

เอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นางสาวญดา วงศ์ทองคำ รองผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายบริหารสิทธิพิเศษและกิจกรรม ร่วมงานแถลงข่าวเปิดตัวผู้สนับสนุนสโมสรบีจี ปทุม ยูไนเต็ด ประจำฤดูกาล 2023/2024 อย่างเป็นทางการ โดยมีนายศุภสิน ลีลาฤทธิ์ รองประธานสโมสรฯ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สโมสรบีจี ปทุม ยูไนเต็ด ขึ้นกล่าวขอบคุณผู้สนับสนุน รวมถึงพันธมิตรของสโมสรฯ พร้อมมอบของที่ระลึกให้แก่ผู้บริหาร และตัวแทนผู้สนับสนุนสโมสรบีจี ปทุม ยูไนเต็ด อย่างเป็นทางการ เพื่อร่วมสร้างความสำเร็จและส่งเสริมด้านกีฬาฟุตบอลของไทยให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นต่อไปด้วยกัน สอดคล้องกับคำมั่นสัญญาของเอไอเอ ‘Healthier, Longer, Better Lives – เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น’ โดยงานจัดขึ้น ณ สนามบีจี สเตเดี้ยม เมื่อเร็ว ๆ นี้
ท่ามกลางกระแสรักษ์โลก ที่ทุกภาคส่วนในสังคมกำลังมุ่งมั่นเดินหน้าไปสู่การสร้าง “สังคมคาร์บอนต่ำ” มีหลายธุรกิจชั้นนำระดับโลกที่พัฒนานวัตกรรมคาร์บอนต่ำให้เกิดขึ้นจริงแล้ว และนำมาแบ่งปันแนวคิด สร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนมาร่วมก้าวไปพร้อมกัน ในงาน ESG Symposium 2023: ร่วม เร่ง เปลี่ยนสู่สังคมคาร์บอนต่ำ เมื่อไม่นานนี้
ขนส่งและเดินทางด้วย “รถประหยัดพลังงาน (Green Logistic)”
ปัจจุบัน เราอยู่ในยุคของความเป็นกลางทางคาร์บอน และมีความต้องการที่ต้องเปลี่ยนยานยนต์ทุกคันเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ BEV และพลังงานสะอาด ซึ่งในประเทศไทยเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องตามนโยบายของภาครัฐ
มร.ฮิโรกิ นาคาจิม่า กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท Commercial Japan Partnership Technologies Corporation (CJPT) และรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น กล่าวว่า การบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนไม่ใช่สิ่งที่บริษัทเดียวจะทำได้โดยลำพัง จึงได้มีการริเริ่มความร่วมมือกับระหว่างบริษัทรถยนต์เชิงพาณิชย์ในประเทศญี่ปุ่นและได้ก่อตั้งบริษัทภายใต้ชื่อ “Commercial Japan Partnership Technologies Corporation หรือ CJPT” เพื่อผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้รถที่มีเทคโนโลยีหลากหลาย รวมถึงรถจากพลังงานสะอาด และรถที่มีคาร์บอนต่ำ เพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนและเพิ่มประสิทธิภาพในภาคการขนส่ง โดยได้ขยายความร่วมมือดังกล่าวมายังประเทศไทย ซึ่งเป็นฐานการผลิตในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และระดับโลก “Detroit of Asia” สำหรับรถยนต์เชิงพาณิชย์

นอกจากนี้ มร.นาคาจิม่ายังได้เปิดเผยถึงความร่วมมือที่บริษัท CJPT มีความร่วมมือกับกลุ่มเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) และเอสซีจี เพื่อผลักดันให้ไทยบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน ด้วยการพัฒนานวัตกรรมรักษ์โลก 3 ด้าน ได้แก่ ด้านพลังงาน ทั้งการผลิตพลังงานไฮโดรเจนจากชีวมวล และอาหารเหลือทิ้ง รวมถึงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานน้ำ ด้านการใช้ข้อมูล (Big Data) และโครงสร้างพื้นฐานด้านการโทรคมนาคม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในภาคการขนส่งและโลจิสติกส์ และด้านการเดินทาง โดยการนำเสนอยานยนต์ไฟฟ้าที่หลากหลาย ได้แก่ รถพลังงานไฟฟ้าแบบไฮบริด (HEVs) รถยนต์พลังงานไฟฟ้า (BEVs) รถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบเซลล์เชื้อเพลิง (FCEVs) รวมถึงยานยนต์ที่ประหยัดน้ำมัน ซึ่งสอดคล้องกับด้านพลังงาน ลูกค้า รวมทั้งรูปแบบที่เหมาะสมในการใช้งาน
โดยในความร่วมมือกับกลุ่มเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) บริษัท CJPT ได้ร่วมมือในการผลิตพลังงานไฮโดรเจนที่มาจากพลังงานไบโอก๊าซ หรือ “ก๊าซชีวภาพ” ซึ่งหมักโดยใช้มูลไก่จากฟาร์มของ CP และนำไปใช้ในภาคขนส่ง ซึ่งเป็นการนำของเสียจากการผลิตภาคการเกษตรมาเพิ่มมูลค่า และใช้ประโยชน์ให้เป็นพลังงานสะอาดสำหรับรถพลังงานเซลล์เชื้อเพลิง (FCEVs) ซึ่งถือเป็นการช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและลดโลกร้อนได้ด้วย
ส่วนกรณีศึกษาในประเทศญี่ปุ่น มร.นาคาจิม่าเล่าว่า กรณีแรกคือ CJPT ได้ริเริ่มให้มีการใช้ “ไฮโดรเจน” ในเมืองฟุกุชิมะ ในรถบรรทุกพลังงานไฟฟ้าแบบเซลล์เชื้อเพลิง (FCEV) ซึ่งใช้เป็นร้านสะดวกซื้อและการขนส่ง สำหรับประชากรกว่า 300,000 คน โดยสามารถขยายไปสู่เมืองอื่น ๆ ได้ในอนาคต
กรณีที่สองคือ ในกรุงโตเกียว ที่ CJPT ร่วมมือกับบริษัทต่าง ๆ รวมถึงการสนับสนุนจากทางภาครัฐ ในการส่งเสริมการสร้างสถานีชาร์จสำหรับรถ BEV และไฮโดรเจนสำหรับรถ FCEVs เพื่อขยายการใช้รถยนต์พลังงานสะอาด ขณะเดียวกันกระจายการใช้พลังงาน

เร่งเครื่อง “พลังงานสะอาด”
จากการที่ภาคอุตสาหกรรม จำเป็นต้องใช้พลังงานความร้อนในการผลิต แต่ในยุคที่ทั่วโลกเริ่มปรับตัวมาใช้พลังงานสะอาดแทน จอห์น โอดอนเนลล์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท Rondo Energy กล่าวว่า ถึงแม้การเปลี่ยนผ่านนี้ถือเป็น “โจทย์ยาก” แต่สามารถเป็นไปได้
โอดอนเนลล์ อธิบายว่า ไทยเป็นตลาดสำคัญของบริษัทในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานพลังงานใหญ่ระดับโลกเพื่อนำไปสู่พลังงานสะอาด ซึ่งบริษัทกำลังทำงานกับเอสซีจีเพื่อผลักดันให้ภาคอุตสาหกรรมในไทยใช้พลังงานสะอาดและต้นทุนต่ำ ที่สำคัญ “เมื่อรักษ์โลกแล้ว ต้องทำเงินได้ด้วย”
“การสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานนั้นแม้เป็นเรื่องยาก แต่ก็เป็นโอกาสเช่นกัน เพราะปัจจัยพื้นฐานในปัจจุบันเปลี่ยนไปแล้ว” โอดอนเนลล์กล่าว “แหล่งพลังงานสะอาดทั้งจากแสงแดดและลมขณะนี้ถือว่าต้นทุนต่ำมาก ๆ อยู่ที่ใครจะกล้าลงทุนหรือไม่”
อีกทั้งยังเป็นโอกาสครั้งใหญ่สุดแห่งยุค “ขณะนี้พลังงานสะอาดกำลังขับเคลื่อนการลงทุนในภาคอุตสาหกรรม และจะเป็นแบบนี้ต่อไปอีกใน 50 ปีข้างหน้า”

โอดอนเนลล์ เปิดเผยด้วยว่า บริษัทได้ร่วมกับเอสซีจีในการผลิตอิฐแบบพิเศษที่เก็บความร้อนได้กว่า 1,500 องศาเซลเซียส เพื่อใช้ในการผลิตแบตเตอรี่ความร้อนซึ่งสามารถแปลงพลังงานสะอาดจาก “ลม” และ “แสงแดด” ให้เป็นพลังงานความร้อนที่สามารถใช้ได้ในภาคอุตสาหกรรม
ขณะเดียวกัน เนื่องจากไทยมีศักยภาพในการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากลมและแสงแดดสูง และต้นทุนพลังงานสะอาดกำลังมีต้นทุนที่ถูกลงเรื่อย ๆ จนขณะนี้มีต้นทุนถูกกว่าพลังงานฟอสซิล ดังนั้น พลังงานเหล่านี้จึงสามารถตอบโจทย์การใช้พลังงานความร้อนในภาคอุตสาหกรรมได้
“นวัตกรรมแบตเตอรี่เก็บความร้อนจากพลังงานสะอาดสำหรับภาคอุตสาหกรรม จึงเป็นอีกทางหนึ่งที่จะช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมสามารถเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน ซึ่งอาจเรียกได้ว่า เป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งใหม่” โอดอนเนลล์ระบุ

“ไบโอพลาสติก” ลดคาร์บอน
ในขณะนี้ จำนวนประชากรโลกเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ความต้องการใช้ทรัพยากรโลกยังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในฐานะผู้นำด้านพลาสติกชีวภาพระดับโลกจากบราซิล บริษัท Braskem จึงได้ริเริ่มนำประโยชน์ที่ได้จากการผลิตเอทานอลจากอ้อย มาผลิตเป็น “ไบโอพลาสติก” ที่ช่วยลดการใช้เชื้อเพลิงแบบดั้งเดิม เช่น น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ
โรเจอร์ มาร์คิโอนี ผู้อำนวยการเอเชีย ฝ่ายโอเลฟินส์และโพลีโอเลฟินส์ บริษัท Braskem กล่าวว่า ปัจจุบัน บริษัทสามารถผลิตไบโอพลาสติกจากอ้อยซึ่งสามารถช่วยลดก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมาก สอดรับกับความต้องการพลาสติกชีวภาพในตลาด

ล่าสุด จัดตั้งบริษัทร่วมทุนใหม่กับ บริษัทเอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC ตั้งเป้าผลิตเอทิลีนชีวภาพ (Green-Ethylene) จากเอทานอลที่ใช้ผลิตผลจากภาคเกษตร แทนเอทิลีนจากฟอสซิล ซึ่งมีกำลังการผลิต 2 แสนตันต่อปี ภายใต้แบรนด์ I’m green™ (แอมกรีน) และยังสามารถนำไปผลิตสินค้าได้หลากหลายประเภท ตั้งแต่บรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม เครื่องใช้ส่วนบุคคลและอุปกรณ์ดูแลบ้าน ของเล่น เครื่องใช้ในบ้าน ถุงพลาสติก เป็นต้น นอกจากนี้ยังสามารถนำกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลแบบ Mechanical recycling และ Advanced recycling เช่นเดียวกับพอลิเอทิลีนทั่วไป จึงช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และลดภาวะโลกร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความร่วมมือในครั้งนี้เป็นการผสมผสานความเชี่ยวชาญ ด้านเทคโนโลยีเกี่ยวกับพลาสติกชีวภาพของ Braskem เข้ากับความเชี่ยวชาญของ SCGC ในด้านการผลิตพอลิเอทิลีน รวมทั้งศักยภาพของ SCGC ที่เป็นผู้นำตลาดเคมีภัณฑ์ในระดับภูมิภาคโดยโรงงานของบริษัทร่วมทุนดังกล่าวจะตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง ประเทศไทย และถือเป็นโรงงานผลิต I’m green™ แห่งแรกนอกประเทศบราซิล
การนำสินค้าเข้าตลาดโมเดิร์นเทรด อาจดูเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับชุมชนทั่วไป แต่ไม่ใช่สำหรับ “กลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านแคว จ.เชียงใหม่” ที่รวมพลังแม่บ้านในชุมชน เชื่อมโยงระบบนิเวศหรืออีโคซิสเท็มเข้ากับผู้ประกอบการและช่องทางขายอย่างร้านเซเว่น อีเลฟเว่น จนสามารถพลิกโฉมสินค้าพื้นถิ่นอย่าง “กล้วยอบ” ให้กลายเป็น “กล้วยหนึบ” สร้างรายได้กลับสู่ชุมชนปีละนับ 10 ล้าน

ป้าแดง-ทองเพียร ศรีสว่าง วัย 63 ปี ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านแคว จ.เชียงใหม่ เล่าว่า กลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านแคว เริ่มต้นจากการรวมตัวกันของแม่บ้านในชุมชนเมื่อปี 2538 เพื่อแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรให้เป็นรายได้เสริมกับครอบครัว และค่อยๆ เติบโตขึ้นเป็นลำดับ จนสินค้าผลไม้อบของกลุ่มได้รับการยกระดับเป็นสินค้า OTOP และมีช่องทางการขายทั้งริมปิง ซูเปอร์มาร์เก็ตชื่อดัง และตามสถานที่สำคัญของจังหวัดเชียงใหม่ รวมถึงห้างดังในกรุงเทพฯ
จุดเปลี่ยนสำคัญของกลุ่ม เกิดขึ้นในช่วงวิกฤติโควิด-19 สินค้าของกลุ่มได้รับผลกระทบ ไม่สามารถจำหน่ายได้ ทางบริษัท ซันสวีท จำกัด (มหาชน) หรือ SUN บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งมีสำนักงานหลักอยู่ที่เชียงใหม่ ได้เข้ามาพูดคุยกับกลุ่มถึงความเป็นอยู่ พบว่ากลุ่มประสบปัญหาด้านช่องทางขาย ทำให้คณะผู้บริหารเข้าปรึกษากับทางเซเว่นฯ ซึ่งซันสวีท เป็นคู่ค้ากับทางเซเว่นฯ ภายใต้แบรนด์ KC อยู่แล้ว หลังจากนั้นไม่นานทีมบริหารผลิตภัณฑ์และจัดซื้อของทางเซเว่นฯ ก็เข้ามาที่กลุ่มเพื่อดูสินค้าและเห็นโอกาสการเติบโตของกล้วยอบ
“กล้วยหนึบ” สร้างรายได้ปีละกว่า 10 ล้าน
แต่สินค้ากล้วยอบมีจำหน่ายในตลาดเป็นจำนวนมาก จึงแนะนำให้ทางกลุ่มหาวิธีการสร้างความต่างให้กับสินค้า ด้วยการนำนวัตกรรมมาปรับใช้ ว่าจะทำอย่างไรให้กล้วยสามารถทานแบบอุ่นร้อนได้ เพื่อเพิ่มรสชาติให้อร่อยมากยิ่งขึ้น และยังคงความหนึบไว้ได้ โดยมีทีมผู้เชี่ยวชาญจากทางเซเว่นฯและซันสวีทคอยให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด จนได้ออกมาเป็น กล้วยหนึบ วางจำหน่ายช่วงกลางปี 2565
ป้าแดง เล่าเพิ่มเติมว่า “กล้วยหนึบ” ที่ทางกลุ่มวิสาหกิจชุมชนฯผลิตมาจากกล้วยน้ำว้าสายพันธุ์มะลิอ่อง ซึ่งเป็นกล้วยสายพันธุ์ที่ปลูกมากใน จ.เชียงใหม่ เมื่อนำมาแปรรูปจะมีความเหนียวนุ่มและมีกลิ่นหอมมากกว่าสายพันธุ์อื่น โดยทางกลุ่มจะรับซื้อกล้วยจากชุมชนในท้องถิ่นและพื้นที่ต่างๆ บนดอยของ จ.เชียงใหม่ และ จ.เชียงราย ในราคา 12-20 บาทต่อกิโลกรัม โดยทางกลุ่มจะรับซื้อกล้วยสดในปริมาณ 4,000 กิโลกรัมต่อครั้ง เพื่อนำมาแปรรูปผ่านกระบวนการอบแห้ง 6 ชั่วโมง จะได้ปริมาณกล้วยหนึบประมาณ 400 กิโลกรัม

ในช่วงที่กลุ่มมียอดขายดีๆ มีออร์เดอร์กล้วยหนึบสูงถึงเดือนละ 3,000-4,000 กิโลกรัม ทำให้กลุ่มต้องรับซื้อกล้วยสดอยู่ที่ประมาณ 40,000-50,000 กิโลกรัม เพื่อนำมาแปรรูปจำหน่ายในราคา 120-150 บาทต่อกิโลกรัม สร้างความมั่นคงกลับสู่กลุ่มสมาชิกที่มีกว่า 60 ครัวเรือน ด้วยรายได้เดือนละประมาณ 1-2 ล้านบาท หรือปีละกว่า 10 ล้านบาท
“การได้รับโอกาสและการสนับสนุนจากเซเว่นฯและซันสวีท ถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้กลุ่มฯสามารถกลับมามีรายได้และสร้างความมั่นคงให้กับสมาชิกอีกครั้ง ซึ่งกลุ่มวิสาหกิจทุกกลุ่มก็สามารถเป็นอย่างกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านแคว จ.เชียงใหม่ ได้เช่นกัน ทุกพื้นที่มีของดีของตัวเอง และมีองค์กรภาครัฐและเอกชนมากมายที่พร้อมให้การสนับสนุนและส่งเสริม ขอเพียงแค่อย่าหยุดที่จะเรียนรู้ และต้องกล้าที่จะออกจากความคิดเดิมๆ”

“ซันสวีท” โซ่ข้อกลางเชื่อมชุมชนสู่โมเดิร์นเทรด
เน็ต-วณิชชา ณ ลำปาง ผู้จัดการฝ่ายภายในประเทศและพัฒนาธุรกิจ บริษัท ซันสวีท จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าเกษตรพร้อมทาน ภายใต้แบรนด์ KC กล่าวว่า ด้วยความคุ้นเคยและใกล้ชิดกว่า 20 ปีระหว่างผู้บริหาร คุณองอาจ กิตติคุณชัย ประธานกรรมการบริหาร กับชุมชนในพื้นที่ ทำให้มองเห็นและรับรู้ถึงผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 ของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านแควเป็นอย่างดี จึงได้นำมาปรึกษากับทีมบริหารถึงแนวทางการช่วยเหลือ ซึ่งในขณะนั้นบริษัทมีโครงการสินค้าเพื่อสุขภาพกับทางเซเว่นฯ พอดี ประกอบกับมีนโยบายส่งเสริมผู้ประกอบการรายย่อยและกลุ่มเกษตรกร สอดคล้องกับนโยบายของทางเซเว่นฯ จึงร่วมปรึกษากับทางทีมเซเว่นฯ ซึ่งก็ได้รับคำแนะนำและได้รับการสนับสนุนอย่างดีในทุกขั้นตอน
“ซันสวีทเปรียบเสมือนโซ่ข้อกลางระหว่างชุมชนกับเซเว่นฯ ที่มีความเข้าใจในมุมมองด้านการตลาด สามารถช่วยถ่ายทอดมุมมองในส่วนนี้ให้กับกลุ่มวิสาหกิจได้ นอกจากนี้บริษัทยังเข้าไปช่วยเรื่องระบบหลังบ้าน ช่วยควบคุมการผลิตให้ได้คุณภาพตรงตามมาตรฐาน รวมทั้งเข้าไปช่วยพัฒนาแพ็กเก็จจิ้ง ที่สื่อให้เห็นถึงความเป็นวิสาหกิจชุมชนที่ทันสมัย รวมทั้งช่วยสร้างการรับรู้ให้กับผู้บริโภคถึงความแตกต่างของสินค้า เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน”

ปัจจุบันบริษัทสนับสนุนกลุ่มวิสาหกิจชุมชนด้วยการรับซื้อกล้วยหนึบเดือนละ 5,000 กิโลกรัม เพื่อจัดจำหน่ายภายใต้แบรนด์ KC และมียอดขายอยู่ที่ 7-8 แสนซองต่อปี หรือประมาณ 2,000-3,000 ซองต่อวัน คิดเป็นมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 10 ล้านบาทต่อปี จากความมุ่งมั่นและตั้งใจของกลุ่มวิสาหกิจและบริษัทที่ต้องการยกระดับความร่วมมือระหว่างกัน เพื่อพัฒนาสินค้าพื้นถิ่นสู่ระดับประเทศ ทำให้ “กล้วยหนึบ” ได้รับรางวัล Inventor Awards (สุดยอดนักประดิษฐ์) ประเภทรางวัลนวัตกรรมก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม จากเวที “7 Innovation Awards 2023”
“กลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านแคว จ.เชียงใหม่” ถือเป็นอีกหนึ่งกลุ่มวิสาหกิจชุมชนต้นแบบที่สามารถสร้างการเติบโตได้ด้วยตัวเอง ขอเพียงแค่อย่างปิดกั้นโอกาส และต้องแสวงหาสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ
ความมั่นคงในอาชีพอาจจะวัดจากรายได้ต่อปี ยอดขาย หรือกำไรสุทธิ แต่สำหรับ “ภชภณ วนพงศ์ทิพากร” มองต่างไปถึงความต่อเนื่องของอาชีพแบบไร้ความเสี่ยง แต่เป็นความมั่นคงที่สร้างความมั่งคั่งให้กับเขาและคุณภาพชีวิตที่ดีของครอบครัว
ภชภณ เล่าว่า เดิมทำธุรกิจครอบครัวตัดเย็บเสื้อผ้าส่งประตูน้ำ แต่ตนเองมีมุมมองกับธุรกิจเสื้อผ้า คือการรอรับคำสั่งซื้อจากลูกค้า ที่เสี่ยงกับความไม่แน่นอน และมองว่าวัตถุดิบหลายอย่างที่ใช้ในการผลิต ไม่สามารถใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างเช่นในขั้นตอนผลิตมีเศษผ้าเหลือใช้กลายเป็นต้นทุนแฝง ขณะที่คู่แข่งของไทยอย่างฮ่องกงและจีน มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วใช้เทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง เขาจึงมองหาช่องทางธุรกิจที่ตอบโจทย์ ทั้งการมีการสั่งซื้อที่แน่นอนและมีความเสี่ยงน้อยที่สุด

หนึ่งในธุรกิจที่สามารถตอบโจทย์นั้นได้มากที่สุด คือ การเลี้ยงไก่เนื้อในระบบเกษตรพันธสัญญา หรือ “คอนแทรคฟาร์ม” โดยภชภณเริ่มต้นเป็นเกษตรกร ภายใต้ชื่อ บริษัท มั่งคั่งแอนนิมอล จำกัด ทำประกันราคากับบริษัทชั้นนำแห่งหนึ่ง เมื่อปี 2546 หลังเห็นตัวอย่างความสำเร็จของญาติที่จังหวัดบุรีรัมย์ ก่อนเริ่มต้นธุรกิจเขาศึกษาสัญญาอย่างดี พบว่าไม่มีความเสี่ยงด้านการตลาด ปัญหาโรคน้อย ต้นทุนต่ำสุด และต้องทำให้ตนเองเป็นผู้รับจ้างเลี้ยงที่มีประสิทธิภาพสูง เพื่อผลตอบแทนที่ดีที่สุด
เมื่อเริ่มแรกเขาเรียนรู้การเลี้ยงไก่ด้วยตัวเอง จากการฝึกงานในฟาร์ม เรียกว่ากิน-นอนอยู่ในฟาร์ม ควบคู่กับการสรรหาบุคลากรที่มีความรู้มาช่วยงานในฟาร์มด้วยตัวเอง และเดินทางไปศึกษาความก้าวหน้าของระบบฟาร์ม ในงานแสดงเทคโนโลยีทางปศุสัตว์ระดับนานาชาติ เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์มาประยุกต์ใช้
ปัจจุบัน ภชภณยกเลิกสัญญากับบริษัทแรกไปหลายปีแล้ว และทำสัญญาคอนแทรคฟาร์มกับบริษัทผู้ผลิตและส่งออกเนื้อสัตว์รายใหญ่ 3 บริษัท เพื่อให้มีเงินทุนหมุนเวียนในธุรกิจต่อเนื่อง หนึ่งในนั้นคือ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ที่ร่วมงานกันมาตั้งแต่ปี 2562 เลี้ยงไก่เนื้อ 270,000 ตัว จำนวน 10 โรงเรือน ในจังหวัดนครราชสีมาและปราจีนบุรี
สำหรับการเป็นคู่สัญญากับซีพีเอฟ เขาบอกว่าต้องทำงานแข่งกับตัวเอง เลี้ยงให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดตามเกณฑ์ที่บริษัทกำหนด เช่นอัตราการตายไม่เกิน 2% และกำหนดน้ำหนักมาตรฐานในวันจับสัตว์ ที่สะท้อนความสามารถในการเลี้ยง เพื่อทำให้เกษตรกรได้ผลตอบแทนสูงสุด และเป็นฟันเฟืองสำคัญในการสร้างอาหารปลอดภัยให้ผู้บริโภค
ที่สำคัญ ซีพีเอฟถือเป็นคู่ค้าที่ดี ผู้บริหารและพนักงานช่วยเหลือทันทีเมื่อเกิดปัญหา โดยเฉพาะช่วงการระบาดของ โควิด-19 ได้รับเงินช่วยเหลือจากผลกระทบด้านการจับไก่เข้าโรงงานชำเเหละไม่ได้ตามเเผนที่กำหนดไว้ ทำให้มีผลต่อประสิทธิภาพต้นทุน ค่าใช้จ่ายฟาร์มเพิ่มขึ้น ซึ่งทางบริษัทก็ได้ให้ความช่วยเหลือ เพื่อลดภาระต้นทุน ทำให้ฟาร์มมีเงินทุนหมุนเวียนเป็นค่าใช้จ่าย

ภชภณ กล่าวย้ำว่า การเลี้ยงไก่ระบบคอนแทรคฟาร์มมิ่งให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด เป็นความท้าทาย และยังกระตุ้นตัวเองให้พัฒนาตลอดเวลา ที่สำคัญคือต้องรักษามาตรฐานอย่างสม่ำเสมอ ด้วยการผลักดันให้ฟาร์มมั่งคั่งแอนนิมอล เป็นเกษตรกรอัจฉริยะ (Smart Farm) เพื่อยกระดับการบริหารจัดการฟาร์มให้ดียิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“สำหรับเกษตรพันธสัญญา ผมไม่คิดเรื่อง “เอาเปรียบ” กับ “เสียเปรียบ” แต่ต้องมีความเข้าใจในบทบาทของแต่ละฝ่าย เราต้องแข่งกับตัวเอง แข่งกับต้นทุน รู้จังหวะในการทำธุรกิจ มีความสามารถในการบริหารจัดการ ถ้าสองฝ่ายพึงพอใจก็เป็นคู่สัญญาที่ win-win ทั้งคู่” ภชภณ กล่าว

จากความสำเร็จของระบบคอนแทรคฟาร์ม ทำให้ฟาร์มมั่งคั่งแอนนิมอล มีแผนขยายฟาร์มเพิ่มเติมในปี 2568 เพราะเห็นว่าธุรกิจนี้ยังเติบโตได้ ตราบใดที่คนยังต้องรับประทานอาหาร ส่วนหัวใจของความสำเร็จคือ การบริหารธุรกิจให้เร็ว และยังต้องสนุกกับการทำงาน ต้องเป็นแบบอย่างให้พนักงานและลูกชายได้เห็นอาชีพที่มีความก้าวหน้าและเติบโตตามเป้าหมาย
ทุกวันนี้ กิจวัตรประจำวันของ ภชภณ จึงไม่ใช่การตรากตรำทำงาน แต่คือการมีความสุขกับครอบครัว มีเวลาแวะเวียนไปตรวจเยี่ยมฟาร์มและพูดคุยกับพนักงาน และมีเวลามองหาธุรกิจอื่นๆที่อยากทำ ทั้งหมดนี้คือคำตอบของโจทย์ที่เขาตั้งไว้แต่แรกกับคอนแทรคฟาร์ม ที่สามารถสร้างอาชีพมั่นคงและความมั่งคั่งให้เขาได้อย่างแท้จริง
เพราะการเก็บเงินจริงจัง เป็นเรื่องยากของเด็กจบใหม่ หรือวัยเริ่มทำงาน โดยเฉพาะคนที่อยากสร้างเนื้อสร้างตัวเพื่อสร้างรากฐานที่มั่นคงตั้งแต่เนิ่น ๆ ด้วยเงินเดือนที่อยู่ในระดับ Entry Level หรือเพิ่งเริ่มต้น ซึ่งหลายคนนอกจากต้องรับมือกับค่าใช้จ่ายส่วนสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นค่าเดินทาง ค่าที่อยู่อาศัย หรือค่าอาหารในทุกวันแล้ว อาจต้องชำระคืนทุนการศึกษา หรือต้องช่วยแบ่งเบาภาระทางบ้านอีกด้วย ดังนั้น First Jobbers อาจพบเจอความท้าทายทางการเงินได้หลากหลาย

วันนี้ fintips by ttb #เรื่องเงินที่รู้จริงแบบเพื่อนที่รู้ใจ ชวนคุณมารู้จักเคล็ดลับ 5 นิสัยที่ช่วยให้วัยเริ่มทำงานเก็บเงินได้ไวขึ้น เพื่อการเงินที่ดีขึ้น
ไม่ว่าการเริ่มต้นชีวิตมนุษย์ทำงานจะยุ่งเหยิงแค่ไหน แบกอะไรบ้าง แต่เรื่อง “การเงิน”ต้องไม่หลุดโฟกัส เมื่อตั้งใจเก็บเงินอย่างจริงจัง สิ่งสำคัญคือ การคุมงบใช้จ่ายอย่างหนักแน่น ซึ่งการรู้จักตัวเองว่าในแต่ละเดือน ต้องเสียค่าใช้จ่ายไปกับอะไร เท่าไหร่ ทั้งค่าที่อยู่อาศัย ค่าน้ำ ค่าไฟ รวมถึงค่าชอปปิงต่าง ๆ จะเป็นจุดเริ่มต้นของการจัดสรรงบประมาณที่ใช้จ่ายต่อเดือน และการแยกบัญชีเป็นสัดส่วน 2 บัญชี คือ บัญชีเพื่อใช้และเพื่อออม เป็นตัวช่วยที่ดีในการจัดสรรเงิน และช่วยให้ติดตามการใช้เงินได้ง่ายขึ้น โดยจะได้รู้ว่าใช้เงินค่าอะไรไปเท่าไหร่ ตลอดเดือนจะเหลือเงินให้ใช้เท่าไหร่ ใกล้เต็มลิมิตแล้วหรือยัง และทำให้มั่นใจได้ว่าไม่รบกวนเงินที่ตั้งใจเก็บไว้แน่นอน
เมื่อมีอิสระทางการเงินของตัวเองและทำงานเหนื่อย การเปย์ตัวเองด้วยของรางวัลจึงเป็นเรื่องปกติของวัยเริ่มทำงาน แต่หากมีความตั้งใจเก็บเงินให้ไวขึ้น การตั้งเป้าหมายการออมจะช่วยให้มีความแน่วแน่และข้ามผ่านอุปสรรคยั่วยวนใจได้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายระยะสั้น เช่น เดือนนี้จะเก็บเงินให้ได้ 5,000 บาท เพื่อไปเที่ยวต่างประเทศ ซื้อของที่อยากได้มานาน หรือเป้าหมายระยะยาว เช่น เก็บเงินเพื่อดาวน์คอนโด ดาวน์รถ การมีเส้นชัยที่ต้องไปให้ถึง ย่อมทำให้มีกำลังใจในการเก็บเงินโดยไม่ล้มเลิกไปเสียก่อน
เพราะชีวิตมีความไม่แน่นอน อาจเจอเรื่องไม่คาดฝันได้ทุกเวลา เช่น เจ็บป่วยจากอุบัติเหตุหรือโรคภัยไข้เจ็บ มีเรื่องให้จำเป็นต้องจ่ายเงินก้อนใหญ่ หรืองานที่ทำยังไม่มั่นคง อาจมีเหตุให้ต้องเปลี่ยนงาน ออกจากงาน เงินสำรองฉุกเฉินจึงเป็นเบาะรองรับสำคัญ เมื่อถึงวันสะดุดล้มก็ไม่เจ็บช้ำจนเกินไป
หนึ่งทางออกเพื่อรองรับความเสี่ยงเหล่านี้คือ การสำรองเงินบางส่วนไว้ผ่านการเปิดบัญชีเงินฝากที่มีประกันอุบัติเหตุฟรี เช่น เปิดบัญชีเงินฝาก ttb all free ที่ทำธุรกรรมออนไลน์ ได้อย่างสะดวก รวดเร็วผ่าน แอป ttb touch ที่สำคัญยังได้ประกันอุบัติเหตุฟรี เบิกค่ารักษาได้ 3,000 บาท/อุบัติเหตุ ไม่จำกัดจำนวนครั้ง เพียงคงเงินฝากไว้ในบัญชีไม่ต่ำกว่า 5,000 บาท ทุกวันตลอดทั้งเดือน
หากอายุยังน้อยและไม่แน่ใจว่าจะซื้อประกันอะไรดี แค่มีเงินฝากเก็บไว้ในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ttb all free ก็ได้รับประกันอุบัติเหตุฟรีแบบไม่ต้องสมัครอะไร หรือเสียค่าอื่นใดเพิ่ม เริ่มต้นสร้างวินัยทางการเงิน ด้วยการมียอดเงินฝากคงเหลืออยู่ในบัญชี ttb all free ให้ได้ตามเงื่อนไข เพิ่มความคุ้มครองทางการเงินได้อีกทาง
หลายคนอาจมองว่าการทำบันทึกรายรับรายจ่ายยุ่งยาก เพราะต้องติดตามว่าในแต่ละวันจ่ายเงินค่าอะไรบ้าง ทว่าที่จริงแล้ว นิสัยการใช้จ่ายของคนวัยทำงานในปัจจุบัน มักเลือกโอนเงินผ่านโมบายแบงก์กิ้ง หรือรูดจ่ายผ่านบัตรเดบิต ทำให้การทำบันทึกรายรับรายจ่ายเป็นเรื่องง่ายขึ้น ไม่ต้องคอยย้อนทวนความจำหรือว้าวุ่นกับเงินหล่นหาย เพราะมีหลักฐานทุกครั้งที่โอนเงินออกจากบัญชี ย้อนกลับมาดูก็เห็นทั้งภาพรวมและรายละเอียดทุกรายการ ทำให้ช่วยประเมินตัวเองได้ง่ายขึ้น จัดลำดับความสำคัญของรายจ่ายได้อย่างชัดเจน และเห็นภาพว่ายอดใช้จ่ายไหนควรตัดออกเพื่อให้เก็บเงินได้มากขึ้น
สะดวกมากขึ้นด้วยฟังก์ชัน ‘Smart Search’ จากแอป ttb touch ให้คุณค้นหา และเรียกดูทุกรายการเดินบัญชีได้ง่าย ๆ เป็นตัวช่วยบันทึกและสรุปรายการใช้-จ่าย ให้คุณวางแผน ดูแลการเงินได้ดีขึ้น
การใช้จ่ายเกินตัวของวัยทำงานอาจกลายเป็นภาระหนี้ที่ยากเกินแบกรับ ดังนั้น หากเป้าหมายคือการมีเงินเก็บ สิ่งสำคัญที่ต้องเลี่ยงคือ “หนี้” เพราะการมีหนี้หมายถึงการหยิบยืม ที่จำเป็นต้องจ่ายคืนในภายหลัง ซึ่งหากเป็นหนี้แล้ว การจะสำรองเงินไว้เพื่อการออมอาจเป็นเรื่องยากขึ้น หาเงินได้เท่าไหร่ก็ต้องนำไปจ่ายคืนในส่วนที่หยิบยืมมา
หากทำได้ทั้ง 5 ข้อดังกล่าวข้างต้น ก็จะทำให้วัยเริ่มทำงานมีโอกาสเก็บเงินได้เร็วมากขึ้น และการเปิดบัญชีเงินฝากเพื่อเก็บเงินอย่างจริงจังควบคู่กันไปด้วยนั้น ก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยสร้างรากฐานที่มั่นคงตั้งแต่เนิ่น ๆ พร้อมเปิดโอกาสให้ความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ได้มากกว่า
บริษัท เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ FWD ประกันชีวิต นำโดย นางสาวปวริศา ชุมวิกรานต์ ประธานเจ้าหน้าที่ สายงานภาพลักษณ์และสื่อสารองค์กร ลุยต่อเนื่องกับการสร้างการรับรู้ของแบรนด์ ผ่านการทำกลยุทธ์ Brand Experience สร้างการจดจำแบรนด์ โดยให้แบรนด์เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน เป็นสิ่งที่จับต้องได้ และเข้าไปอยู่ในใจและไลฟ์สไตล์ของผู้คน โดยใช้การสื่อสารแบรนด์ผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส หรือ 5 sensory ในครั้งนี้เราส่งมอบ Music Experience เพื่อเป็นสื่อกลางในการคอนเน็คให้ทุกคนได้มารวมตัวกัน ผ่านการจัดงาน “FWD Music Live Fest 2 #ชีวิตติดคอนฯ” ฟรีคอนเสิร์ตใหญ่กลางเมืองที่จัดต่อเนื่อง 3 วันเต็ม และขยายพื้นที่ความสุขให้คนทุกเจเนอเรชั่นได้ร่วม Celebrate living ด้วยกันมากขึ้น อีกทั้งได้รับรู้ สัมผัส และมีประสบการณ์กับแบรนด์ FWD ประกันชีวิต พร้อมขนทัพศิลปินตัวท็อป อาทิ The Toy, Burin, Joey Boy, ETC, J-Jetrin, Zom Marie, Da Endrophine, Potato, Cocktail ร่วมสร้างความสุขกับเพลงฮิตติดชาร์ต ระเบิดความสุขแบบจัดเต็ม นอกจากนี้ยังเปิดเวทีให้น้องๆ School Band ปล่อยพลังโชว์ความสามารถทางดนตรีอย่างเต็มที่ ณ ลานหน้าเซ็นทรัลเวิลด์ เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ผ่านมา