

บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนลเพ็ทฟู้ด จำกัด ภายใต้กลุ่มบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ โชว์ศักยภาพผู้นำด้านอุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยง ในงาน Pet Fair South East Asia 2023 โดยนำสินค้าอาหารและขนมสัตว์เลี้ยง แบรนด์ ‘เจอร์ไฮ’ (Jerhigh) และ ‘จินนี่’ (Jinny) มาจัดแสดง และเปิดโอกาสเจรจาธุรกิจในรูปแบบ B2B มีนักลงทุนและผู้ซื้อรายสำคัญจากทั่วเอเชียและยุโรปที่ให้ความสนใจ ร่วมพูดคุย หารือ เพื่อสร้างความร่วมมือทางธุรกิจ ทั้งนี้ได้รับเกียรติจาก นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เยี่ยมชมผลิตภัณฑ์และบรรยากาศภายในบูธ

นายกิติศักดิ์ ลิ้มอำไพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนลเพ็ทฟู้ด จำกัด กล่าวว่า การร่วมงาน Pet Fair Southeast Asia 2023 ครั้งนี้ บริษัทฯ นำจุดเด่น 4 ด้าน ที่ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภค เพื่อตอกย้ำความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน ได้แก่ 1.) ขนมสุนัขยอดขายอันดับ 1 ในประเทศไทย ที่ครองแชมป์ยาวนานมากกว่า 10 ปี 2.) วัตถุดิบคุณภาพ อย่าง เนื้อไก่ของซีพีเอฟ ที่เลี้ยงด้วยโปรไบโอติก การันตีมาตรฐานความปลอดภัยด้านอาหารขั้นสูงระดับอวกาศ ตามหลักเกณฑ์ความปลอดภัยด้านอาหารขององค์การ NASA ที่นักบินอวกาศรับประทาน 3.) ความสำคัญต่อความยั่งยืน ตั้งแต่การเลือกใช้แพ็กเกจจิ้งที่ย่อยสลายได้ และใช้โปรตีนทางเลือก ได้แก่ แพลนต์เบสต์และแมลง มาเป็นวัตถุดิบ

และ 4.) คุณภาพของโรงงาน การันตีด้วยรางวัลมากมาย ล่าสุด ปี 2566 ได้รับรางวัล CSR-DIW Awards จากกรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม มอบให้แก่สถานประกอบการที่ให้ความสำคัญ ส่งเสริมและสนับสนุนการปฏิบัติงานตามมาตรฐานความรับผิดชอบของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมที่มีต่อสังคมได้อย่างครบถ้วนและต่อเนื่อง ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ทำให้ภาคอุตสาหกรรมสามารถอยู่ร่วมกับชุมชน สังคม ได้อย่างยั่งยืน

“ปัจจุบัน บริษัทฯ ผลิตอาหารและขนมสำหรับสัตว์เลี้ยง จำหน่ายและส่งออกผลิตภัณฑ์ทั้งในและต่างประเทศ รวม 21 ประเทศ โดยในปี 2567 ตั้งเป้าให้มีส่วนแบ่งในตลาดเดิมมากขึ้น ส่วนตลาดในประเทศ มีการต่อยอดขนมสำหรับสุนัขที่ผลิตจากเนื้อไก่คุณภาพดี ปลอดภัย ปลอดสาร มีทั้งแบบอบแห้ง แบบนิ่ม รวมถึงตัวขัดฟัน และขนมสำหรับน้องแมวที่เป็นแบบเปียก พร้อมทั้งเสริมด้วย Postbiotic ซึ่งช่วยเรื่องระบบทางเดินอาหารของน้องแมว อย่าง Meat Mallow Bite แบรนด์จินนี่อีกด้วย” นายกิติศักดิ์ กล่าว

สำหรับ บูธของบริษัท อินเตอร์เนชั่นแนลเพ็ทฟู้ด จำกัด พร้อมเปิดให้เจรจาธุรกิจเต็มรูปแบบ ระหว่างวันที่ 25-27 ตุลาคม 2566 ตั้งแต่เวลา 10:00-18:00 น (17:00 น. ในวันสุดท้ายของการจัดงาน) ณ บูธ D17, Hall 101 ศูนย์นิทรรศการและการประชุม BITEC บางนา ติดตามรายละเอียดและลงทะเบียนเข้าชมงานได้ที่ www.petfair-sea.com นอกจากนี้สามารถศึกษาข้อมูลผลิตภัณฑ์ของ บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนลเพ็ทฟู้ด จำกัด เพิ่มเติมได้ที่ www.jerhigh.com
ความเป็นมาของโครงการฯ
จากวิกฤตการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบต่อผู้คนทั่วโลกในวงกว้างและกำลังขยายผลกระทบขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ หรือ “Net Zero” กลายเป็นหนึ่งในวาระระดับโลกที่หลายประเทศให้ความสำคัญ บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด ร่วมกับ บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) (SPRC) และ บริษัท เชฟรอน (ไทย) จำกัด ในฐานะบริษัทพลังงานระดับโลกที่มุ่งสร้างความมั่นคงทางพลังงาน ควบคู่กับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในทุกมิติ ได้ตระหนักถึงความเร่งด่วนของปัญหา จึงเดินหน้าให้การสนับสนุนเป้าหมายการลดปริมาณความเข้มข้นของการปล่อยคาร์บอนและเป้าหมาย “Net Zero” ของประเทศ ในปี พ.ศ. 2608 (ค.ศ. 2065)

สำหรับในประเทศไทย จังหวัดระยอง ในภาคตะวันออก ถือเป็นหนึ่งในพื้นที่สำคัญ และเป็นจังหวัดที่มีป่าชายเลนแพร่กระจายอยู่ตามชายฝั่งค่อนข้างมาก โดยป่าชายเลน ถือเป็นทรัพยากรที่สำคัญทั้งทางด้านนิเวศวิทยา เนื่องจากสามารถดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากชั้นบรรยากาศ และช่วยกักเก็บก๊าซเรือนกระจกตัวการสำคัญที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน ซึ่งปัจจุบัน พื้นที่ป่าชายเลนในประเทศไทยสามารถดูดกลับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ปีละกว่า 9.4 ตันต่อไร่ (ข้อมูลกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง: 2566) อีกทั้งยังเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของชายฝั่งทะเลเนื่องจากเป็นแนวป้องกันชายฝั่งทะเลจากการกัดเซาะพังทลาย และกำบังคลื่นพายุอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันพบว่าพื้นที่ป่าชายเลนนั้นมีอัตราลดลง รวมถึงสภาพป่าชายเลนบางพื้นที่นั้นยังขาดความอุดมสมบูรณ์
โครงการ “เติมพลังรักษ์ยั่งยืน สู่ผืนป่าไทย” (Foster Future Forests) ซึ่งเป็นโครงการจากความร่วมมือของ บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด ร่วมกับ บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) (SPRC) และบริษัท เชฟรอน (ไทย) จำกัด จัดทำขึ้นเพื่อมุ่งเน้นการฟื้นฟูระบบนิเวศของพื้นที่ซึ่งยังไม่ได้รับการพัฒนาในบริเวณป่าชายเลนพระเจดีย์กลางน้ำ ตำบลปากน้ำ อำเภอเมือง จังหวัดระยอง เพิ่มพื้นที่สีเขียวดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ พร้อมส่งเสริมการอนุรักษ์ผ่านชุมชนสู่ความยั่งยืนทั้งในด้านสิ่งแวดล้อมไปจนถึงเศรษฐกิจในชุมชนตลอดการดำเนินงาน เพื่อขยายผลสู่พื้นที่อื่นๆ ต่อไปในอนาคต เหล่านี้เป็นการตอกย้ำเป้าหมายของเชฟรอน และ SPRC ในพันธกิจลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากกิจกรรมต่างๆ ในการดำเนินกิจการ หรือ Environmental Footprint (รอยเท้าทางนิเวศ) เพื่อสร้างผลประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงพัฒนาความเป็นอยู่ของชุมชนโดยรอบพื้นที่ในระยะยาว
ภาพรวมโครงการฯ
โครงการ “เติมพลังรักษ์ยั่งยืน สู่ผืนป่าไทย” (Foster Future Forests) เป็นโครงการระยะยาว ที่ริเริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนตุลาคม ปี พ.ศ. 2566 ผ่านความร่วมมือของ บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) และ บริษัท เชฟรอน (ไทย) จำกัด กับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และจังหวัดระยอง พร้อมทั้ง สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อมจังหวัดระยอง สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาระยอง องค์การบริหารส่วนจังหวัดระยอง เทศบาลนครระยอง เทศบาลตำบลเนินพระ สำนักงานประมงจังหวัดระยอง อำเภอเมืองระยอง ประชาสัมพันธ์จังหวัดระยอง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยสำนักงานระยอง องค์การบริหารส่วนจังหวัดระยอง เทศบาลนครระยอง เทศบาลตำบลเนินพระ ชุมชนเนินพระ วิสาหกิจชุมชนประมงเรือเล็กเก้ายอด วิสาหกิจท่องเที่ยวตำบลปากน้ำ และกลุ่มอนุรักษ์ฟื้นฟูแม่น้ำระยองและป่าชายเลนจังหวัดระยอง และมีที่ปรึกษาทางด้านวิชาการโดยสมาคมส่งเสริมพัฒนากำลังคนสเต็มเพื่ออนาคต (IAFSW) ในการดำเนินโครงการในพื้นที่ 100 ไร่ บริเวณป่าชายเลนพระเจดีย์กลางน้ำ ตำบลปากน้ำ อำเภอเมือง จังหวัดระยอง โดยเป็นพื้นที่ซึ่งยังไม่ได้รับการพัฒนาและมีสภาพแห้งแล้ง ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวมุ่งสนับสนุนการลดคาร์บอน และสร้างความยั่งยืนด้านเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมของชุมชนในพื้นที่ ดังนี้
จากเป้าหมายดังกล่าว ทางโครงการฯ ได้มุ่งทำงานและสร้างการมีส่วนร่วมกับกลุ่มผู้ได้รับผลประโยชน์หลายภาคส่วน อาทิ ชุมชนในพื้นที่ องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาลนครระยอง เทศบาลตำบลเนินพระ กรมเจ้าท่า กรมประมง ชุมชนเนินพระ กลุ่มอนุรักษ์ฟื้นฟูแม่น้ำระยองและป่าชายเลนจังหวัดระยอง วิสาหกิจชุมชนประมงเรือเล็กเก้ายอด วิสาหกิจท่องเที่ยวตำบลปากน้ำ เยาวชนในพื้นที่ ตลอดจนนักท่องเที่ยว
สำหรับการดำเนินโครงการในระยะแรก มุ่งเน้นการศึกษาพื้นที่ในโครงการฯ ร่วมกับหน่วยงานวิชาการอย่าง มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก ไปจนถึงหน่วยงานในพื้นที่ เพื่อวางแผนฟื้นฟูระบบนิเวศอย่างเป็นรูปธรรมและเน้นความยั่งยืน เช่น ศึกษาการนำเอาพืชพื้นถิ่นเข้ามาปลูก ศึกษาพื้นที่ทางน้ำและกระแสน้ำ รวมถึงวิเคราะห์คุณภาพดิน เพื่อสร้างความอุดมสมบูรณ์และฟื้นฟูตามความเหมาะสมที่แตกต่างกันของแต่ละพื้นที่ ศึกษาตัวชี้วัดความหลากหลายทางชีวภาพ ไปจนถึงประเมินความเสี่ยงในด้านต่างๆ จากแผนงานที่วางไว้

สำหรับการวางแผนในระยะถัดมา ทางโครงการฯ วางแผนยกระดับสร้างการรับรู้ในวงกว้างขึ้น พร้อมร่วมมือกับสถานศึกษาในระดับต่างๆ ในพื้นที่เพื่อเสริมองค์ความรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์ป่าชายเลนเข้าไปในหลักสูตร อีกทั้งวางแผนจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ป่าชายเลนเพื่อให้ผู้ที่สนใจ คนในชุมชน รวมถึงนักท่องเที่ยว ได้ร่วมทำกิจกรรม และร่วมเสวนาในประเด็นเกี่ยวกับการฟื้นฟูป่าในเมือง ตลอดจนจัดทำสื่อการศึกษาเพื่อให้ผู้คนตระหนักถึงความสำคัญของป่าชายเลนและการอนุรักษ์ระบบนิเวศจากสถานการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน
นอกจากนี้ ในด้านการศึกษาติดตามความคืบหน้า เพื่อเดินหน้าสู่เป้าหมายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ทางโครงการฯ ได้มุ่งวัดผลเชิงลึกเพื่อประเมินเป้าหมายของปริมาณการดูดซับคาร์บอนสำหรับป่าชายเลนในพื้นที่ และประเมินการเปลี่ยนแปลงในด้านความหลากหลายทางชีวภาพ ผ่านการผสานเทคโนโลยีมาช่วยวัดผลอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การใช้โดรนเพื่อวัดความสูงของต้นไม้และวัดอัตราการเติบโตในแต่ละปี ไปจนถึงการเปรียบเทียบจำนวนพื้นที่สีเขียวที่เพิ่มขึ้นมาคำนวณปริมาณการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพื่อชดเชย โดยข้อมูลดังกล่าวถือเป็นองค์ความรู้สำคัญเพื่อการต่อยอดขยายผลในพื้นที่อื่นต่อไปในอนาคต พร้อมทั้งจัดฝึกอบรมด้านการจัดการคาร์บอนเครดิต ทั้งในด้านทฤษฎีและปฏิบัติเพื่อสร้างอาชีพให้แก่ชุมชนในอนาคต
พร้อมกันนี้ โครงการฯ ยังมีแผนสำหรับการนำข้อมูลที่ได้ศึกษามาพัฒนากิจกรรมต่างๆ ที่เหมาะสมกับพื้นที่ เพื่อให้ภาครัฐ ชุมชน โรงเรียน พนักงานเชฟรอน และพนักงานบริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) (SPRC) เข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ อาทิ กิจกรรมปลูกป่า ปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ การสร้างทางน้ำ ทำคอนโดปู ไปจนถึงจัดทำบอร์ดนิทรรศการให้ความรู้เกี่ยวกับป่าชายเลน และยกระดับการรับรู้เกี่ยวกับโครงการในวงกว้างผ่านการจัดเสวนาวิชาการ หรือสื่อสารผ่านสื่อหลากหลายช่องทาง เพื่อสร้างการตระหนักรู้เกี่ยวกับโครงการฯ และความสำคัญของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อบรรเทาผลกระทบสู่สิ่งแวดล้อมต่อไป

ความยั่งยืนของโครงการฯ
เช่นเดียวกับหลากหลายโครงการเพื่อสังคมของทั้ง 3 องค์กร โครงการ “เติมพลังรักษ์ยั่งยืน สู่ผืนป่าไทย” (Foster Future Forests) มุ่งดำเนินการในระยะยาวร่วมกับพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญในการนำนวัตกรรมใหม่ๆ รวมถึงเทคโนโลยีและวิธีการศึกษา วิจัย และวัดผลเชิงวิชาการมาใช้ เพื่อให้สามารถวางแผนการดำเนินงานได้อย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ รวมถึงสามารถวัดผลสำเร็จได้จริง พร้อมมุ่งทำงานร่วมกับภาครัฐเพื่อเสริมแกร่งเครือข่ายชุมชน และปลูกฝังจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อให้คนในพื้นที่สามารถต่อยอดผลประโยชน์จากโครงการดังกล่าว รวมถึงสามารถดูแลอนุรักษ์พื้นที่ป่าชายเลนต่อไปในอนาคตหลังจากส่งมอบพื้นที่เมื่อสิ้นสุดโครงการฯ
นางสาวนิลวรรณ จีระบุญ (กลาง) ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านธุรกรรมการเงิน ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และทีมงาน รับ 2 รางวัลยอดเยี่ยมด้านธุรกรรมการชำระเงิน จากนิตยสาร Asian Banking & Finance ได้แก่ รางวัล ABF Corporate & Investment Banking Awards 2023 ประเภท Corporate Client Initiative of the Year จากความสำเร็จของการบริการ Digital Wallet Solution เพื่อสนับสนุนการใช้งานกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์บนแอปพลิเคชัน Max Me หรือ e-Wallet by Max Me ซึ่งเป็นโซลูชันที่ช่วยตอบโจทย์ลูกค้าธุรกิจที่มีแอปพลิเคชันและต้องการสร้างประสบการณ์การชำระเงินแบบไร้รอยต่อให้กับผู้ใช้งาน และรางวัล ABF Retail Banking Awards 2023 ประเภท Mobile Banking & Payment Initiative of the Year จากความสำเร็จการพัฒนาบริการการชำระเงินในต่างประเทศด้วยการสแกนคิวอาร์โค้ดบนโมบายแอปพลิเคชัน ทำให้ลูกค้าสามารถช้อปปิ้งหรือชำระค่าสินค้าในต่างประเทศได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ความสำเร็จและรางวัลที่ได้รับสะท้อนถึงคำมั่นสัญญาของกรุงศรีที่จะทำให้ชีวิตลูกค้าง่ายได้ทุกวัน
เริ่มแล้วอย่างยิ่งใหญ่กับงาน Pet Fair South East Asia 2023 (เพ็ท แฟร์ เซาท์ อีสต์ เอเชีย) งานแสดงสินค้าสำหรับอุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยงเพื่อการเจรจาธุรกิจแบบครบวงจร ณ ศูนย์กลางการค้าระดับภูมิภาคอย่าง กรุงเทพฯ ประเทศไทย โดยมีกำหนดจัดงานระหว่างวันที่ 25-27 ตุลาคม 2566 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุม BITEC กรุงเทพฯ ครอบคลุมพื้นที่การจัดงานกว่า 18,000 ตารางเมตร ซึ่งนับเป็นพื้นที่การจัดงานที่ใหญ่ขึ้นสองเท่าเมื่อเทียบกับการจัดงานครั้งที่ผ่านมา ภายในงานผู้เข้าชมงานจะได้พบกับ 300 แบรนด์ชั้นนำจาก 40 ประเทศทั่วโลก ครอบคลุมหลากหลายโปรไฟล์ธุรกิจที่เกี่ยวข้อง พร้อมต้อนรับนักลงทุนและผู้ซื้อรายสำคัญจากทั่วเอเชียที่มุ่งหน้าเดินทางมาเยี่ยมชมงาน ซึ่งถือเป็นงานระดับนานาชาติที่รวมผู้ประกอบการจากทั่วภูมิภาคและเป็นเวทีเจรจาการค้าเต็มรูปแบบที่พร้อมต้อนรับผู้เข้าชมงานจากนานาชาติที่ลงทะเบียนล่วงหน้ามาอย่างล้นหลามในปีนี้ โดยภาพรวมการจัดแสดงสินค้าครั้งนี้ได้คาดการณ์ผู้เข้าชมงานกว่า 10,000 ราย จาก 70 ประเทศทั่วโลก ซึ่งมีการลงทะเบียนล่วงหน้าก่อนเริ่มงานกว่าห้าพันราย อาทิ ประเทศมาเลเซีย, อินเดีย, ฟิลิปปินส์, จีน, เกาหลี, อินโดนีเซีย, ไต้หวัน, สิงคโปร์ และอื่นๆ

พิธีเปิดงาน Pet Fair Southeast Asia 2023 อย่างเป็นทางการได้รับเกียรติจากแขกผู้มีเกียรติในอุตสาหกรรม นำโดยนายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์เป็นประธานเปิดงานในพิธี พร้อมด้วย นายสัตวแพทย์อุดม จันทร์ประไพภัทร ผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมอาหารสัตว์เลี้ยงแบบครบวงจร สำนักพัฒนาระบบและรับรองมาตราฐานสินค้าปศุสัตว์, นายภูริพันธ์ บุนนาค รองผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน), นาย David Zhong ประธานคณะกรรมการบริหาร และ รองประธาน เครือข่าย Asia Pet Alliance และ ประธาน Pet Fair Asia, คุณ Igor Palka กรรมการผู้จัดการ บริษัท วีเอ็นยู เอเชีย แปซิฟิค จำกัด และคุณ Johannes Kraus ผู้จัดการโครงการอาวุโส งาน เพ็ท แฟร์ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ร่วมเปิดงานอย่างเป็นทางการและเยี่ยมชมงานแสดงสินค้า พบปะพูดคุยกับผู้ประกอบการจากนานาชาติภายในงาน

คุณ Igor Palka (อิกอร์ เพาก้า) กรรมการผู้จัดการ บริษัท วีเอ็นยู เอเชีย แปซิฟิค ผู้จัดงาน กล่าวถึงการเติบโตของการจัดงาน Pet Fair Southeast Asia โดยระบุว่างานนี้เริ่มจัดขึ้นในปี 2564 ด้วยวิสัยทัศน์ที่จะกระตุ้นธุรกิจสัตว์เลี้ยงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เรามุ่งมั่นพัฒนางานแสดงสินค้า B2B แห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และไทยซึ่งมีอัตราการเติบโตสูงขึ้นอย่างมาก งานในปีนี้ครอบคลุมพื้นที่นิทรรศการทั้ง 3 ฮอลล์ของศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค กรุงเทพฯ โดยมีขนาดเพิ่มขึ้นสองเท่าจากปีที่ผ่านมา และมีแบรนด์ชั้นนำกว่า 300 แบรนด์จาก 40 ประเทศ ครอบคลุมโปรไฟล์ของผู้แสดงสินค้าที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยงที่หลากหลาย โดยมีกลุ่มธุรกิจบริษัทผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงคิดเป็นสัดส่วนใหญ่ที่สุดถึง 29% ในงานแสดงสินค้าระดับนานาชาตินี้ท่านจะเห็นได้จากการมีส่วนร่วมของแบรนด์ชั้นนำและพาวิลเลี่ยนระดับนานาชาติจากประเทศต่างๆ เช่น จีน, ไต้หวัน, เกาหลีใต้, แคนาดา และสหรัฐอเมริกา
นายภูริพันธ์ บุนนาค รองผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) กล่าว นโยบายหลักของ สสปน. เป็นหน่วยงานที่พร้อมสนับสนุนและขับเคลื่อนธุรกิจและเศรษฐกิจของประเทศเพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจระดับโลกผ่านงานแสดงสินค้าภายในประเทศ และ Pet Fair South East Asia 2023 (เพ็ท แฟร์ เซาท์ อีสต์ เอเชีย) ครั้งนี้ก็ตรงกับนโยบายของเรา ทีเส็บเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า อุตสาหกรรม MICE จะเป็นอีกกลไกในการขับเคลื่อนตลาดสัตว์เลี้ยงในประเทศไทยสู่อีกขั้นในอนาคต และจะทำให้ประเทศไทยกลายเป็นจุดหมายปลายทางด้านการลงทุนที่มีมูลค่าสูงขึ้น และได้ประโยชน์กันทุกๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งผู้จัดงาน ผู้แสดงสินค้า และผู้ซื้อสามารถเก็บเกี่ยวและแบ่งปันผลลัพธ์ที่ได้ทั้งสองฝ่ายจากการจัดงานแสดงสินค้านี้

นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ในปี 2565 ไทยมีมูลค่าส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงกว่า 2.8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เติบโตกว่า 15% เพื่อตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของอุตสาหกรรมการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยที่มีคุณภาพได้มาตรฐานสากล ให้ความสำคัญกับโภชนาการสัตว์เลี้ยงและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ มุ่งเน้นการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง มีการวิจัยและพัฒนาให้ได้มาตรฐานคุณภาพสูงระดับประเทศ และได้รับความไว้วางใจจากทั่วโลก ประเทศไทยจึงมีบทบาทสำคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งด้านที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ของประเทศและโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งในการค้าระดับภูมิภาคและระดับโลก สังเกตได้จากการขยายตัวของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและพลังงานทดแทน และการพัฒนาสินค้านวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน ความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการสร้างอนาคตที่สดใสทางเศรษฐกิจ สร้างความตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม และการมีส่วนร่วมทางสังคม ในขณะเดียวกันก็เชิญชวนให้เกิดความร่วมมือกับประชาคมระหว่างประเทศสำหรับอุตสาหกรรมนี้
ศูนย์เบาหวานและต่อมไร้ท่อ โรงพยาบาลหัวเฉียว ขอเชิญเข้าร่วมกิจกรรมวันเบาหวานโลก World Diabetes Day 2023 เพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักถึงอันตรายของโรคเบาหวาน เนื่องจากโรคเบาหวานถือว่าเป็นโรคที่คนไทยป่วยกันมาก เป็น 1 ใน 10 ของโรคที่คุกคามคนไทยมากที่สุด พบได้ในทุกช่วงวัย และยังมีแนวโน้มที่จะมีผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นทุกปี
ภายในงานมีเสวนาพิเศษเรื่อง เบาหวาน… รู้ว่าเสี่ยง รู้แล้วต้องเปลี่ยน Know your risk Know your response โดยทีมอายุรแพทย์เฉพาะทางคคโรคต่อมไร้ท่อและเมตะบอลิสม และเรื่อง ดูแลตัวเองอย่างไร.. เพื่อชนะเบาหวาน โดยทีมสหวิชาชีพ. ในวันเสาร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2566 เวลา 09.00 – 14.00 น. ณ ห้องประชุมใหญ่ ชั้น 2 อาคาร 1 โรงพยาบาลหัวเฉียว
พร้อมรับสิทธิตรวจสุขภาพฟรีและของรางวัลภายในงาน โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ
โรงงานในเครือ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) คว้ารางวัลดีเด่นด้านอนุรักษ์พลังงาน ประเภทโรงงานควบคุม และรางวัลดีเด่นด้านพลังงานสร้างสรรค์ จากกระทรวงพลังงาน ในงาน Thailand Energy Awards 2022 โดยได้รับเกียรติจาก นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กำกับดูแลงานกระทรวงพลังงาน นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วย นางสาวอรพินทร์ เพชรทัต ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ร่วมแสดงความยินดีกับ นายกิตติพงศ์ ศรีชุม ผู้จัดการผลิต บริษัท คอสมอส บริวเวอรี่ (ประเทศไทย) จำกัด และทีมงานที่ได้ใช้ความรู้ความสามารถแสดงความคิดสร้างสรรค์ชูนวัตกรรมด้านการอนุรักษ์พลังงานสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ณ ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมรามา การ์เด้นส์ กรุงเทพฯ ที่ผ่านมา
นำเสนอสินค้าใหม่อยู่ตลอดเวลา สำหรับ โออิชิ อีทโตะ (OISHI EATO) ล่าสุดเอาใจสายแซนวิช สร้างสรรค์และเปิดตัวน้องใหม่บนเชลฟ์ ขอแนะนำ ใหม่ !!! โออิชิ อีทโตะ แซนวิช ไส้ปูอัดสลัดไข่ มาพร้อมขนมปังแซนวิช สดใหม่ เนื้อนุ่ม และไส้แน่น ๆ ประโยชน์เน้น ๆ แท็กทีมมากับปูอัด – สลัดไข่ รสชาติเข้มข้น กลมกล่อม สไตล์ญี่ปุ่น สามารถรับประทานแบบเย็นได้ทันทีโดยไม่ต้องอุ่นร้อน สะดวก อร่อย เหมาะสำหรับเริ่มต้นยามเช้า หรือช่วงเวลาระหว่างวันที่เร่งรีบ โดยวางจำหน่ายทั่วประเทศแล้ววันนี้ ในราคาชิ้นละ 27 บาท ที่ เซเว่น อีเลฟเว่น ทุกสาขา ติดตามข้อมูลข่าวและโปรโมชั่นอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่ แฟนเพจโออิชิอีทดตะ : www.facebook.com/OishiEatoThailand