนม คอลเลคชั่น Sweet Cottage ด้วยคุณแม่ดาราคนสวย คุณก้อย รัชวิน คงมาลัย คุณแม่ที่ให้ความสำคัญในการให้ลูกทานนมแม่ และเป็นหนึ่งในคุณแม่ละมุนผู้ใช้จริงตั้งแต่น้องทะเล พร้อมกับการบอกเคล็ดลับการเลี้ยงลูกสไตล์คุณก้อยในงานอีกด้วย

ด้วยความมุ่งมั่นในการทำผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคคุณภาพมาตลอด 13 ปี มีคุณแม่ละมุนจำนวนมากเรียกร้องให้ละมุนทำครีมลดผื่น เพราะให้ลูกใช้หลายยี่ห้อแล้วก็ไม่หาย คุณแม่ก็ไม่อยากรักษาด้วยยาหรือครีมที่ผสมสเตียรอยด์ เพราะกลัวว่า จะสะสมและเป็นผลเสียต่อลูกในระยะยาว และวันนี้ละมุนพร้อมแล้วกับ ละมุน ออร์แกนิค ซูตติ้ง ครีม เนเชอรัล แอนตี้ ฮีสตามีน ครีมลดผื่นจากสารสกัดธรรมชาติ ช่วยลดอาการแพ้ต่าง ๆ อาทิ ผื่นร้อน ผื่นแพ้สารเคมี ผื่นผ้าอ้อม ผื่นแพ้ผิวหนัง ลมพิษ ตุ่มคันจากแมลงได้ถึง 3 ระดับ ทั้งการแพ้แบบเฉียบพลัน แพ้แบบเรื้อรังและการแพ้ระดับภูมิคุ้มกัน ด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ ใช้ได้ตั้งแต่เด็กแรกเกิดจนถึงผู้ใหญ่ ผู้มีอาการแพ้ สามารถใช้ได้บ่อยเท่าที่ต้องการ ในราคาที่จับต้องได้ ผลิตภัณฑ์นี้ละมุนทุ่มเทกับการวิจัย และค้นหาส่วนผสมที่ดีที่สุดมาหลายปี ต้องแก้ปัญหาที่ต้นตออย่างตรงจุด ที่สำคัญต้องมาจากธรรมชาติ ด้วยผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้ในท้องตลาดส่วนใหญ่จะมีส่วนผสมของสเตียรอยด์ ซึ่งอาจมีผลข้างเคียงเมื่อใช้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน จนอาจทำให้ดื้อยาใช้แล้วไม่เห็นผล รวมทั้งอาการรุนแรงจนเกิดอาการผิวด่างได้

คุณแม่สามารถเลือกสรรผลิตภัณฑ์ละมุน เบบี้ เพื่อสิ่งดีที่สุดสำหรับลูกน้อยได้ที่ ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ อาทิ เซ็นทรัล โรบินสัน ท้อปส์ ซุปเปอร์มาร์เก็ต บิ๊กซี โฮมโปร ร้านยาชั้นนำ ตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ รวมทั้ง Official Store ทาง Lazada, Shopee และ LINE @lamoonbaby พร้อมสมัครสมาชิก Lamoon Baby club เพื่อรับสิทธิประโยชน์มากมาย และคุณแม่ละมุนสามารถติดตามกิจกรรมและข่าวสารต่าง ๆ ได้ทางFacebook: www.facebook/LamoonBaby , Instagram: Lamoonbaby, Tiktok:@lamoonbabyofficial และ Website: www.lamoonbaby.com
กรุงเทพประกันชีวิต รับมอบรางวัล Most Admired Brand Award 2024 หรือ “สุดยอดแบรนด์ที่ครองใจผู้บริโภค” บนเวทีประกาศรางวัล Thailand Top Company Awards จัดโดยนิตยสาร BUSINESS+ ร่วมกับ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ภายใต้แนวคิด “The Future of AI-Enabled Enterprises” ตอกย้ำถึงความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินและสุขภาพให้กับผู้บริโภคคนไทย ต่อยอดแคมเปญ “ใส่ใจ” ที่มาพร้อมสิทธิประโยชน์ใหม่ๆ ด้วยจุดยืนที่มุ่งมั่นจะเป็น The Most Caring Insurance Brand แบรนด์ที่ดูแลใส่ใจลูกค้ามากกว่าแค่การประกันชีวิต
นายโชน โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงรางวัล Most Admired Brand Award 2024 หรือ “สุดยอดแบรนด์ที่ครองใจผู้บริโภค” ว่า กรุงเทพประกันชีวิตมีความภูมิใจกับรางวัลดังกล่าวซึ่งสะท้อนถึงการมีผลการดำเนินงานอันยอดเยี่ยมและมีความเป็นเลิศ ตอกย้ำถึงความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจด้วยความมุ่งมั่นในการสร้างความมั่นคงทางการเงินและสุขภาพให้กับผู้บริโภคคนไทยมาตลอด 73 ปี และจากปี 2565 ที่กรุงเทพประกันชีวิตเปิดตัวแคมเปญ “ใส่ใจ” เราเดินหน้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยกลยุทธ์จากนี้ไป เราจะมุ่งเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยการเป็นแบรนด์ที่ “ใส่ใจ” และให้การดูแลลูกค้ามากกว่าการประกันชีวิต หรือ “The Most Caring Insurance Brand” ซึ่งจะสร้างความแตกต่างและส่งมอบประสบการณ์เกินกว่าลูกค้าคาดหวังใน 3 เรื่อง คือ

“เรื่องที่ 3 เป็นจุดเด่นของเราในเรื่องการบริการเสริมด้านสุขภาพ ซึ่งเรียกว่า BLA EveryCare ที่มอบการดูแลสุขภาพลูกค้าแบบครบวงจร ตั้งแต่ก่อนเจ็บป่วย ด้วยบริการ Health Partner ซึ่งเรามีศูนย์บริการทางการแพทย์ให้ลูกค้าสามารถติดต่อสอบถามวิธีการดูแลสุขภาพ หรือขณะเจ็บป่วย หรือเหตุฉุกเฉิน ด้วยบริการ BLA Medevac Hotline สายด่วนที่พร้อมบริการรถพยาบาลจากเครือโรงพยาบาล BDMS ทั่วประเทศ รวมทั้งบริการ Pre-Authorization หรือการอนุมัติค่ารักษาพยาบาล ที่ลูกค้าสามารถวางแผนล่วงหน้าได้ ตลอดจนมีบริการ Driving Home นำส่งผู้ป่วยกลับบ้าน พร้อมดูแลติดตามอาการจากทีมแพทย์เพื่อฟื้นฟู หรือกายภาพบำบัดอีก ผ่านบริการ Home Health Care อีกด้วย” นายโชนกล่าว

ด้านนางสาวอรนาฎ นชะพงษ์ ผู้อำนวยการอาวุโส สายกลยุทธ์การตลาดและบริหารจัดการลูกค้า เปิดเผยว่า ในปีนี้กรุงเทพประกันชีวิตได้รับรางวัล Most Admired Brand เป็นครั้งแรก จากที่เคยรับรางวัลจากเวทีนี้ 4 ปี ติดต่อกันในประเภทรางวัล Most Trusted Brand Award และ Most Admired Company Award ซึ่งทั้งหมดล้วนนำมาซึ่งความภูมิใจของคนในองค์กร และเป็นเครื่องยืนยันถึงมาตรฐานของคุณภาพสินค้าหรือการบริการที่ดี ภายใต้เจตนารมย์แบรนด์กรุงเทพประกันชีวิต คือ เข้าใจ ในความต้องการที่แตกต่างจึงพัฒนาแบบประกันที่หลากหลายเพื่อตอบสนองเป้าหมายทั้งการเงินและสุขภาพของคนทุกเจน จริงใจ ในการสื่อสารที่ชัดเจนและตรงใจลูกค้าและผู้บริโภค และ ใส่ใจ กับคุณภาพการบริการทุกช่องทางทั้งก่อนหรือหลังการขาย
“เราขอขอบคุณผู้จัดงานที่มองเห็นสิ่งที่เรามุ่งมั่นตั้งใจทำซึ่งทำให้เรามีกำลังใจในการสานต่อสิ่งดี ๆ ต่อไป และ ในปีนี้ เรายังคงสื่อสารแบรนด์ด้วยแคมเปญ “ใส่ใจ” เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและให้ผู้บริโภคมองเห็นจุดแข็งที่แตกต่างของกรุงเทพประกันชีวิต ซึ่งความ “ใส่ใจ” เป็นเสียงสะท้อนที่เราได้รับมาจากลูกค้าถึงการได้รับประสบการณ์ที่ดีผ่านผลิตภัณฑ์ บริการต่างๆ รวมทั้งบริการเสริม BLA EveryCare ที่มอบการดูแลมากกว่าที่ลูกค้าคาดหวัง นอกจากนี้ ลูกค้ายังมองเห็นถึงความจริงใจและใส่ใจของตัวแทนกรุงเทพประกันชีวิตโดยเฉพาะในช่วงที่ประสบปัญหาและได้รับการดูแลอย่างทันท่วงที และที่พิเศษสำหรับปีนี้ เรายังเพิ่มความสัมพันธ์กับลูกค้าผ่านสิทธิประโยชน์ต่างๆให้ลูกค้าได้เลือกสรรตามไลฟ์สไตล์เพื่อสร้างความสุขและอุ่นใจ ตอกย้ำจุดยืนของกรุงเทพประกันชีวิตที่มุ่งมั่นจะเป็น The Most Caring Insurance Brand หรือแบรนด์ที่ดูแลใส่ใจลูกค้ามากกว่าแค่การประกันชีวิต” นางสาวอรนาฎกล่าวในที่สุด
บริษัท เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ FWD ประกันชีวิต มอบเวชภัณฑ์ที่จำเป็น เพื่อสนับสนุนหน่วยงานที่ปฏิบัติหน้าที่ป้องกันไฟป่า ในเขตอุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปก จังหวัดเชียงใหม่ โดยมี นายดำรงค์ จักรมานนท์ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปก เป็นตัวแทนรับมอบ เพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับเจ้าหน้าที่ อาสาสมัคร และบุคลากร จากหน่วยงานต่างๆ ที่ได้รับบาดเจ็บจากการเข้าปฏิบัติหน้าที่
ทั้งนี้ FWD ประกันชีวิต ให้ความสำคัญในการสร้างประโยชน์ให้สังคมอยู่ได้อย่างยั่งยืน โดยมีกรอบแนวคิดในการสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืน 3 ด้าน คือ สังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม
“แอล ดับเบิลยู เอส” แนะ 5 แนวทางในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ภายใต้สภาวะที่เผชิญกับภาวะโลกร้อนในปัจจุบันและอนาคต
นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่นส์ จำกัด บริษัทวิจัยและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือบริษัท แอล พี เอ็น ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) ให้ความเห็นถึงแนวทางการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ทั้งโครงการประเภทที่อยู่อาศัยและอาคารในเชิงพาณิชย์ ภายใต้สถานการณ์ที่ประเทศไทยและทั่วโลกกำลังเผชิญกับภาวะโลกร้อน (Global Warming) ที่ทำให้สภาพอากาศเกิดการเปลี่ยนแปลง (Climate Change) เป็นภาวะที่ทำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อวิถีชีวิตและการอยู่อาศัยของผู้คนในสังคม บริษัทอสังหาริมทรัพย์ในฐานะผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยและอาคารประเภทต่างๆ เพื่อการใช้งานของผู้คนในสังคมจำเป็นที่จะต้องปรับกลยุทธ์และแนวทางในการพัฒนาโครงการเพื่อให้สอดคล้องกับบริบทของสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป โดยแนวทางในการพัฒนาโครงการเพื่อให้ตอบโจทย์กับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบันและอนาคตประกอบด้วย 5 แนวทางหลักได้แก่

1.การประเมินความเสี่ยงของโครงการที่จะเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม
ผู้ประกอบการอสังหาฯ ควรทำการประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับโครงการที่จะพัฒนาโดยสามารถใช้เครื่องมือหรือมาตรฐานต่างๆ เพื่อช่วยในการประเมินความเสี่ยง เช่น การใช้มาตรฐานการจัดการความเสี่ยง ISO 31000 ช่วยในการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ และผลที่ตามมาจากภัยพิบัติต่างๆ เช่น พายุ คลื่นความร้อน ภัยแล้ง ไฟป่า นอกจากนี้ยังสามารถพิจารณาจากสถานที่ตั้ง การออกแบบ อายุการใช้งานของอาคาร ตลอดจนความต้องการของผู้ใช้งานอาคารได้ด้วย
2.กำหนดมาตรการการลดทอนผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศ (Mitigation)
ผู้ประกอบการสามารถที่จะพัฒนาโครงการโดยใช้มาตรการที่บรรเทาหรือลดการผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยแนวทางในการพัฒนาอาคารภายใต้แนวคิดอาคารประหยัดพลังงานเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของอาคาร รวมไปถึงบริหารจัดการการใช้ทรัพยากรภายในอาคารอย่างมีประสิทธิภาพ เนื่อจากปัจจุบันมีนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อใช้ในการก่อสร้างอาคารที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้มากขึ้น โดยแนวทางในการทำงานประกอบด้วย

2.1 กำหนดเป้าหมายและดำเนินการลดการใช้พลังงานและน้ำภายในอาคารอย่างมีประสิทธิภาพ การใช้พลังงานและการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพสามารถลดปริมาณการใช้พลังงาน ลดค่าใช้จ่าย และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยการปรับปรุงระบบไฟฟ้าแสงสว่าง ระบบปรับอากาศ และระบบการระบายอากาศ สุขภัณฑ์ประหยัดน้ำ ที่ใช้พลังงานและน้ำต่ำ
2.2 กำหนดแผนการตรวจสอบการใช้พลังงานอาคาร ปรับปรุง และซ่อมบำรุงรักษาระบบอย่างสม่ำเสมอ
2.3 เลือกใช้พลังงานทดแทน เพื่อส่งเสริมการลดการใช้พลังงานอาคาร
2.4 กำหนดมาตรการบริหารจัดการขยะภายในโครงการเพื่อลดการนำออกของขยะ ซึ่งทำให้เกิดการใช้พลังงานความร้อนในการย่อยสลายขยะ และลดการฝังกลบของขยะชุมชนเมือง
2.5 กำหนดมาตราการรับมือภัยพิบัติ เช่น การเกิดน้ำท่วม ภัยแล้ง การขาดแคลนน้ำใช้

3.กำหนดมาตรการในการพัฒนาโครงการให้สามารถอยู่ในสภาวะที่สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงได้ภายใต้แนวคิดของการออกแบบอาคารแบบอาคารเขียว (Green Building) ซึ่งมีแนวทางในการออกแบบดังต่อไปนี้
3.1 การออกแบบและพัฒนาโครงการ โดยออกแบบผังอาคาร กรอบอาคาร ระบบประกอบอาคารอาคาร และเลือกใช้วัสดุทดแทน ที่มีประสิทธิภาพเพื่อให้อาคารสามารถปรับตัวตามสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปได้
3.2 การลงทุนใช้เทคโนโลยีอาคารที่ส่งเสริมให้การบริหารอาคารเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การออกแบบอาคารอัจฉริยะการติดตั้งเซ็นเซอร์ตรวจวัดปริมาณการระบายอากาศ หรือคุณภาพอากาศ เป็นต้น
3.3 การออกแบบผังรวมโครงการ เพื่อลดการเกิดเกาะความร้อนในเมือง เพิ่มพื้นที่สีเขียว และเลือกใช้วัสดุปูพื้นดาดแข็งที่ไม่สะสมความร้อน
3.4 การออกแบบส่วนกลางที่ส่งเสริมการใช้ขนส่งสาธารณะและพาหนะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โครงการควรมีการออกแบบทางเท้าเพื่อส่งเสริมการเดินเท้า ส่งเสริมการใช้ขนส่งสาธารณะและเลือกใช้รถยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เช่น การอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้รถยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีจุดจอดรถยนต์ ECO รถยนต์ไฟฟ้า โดยจัดพื้นที่จอดรถไว้ใกล้กับทางเข้าออกอาคารและมีการจัดเตรียมอุปกรณ์ชาร์ตไฟฟ้า การจัดให้มีพื้นที่จอดจักรยาน และห้องอาบน้ำ การจัดให้มีรถยนต์รับส่งจากขนส่งสาธารณะมายังโครงการ
4.สร้างความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการ ลูกค้า และคู่ค้า เพื่อกำหนดเป้าหมายไปในทิศทางเดียวกัน
การวางแผนบริหารจัดการอาคารจะไม่มีทางสำเร็จเลยหากปราศจากความร่วมมือจากผู้ใช้งานภายในโครงการ ทั้งเจ้าของโครงการ ผู้เช่า เจ้าหน้าที่ หรือแม้กระทั้งชุมชนโดยรอบโครงการ ซึ่งผู้บริหารจัดการโครงการจะต้องสร้างเครือข่ายให้เกิดการทำงานร่วมกัน ส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนมีความเข้าใจและเห็นความสำคัญของมาตรการต่างๆของโครงการ เช่น การส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ให้มีการแยกขยะภายในโครงการ การประชาสัมพันธ์ให้ความรู้เกี่ยวกับความยั่งยืน

5.เรียนรู้และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
ในท้ายที่สุดนี้ โครงการจะต้องมีการติดตามผลการดำเนินการ การประเมินผล ซึ่งผู้บริหารจัดการอาคารต้องศึกษาหาความรู้โดยอาจดูจากแนวโน้มต่างๆ งานวิจัย การติดตามข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพอากาศ รวมถึงการสำรวจความเห็นผลดำเนินการจากทุกภาคส่วนทั้งผู้เช่า เจ้าหน้าที่ และพนักงาน เพื่อใช้ในการปรับปรุงมาตรการให้เข้ากับสถานการณ์ต่างๆ มากขึ้น
จากผลการศึกษาของ Global Climate Risk จาก Germanwatch ระบุว่าประเทศไทยถูกจัดให้อยู่ในอันดับ 9 ของประเทศที่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติมากที่สุดจากภาวะโลกร้อน และหากอุณหภูมิยังสูงขึ้นแบบนี้ต่อไป ภายในปี พ.ศ. 2593 (ค.ศ.2050) กรุงเทพมหานครทั้งเมืองอาจจะเกิดน้ำท่วมถาวรจากการที่ระดับน้ำทะเลสูงตัวขึ้นเอ่อล้นเข้าสู่ตัวเมืองจากชายฝั่ง จากผลการศึกษาดังกล่าว จำเป็นที่ประเทศไทยต้องมีแนวทางในการรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ในขณะที่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในฐานะที่เป็นผู้ที่มีส่วนร่วมที่สำคัญในการพัฒนาเมืองจากแนวทางการพัฒนาที่อยู่อาศัย ซึ่งจากรายงานล่าสุดของกระทรวงพลังงานพบว่า ปี พ.ศ.2566 การใช้พลังงานไฟฟ้าในภาคพาณิชยกรรม และที่พักอาศัยมีการใช้พลังงานไฟฟ้ารวมกันสูงถึง 50.6% ของการใช้พลังงานไฟฟ้าทั้งประเทศ ดังนั้นการพัฒนาอาคารทั้งอาคารในเชิงพาณิชย์และอาคารที่อยู่อาศัยให้สามารถประหยัดพลังงานได้จะเป็นประโยชน์และมีส่วนช่วยในการลดภาวะโลกร้อนได้
“ภาวะโลกร้อนไม่ใช่เรื่องไกลตัว เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องตระหนักถึงปัญหาและมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา ผู้ประกอบการอสังหาฯ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของภาคสังคมที่สามารถจะเข้ามามีส่วนช่วยในการแก้ไขปัญหานี้ได้ การปรับกลยุทธ์และแนวทางในการพัฒนาโครงการโดยคำนึงถึงสภาพแวดล้อมโดยการนำนวัตกรรมมาใช้เพื่อสร้างอาคารและที่อยู่อาศัยที่ประหยัดพลังงานจึงเป็นแนวทางสำหรับผู้ประกอบการอสังหาฯ ในการพัฒนาโครงการภายใต้แนวคิดที่รับผิดชอบต่อสังคมอย่างยั่งยืน” นายประพันธ์ศักดิ์ กล่าว
ไทยน้ำทิพย์ ผู้นำอุตสาหกรรมเครื่องดื่มในประเทศไทย ร่วมกับ มหาวิทยาลัยบูรพา (คณะวิศวกรรมศาสตร์) ลงนามบันทึกความเข้าใจพัฒนาหลักสูตรการเรียนรู้ร่วมกัน เปิดโอกาสให้นิสิตมหาวิทยาลัยบูรพาศึกษาดูงานและปฏิบัติงานในโรงงานผลิตของไทยน้ำทิพย์ ที่มีการดำเนินการและได้การรับรองมาตรฐานระดับโลก พร้อมทั้งพัฒนาหลักสูตรอบรมระยะสั้นตามความต้องการพัฒนาบุคลากรของไทยน้ำทิพย์ เพิ่มทักษะความรู้เฉพาะทางด้านวิศวกรรม และสามารถเก็บหน่วยกิตในการศึกษาต่อเพื่อได้รับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยบูรพาต่อไป สอดคล้องกับความมุ่งมั่นของไทยน้ำทิพย์ที่ดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานความยั่งยืน ซึ่งรวมถึงการมอบโอกาสในการพัฒนาและเติบโตของพนักงานควบคู่ไปกับการเติบโตของธุรกิจ และส่งเสริมการยกระดับบุคลากรของไทยให้มีความรู้ ความสามารถ สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล

คุณชาญวิทย์ ชรินธร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส-ซัพพลายเชน บริษัท ไทยน้ำทิพย์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า “ไทยน้ำทิพย์ มีโรงงาน 5 แห่ง ที่ทำหน้าที่ผลิตเครื่องดื่มแบรนด์ระดับโลกและเป็นจุดเริ่มต้นของการส่งมอบความสุขและความสดชื่นให้กับผู้บริโภคในประเทศไทย เรามีความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างยั่งยืน จึงเป็นที่มาของความร่วมมือทางวิชาการในครั้งนี้ เพราะการยกระดับมาตรฐานการทำงานและสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพ นอกจากจะส่งเสริมให้การดำเนินธุรกิจก้าวหน้าทัดเทียมนานาชาติแล้ว ยังเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาทรัพยากรบุคคลของไทยต่อไปในอนาคต การร่วมมือกันระหว่างไทยน้ำทิพย์และมหาวิทยาลัยบูรพา จะนำมาซึ่งประโยชน์ในการแลกเปลี่ยนความรู้ ความเชี่ยวชาญ และโอกาสในการศึกษาจากการลงมือทำงานในธุรกิจที่มีมาตรฐานการผลิตระดับโลก ไทยน้ำทิพย์ มีความยินดีและภูมิใจที่เป็นส่วนหนึ่งในการร่วมพัฒนานิสิตให้มีความรู้ ความสามารถ และพร้อมเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทยต่อไป”

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ณยศ คุรุกิจโกศล คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา กล่าวว่า “การบูรณาการความเชี่ยวชาญระหว่างสถาบันอุดมศึกษาและภาคเอกชน จะช่วยยกระดับมาตรฐานการพัฒนานิสิตให้มีความรู้และทักษะรอบด้าน ทั้งความรู้ในเชิงวิชาการและประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญจริง ความร่วมมือทางวิชาการในครั้งนี้ จะช่วยผลักดันการพัฒนานิสิตให้มีความพร้อมสำหรับการทำงานในอนาคต ต่อยอดความรู้ผ่านการศึกษาดูงานและฝึกประสบการณ์จริงในโรงงานผลิตของไทยน้ำทิพย์ในรูปแบบสหกิจศึกษา และร่วมกันศึกษากระบวนการผลิตหรือกระบวนการอื่นที่เกี่ยวข้อง ให้เกิดการต่อยอดการทำวิจัยและการพัฒนานวัตกรรม สำหรับนิสิตและบุคลากรของมหาวิทยาลัยบูรพาและบุคลากรของไทยน้ำทิพย์ เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนร่วมในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความเชี่ยวชาญในครั้งนี้ ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญในการผนึกกำลังเพื่อผลักดันการพัฒนาทรัพยากรบุคคลของประเทศ และยังช่วยส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมของอุตสาหกรรมเครื่องดื่มในไทยอีกด้วย”

พิธีลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่าง บริษัท ไทยน้ำทิพย์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กับ มหาวิทยาลัยบูรพา จัดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่ไทยน้ำทิพย์ โรงงานรังสิต โดยมี คุณชาญวิทย์ ชรินธร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส-ซัพพลายเชน บริษัท ไทยน้ำทิพย์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ณยศ คุรุกิจโกศล คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ร่วมลงนาม